เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ส.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราอยู่กับโลก เราอยู่กับโลกนะ เกิดมานี่ในโลก เรามาเกิดชีวิตนี้มีคุณค่ามากเลย ถ้าไม่มีคุณค่าเกิดมา เห็นไหม เราเกิดมาพบพุทธศาสนา เป็นการอวยพรของเทวดาเขา เทวดาเขาจะหมดอายุขัยของเขา เขาบอกว่าขอให้เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนาเถิด การทำบุญกุศลได้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เพราะเทวดา อินทร์ พรหมเขารู้ได้แค่นี้ แล้วเราได้ชาติของมนุษย์มา สิ่งที่เป็นมนุษย์สำคัญมากเลย แต่เวลาสิ่งที่เป็นมนุษย์ นี่เรื่องของโลกๆ ไง

สิ่งที่เป็นมนุษย์ มนุษย์นี่เป็นสมมุติ เห็นไหม ถ้าเป็นสมมุติ เพราะอะไร? เพราะเราเกิดมามีโอกาส ชีวิตหนึ่งเราได้สร้างคุณงามความดี เราจะสร้างกุศลหรือบาปอกุศล จิตนี้เป็นคนสร้างนะ สิ่งที่เป็นความคิด ความนึก อาหารเราจะตักใส่ปากเราต้องคิดเอานะ แม้แต่เวลาทำจนเคยชินก็เป็นสัญชาตญาณ สิ่งที่เป็นสัญชาตญาณมันเกิดมาจากไหน? มันเกิดมาจากจิตทั้งหมดแหละ เพราะมันมีตัวจิตมันถึงเกิดการกระทำออกไป

ถ้าไม่มีตัวจิตความคิดมันเกิดมาจากไหน? ถ้าไม่มีพลังงาน ดูสิอย่างแบตเตอรี่ต่างๆ เขาเก็บพลังงานไว้ มันต้องมีฐานที่เก็บพลังงานนั้น พลังงานนั้นถึงออกไปได้ ความคิดไม่มีฐานที่ตั้งมันออกไปไม่ได้หรอก ความคิดนี่ ความคิด ความเกิดดับ ถ้าไม่มีที่เกิดดับมันจะไปเกิดดับที่ไหน? ความรู้สึกเกิดดับมันเกิดดับที่ไหน? มันก็เกิดดับที่ใจ แล้วใจอยู่ไหน? ใจอยู่ไหน? ถ้าใจอยู่ไหนนี่เรื่องของธรรมแล้ว

โลก เราเกิดมาโดยโลกๆ นะ โลกนี่ความเป็นอยู่ ความทำมาหากิน ความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ นี่มันเรื่องของการทำมานะ เราเกิดในประเทศอันสมควร ในมงคลชีวิตเกิดในประเทศอันสมควร ๒ อย่างนะ หนึ่งเกิดในประเทศที่เป็นฤดูกาล ดูสิข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์นะ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวที่อื่นเขาไม่มีกันนะ แต่เรามี มีกันจนเคยชิน มีกันจนแบบว่าประมาทเลินเล่อ มีกันจนไม่รู้จักคุณประโยชน์ของมัน ทำลายมันกันเอง แล้วก็จะมาฟื้นฟูมัน

นี่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เกิดในประเทศอันสมควร แล้วเกิดในประเทศพ่อแม่อันสมควรอีก พ่อแม่ที่มีคุณธรรมในหัวใจ พ่อแม่เป็นแดนเกิดนะ พระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา แต่พ่อแม่ที่ดีก็พาเราไปในทางที่ถูกต้อง พ่อแม่ที่เขาทำกันประสาโลกๆ เขา พ่อแม่ก็คือพระอรหันต์ พ่อแม่จะดีหรือไม่ดีก็คือพ่อแม่ของเรา เราเกิดมานี่กรรมมันเป็นแดนเกิด มนุษย์เกิดในสภาวะแบบนี้ แต่เรื่องของใจ เรื่องของธรรม เห็นไหม ธรรมนี่เวลาภาวนาเข้าไป จิตสงบเข้าไปแล้วไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

ถ้ามันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่เขา แล้วมันคืออะไรล่ะ? มันก็คือตัวจิตไง ตัวจิตทำอย่างไร? ทำอย่างไรเข้าไป ทำถึงที่สุดนะ ถึงที่สุดไม่มีสิ่งใดเลย ถ้าไม่มีสิ่งใดเลยแล้วมันอยู่กับอะไรล่ะ? นั่นคือธรรมแท้ๆ ไง เห็นไหม สภาวธรรมมันข้ามพ้นภาษา ข้ามพ้นทุกอย่าง ภาษาใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์เทศนาเทวดา อินทร์ พรหม เขาพูดภาษาอะไร?

