เทศน์บนศาลา

คนหลงโลก

๒๘ พ.ค. ๒๕๔๔

 

คนหลงโลก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

รักษาโลก ธรรมะเป็นความสว่างกระจ่างแจ้งนะ กิเลสทำให้หลงใหล ความลุ่มหลงไง คนหลงโลก กิเลสมันพาหลง คนหลงโลก หลงไปไม่มีที่สิ้นสุด กิเลสมันพาหลง เกิดขึ้นมานะ กิเลสพาเกิด กิเลสพาเกิดในวัฏวน ใน ๓ โลกธาตุนี้ กิเลสพาลุ่มหลง หลงไปในวัฏวน หลงไปตลอด เพราะความหลงของกิเลส มันถึงทำให้จิตนั้นเวียนไปเวียนเกิดในวัฏฏะนั้น แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม ความอวิชชา ความเป็นกิเลสนั้นก็ทำให้หลง เราหลงไปในชีวิตไง คนหลงโลก หลงไปในชีวิต ชีวิตนี้เกิดมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรม

“กรรมเป็นการกระทำของสัตว์โลก กรรมเท่านั้นพาให้สัตว์เกิดในสิ่งที่ดีและชั่ว”

สิ่งที่ดี เห็นไหม สิ่งที่ดีได้เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะเป็นมนุษย์สมบัติแล้ว มนุษย์สมบัตินี้ถึงได้มาทำคุณงามความดี เพราะคุณงามความดีนี้ใครเป็นคนพูด ถ้ากิเลสพาพูดนี่ เพราะกิเลสมันพาบอกว่าสิ่งนั้นเป็นความดี สิ่งนี้เป็นความดี ความดีของกิเลสมันพาให้เราหลงไปในความดีของเขาไง

หลงในชีวิต ชีวิตเกิดมานี้ มีชีวิตเกิดมา ชีวิตเพื่ออะไร? ชีวิตเกิดมานี้เพราะกรรมพาให้เกิดมา ชีวิตนี้เกิดมาเพราะชีวิตนี้คือไออุ่น ชีวิตนี้คือว่ามันมีมาโดยกรรม คุณงามความดีสร้างสมมาให้เกิดมาชีวิตนี้ เราก็หลงในชีวิตนี้ ใช้ชีวิตนี้ เห็นไหม ใช้ชีวิตนี้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์นะ

ถ้าไม่มาศึกษาหลักธรรมแล้ว ชีวิตนี้หมดไปเปล่าประโยชน์ เพราะมันต้องเวียนไปตามธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของวัฏฏะนี้วนไปโดยธรรมชาติของมันที่เวียนไปโดยหลักการของวัฏวน วนไปโดยธรรมชาติของวัฏฏะนั้น แล้วมันก็วนไป จิตนี้ไม่เคยดับ ไม่เคยตาย ก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดตามประสาหลักว่ามันหลงไปในวัฏวนนั้น

แต่คุณงามความดี กรรมดีและกรรมชั่ว เห็นไหม กรรมดีและกรรมชั่ว เกิดดีและเกิดชั่วไง เกิดดี เกิดเป็นสวรรค์ เกิดในพรหม เกิดเป็นมนุษย์สมบัติ เกิดชั่ว เกิดในนรก เกิดในอเวจี เกิดในที่ทุกข์ที่ยาก “ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด” ชีวิตนี้มีการดับไปเป็นธรรมดา ชีวิตนี้มีการพลัดพราก มีการดับสูญไปโดยธรรมชาติของมัน ชีวิตนี้ต้องเป็นแบบนั้น แล้วเราหลงไปในชีวิตนี้เพื่ออะไร เราเกิดมานี่อะไรพาเกิดมา? มันย้อนกลับมา คุณงามความดีพาเกิด บุญกุศลพาเกิด เกิดมาเป็นคนนี่มีศักยภาพมาก คนนี้ทำคุณงามความดี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำถึงที่สุดแห่งทุกข์นั้น เป็นครูสอนเทวดา สอนอินทร์ สอนพรหม สอนมนุษย์ สอนหมดเห็นไหม สอน ๓ โลกธาตุ ฟังสิ มนุษย์ คนคนหนึ่ง ทำกิเลสสิ้นไปจากจิตดวงนั้น ทำไมมองเห็นเรื่องของโลกนี้เป็นเรื่องทะลุปรุโปร่งไปทั้งหมดเลย ทะลุปรุโปร่งไปทั้ง ๓ โลกธาตุ สอนให้จิตนี้ทำลายถึงเชื้อภพเชื้อไขที่ว่าทำให้เกิดให้ตายไป นั่นน่ะ ชีวิตนี้มีคุณค่าขนาดนั้น ถ้าทำชีวิตนี้มีคุณค่า

