เทศน์เช้า วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
นั้นเวลาพูด เห็นไหม เราพูดกันแต่เรื่องโลกๆ เพราะอะไร? เพราะใจของเราเป็นโลก เวลาพูดถึงธรรมะ พวกเราไม่เข้าใจเรื่องธรรมะเลย ดูสิ เหตุแห่งการทำบุญบ้าน เพราะอะไร ให้บ้านมีความสุขหรือ? เหตุแห่งทำบุญให้หัวใจเราต่างหาก ถ้าหัวใจเรามีความสุขนะ เราทำบุญเพื่ออะไร? เราทำบุญเพื่อบุญกุศล บุญกุศลคืออะไร บุญกุศล-อกุศล เห็นไหม กุศลทำให้เกิดอกุศล อกุศลทำให้เกิดกุศล
ดูสิ พระเทวทัตให้อำมาตย์ไปฆ่าพระพุทธเจ้า ส่งไป ๑๖ คน พระพุทธเจ้าเทศน์ จะไปฆ่าพระพุทธเจ้านะ เอาคันศรไปจะไปยิงพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้ามาถึง พระพุทธเจ้าแสดงด้วยฤทธิ์แล้วเทศนาว่าการ เห็นไหม ด้วยอกุศลนะ เพราะอะไร? เพราะตั้งใจจะมาฆ่า จะมาทำลายเลย แต่มาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เปลี่ยนใจเลย เห็นไหม
คนเรานี่กุศล ตั้งใจทำคุณงามความดี แต่พอไปเห็นสิ่งที่ว่ามันขัดกับกิเลสของเรา มันพลิกไปได้หมด กุศลทำให้เกิดอกุศล กุศลไง ตั้งใจไปทำคุณงามความดีกัน เป็นกุศลๆ แต่กิเลสมันมีอยู่ แล้วประสาเราคนตาบอด ถ้าคนตาบอดไปเห็นไม่ถูกใจเรา ไม่ถูกใจเราเพราะอะไร? เพราะว่าบอกว่า พระไตรปิฎกเป็นอย่างนี้ พระไตรปิฎกมันแผนที่ แล้วคนที่ทำดีกว่าแผนที่ เห็นไหม เครื่องดำเนิน เราอ่านพระไตรปิฎกแล้วไปเกาะพระไตรปิฎกกัน แต่เวลาพระไตรปิฎกครูบาอาจารย์เราบอก เป็นกิริยาของธรรมนะ มันเป็นกิริยาของธรรมเห็นไหม
ดูสิเราทำงานวิจัยกัน แล้วเราได้ผลงานแล้ว เราถึงทำเป็นตำราออกมา ตำรานั้นมันเขียนบอกถึงการวิจัยนั้นใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ธรรมที่เราศึกษากันนี่ มันเข้าไปถึงไหน? เข้าไปถึงใจ เห็นไหม มันไปติดที่ตำรากันหมดเลย พอติดที่ตำรา ตำราช่วยคนไม่ได้นะ คนศึกษามาขนาดไหน เห็นไหม ถ้าคนฉลาด คนมีความรู้มาก ถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความฉลาดนั้นเอาไปทำลายโลกนะ ทำลายคนอื่นนะ แต่ถ้าคนฉลาด มีคุณธรรม ถ้าคนฉลาดด้วย มีคุณธรรมด้วย วิชาการอันนั้นจะเป็นประโยชน์กับโลกมหาศาลเลย
ดูสิ ดูอย่างคนที่มีความดี เขาทำความดีเพื่อใคร เขาทำความดีเพราะอะไร? เพราะมันไม่ตระหนี่ถี่เหนียว แต่ถ้าคนฉลาดแล้วมันเห็นแก่ตัว เห็นไหม มันทำความดีไม่ได้ ถ้าความดีเป็นของคนอื่น ถ้าทำความดีต้องเป็นของเราก่อน จะทำอะไรก็แล้วแต่ เราได้อะไรๆ แต่เราได้อะไรนี่มันตัณหาความทะยานอยากแล้ว แต่ถ้าเราเสียสละเพื่ออะไร บุญกุศลมันเสียสละออกไป แต่มันได้ความชุ่มเย็นมา มันได้ความอบอุ่นมาในหัวใจ ความอบอุ่นในหัวใจนี้เห็นไหม
