เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ก.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พระรัฐบาลนะ บวชแล้วนี่เป็นลูกเศรษฐี บวชแล้วเป็นพระอรหันต์ด้วย เวลาพระรัฐบาลพูดโศลกไว้ เห็นไหม “โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิตย์” โลกนี้บกพร่องอยู่เป็นนิตย์เลย เรามีบกพร่องที่ไหน ถ้าโลกเราบกพร่อง เห็นไหม ดูสิ เราทรัพย์จาง เราบกพร่อง เราต้องหาทรัพย์ ทรัพย์จางนะ ทรัพย์จางเราต้องขยันหมั่นเพียร เวลาโลหิตจางต้องให้เลือด เวลาธรรมะจางล่ะ เวลาธรรมะจาง เห็นไหม เรามาฟังธรรมกัน นี่เติมเต็มธรรมะไง

การได้ยิน ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำ ตอกย้ำ ฟังทุกวัน ๆ นี่ตอกย้ำ ๆ จนถึงที่สุด ถ้าผลของการฟังธรรมคือจิตผ่องแผ้ว จิตมันใสสะอาด จิตถ้ามันผ่องแผ้ว ในการฟังธรรม เห็นไหม เรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติทั้งหมดเลย

แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะ ถ้าเป็นความจริง นี่พระรัฐบาลเหมือนกัน เวลาออกประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นี่ลูกเศรษฐีนะ พ่อแม่ร่ำรวยมาก ความเห็นต่าง ๆ กัน พ่อแม่นิมนต์มาฉันที่บ้าน แล้วขนทรัพย์สมบัติมากองไว้กลางบ้านเลย “สมบัติกองเท่าภูเขานี่ใครจะดูแลรักษา ?” สมบัติ เห็นไหมนี่ พ่อแม่ติดเรื่องสมบัติ เรื่องตระกูล ชาติตระกูลนี่ใครจะดูแลรักษา สมบัตินี่ไม่มีใครดูแลรักษาเลย

พระรัฐบาลตอบพ่อแม่ว่าอย่างไร รู้ไหม “ขอนิมนต์ให้พ่อแม่ขนสมบัตินี่ใส่รถ แล้วดัมพ์ลงแม่น้ำไปเลย” เพราะอะไร ? เพราะพ่อแม่ไปติดเรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องชาติตระกูล แต่เวลาธรรมมันเต็มในหัวใจ เพราะพระรัฐบาลเป็นพระอรหันต์ พอเป็นพระอรหันต์นี่ สมบัติอริยทรัพย์จากภายในมันสำคัญมหาศาลเลย

แต่มุมมองของพ่อแม่ พ่อแม่ผิดไหม ? ไม่ผิดเลย เพราะพ่อแม่ต้องรักตระกูลแน่นอน ต้องรักลูกแน่นอน แต่ความรักของโลก ความรักของโลกก็ให้สมบัติ ให้สมบัติพัสถาน แล้วสมบัตินั้นเป็นสมมุติ สมบัติ ดูสิ เราเก็บไว้ในบ้านเรานี่ โจรมันยังปล้นได้เลย เราเก็บไว้ในธนาคาร แล้วนี่ถ้าธนาคารมันล้มนะ เงินเราหมดเลยเห็นไหม

แต่ทรัพย์จากภายในมาจากไหน แต่พ่อแม่จะทำอย่างไร ให้พ่อแม่เข้าใจเรื่องทรัพย์จากภายใน ถ้าพ่อแม่เข้าใจเรื่องทรัพย์จากภายใน แต่ประสาเราพ่อแม่ว่าเป็นพ่อเป็นแม่ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีนะ รักวัวให้ผูก วัวเราผูกไว้ เรารักษาไว้ วัวเรามันจะไม่กวนคนอื่น แล้วมันจะไม่มีปัญหา เราปล่อยวัวเราไปตามประสามัน เห็นไหม รักลูกให้ตี เราอบรมสั่งสอนเพื่อให้ลูกเราเป็นคนดีไง พ่อแม่นี่รักลูกมาก รักลูก เห็นไหม ความรักลูก ความผูกพันของลูก นี่ความเห็นของพ่อแม่