แต่ชีวิตของเราไม่มีคุณค่า เพราะเราหลงใหลได้ปลื้มไง หลงไปในชีวิตนี่ ความเป็นอยู่ ความประกอบอาชีพนี้ นี่ความติดข้องของใจเป็นแบบนั้น ชีวิตต้องเป็นไปในความเป็นอยู่อย่างนั้นแล้วก็เผาผลาญชีวิตนี้ไปๆ วันคืนล่วงไปๆ ไง แล้วล่วงไปๆ เราได้อะไรขึ้นมา หลักของศาสนามันมีอะไรมาเป็นหลักของใจบ้าง

เวลาหลักของใจนี่มันว้าเหว่ไหม? มันว้าเหว่ มันเดือดร้อนในหัวใจนั้น หัวใจนี้มันเดือดร้อน มันไม่มีที่พึ่งไง มันไม่มีเครื่องอยู่อาศัย มันเร่าร้อนนะ ในหลักธรรมเตือนไว้ไง “โลกนี้เร่าร้อนมาก” แล้วเราเอาอะไรเป็นเครื่องอยู่อาศัย โลกนี้ หมู่สัตว์เป็นผู้เร่าร้อน แล้วเราก็อยู่ในวงของความเร่าร้อนนั้น เรามีอะไรเป็นที่พึ่ง?

ธรรมเป็นที่พึ่ง ธรรมอยู่ที่ไหน เราไม่รู้จักธรรม เพราะเราไม่เคยเห็นธรรม แล้วเราก็ไม่เข้าใจหลักธรรม ถ้าพูดถึงเรื่องของธรรมนี่ คนที่มีธรรมเขาจะพูดได้เรื่องของธรรม คนที่ไม่มีธรรมในหัวใจ พูดเรื่องของธรรม มันขัดหูนะ มันขัดหู ขัดความคิดของตัวเอง ทำไมมาขัดความคิดของตัวเอง มันทำให้เราเดือนร้อน มันคับแค้นข้องใจ นี่คนหลงไปในโลกเป็นอย่างนั้น

โลกนี้มันขับไสไป กิเลสขับไสไป สิ่งใดที่เป็นการสละออกไปจากเรา สิ่งใดเป็นคุณงามความดี มันจะขัดข้องใจว่าสิ่งนั้นเป็นการเสียประโยชน์ สิ่งนี้เราเป็นคนเสียเปรียบ เราจะเป็นคนได้เปรียบตลอดเวลา เราจะเป็นคนมักมาก เราเป็นคนอยากใหญ่ กิเลสนี้มันอยากใหญ่ มันอยากนั่งบนหัวคนไง

ความตระหนี่ถี่เหนียวของมันนะ ตระหนี่ถี่เหนียวในอารมณ์ ตระหนี่ถี่เหนียวในความคิดของตัว ความคิดของตัวเกิดขึ้นมาแล้วก็หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัว ย้ำคิดย้ำทำอยู่กับความคิดของตัวนั้น นี่มันตระหนี่ถี่เหนียวเพราะมันสละความคิดของตัวเองออกไม่ได้ สละความคิดของตัวเองไม่ได้ มันเป็นความหลงตน