ดูสิ จะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เรามีแก้วแหวนเงินทองมหาศาลเลย เรามีสมบัติมากนะ เกิดสงครามขึ้นมา เกิดต่างๆ ขึ้นมา มันก็หมดคุณค่าไป ถ้าเรามีแก้วแหวน เรามีสมบัติมาก เรามีอาหารการกินมหาศาลเลย แต่ชาวโลกเขาขาดแคลน เขาจะเดินขบวนนะ เขาจะมาแย่งชิงเอาทั้งหมดเลย นี่เป็นสมบัติจากข้างนอก สมบัติจากข้างนอกเราดูแลรักษา เรื่องของปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นสมบัติข้างนอก บุญกุศลมันสมบัติของหัวใจ
ถ้าสมบัติของหัวใจเห็นไหม ดูสิ เราอบอุ่นในหัวใจ มันอยู่ที่ไหนมันก็อบอุ่นนะ เวลาตายไป ใจไปด้วยความอบอุ่น ถ้าใจว้าเหว่ สมบัติมีมหาศาลเลย แต่ตัวเองทุกข์ยากมาก มีแต่ความว้าเหว่ในหัวใจ ทำบุญกุศลนี่ ทำบุญบ้านๆ ทำบุญเพื่อใครล่ะ ทำบุญเอาหน้าเอาตากันหรือ ถ้าทำบุญเพื่อหัวใจเห็นไหม เราทำเพื่อหัวใจเราไปทำที่วัดขึ้นมา เราสละขนาดไหนก็แล้วแต่ หรือสละให้ใครก็แล้วแต่ ไม่ต้องไปที่วัด อยู่ที่บ้านก็สละได้ อยู่ที่ไหนก็สละได้
เพราะความสละ เพราะการวิปัสสนามันชำระกิเลสที่ไหน โคนต้นไม้ก็ชำระได้ เราอยู่ในบ้านเรือนของเรา เราก็ชำระได้ ถ้ากิเลสในหัวใจของเรา ถ้าเราชำระกิเลสในหัวใจของเรา มันอยู่ที่ไหนล่ะ ทำบุญกับหัวใจของเรานี่สำคัญกว่า เพราะมันจะย้อนกลับมาที่เรา มันอยู่ที่เจตนาการกระทำ
แต่ถ้าทำบุญเป็นพิธีการ มันออกมาเป็นพิธีการ ศาสนพิธี ผิดจากศาสนไม่ได้นะ เรียนศาสนพิธีกันมา จัดโต๊ะหมู่บูชา การทำทานต้องเริ่มต้นกล่าวคำถวายทาน ไอ้นี่มันเรื่องลิเกทั้งนั้นเลย มันเป็นละครลิเก แต่มันเป็นเรื่องของเพื่อสังคมโลก โลกเขาทำกันเพื่อเป็นระเบียบ เพื่อเป็นระเบียบของเขา
ดูสิ ดูดอกไม้ ดอกไม้ทั่วๆ ไป เขาเอามาร้อยเป็นพวงมาลัยมันก็สวยงามเห็นไหม ดอกไม้มันต่างอยู่ต่างลมพัดกระจายไป ระเบียบวิธีการนี่ศาสนพิธีมันมีแค่นั้น ศาสนพิธีเวลาเราทำ เราทำเป็นนักขัตฤกษ์ เราทำเวลาประกอบพิธีของเรา แต่เราทำบุญ ถ้าบุญกุศลของเรามันที่ไหนก็ได้นะ
เวลาพระในสมัยพุทธกาล เห็นไหม จะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องธรรมะ พอไปถึงชายคาฝนตกลงมา น้ำเจิ่งนองไปเลย แล้วน้ำตกมามันเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมา เห็นฟองนั้นเห็นต่อมนั้นเป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนั้นเลยนะ มันมีพิธีที่ไหนล่ะ ยืนอยู่นะ ยืนอยู่แล้วมองกระแสน้ำอยู่ เห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์เราออกมาไปพิจารณาข้าว ต้นข้าวเป็นสภาวะแบบนี้ แล้วถ้ามันงอก มันตก เขาเก็บแล้วเขาปลูกอีก เขาทำอีกมันก็จะงอกขึ้นมา ถ้ามันตกลงดิน มีน้ำดีดินดีมันก็จะงอกขึ้นมา