ความผูกพันอันนี้มันเป็นเรื่องของโลก ๆ แต่ถ้ามันเป็นเปิดตาธรรมของใจ เห็นไหม เราก็ดูแลรักษากันไป เป็นตามสัจจะความจริง เพราะมันจริงตามสมมุติ ชีวิตนี่เป็นความจริงนะ จริงตามสมมุติ เพราะเรามีลมหายใจ เราเกิดมามีลมหายใจ ชีวิตยังต่อเนื่องอยู่ ชีวิตนี้เป็นสมมุติ ถ้ามันขาดไป มันชั่วคราวตรงนี้ เวลาลมหายใจขาดไป ร่างกายก็อยู่ที่นี่ กองไว้ที่นี่ ต้องกำจัดมันไป ต้องเผา ต้องทำไป

แต่จิตใจมันไปไหนล่ะ จิตใจนะ ศาสนาสอนเรื่องตรงนี้ไง อริยทรัพย์จากภายใน เรื่องของจิตใจ เห็นไหม เวลาทุกข์ ทุกข์ที่ไหน ? ทุกข์ที่ใจนะ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เวลาทุกข์กายเห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วย นี่ทุกข์กาย เวลาร่างกายมันบีบคั้น มันหิว นี่ทุกข์กาย เวลาทุกข์ใจล่ะ ทุกข์ใจนี่ไม่มีอะไรเลยนี่ สมบูรณ์พูนสุขมหาศาลเลย แต่ทุกข์หัวใจมาก หัวใจแบกรับภาระในหัวใจ เห็นไหม

มีสมบัติมหาศาลเลย ปกครองเห็นไหม ดูสิ ดูพ่อแม่ของพระรัฐบาลสิ สมบัติเต็มเอาออกมากองเป็นภูเขาเลากาเลย มันขาดแคลนตรงไหนล่ะ ไม่มีขาดแคลนตรงไหน แล้วทำไมมันทุกข์ร้อนล่ะ ทุกข์ร้อนไปเพราะสมบัตินี่เราต้องดูแลรักษามัน สมบัตินี่แล้วใครจะดูแลรักษามัน ไปห่วงมันไง ห่วงมันก็ไปเกิดเป็นตุ๊กแก ไปเฝ้ามันน่ะสิ เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์สิ

แต่ถ้าเราไม่ห่วงมัน เราทำเป็นประโยชน์ เห็นไหม ประโยชน์ปัจจุบัน ถ้าเราสละออกไปก็เป็นประโยชน์ปัจจุบัน คนที่เขาได้รับได้เจือจานไป เขาก็ได้ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเขาขาดแคลน ในเมื่อทรัพย์จาง เขาได้การจาคะ ได้การบริจาคจากเราไป เขามีความสุข สุข ๆ อันนั้นเป็นบุญกุศล สุขอันนั้นเขาพอใจอันนั้น เขาพอใจ เขาได้รับแล้วเขาพอใจ แล้วเรายื่นให้เขาไป เห็นไหม ดูสิ ในสายตาที่เขาพอใจ เขาดีใจของเขานี่ อันนี้มันจะฝังในใจ อริยทรัพย์เกิดมาตรงนี้ไง เสียสละจากทรัพย์หยาบ ๆ ออกไป มันจะได้สิ่งที่ละเอียดเข้ามาในหัวใจ นี่มันเป็นเรื่องการเสียสละ เรื่องเป็นอามิสนะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสบูชาเลย”

สิ่งที่บูชานี่เป็นอามิสบูชา ขนาดอามิสบูชามามันยังได้บุญกุศลขนาดนี้ แล้วถ้าปฏิบัติบูชามันจะได้ขนาดไหน ปฏิบัติบูชามันจะสะอาดจากภายใน เห็นไหม ดูสิ สะอาดจากภายใน ทรัพย์จากภายนอกไม่มีความหมายเลย เพราะมันเป็นของสมมุติของโลกเขา มันเป็นแร่ธาตุ แร่ธาตุที่ขาดแคลนขึ้นมามันก็มีคุณค่าขึ้นมา แร่ธาตุที่มันมีมากขึ้นมา แร่ธาตุนั้นก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย แล้วถ้ามันขาดแคลนขึ้นมา เห็นไหม