ความหลงตนแล้วก็หลงติดทุกๆ อย่าง จิตนี้คือ อวิชชา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ความไม่รู้ของจิตนั้นทำให้จิตนี้ต้องเกิดต้องตายในวัฏวนไป มันไม่รู้ มันหลงใหลไปตลอด เพราะมันหลงตัวมันเองก่อน สิ่งที่หลงตัวมันเองแล้วมันก็ไม่รู้ มันก็เกิดตายๆ ก็ปฏิเสธการเกิดและการตายนั้น ปฏิเสธว่าไม่เคยเกิดไม่เคยตาย เกิดมาใช้ชีวิตนี้ ชีวิตนี้เป็นชีวิตของเรา เราต้องใช้ชีวิตนี้ของเราให้คุ้มค่า ให้มีความสุขที่สุดในชีวิตของเรา นี่คนหลงตัวเอง

หลงโลก หลงสงสาร หลงแม้แต่ชีวิต หลงไปทั้งหมดเลย แล้วก็หลงตัวเอง แล้วก็ปิดกั้นมิด ไม่มองเห็นตัวเอง พอไม่มองเห็นตัวเอง จิตนี้ไม่มีคุณค่า เราไม่ใช่เรา จิตนี้ไม่มีคุณค่า มันจะมองสิ่งข้างนอกเป็นที่พึ่งอาศัย เห็นไหม พอจิตไม่มีคุณค่ามันก็มองแต่สิ่งปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเรื่องของโลก ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยนี้หามาอยู่อาศัยกันเป็นเครื่องอาศัยให้ชีวิตนี้ดำรงไปเท่านั้นไง

ชีวิตนี้มีคุณค่ามาก เพราะมีเรา สรรพสิ่งที่เราหามาเป็นประโยชน์ของเรา เราดับขันธ์ไป ชีวิตนี้นะ เราต้องพลัดพรากจากสมบัติทุกชิ้น หรือไม่อย่างนั้น สมบัติทุกชิ้นก็ต้องพลัดพรากจากเรา มันเป็น ๒ อย่างโดยแน่นอน ไม่พลัดพรากจากกัน มันต้องพลัดพรากจากกันอันหนึ่งแน่นอนเลย

แต่เราไม่เคยเห็นตัวเอง เราหลงตัวเอง เห็นไหม ความหลงตัวเอง ถึงว่าสิ่งนั้นเป็นที่พึ่ง สิ่งนั้นเป็นที่แสวงหา สิ่งนั้นเป็นที่เกาะเกี่ยว ความหลง ๒ ชั้น ๓ ชั้น หลงตัวเองจนไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง มนุษย์สมบัตินี้สำคัญมาก ในมนุษย์สมบัตินั้น หัวใจในร่างกายนั้นสำคัญที่สุด ในหัวใจ ในมนุษย์สมบัตินั้นน่ะ คนตายแล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อยากสอนมาก อาฬารดาบส อุทกดาบส เพราะเป็นคนที่มีคุณต่อกัน

กำหนดจิตดู ควรจะสอนใครก่อน ควรจะสอน เห็นไหม ธรรมนี้เป็นของที่ละเอียดอ่อนมาก มันลึกซึ้งจนเข้าได้ยาก คนที่จะเข้าถึงได้ต้องมีพื้นฐาน ต้องมีพื้นมีฐานที่จะรองรับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครมีควรค่าแก่การสั่งสอนเป็นคนแรก ธรรมอันนี้มันละเอียดลึกซึ้งนัก วิมุตติธรรมอันนี้มันละเอียด มันมีความสุขมาก

กำหนดจิตดู เห็นไหม ควรจะสอนอาฬารดาบส แต่กำหนดจิตดู เสียดายเหลือเกิน ตายไปตั้งแต่ ๗ วันที่แล้ว อีกคนหนึ่งเพิ่งตายไป คนที่ตายไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอน เพราะหัวใจในร่างกายนั้นมันหลุดออกจากร่างกายนี้ไปเสวยภพใหม่แล้ว สิ่งที่ไปเสวยภพใหม่จะตามไปสอนภพใหม่ เขาได้เสวยภพใหม่ เขาเป็นคนใหม่ เขาเป็นความรู้สึกใหม่ ความผูกพันอันนี้จะไม่มี เสวยสถานะภพนี่ เราถึงไม่รู้ไงว่าเราเกิดตายๆ ไง

พอเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้เราก็มีชาตินี้ๆ ผู้หลง หลงในชาตินี้ หลงในชาตินี้ก็มองแต่ด้วยตาเนื้อ มีแต่ตาเนื้อ ไม่มีตาใจ ตาเนื้อมองสิ่งใดมีประโยชน์กับร่างกาย ตาเนื้อนี้กิเลสมันพาใช้ไง เห็นไหม พอกิเลสพาใช้ ตาเนื้อก็มองว่า สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเรา ควรเป็นประโยชน์กับเรา จะใฝ่หาสิ่งนั้น สิ่งนั้นคืออะไร? ก็คือสมบัติของโลก

สมบัตินี้เป็นของโลกเขา คนที่นักวิเคราะห์วิจัยเขาไม่วิเคราะห์วิจัยว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ขึ้นมา เขาใช้เป็นประโยชน์ของโลก เราก็จะใช้เป็นประโยชน์ เห็นไหม ผู้ที่มีปัญญา สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับคนคนนั้น ผู้ที่หลงใหลได้ปลื้มเป็นขี้ข้าของสิ่งที่แสวงหามาแล้วก็แบกหนัก แบกเป็นแอกอยู่ในคันไถ แบกแล้วไถลากไถไปตลอดเวลา ไม่รู้หรอกว่าความคิดนี้มันถูไถจนตัวเองนี้เลือดออกทั้งเนื้อทั้งตัว ก็ไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นความทุกข์ของหัวใจ นี่มันเพราะอะไร

เพราะมันหลงข้างใน ข้างในมันปิดกั้นแล้วมันไม่เห็นสิ่งใด มันตั้งต้น ตั้งตัวไม่ได้ สิ่งที่ตั้งตัวไม่ได้ ในเมื่ออันดับหนึ่ง ต้นเหตุมันเป็นความหลง แล้วมันจะเอาความจริง เอาความรับรู้มาจากไหน มันก็ต้องแบกแต่ความลุ่มหลงไปในหัวใจทั้งหมด แบกความลุ่มหลงไปแล้วก็หลงใหลไปข้างนอก เห็นไหม

แล้วพูดถึงธรรมก็ฟังไม่ได้ พูดถึงธรรมก็ว่า สิ่งนั้นทำให้ด้อยค่า สิ่งที่ให้เสียประโยชน์ของเราไป ประโยชน์ของเราคือการสะสม ประโยชน์ของเราคือการทำความพอใจของความหลงของตัวเองสิ ความหลงของตัวเองก็ไม่รู้ แล้วไม่รู้แล้วก็ยังไปยึดติดสิ่งต่างๆ ข้างนอกนั้น นี่มันหลงไป ๒ ชั้น ๓ ชั้น เห็นไหม นี่ความหลง คนหลงในชีวิต

แล้วชีวิตมีคุณค่า ถ้ามีโอกาสวาสนา เราได้ฟังธรรม ได้ความยับยั้งชั่งใจ ได้หาธรรมเข้ามาในหัวใจ มันถึงว่า มันมีศรัทธาความเชื่อไง ถ้ามีศรัทธาแล้ว ได้ยินธรรมแล้ว มันจะเริ่มเกาะเข้ามาในหัวใจ

“สิ่งนี้มีหรือ มันเป็นไปได้อย่างไร การที่เราสละออกแล้วมันจะได้ผลประโยชน์มาน่ะ มันต้องแสวงหาใช่ไหม มันถึงเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่สละออกมันเป็นได้อย่างไร”

นั่นความข้องใจของกิเลสมันเป็นแบบนั้นน่ะ มันข้องใจ มันไม่ยอมพอใจ มันเป็นไป มันคัดค้าน มันต้านทาน ต้านทานขณะที่เราจะเริ่มฟังธรรมนะ เริ่มฟังธรรม เริ่มเข้าใจในธรรม ถ้าเรามีธรรมเข้ามาในหัวใจของเรา ถ้าเรามีธรรมขึ้นมาในหัวใจ เราจะเริ่มหูตาสว่างขึ้นมา พ้นจากความหลงนั้น เห็นไหม พ้นจากความหลง พ้นจากการมืดบอด