หัวใจเราก็เหมือนกัน มันเกิดมาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามันไม่มีการชำระล้างมันก็จะเกิดอีกต่อไป ข้าวเขาเอาไปหุงเขาไปต้ม มันสุกแล้วเอาไปปลูกอีก ไปเพาะชำอีกไม่ได้ หัวใจก็เหมือนกัน ถ้าโดนมรรคญาณ โดนอริยสัจ ได้การชำระล้างขึ้นมา หัวใจมันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา นี่มันพิธีที่ไหนล่ะ เดินก็ได้ นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ นอนก็ได้ ทำอย่างไรก็ได้ เห็นไหม มันเป็นปกติเขาทำที่เราทำขึ้นมา เพราะความคิดมันเกิดได้ตลอดเวลา เห็นไหม
ยืน เดิน นั่ง นอน เราวิปัสสนาได้ตลอดเวลา สิ่งนี้มันย้อนกลับมา กลับมาหัวใจของเรา ถ้าเรามีเชาว์ปัญญา มันมีเชาว์ปัญญาเราจะเห็นสรรพสิ่งเป็นประโยชน์กับเราหมดเลย โลกนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา ดูสิ เกิดมาทุกคนเวลาตายไป
ยมบาลถามว่า ได้ฟังธรรมไหม
ไม่ได้ฟัง
ไม่เคยเห็นธรรมหรือ
ไม่เคยเห็น
แล้วเห็นคนเกิดไหม
เคยเห็น
เห็นคนแก่ไหม
เคยเห็น
เห็นคนตายไหม
เคยเห็น
แล้วเกิด แก่ ตายนี่มันเป็นธรรมะนะ มันเป็นธรรม เตือนสติเรา ไม่เห็นเลยหรือ
ไม่เห็น
เห็นไหม ถ้าไม่มีปัญญามันไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ถ้ามีปัญญานะ เราดูสิ สังคมโลก ถ้าเราไม่เห็นตัวเรา เราเห็นแต่ข้างนอกก่อน ข้างนอกจะเป็นสภาวะแบบนั้น เวลาเข้าไปเห็นไหม ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปเที่ยวป่าช้า ให้ไปดูซากศพ ให้ไปดูต่างๆ ให้มันสลดสังเวชไง แต่ในปัจจุบันนี้ ไม่ต้องไปไหนหรอก เดินเข้าโรงพยาบาลดูสิ ไปโรงพยาบาลไปดูห้องไอซียูสิ นอนขมับๆ อยู่นั่นเลย
แล้วเราไปมองอย่างนั้น แล้วมันสะเทือนใจเราไหม มันสะเทือนใจเรามา นี่ก็เหมือนกัน นี่ธรรมะทั้งนั้น ถ้าเรารู้จักคิดรู้จักเก็บ ผู้ที่เขามีวิชาชีพทางนี้ เวลาเขาอยู่นะ เขามีวิชาชีพเขามาคุยให้ฟังอยู่ บางคนเขาสลดสังเวช แต่เขาอยู่ในวงการนะ บางคนเขามีวิชาชีพ มันเห็นโดยของสนุกนะ มันกระเซ้าเย้าแหย่ เวลาเห็นคนไข้มา จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ จะตัดแขนตัดขากัน ยังแหย่เขา ยังเล่นกับเขา
เพราะอะไร? เพราะมันทำเป็นอาชีพจนมันด้าน เห็นไหม คนขนาดอยู่ในเหตุการณ์ที่มันจะเป็นประโยชน์ ถ้ามันด้านนะ มันจะไม่รู้อะไรเป็นประโยชน์กับมันเลย แต่ถ้าคนมีหัวใจที่เป็นคุณธรรม เห็นแล้วมันจะสลดสังเวช
นี่ก็เหมือนกัน เรามองไปที่โลกสิ โลกเวลาคนเจ็บคนไข้ คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายมันสลดสังเวชไหม แต่ถ้าเราไม่ได้คิดเลย ใช่! เรามีครอบครัวขึ้นมา เราก็ต้องถนอมรักษาครอบครัวของเรา แล้วเราเกิดมาด้วยกรรม กระแสของกรรม ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่นี่เราก็ดูแลกันไป ไอ้นี่เป็นหน้าที่นะ เป็นหน้าที่เป็นกตัญญูกตเวที ไอ้นี่มันเรื่องของโลก