สิ่งที่หัวใจก็เหมือนกัน สิ่งที่หัวใจเห็นไหม หัวใจที่เศร้าหมอง หัวใจที่แบกทุกข์นี่มันมีทุกดวงใจ ทุกดวงใจที่เกิดขึ้นมานี่กิเลสพาเกิด ประกันเลย คนที่เกิดกิเลสทั้งหมด แล้วเกิดมานี่มีโอกาสได้มาชำระสะสางกัน มีโอกาสได้มาซักฟอกกัน แล้วมีใคร ใครจะพอใจความซักฟอกนั้น มันกลับไม่พอใจความซักฟอกหัวใจความรู้สึกอันนี้ให้มันสะอาด กลับไปพอใจสิ่งที่เป็นแร่ธาตุ

สิ่งที่เป็นแร่ธาตุ สิ่งที่จากภายนอก เห็นไหม เราต้องดูแลรักษาแน่นอน เราต้องใช้จ่าย ปฏิเสธไม่ได้หรอก สิ่งนี้ปฏิเสธไม่ได้ แต่มันเป็นสมมุติ คำว่าจริงตามสมมุติ จริงตามวิมุตติ จริงตามสัจจะ มันมีความจริงมาหลาย ๆ ขั้นตอน แล้วเราเป็นผู้ที่มีปัญญา เราเป็นผู้มีปัญญา เราจะจับอะไร แล้วถ้าคนไม่มีปัญญาก็บอกว่าเป็นการโกหก การเขียนเสือให้วัวกลัว นรก-สวรรค์ไม่มีหรอก อะไรก็ไม่มี

ถ้าไม่มีมึงอย่าทุกข์สิ ! ไม่มีมึงอย่าตายสิ ! แล้วทำไมมันตาย ถ้ามันมาเกิดอยู่นี่ แล้วตายแล้วไม่เกิด แล้วมานั่งอยู่นี่มาจากไหน สิ่งนี้มาจากไหน มันมีแรงขับเคลื่อนอยู่ สสารยังมีอยู่ ความเป็นไปมันยังมีอยู่ นี่ พุทธะ พุทโธ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความรู้สึกอันนี้มันรู้สึกกันหมด คนยังมีชีวิตอยู่รู้สึกได้ทั้งนั้น สิ่งนี้เป็นนามธรรม

ถ้าพิสูจน์กันได้ก็พิสูจน์กันด้วยการทำความสงบของใจสิ ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ มันจะเห็นความสุขของมันเลย ถ้าสุข สุขอย่างไร ความสุขอย่างนี้เกิดมาจากไหน เงินซื้อไม่ได้ ซื้อไม่ได้ แสวงหากันไม่ได้ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา สงบจิตเข้ามานี่มันชนะตัวเองไม่ได้ ถ้าชนะตัวเอง แพ้ตัวเองตลอดไปนี่ ถ้าแพ้ตัวเองตลอดไป นี่โลกเป็นใหญ่ เพราะอะไร ? เพราะตัวตนเราเป็นใหญ่ อัตตาเราเป็นใหญ่ เพราะเราแพ้ตัวเองเห็นไหม

ถ้าเราชนะตัวเองเมื่อไร โลกมันต้องสงบตัวลง ความเห็นของเราต้องสงบตัวลง นี่ธรรมเป็นใหญ่ ธรรมมันเกิดขึ้นมา มันเอาเราไว้ในอำนาจของเรา เห็นไหม ถ้าธรรมเกิดขึ้นมา ความคิดต่าง ๆ อยู่ในอำนาจของเรา แค่อยู่ในอำนาจของเราชั่วคราวนะ แล้วถ้าเกิดว่าย้อนไปวิปัสสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ตรงนี้ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกสุภัททะนะ “ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” ถ้าไม่มีการวิปัสสนา ไม่มีการใช้ปัญญา ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา ผลไม่มี ปัญญาที่เกิดขึ้นมานี่ ปัญญาเกิดจากตัวตนของเรา ปัญญาอันนี้เป็นโลกียปัญญา เป็นวิชาชีพ เป็นปัญญาของกิเลส กิเลสเอามาพาใช้ไง จะศึกษามาขนาดไหน จะประสบการณ์โลกมาขนาดไหน