ดูสิโลกสมมุติเรานี่ ภาษาเรายังแตกต่างหลายหลากภาษาเลย แล้วภาษาความรู้สึก ภาษาใจ ภาษาใจ เห็นไหม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วสื่อกันอย่างไร? สื่อกันด้วยความรู้สึก สื่อกันด้วยหัวใจนี่ไง ต้องการสิ่งใด หัวใจมันจะสื่อกันมาสภาวะแบบนั้น นี่สภาวะแบบนี้ นี่สภาวธรรม ถ้าสภาวธรรมมันเหนือสมมุติ เหนือทุกๆ อย่าง สมมุติบัญญัติ บัญญัตินี่เป็นทางก้าวดำเนินนะ ทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยให้เราก้าวเดิน ธรรมและวินัยนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมานะ สิ่งที่มีอยู่แล้ว ดูสิดูทางวิทยาศาสตร์ ของที่เขาคิดค้นขึ้นมาได้แล้วเขาใช้ประโยชน์ทั้งนั้นเลย แล้วมันมีอยู่ไหมล่ะ? มันมีอยู่ แต่คนยังคิดค้นหรือเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ ธรรมก็มีอยู่แล้ว ธรรมมีแล้ว ความรู้สึกเพราะอะไร? เพราะสิ่งที่มันมีมืดต้องมีสว่าง มีสุขต้องมีทุกข์ ความมีทุกข์ต้องมีสุข ของคู่ตลอด มีการเกิดก็ต้องมีการไม่เกิด แต่การไม่เกิดนี่ใครแสวงหาได้ล่ะ? เพราะมันเชื่อไม่ได้เลย

โลกเขาเชื่อกันไม่ได้นะ มันตายแล้วก็สูญ ตายแล้วก็ไม่มี แล้วไม่มีนี่มันนั่งอยู่อะไร? ถ้าไม่มีต้องไม่มีทุกข์สิ เวลาทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ก็ไม่มีสิ เวลาสิ่งที่ขัดข้องในหัวใจบอกไม่มี ปฏิเสธมันไปเลย นี่สิ่งนี้ไม่มี อะไรก็ไม่มี ปฏิเสธมันได้ไหมล่ะ? ปฏิเสธมันไม่ได้หรอก แต่เวลาสุขอยากจะเอามันไว้กับเรา มันไม่อยู่หรอก อยู่ชั่วคราว เห็นไหม ชั่วคราวเท่านั้นแหละ เพราะเกิดจากอามิส เกิดจากการกระทำ เกิดจากความพอใจ

ดูสิเรามีลูกมีเต้า เราจะโอ๋ เราจะดูแลอย่างดีเลย แต่ลูกมันก็ขัดข้องหมองใจของมัน นี่เราให้ขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้ามันเป็นความขัดข้อง ขัดแย้งในใจของเขา ของเขานะ ของเขานี่คือจริตนิสัย คือจริตนิสัย คืออำนาจวาสนา คือบุญกุศลที่สร้างมาไง ถ้าบุญเราสร้างมาดีนะ สิ่งที่เราสร้างมาดี นี่พ่อแม่จะขนาดไหน? อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อแม่ ดีกว่าพ่อแม่อีก เปิดหูเปิดตาพ่อแม่ ให้พ่อแม่เปิดตาใจนะ นี่เปิดตา

เราเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ หมอหยอดตา หมอผ่าตา หมอเปลี่ยนเลนส์ตา ไอ้เลนส์ตานี่หมอที่ไหนก็ทำได้ แต่เวลาเปิดตาใจ เห็นไหม เปิดตาใจเราต้องเปิดเองนะ เพราะมันอยู่ในหัวใจของเราใช่ไหม? ถ้าเราพอใจขึ้นมา เรามีความฉุกคิด เรามีความเปลี่ยนแปลงของใจของเรา เปลี่ยนโปรแกรมของใจ ความรู้สึกของเราจะเปลี่ยนแปลงเลย เราเคยคิดอย่างนี้ เราเคยทำอย่างนี้ด้วยความถูกต้องของเรา