แต่ธรรมะมันละเอียดกว่านั้น ธรรมะนี่ สิ่งที่เราเห็นมันก็เป็นสังคม มันเป็นเรื่องของครอบครัว แต่สะเทือนหัวใจ ดูสิ เวลาเราอยู่ด้วยกัน เราเป็นสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน เรายังสะเทือนใจเลย เจ็บไข้ได้ป่วยสะเทือนหัวใจมาก สะเทือนหัวใจนี่ หัวใจนี่มันเป็นธรรมนะ เพราะมันจะฝังลงที่ใจหมด
สิ่งใดที่เกิด สิ่งที่เกิดขึ้นมานะ เกิดมาจากภวาสวะ เกิดมาจากจิตทั้งหมดเลย แล้วจิตออกไป กุศลก็เกิดมาจากจิต อกุศลก็เกิดมาจากจิต แล้วเวลาธรรม เวลามันสะเทือนหัวใจขึ้นมาก็สะเทือนมาจากจิต แล้วมันย้อนกลับไปที่จิต มันจะฝังลงที่จิต เห็นไหม นี่อำนาจวาสนา เวลาว่าคนจะมีปัญญา ปัญญาเกิดจากอะไร การฝึกฝนทำให้คนมีปัญญา ก็วิปัสสนานี่ไง นั่งสมาธิภาวนานี่ เกิดมีปัญญาก็มาถาม แล้วนั่งเฉยๆ เป็นปัญญาได้อย่างไร นั่งเฉยๆ ปัญญามันจะเกิดสิ เกิดเพราะมันอบรมจิตใจตรงนี้ไง
ดูสิ เวลามันฟุ้งซ่านขึ้นมา มันฟุ้งซ่านขนาดไหน เวลาเวทนามันเกิดขึ้นมา มันเจ็บปวดขนาดไหน แล้วสติสัมปชัญญะตะล่อมมันเข้ามา ปัญญามันเกิดขึ้นมาแล้วต่อสู้กันตรงหน้า เห็นไหม นี่วิปัสสนาญาณ มันจะเกิดหัวใจ แล้วมันจะซับลงที่ใจ มันเป็นอำนาจวาสนา เป็นจริตนิสัย ฝังลงๆๆ เลย จะมีมากมีน้อยมันจะฝังลงที่นี่
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของข้างนอก เห็นไหม บุญกุศลพิธีกรรม มันข้างนอกหมดนะ เราไม่ต้องทำ นั่งอยู่นี่เลย เรามีลูกน้อง เราสั่งได้หมดเลย เห็นไหม แต่วิปัสสนาไม่มีทาง จะร่ำรวยมหาศาล จะเศรษฐีกุฎุมพีขนาดไหน ซื้อหาไม่ได้ จะทุกข์จนเข็ญใจก็ซื้อหาไม่ได้ สั่งใครให้ทำแทนไม่ได้ มันจะทำด้วยตัวเองหมด
มันถึงบอกว่า สิ่งที่เป็นข้างนอก ส่งออกมันเป็นอย่างนั้น แล้วเราศึกษามาเพื่อส่งออก ธรรมวินัยย้อนกลับทวนกระแส คำว่าทวนกระแสกับไปตามกระแสไง ศึกษาธรรมวินัยมาแล้วตามกระแสไป ต้องเป็นอย่างนั้น! พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น! อย่างนั้นๆ ยึดมั่นถือมั่นไปเลย แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
แต่ถ้ามันทวนกระแสกลับมานะ มันเข้ามาถึงกระเทือนหัวใจ มันจะรู้ที่ที่หัวใจ แล้วมันจะสลดสังเวชในหัวใจ เห็นไหม นี่สลดสังเวช การเสียสละ การสละออกเป็นการได้มา ความได้มาอย่างนี้เป็นความได้มาจากทรัพย์ ทรัพย์จากภายนอก ทรัพย์จากภายใน แล้วอริยทรัพย์จากภายในมันจะเกิดมาจากหัวใจของเรา
สิ่งต่างๆ ที่โลกเขาทำกันนั้น มันเป็นเปลือกไม้ เราจะเป็นแก่นของไม้ เราต้องเข้าใจ ถ้าเราไม่เป็นแก่นของไม้ เราจะติดที่เปลือกไม้ เห็นไหม ติดที่พิธีกรรมต่างๆ มันก็พิธีกรรม ปฏิเสธไม่ได้ ใช่ ทาน ศีล ภาวนา ปฏิเสธไม่ได้ ไม่เคยปฏิเสธเลย แต่ถ้าเราเข้าใจ เราทวนกระแสเข้าไป เราจะลึกเข้าไป