ดูสิ ดูเวลาพ่อแม่ของพระรัฐบาล เห็นไหม เป็นพ่อเป็นแม่นะ เป็นผู้ที่หาสมบัติมามหาศาลขนาดนี้ ปัญญาขนาดไหน มีปัญญาขนาดนี้ถึงได้หาสมบัติสิ่งนี้มาได้ไง แล้วเวลาลูกขึ้นมาปฏิเสธสิ่งนั้น แต่ลูกเอาทรัพย์จากภายใน เห็นไหม นี่อภิชาตบุตร ! บุตรเกิดมาแล้วดีกว่าพ่อดีกว่าแม่ ถ้าบุตรเกิดมาแล้วดีกว่าพ่อดีกว่าแม่ ทำยังไงให้พ่อแม่เข้าใจ สนใจเรื่องของความรู้สึก เพราะความรู้สึกมันพาเกิดพาตายนะ

เรื่องของร่างกาย ดูสิ ดูหุ่นยนต์สิ ปัจจุบันนี้เขาผลิตหุ่นยนต์มา ในโรงงานอุตสาหกรรม หุ่นยนต์มันทำงานดีกว่ามนุษย์อีกนะ มันทำงานของมันตลอดเวลาเลย แล้วมันไม่บกพร่องด้วย มนุษย์เรายังมีการเหนื่อยหน่าย ยังมีการบกพร่อง เห็นไหม นี่เหมือนกัน ร่างกายมันก็เหมือนหุ่นยนต์นี่ ถ้าไม่มีหัวใจอยู่ แต่ถ้ามันมีหัวใจอยู่ ความรู้สึกอยู่มันยังมีโอกาสอยู่นะ ชีวิตนี่สำคัญมาก สำคัญตรงที่ความรู้สึก สำคัญตรงหัวใจที่มันยังแก้ไขอยู่นี่ คนเราตายแล้วหมดโอกาส

ดูสิ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานึกถึงคุณของอาฬารดาบส เพราะเคยไปศึกษาเล่าเรียน อาฬารดาบสบอกว่า “เจ้าชายสิทธัตถะนี่ได้สมาบัติเหมือนเรา มีความรู้เหมือนเรา ให้สั่งสอนได้” เห็นไหม ให้สั่งสอนได้ แต่เจ้าชายสิทธัตถะบอก “ไม่ใช่ แค่ความสงบชั่วคราว”

พอมาวิปัสสนาจนถึงที่สุด ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะสอนใครก่อน สอนคนที่มีคุณก่อน เห็นไหม กำหนดถึงอาฬารดาบส น่าเสียดาย ตายไปเมื่อวานนี้ น่าเสียดายมาก ตายไปเมื่อวานนี้ มันน่าเสียดายมาก ชีวิตเราเหมือนกัน ถ้าเราตายไปแล้วนี่มันน่าเสียดายไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “น่าเสียดาย เพิ่งตายไปเมื่อวานนี้”

แล้วเราชีวิตยังอยู่อย่างนี้ แล้วเราทำไมปล่อยชีวิตเราให้มันผ่านพ้นไปวัน ๆ หนึ่ง ผัดวันประกันพรุ่ง เห็นไหม นี่กิเลสง่าย ๆ เหล่านี้ เมื่อนั้น ๆ ๆ ๆ ผัดเราไปวัน ๆ ๆ หนึ่ง แล้วก็ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงเวลา ให้มันแก่เฒ่าก่อน...แก่เฒ่าก่อน มันก็เหมือนรถชราคร่ำคร่าแล้วเอามาอุดมาซ่อมหรือ เวลารถใหม่ ๆ ทำไมมันไม่เหยียบเครื่องไป รถใหม่ ๆ ทำไมมันไม่กระทำ เวลาเรามีโอกาสอยู่นี่ เวลานั่งขึ้นมาแล้วนี่ มันเป็นไปได้ รอให้มันเก่าก่อน รอให้มันชราคร่ำคร่าก่อน ทุกอย่างต้องซ่อมบำรุงก่อนแล้วก็มาภาวนากัน นั้นมันเป็นความเห็นของประเพณีวัฒนธรรม