คนที่พ้นจากความมืดบอด มันก็จะมีประโยชน์กับตัวเอง ถ้าตัวเองยังมืดบอดอยู่ สิ่งใดเป็นประโยชน์กับตัวเอง มันไม่สามารถจะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับตัวเองหรอก มันเห็นว่าเป็นโทษๆ สิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับสิ่งที่มืดบอดนั้น มันกลับเป็นโทษ เป็นโทษเพราะว่าคนเกิดมานี้มีบุญกุศลพาเกิดมา มันควรจะต่อเติมบุญกุศลนั้นให้เกิดเป็นคนประเสริฐขึ้นมา ให้เกิดเป็นคนเหนือคน คนพ้นจากกิเลส จากสิ้น จากภพ จากชาติ ตั้งแต่ปัจจุบันนี้ ถ้าพ้นจากนั้นไป คนนี้ถึงประเสริฐ คนนี้ทำได้ไง

คนถึงว่า คน ถ้าจะเริ่มเปิดหูเปิดตาขึ้นมา กิเลสมันปิดหัวใจไว้ แล้วไม่ต้องไปโทษใคร โทษในหัวใจเรา กิเลสของเรานี่แหละ กิเลสของทุกๆ คน มันเป็นธรรมชาติของมันที่มันจะยับยั้งที่พยายามรักษาไว้ รักษาหัวใจไว้เป็นบ้านเป็นเรือนของเขา บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของกิเลสคือหัวใจของมนุษย์

แล้วก็พาเกิดพาตายในวัฏฏะนะ จะเกิดภพใดชาติใดก็แล้วแต่ จะสถานะไหนก็แล้วแต่ กิเลสนั้นมีอยู่ในหัวใจทุกดวงใจ จะเกิดบนสวรรค์ จะเกิดเป็นพรหม กิเลสมันพาเกิดอยู่ในหัวใจนั้น มันสุมกินเป็นที่อยู่ของเขา เขาอยู่ในนั้น อาศัยอยู่ในนั้นไปตลอดไป นั่นน่ะมันหลง มันหลงอย่างนั้น หลงจากข้างใน ความที่หลงก็หลงจากข้างใน ความที่เขาอยู่อาศัย เขายึดเรานี่ ยึดเรานี้เป็นขี้ข้าไง ยึดเราให้เราเป็นบ่าว กายเป็นนาย ใจเป็นบ่าว แล้วหัวใจก็เป็นบ่าวของกิเลสอีกชั้นหนึ่ง มันถึงทำให้เราได้ทุกข์ได้ยากไง

เรามีแต่ความทุกข์ความยากในหัวใจ แล้วว่าเกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐๆ เกิดเป็นมนุษย์ ใครอยากเกิดขึ้นมา ทุกข์ยากจนขนาดทำลายตัวเองก็มีนะ ทำลายตัวเอง เห็นไหม คิดว่าทำลายตัวเองแล้วจะหาความสุขได้ ทำลายตัวเองแล้วจะพ้นจากทุกข์ นี่โง่ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เสียค่าโง่ชีวิตอีกชั้นหนึ่งนะ เพราะตายไปแล้วนี่มันหมดโอกาสการทำคุณงามความดี บุญกุศลเท่านั้นเป็นสมบัติของใจ คุณงามความดีเท่านั้นเป็นสมบัติของใจ แล้วทำลายหัวใจดวงนั้นไป แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรจากหัวใจดวงนั้นน่ะ นี่กิเลสเวลามันจะปิดตัว ปิดหัวใจ ปิดตาไม่ให้ตานี้เปิดแง้มหัวใจขึ้นมาได้ มันทำขนาดนั้น

เวลาทุกข์ขึ้นมานั่นน่ะ เวลาเราเจ็บปวดแสบร้อนทุกข์จนจะทำลายตัวเอง ทุกข์อันนั้นเป็นอริยสัจ สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมานี้เจอทุกข์อย่างนี้ทั้งหมด แล้วทำไมมันไม่เฉลียวใจว่าอันนี้มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงมันจะแก้ไขตรงนี้ มันต้องแก้ไขกลับมาดูที่การเกิดการตายสิ ไม่ใช่ทำลายให้มันตายไปแล้วไปหมกมุ่นอยู่ในสัมภเวสีที่ยังไม่ถึงกาลเวลาของหัวใจดวงนั้นที่จะดับขันธ์ นั่นน่ะกิเลสมันเป็นขนาดนั้น