มรรคหยาบๆ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียดนะ นี่มาทำบุญกุศล อู๋ย ทำแสนยากเลย มาก็แสนไกล อู๋ย อุตส่าห์ทำมา บุญกุศลว่าเป็นบุญกุศล นี่ทานไง แล้วทานขึ้นมาแล้ว เวลาจะแก้กิเลสแก้ที่ไหนล่ะ? ก็ต้องกลับมานั่งสมาธิ ต้องทำสมาธิเข้ามา ต้องทำความสงบของใจเข้ามา แล้วเกิดปัญญา ปัญญาเกิดจากไหน? ปัญญาๆ ว่ากันอย่าให้กิเลสมันหลอกนะ กิเลสมันหลอกว่าเราใช้ปัญญา ปัญญาโกงเขานะ โกงเขาด้วย โกงตัวเองด้วย โกงทุกอย่างเลย โกงโอกาสของตัวเองไง

นี่เรามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เรายังไม่ตายนะ เรามีความรู้สึกนะ ความรู้สึกนี้มันเปลี่ยนแปลงได้ เห็นไหม นี่เราคิดถูกเดี๋ยวนี้ เราคิดเดี๋ยวนี้นะ แต่ถ้าลมหายใจขาดไปแล้ว ความรู้สึกไม่มีแล้ว นี่มันหมดโอกาสไง โกงตัวเองโกงตัวเองอย่างนี้ไง โกงตัวเองผัดวันประกันพรุ่งไง โกงตัวเองโดยไม่ฉุกคิดไง โกงตัวเอง ไม่รู้จักตัวเองว่าตัวเองคืออะไร? ตัวเองควรจะทำอย่างไร? ใจมันควรจะพัฒนาอย่างไร?

ไอ้ความคิดนี่มันความหยาบๆ ความหยาบๆ คือความดีหยาบๆ ไง ความดีหยาบๆ ความดีอย่างละเอียดที่ดีกว่านี้ยังมีกว่านี้อีกนะ ความดีที่ไม่ต้องใช้มือกระทำ ความดีที่ไม่ต้องใช้การกระทำจากภายนอก ความดีจากหัวใจที่มันพัฒนาของมันเข้ามา ความดีอย่างนี้ นี่แล้วเทวดา อินทร์ พรหมรู้นะ คนดีผีคุ้ม เห็นไหม เวลาจิตสงบขึ้นมา เทวดา อินทร์ พรหมจะเข้าใจสภาวะแบบนี้เลย เพราะอะไร? เพราะมนุษย์ นี่ความคิดของเรา เวลามันมีความคิด มันมีความกระทบรุนแรงขึ้นมา มันจะทำให้ร่างกายสูบฉีดเลือดแรงมาก มันจะขับสารต่างๆ ออกมา แล้วมันเป็นเหงื่อเป็นไคล มันเป็นกลิ่นคาว มนุษย์นี่มันคาว มันเหม็นนะ มันเหม็นจริงๆ

นี่ถ้าเวลาจิตของผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม มันฟอกกายอย่างนี้ ฟอกให้มันสะอาด ใจสะอาดมันก็จะฟอกให้กายสะอาด พอใจสะอาดขึ้นมามันไม่กลิ่น พอไม่มีกลิ่น นี่เทวดารับฟังตรงนี้ไง แต่ถ้าเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่มีใครเข้าใกล้หรอก เทวดายิ่งไม่เข้าใกล้เลย เพราะมันเรื่องของหยาบๆ เหมือนอาหารเลย อาหารที่มีคุณภาพ อาหารที่มีประโยชน์เราจะชอบมากเลย อาหารไหนที่มันไม่มีคุณภาพ เราจะไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายมันเห็นด้วยตาไง แต่สิ่งที่เป็นทิพย์มันเห็นด้วยอะไรล่ะ? เห็นด้วยความรู้สึกนะ เวลารูปพรหม พรหมที่ไม่มีรูปเป็นอย่างไร? มันไม่มีเลย จับต้องไม่ได้หรือ? จับต้องได้สิ เป็นรูปพรหมแต่มันมี มีความรู้สึกอันนี้ไง มีความรู้สึกนี้เป็นอรูปพรหม พรหมในหัวใจ ดูสิที่ว่าความละเอียด ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา สิ่งที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันเป็นสากล มันเป็นความยอมรับของวัฏฏะ

สิ่งที่เป็นวัฏฏะ เห็นไหม นี่จับต้องได้เพราะมีหัวใจ สัมมาสมาธิ จิตสงบมีความสุขมาก สุขมาก เวลาถ้าตายในสมาธิ ก่อนสมาธิตาย นี่รูปพรหม อรูปพรหม สิ่งนี้ไปเกิดในสภาวะนั้น แต่ถ้าบุญกุศลล่ะ? บุญกุศลเกิดในกามภพ เกิดตั้งแต่เทวดาลงมา สิ่งที่เป็นเทวดา แล้วเกิดในมนุษย์ล่ะ? แล้วเราไม่ไปอีก เราเกิดนี่ อยากตายในมนุษย์ เกิดจากมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เพื่อสืบต่อคุณงามความดีไง