แต่เดี๋ยวนี้ในปัจจุบันนี้เท่ากับศาสนามันเจริญขึ้นมา จะหนุ่มจะสาวจะนักปัญญาชนขนาดไหน เขาสนใจนะ เขาสนใจสิ่งที่พิสูจน์ได้ พิสูจน์ได้จริง ๆ เพราะมีครูบาอาจารย์พาให้พิสูจน์ ดูสิ ดูอย่างชาวยุโรปเขามาบวช มาศึกษากัน เขาก็พิสูจน์ของเขา เพราะเขาพิสูจน์ทางโลกมาหมดแล้ว ทางโลกพิสูจน์แล้วมันแก้ไขอะไรไม่ได้ จะพิสูจน์ทางธรรม แล้วทางธรรมอยู่ไหนล่ะ ? ทางธรรมอยู่ไหน ทางธรรมอยู่ในตู้พระไตรปิฎกหรือ ? ทางธรรมอยู่ที่วัดหรือ ? ทางธรรมอยู่ที่โบสถ์วิหารหรือ ? ไม่ใช่ ! ทางธรรมอยู่ที่กลางหัวอกเรานี่ หัวใจเรานี่ ทางธรรมนี่ นั่งสมาธิอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่น เห็นไหม

รุกขมูล เสนาสนัง เวลาบวชแล้วไปอยู่โคนไม้อยู่โคนเขา ศาสนวัตถุนี่เกิดขึ้นมาเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก่อนนะ นางวิสาขาเป็นผู้สร้างวัดให้ เห็นไหม อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้ที่สร้างอารามให้ภิกษุเป็นที่อาศัยเท่านั้นเอง มันเป็นที่อาศัยของร่างกายนี่ ศาสนามันอยู่ที่กลางหัวใจนี่ ถ้ากลางหัวใจนี่ เราปฏิบัติของเราขึ้นมา มันรู้สึกที่นี่ แล้วพิสูจน์กันที่นี่ แล้วเขาพิสูจน์กัน เห็นไหม สำคัญตรงนี้ สำคัญตรงยังมีชีวิตอยู่นี่ ยังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เรายังคุยกันรู้เรื่อง เรายังพูดจากันรู้เรื่อง เรายังส่งความรู้สึกถึงกัน

ตายไปแล้วทำบุญกุศลอุทิศส่วนกุศลไป ถ้ามันเป็นความจริงก็เป็นความจริง มันเป็นความจริงอุทิศได้ แต่มันตกที่ไหนล่ะ เราส่งของถึงกัน ถ้าเขาดำน้ำอยู่ล่ะ เขาอยู่ใต้พื้น เขาอยู่ในที่ติดต่อไม่ได้ล่ะ เรายังไม่รู้อนาคตนะ อดีตอนาคตแก้กิเลสไม่ได้ ปัจจุบันนี้เท่านั้น แล้วปัจจุบันนี้ยังมีความรู้สึกอยู่ เห็นไหม ธรรมะสำคัญตรงนี้ ธรรมไง ธรรม ๆ คำว่าธรรม ๆ ธรรมะธรรมชาติ ธรรมชาติกับเราคนละเรื่องกันนะ เราอยู่ในธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ความรู้สึกอยู่กับเรา ทุกข์สุขอยู่กับเรา

เวลามรรคญาณเกิดขึ้นมาในหัวใจเรา เวลาธรรมจักรมันเคลื่อน ปัญญามันเคลื่อน ภาวนามยปัญญามันเคลื่อนมา สมบัติของเรานะ ดูสิ ดูอย่างเทคโนโลยีนี่ เขาขายกันได้ เขาส่งต่อกันได้ แต่ภาวนามยปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องทำเอง “ความบริสุทธิ์ของพวกเธอ พวกเธอต้องทำกันเองหมดนะ เราตถาคตชี้เท่านั้นเอง บอกทางเท่านั้นเอง”