แล้วกิเลสนี้มันอยู่ในใจของเราไหม? มันมีในใจของสัตว์โลกทุกๆ คน แล้วไม่เคยเห็นหน้ากิเลส มันอยู่ข้างหลังความคิดเรา มันผลักไสความคิดเราแล้วมันก็เป็นเจ้านายความคิดเรา เห็นไหม มันเป็นเจ้านายจับบังเหียนแล้วบังคับให้เราเดินหน้าไปตลอด แล้วหาเหยื่อ หาความสุข หาผลประโยชน์มาให้มันนะ หาผลประโยชน์คือหาความยึดมั่นถือมั่น หาความเห็นแก่ตัว หาความทุกอย่างมาให้มัน ให้กิเลส แล้วมันอยู่ในหัวใจของเรา

คำว่า “มัน” ถ้าเป็นคนอื่น มันก็ว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่นใช่ไหม แต่นี้มันเป็นเรื่องในหัวใจของเราทุกๆ คน ถ้าเราเป็นผู้ที่ประเสริฐ เราจะหาคุณงามความดีของเรา มันต้องหาตรงนี้ไง หาในใจของเรานี่แหละ สรรพสิ่งในสมบัติที่หามานั้นเป็นสมบัติผลัดกันชม สมบัติของโลกวางไว้ข้างนอก แล้วเป็นสมบัติของโลกที่เจือจาน เป็นปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยให้ชีวิตดำรงอยู่เท่านั้น แล้วเราก็มีปัจจัย ๔ พอจะดำรงอาศัยชีวิตของเราไปได้ ถ้าดำรงชีวิตไปได้ แล้วอีกตาหนึ่งจะเปิดได้ไหม

ตาของธรรมไง ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่จะเอาตัวของตัวไว้ในอำนาจของตัว เห็นไหม ผู้ที่ชนะตนนี้ประเสริฐที่สุด การชนะคนอื่นหมื่นแสน ก่อเวรก่อกรรม ชนะใครก็แล้วแต่ จะมีเวรมีกรรมกันตลอดไป การก่อเวรก่อกรรมกับคนอื่นไม่เป็นประโยชน์เลย แต่ชนะตนเองนี้ประเสริฐที่สุด ชนะตนเอง ชนะจนเข้าไปเห็น ชำระจนถึงที่สุด อันนั้นเอาตนเองพ้นออกไป เห็นไหม นี่ความหลงมันทำให้เราพลัดพรากไปไกลออกจากหลักธรรม

หัวใจของเราถ้าเชื่อของธรรม เราพยายามเข้ามาหาธรรม เชื่อของธรรมแล้วประพฤติปฏิบัติธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรม เห็นไหม ถ้าเชื่อธรรมแล้วมันทำให้เราให้ทานได้ เรื่องของทาน แค่จะสละออก เรื่องของทานนี่มันก็เป็นการภาวนาอย่างหนึ่งนะ ไม่ใช่ว่าเรื่องของทานเป็นเรื่องของทานเฉยๆ เรื่องของทานที่เป็นสักแต่ว่าทำ อย่างผู้ใหญ่บังคับเด็ก อันนั้นเป็นเรื่องแต่ว่า แต่เป็นการฝึกจริตนิสัย

แต่ถ้าเป็นเรื่องของทาน เห็นไหม เรื่องของทานเป็นเรื่องเริ่มของการหัดภาวนา เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวเกิดขึ้นมาจากหัวใจ ใจนี้มันไม่อยากสละออกไป คนที่มีคุณค่าเหมือนกัน เราจะให้เขา ให้เขา มีประโยชน์อะไรตอบแทนมากับเรา เห็นไหม มันจะคิดแบบนั้นในความตระหนี่ของใจ แต่ถ้าเราเชื่อหลักธรรมแล้ว สิ่งที่เป็นทาน เริ่มหัดแต่เริ่มการเป็นเริ่มต้นของบาทฐานในการภาวนา ความตระหนี่ถี่เหนียวของใจที่ให้มันสละออกไป มันสละสิ่งของนั้นออกไป พร้อมกับสละความตระหนี่ถี่เหนียวออกไปด้วย ความทำทุกวันๆ แล้วบ่อยเข้าๆ นั่นเรื่องของทาน