เวลาสมบัติขึ้นมา อาหารการกินต่างๆ อยากได้ของดีของประณีตทั้งนั้นล่ะ แต่เวลาทำขึ้นมา ความที่ประณีตมันอยู่ที่ไหน เห็นไหม ยึดที่มันจับต้องกันไม่ได้ ถึงเวลาเถียงกันปากเปียกปากแฉะ เวลาภาวนาไป จะเป็นอย่างนั้นๆ เถียงกันปากเปียกปากแฉะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมานี่ มันจะลงกันด้วยเหตุด้วยผล ถ้ามันเป็นพาล เห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ นี่เป็นบุญกุศล เป็นมงคลชีวิต
แต่ถ้ามันเถียงกันด้วยกิเลส เถียงกันด้วยไม่ต่างๆ ความเถียงกันอย่างนั้น มันเพราะเอากิเลสกับกิเลสต่อสู้กัน แต่ถ้าคนมีคุณธรรม สิ่งต่างๆ เรารับไว้ฟังไว้ ฟังไว้ก็ได้ เห็นไหม ฟังหูไว้หู แล้วเราค่อยมาใคร่ครวญของเรา ถ้ามันตรงกับจริตนิสัยของเรา มันเป็นประเด็น เป็นคติเตือนใจกับเรา ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับเราก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาถูกต้อง เขาเป็นประโยชน์ของเขา ถ้าเขาผิดพลาด เขาก็ต้องทำให้เขาเนิ่นช้าไป หรือทำให้เขาออกนอกลู่นอกทางไป เห็นไหม
ความเป็นไปของจิตมันละเอียดลึกซึ้งกันอย่างนั้น มันเป็นสิ่งที่ว่า เป็นนามธรรมที่ไม่เห็น พิธีกรรมยังเป็นพิธีกรรมที่เห็นขณะกระทำนะ แต่ในหัวใจใครจะรู้ รู้ได้ไงว่าเป็นสภาวะแบบใด แต่รู้ได้ รู้ได้เพราะคนที่เคยผ่านเคยทำมันจะรู้วิธีการของมัน วิธีการอย่างนี้ มันถึงเข้าใจสภาวะแบบนี้ทั้งหมด แล้วเห็นคนที่ยึดไง
เราดูสิ เราเห็นเด็กๆ ไหม เด็กๆ เวลามันเล่นขายของกัน มันเล่นสนุกสนานกัน มันจะบอกพ่อแม่ ชวนพ่อแม่ไปเล่นกับมัน เราไปเล่นกับเขามันก็มีความสนุกสนานไปกับเขา แต่คำว่าของเล่น! นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเป็นอุปกิเลสขึ้นมา มันเป็นของเล่น! ไม่ใช่ของจริงหรอก ถ้าเป็นสภาวะของจริง เราเติบโตมา เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เราทำสัมมาอาชีวะเห็นไหม เราประกอบสัมมาอาชีวะ นี่มันของจริง ของจริงเพราะอะไร? เพราะมันได้ปัจจัยเครื่องอาศัยมาดำรงชีวิต
เวลาวิปัสสนาไปจิตมันจะชุ่มชื่น จิตมันจะรู้ รู้สภาวะเป็นแบบใด แล้วมันจะสะเทือนใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติ ปฏิบัติ แล้วนี่มันเป็นปริยัติศึกษามา แล้วได้ธรรมพระพุทธเจ้าๆ มันไปยึดด้วยความโง่ของตัวนะ แล้วตัวคิดว่าตัวเองฉลาด แล้วเวลาคนเขาทำขึ้นไป มันเป็นสัจจะความจริง
เหมือนอาหารเลย จะกินอาหารไม่ได้เลย ต้องทำไปตามวิธี มันจะกินไม่ได้หรอก ถ้าเรากินอาหารของเรา เห็นไหม สำรับเรา เราก็กินอาหารของเรา มันก็เป็นเรื่องธรรมดา กินอยู่ทุกวัน แต่ถ้าเป็นพิธีกรรม ไม่ได้! เป็นมารยาทสังคมอะไรบ้าบอคอแตกไปเลย สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ แต่ถ้าคนมันคิดว่าตัวเองฉลาด กลายเป็นโง่ ๒ ชั้น ๓ ชั้นไง