ถ้าเราทำถึงที่สุด เห็นไหม อย่างครูบาอาจารย์เวลาประพฤติปฏิบัติต้องการเวลามาก เวลาถ้ายังไม่สิ้นสุดมันต้องเกิดต้องตายอีก อยากให้ถึงไม่ต้องเกิดต้องตายอีก ไปนอนในครรภ์นะ ยังต้องไปเกิดต้องไปตาย เวลาเกิดตายขึ้นมามันเป็นสภาวะหนึ่ง ดูสิเราเป็นเด็กอ่อนขึ้นมา นี่ผิวอ่อนๆ ร่างกายอ่อนทั้งนั้นแหละ เวลามันแก่เฒ่าขึ้นมาล่ะ? แล้วก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ แล้วกี่ร้อยกี่พันหนล่ะ? เราก็ไม่รู้นะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเราเกิดมาตาย นั่งบนกองกระดูกนะ ตายบนกองกระดูกนะ สิ่งที่เป็นคมแข็ง นี่เรามานั่งอยู่นี่ซากศพของเราเองนะนี่ เพราะซากศพเวลามันย่อยสลายไปก็เป็นดินไง สิ่งที่เป็นดินมันเป็นธาตุ ๔ แล้วเราก็มานั่งทับมันอยู่นี่ แล้วเราก็ว่าสิ่งนี้เราเกิดขึ้นมาอีก แล้วเวลาเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ มันก็เอาดิน น้ำ ลม ไฟมากวนๆ ให้มันเป็นมนุษย์สิ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีจิตปฏิสนธิ มันต้องมีสิ่งที่มีชีวิตคือไข่ไง คือไข่ คือสเปิร์มพ่อแม่ สายบุญสายกรรมมันเกิดตรงนี้ พอเกิดตรงนี้มันก็อาลัยอาวรณ์

ลูกของเรา เป็นของเราๆ ก็ยึด ยึดไปหมดเลย แล้วเรายังยึดไม่ได้เลย ความรู้สึกยังยึดไม่ได้เลย ความรู้สึกเรายังเปลี่ยนแปลงเลย ความรู้สึกเรายังดีขึ้นเลย ถ้ามันดีขึ้นมา เห็นไหม นี่ธรรม สภาวธรรมมันเกิดอย่างนี้ไง โลกกับธรรมนะ เราอยู่ด้วยกัน เรื่องของร่างกายเป็นเรื่องของโลกๆ เราต้องพึ่งพาอาศัยกันนะ เรามีน้ำใจต่อกัน เราพึ่งพาอาศัยกัน เราดูแลกัน นี่ดูแลกันเรื่องของร่างกาย ความเป็นอยู่ให้มันสุขขึ้นมา แล้วหัวใจจะดูแลกันอย่างไร? จะปลอบประโลมขนาดไหนมันก็ดิ้นรน มันก็ดิ้นเร้า จะพูดขนาดไหนมันก็ไม่เห็นด้วย ทิฏฐิมานะมันล้นฟ้า แล้วมันก็เหยียบหัวด้วย

คนที่ไปวัดไปวา คนที่ปล่อยวาง คนนั้นไม่ใช่คนฉลาดเลย นี่ไม่ใช่คนฉลาดเลย ฉลาดในธรรมแต่โง่ในโลกก็ให้มันโง่ไปเถอะ เพราะโง่ในโลก เราหาเวลาของเรา เพื่อมาแสวงหาคุณประโยชน์ของเราจากภายใน ตาเขาหยาบๆ มรรคเขาหยาบๆ มรรคเขาไม่รู้จักอะไรเลยไง นี่แสวงหา เสียเวลามาก ต้องทำมาหากิน ต้องอยู่กับโลกเขาอย่างนั้น ไปไม่ได้เลย ไปไม่ได้มันก็จมปลักอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง จมอยู่ในขี้ไง ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง แล้วเราจะขึ้นจากขี้ เราจะขึ้นมาสละโดยตัวเราเอง แล้วเวลาขี้เราจะสละอย่างไรล่ะ? เวลาขึ้นมา ความฝังใจมันจะสละอย่างไร?