ไม่มีขาย ไม่มีหามาจากไหน เกิดจากความรู้สึกทุกข์ ๆ ยาก ๆ นี่ แล้วมันเปลี่ยนแปลงตัวของมันเอง มันปรับปรุงมัน วุฒิภาวะมันพัฒนาของมันขึ้นมา จนมันสงบของมันได้ จนมันเข้าใจมีผู้ชี้นำจนมันเกิดวิปัสสนาญาณได้ ธรรมจักรมันเคลื่อนในหัวใจนี้ได้

มันต้องเคลื่อนได้สิ ถ้าเคลื่อนไม่ได้ ทำไมพระโมคคัลลานะเวลาเห็นเปรตเห็นผี ออกมา เราเคยเห็น แต่ไม่มีพยานเราไม่พูด แต่ในเมื่อมีพยานแล้วนี่พูด นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระสงฆ์ขึ้นมาองค์แรก นี่มีพยานขึ้นมาแล้ว “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” มีผู้รู้ ผู้รู้ที่ ๒ ผู้รู้ที่ ๓ มันทดสอบได้ มันเป็นการทดสอบตรวจสอบกันได้ มันไม่ใช่มีใครคนใดคนหนึ่งมานั่งอ้าปากโม้อยู่คนเดียว แล้วไม่ตรวจสอบ ไม่ได้หรอก

ครูบาอาจารย์เป็นผู้ที่มีความรู้จริง มันตรวจสอบกันได้ มันคุยกันได้ มันคุยกันได้ ตรวจสอบได้ มันก็มีจริงในหัวใจเรานี่ แล้วปัจจุบันนี้มีคนตรวจสอบและทดสอบได้ในหัวใจเรา เราก็มีของเราได้ แล้วทำไมเราไม่พิสูจน์ ทำไมเราไม่ค้นคว้าของเรา เห็นไหม

ธรรมะอันนี้สำคัญ ความรู้สึก ธรรมะเกิดจากความเจริญของธรรม เจริญในหัวใจของครูบาอาจารย์เราก่อน ธรรมะคือธรรมแท้ ๆ ธรรมที่มีชีวิต ธรรมที่ดิ้นได้ ไม่ใช่ธรรมที่ตายแล้วนะ พระไตรปิฎกนี่ธรรมที่ตายแล้ว มันดิ้นไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่ธรรมในหัวใจของครูบาอาจารย์นี่ดิ้นได้ พูดได้ สื่อสารได้ แล้วในปัจจุบันนี้ชี้นำเราได้ แล้วเรามีโอกาสอย่างนี้ ทำไมเราไม่ค้นคว้า ทำไมเราไม่ศึกษา ทำไมเราไม่กระทำกัน นี่เป็นธรรมประสาเรานะ

แต่โลกเขาว่ากัน ก็ทำบุญแล้วอยากจะร่ำอยากจะรวย อยากจะมีสมบัติ ดูสิ พระรัฐบาลบอกพ่อแม่ให้ดัมพ์ลงแม่น้ำไปเลย เอาไว้เป็นภาระ เอาไว้แบกหาม เอาไว้เหนื่อยหน่าย แต่ธรรมในหัวใจไม่เป็นภาระ ไม่ต้องเก็บ ไม่ต้องรักษา มันเป็นอริยทรัพย์ มันทรัพย์ภายใน มันเป็นของเรา แล้วมันอยู่กับเราตลอดไป ถ้ามันตายก็ตายไปพร้อมกับเรา เห็นไหม

เวลาคนที่ผู้ปฏิบัติแล้ว โสดาบันตายก็รู้ขั้นโสดาบันตาย อีก ๗ ชาติ สกิทา อนาคา ตาย ไปเกิดเป็นพรหม พระอรหันต์ตาย ตายแล้วก็เกิดไหม ? ไม่เกิด เพราะมันไม่สงสัยตั้งแต่วันตรัสรู้ธรรม ถ้ายังสงสัยอยู่ ยังตายยังเกิดอยู่ ไม่ใช่พระอรหันต์หรอก ไม่มีการตาย ตายเป็นสมมุติ ตายหลอกกัน แต่จิตไม่เคยตาย จิตนี้อยู่กับเราตลอดไป แล้วคงที่ สุขคงที่ สุขแบบวิมุตติอยู่ที่ไหน อยู่ในหัวใจของเรานี่ เอวัง