โง่นะ ขีดจำกัดวงของตัวเอง แล้วให้กิเลสยึดมั่นถือมั่นวงจำกัดกรอบที่เราขีดเอาไว้ แล้วยึดมั่นถือมั่นนั้น มันเลยย้อนกลับมาละเอียดอ่อนเข้าไปถึงใจไม่ได้ แต่ถ้ามันละเอียดเข้าไปถึงใจ สิ่งนี้มันปล่อยวางหมด เวลาที่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เจอพุทธะ ให้ฆ่าพุทธะก่อน ถ้ามันเป็นอย่างนั้น เราทำได้ไหม เคารพจนทำอะไรไม่ได้เลย ก็เคารพ เคารพพุทธะ แต่มารมันอยู่บนพุทธะ มารมันอยู่ในผู้รู้ของเรา ก็เลยกลายเป็นเคารพมารไปเลย
แต่ถ้าทำลายพุทธะ ทำลายมารก่อน พุทธะที่ละเอียดเข้ามา พุทธะที่อีกส่วนที่ทวนกระแสเข้ามา กลับเป็นพุทธะที่บริสุทธิ์ เป็นพุทธะแท้ไง พุทธะโดยสมมุติ พุทธะโดยความรู้สึกกับพุทธะแท้มันต่างกัน แต่เราว่าพุทธะๆ มันก็ตีความกันไป แล้วก็ไปเคารพมารกันอยู่อย่างนั้น มันก็เลยไม่เข้ามาถึงหัวใจ
ถ้ามันย้อนกลับมาถึงหัวใจนะ มันจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ศึกษาธรรมต้องเป็นอย่างนี้ ศึกษาแล้วแบกหาม หนักเอาเบาสู้ มันต้องผ่านกิเลสเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอน ลูกหลานกิเลสมันก็ทำให้เราเร่ร่อน พอเป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายกิเลสมันก็บอกสิ่งนี้เป็นธรรม เห็นไหม ยิ่งเป็นมารด้วย เป็นอวิชชาด้วย บอกนี่คือความสำเร็จของเราเลย ความสำเร็จของเราเลย ความสำเร็จยอมจำนนกับมารไง แล้วเราก็จะเสียเวลาของเราไป
หมั่นตรวจสอบทดสอบ แล้วครูบาอาจารย์มีอยู่ ศึกษากับครูบาอาจารย์ของเรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา ศึกษาพระไตรปิฎกก็ศึกษา พระไตรปิฎก เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ ไม่มีใครเลยจะบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่สำคัญ พระพุทธเจ้าสำคัญทั้งนั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ศาสนานี้ไม่มีหรอก พระพุทธเจ้านี้สำคัญมากเลย แต่เวลาสำคัญขึ้นมาพระพุทธเจ้าบอกว่า ให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ไม่ใช่เห็นแต่ตัวหนังสืออย่างนั้น แล้วเอากิเลสมันไปยึดมั่นถือมั่น มันเลยเป็นคิดว่าตัวเองฉลาด กลายเป็นโง่
โง่เพราะอะไร? เพราะคิดว่าตัวเองมีปัญญา แต่ไปยึดกรอบอันนั้น แล้วไปติดกรอบอันนั้น กลายเป็นเอาปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปิดกั้นตัวเอง แล้วว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ มันจะอ่อนไหว มันจะอ่อนนิ่ม อ่อนโยนไปกับกระแสโลก แล้วมันจะเข้าใจสัจจะความจริง
ธรรมไม่เคยขวางโลก ไอ้ใครขวางโลกนี่ไม่ใช่ธรรม สิ่งที่มันละเอียดอ่อนต่อโลก เห็นไหม โลกกับธรรมเข้าได้โดยสนิทแนบแน่น แต่เวลาครูบาอาจารย์จะสั่งสอน อันนั้นเป็นคติ เป็นตัวอย่างนั้น เวลาจะสั่งสอนกัน เวลาจะลงโทษกัน เวลานั้นต้องเข้มแข็ง ไม่เคยขวางโลก แต่ถ้าขวางโลกไม่ใช่ธรรม คนขวางโลก คนขวางกิเลส กิเลสขวางใจตัวเอง จะอยู่กับกิเลสตลอดไป เอวัง