มันก็ต้องตั้งสติ มันต้องตั้งสติแล้วเราพยายามของเราขึ้นมา พยายามของเรา เราต้องชำระล้างเองนะ นี่เวลาทางโลกเขามีการบริการ เขาทำให้เราสะอาดได้หมดเลย แต่ใจเราเราต้องทำของเราเอง เราก็ต้องพยายามรักษา พยายามรักษาศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องของคฤหัสถ์ก็ทาน ศีล ภาวนา นี่เราเป็นภิกษุ เป็นนักรบ เห็นไหม เราไม่ต้องไปห่วง มีก็ทำ ไม่มีก็อนุโมทนาไปกับเขา แล้วเราพยายามทำจิตของเราให้สงบขึ้นมา สิ่งนี้เทวดาสาธุการนะ พอจิตสงบขึ้นมา ดูสิจิตสงบ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส มันสว่าง มันไสว มันสว่างอย่างไร? มันอยู่ในจิตของเราอย่างไร? ความสุขนี้หาขึ้นมาได้อย่างไร?

นี่ก็หาความสุขจากข้างนอก หาความสุขจากสิ่งที่เป็นอามิส เราหาความสุขจากหัวใจของเรา มันมีเชื้ออยู่ มันมีหัวใจอยู่ หัวใจ ความรู้สึกอันนี้ นี่ใจ เห็นไหม มันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา นาย ก. นาย ข. นี่สมมุติตั้งขึ้นมาในทะเบียนบ้าน แล้วเวลาเปลี่ยนชื่อมันก็เปลี่ยน แล้วนาย ก. นาย ข. นี่มันเป็นสมมุตินะ แล้วความรู้สึกมันเป็นสมมุติไหมล่ะ? สมมุติความรู้สึกเหมือนกัน ทุกข์ มองหน้ากันสิ มองตากัน ทุกข์ก็ทุกข์เหมือนกัน เวลาสุข อู๋ย สุขมาก ซึ้งใจมาก ตาสบตามันมีความสุข ภาษานี้มันภาษาใจ

นี่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันเป็นภวาสวะนะ มันเป็นตัวภพนะ แล้วปัญญาจะวิปัสสนาเข้าไปอีก แล้ววิปัสสนาจนกว่าจะทำลายจนถึงที่สุดนะ ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม นี่กายกับใจ นี่เราเป็นคนมีอำนาจวาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์ ว่ามันจะทุกข์มันจะยากแค่ไหนก็เกิดแล้ว แล้วเกิดมานี่เป็นอริยทรัพย์ เกิดมาแล้วพบพุทธศาสนา แล้วพุทธศาสนาทำให้เราเข้าถึงทรัพย์จากภายใน

ทรัพย์จากภายในนะ แต่อย่าให้เขาอ้างกัน ถ้าเป็นทรัพย์จากภายในที่จับต้องไม่ได้ก็ว่ากันไป นี่สิ่งนั้นเป็นการอ้อนวอนนะ เป็นเจ้า เป็นต่างๆ พูดถึงสิ่งต่างๆ นั้นมันเป็นเรื่องอภิญญา เรื่องของความเป็นไปของจิต เดี๋ยวนี้โลกเขาเจริญแล้ว เทคโนโลยีเขาเจริญมาก เหาะเหินเดินฟ้าได้ทั้งนั้นเลย คนก็เหาะได้ เครื่องบินก็เหาะได้ หูทิพย์ ตาทิพย์ โทรศัพท์คุยกันได้หมดเลย อย่าไปตื่นเต้นกับมัน ตื่นเต้นกับทุกข์กับสุขนี่แหละ ตื่นเต้นกับอริยสัจในหัวใจนี่ ถึงที่สุดแล้วนะเราจะเห็นสมบัติของเรา

ทรัพย์จากภายในนี้ประเสริฐมาก แต่ต้องมีคนที่มีความละเอียดอ่อน คำว่าละเอียดอ่อนมันจะค้นเข้ามา แล้วต้องทนแรงเสียดสีของโลก โลกเขาจะดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ธรรมจะส่งเสริม ธรรมจะเชิดชู แต่โลกเขาเหยียดหยามนะ เหยียดหยามเพราะกิเลสมันต้องการเป็นพวกมัน มันต้องการเอาไว้ในอำนาจของมาร แล้วธรรมของเรา ดึงของเราขึ้นมา สิ่งนี้เราต้องมีกำลังใจ แล้วเราต้องปลุกปลอบใจเราขึ้นมา เราจะมีจุดยืนในสังคม เราจะไม่เป็นเหยื่อของโลก เอวัง