ทาน ถ้าเรื่องของทานมีขึ้น หัวใจพอเริ่มสละออกไป มันเริ่มเปิดกว้างขึ้นมา นี่เริ่มต้นเริ่มจากเข้าไปหาใจของตัวเอง มันเริ่มจะเปิดกว้าง เห็นไหม ภาชนะที่คว่ำไว้มันมีอะไรมันก็เข้าไปไม่ได้หรอก ถ้าเราหงายภาชนะขึ้น นี้หัวใจเหมือนกัน กิเลสมันคว่ำภาชนะของใจไว้ให้มืดบอด เพราะต้องการให้อยู่ในอำนาจของมัน เราไม่สามารถหงายภาชนะของเราขึ้นมาได้ ถ้าเราพยายามหงายหัวใจของเราขึ้นมาได้ ถ้าใจเราหงายขึ้นมา เราจะเริ่มรับสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะมันหงายขึ้นมานี่ ฝนตกลงมา สิ่งที่อะไรที่เราใส่ภาชนะนั้นได้ ภาชนะนั้นจะใส่ของนั้นเป็นประโยชน์ขึ้นมาได้

ธรรม เห็นไหม ปัจจุบันธรรม ธรรมที่เราศึกษามานี้ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดมาเป็นมนุษย์สมบัติ แล้วพบพุทธศาสนา พุทธศาสนานี้สอนเรื่องศีล เรื่องธรรม เรื่องศีลเห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา เราหลงในชีวิตของเรา ถ้าเราไม่เข้ามาในหลักของศาสนา เราก็จะหลงไปในชีวิตของเรา ศาสนาอยู่คู่โลก ศาสนาอยู่คู่ของเรา ศาสนาอยู่คู่โลกเพราะเราเกิดมาในโลกมันก็มีศาสนาอยู่แล้ว แล้วมันเป็นสมบัติของเรา เพราะว่าเราเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง

กึ่งพุทธกาล ในพระไตรปิฎกบอกไว้ ศาสนารุ่งเรือง ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาหนึ่ง ถ้าใครพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้จะรู้วาระจิต จะรู้ทุกอย่างในจริตนิสัยของสัตว์โลก จะชี้นำสัตว์โลก สัตว์โลกเชื่อแล้วจะไปได้ง่าย แต่ในกึ่งพุทธกาลนี่ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองมาอีกครั้งหนึ่ง ในพระไตรปิฎกว่าไว้อย่างนั้น

แล้วเราเกิดมา เห็นไหม ธรรมคู่โลกๆ เพราะมีอยู่กับโลกอยู่แล้ว แต่ก็อยู่ชั่วกัปชั่วเวลาอย่างนั้น แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาที่ศาสนากำลังจะเจริญรุ่งเรือง แล้วเราเกิดตายๆ ไป โดยธรรมชาติในพระไตรปิฎกบอกว่าเกิดตายแน่นอน เราจะปฏิเสธขนาดไหน มันเรื่องความปฏิเสธ แต่เรื่องการตายข้างหน้านี้เห็นแน่ๆ แล้วเกิดขึ้นมานี่ มันก็ต้องเกิด ถ้าเราเชื่อของเรา เราสะสมบุญกุศลขึ้นไป เราจะได้ประโยชน์กับเรา

ถ้าเราไม่เชื่อ เราไม่สะสมบุญกุศลของเรา เราเกิดแบบแห้งแล้งไปเรื่อยๆ เกิดแบบต่ำต้อย เกิดแบบทุกข์แบบยากออกไปเรื่อยๆ เห็นไหม นี่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาสอนเรื่องศีลธรรม ศาสนาสอนเรื่องของการเกิดและการตาย ศาสนาสอนถึงการหลุดพ้นออกไปจากกิเลสทั้งหมด แล้วเราก็เชื่อธรรม เชื่อธรรมขึ้นมาเราก็ศึกษาธรรม แล้วพอเราเริ่มศึกษาธรรม แล้วเราว่าเราก็เข้าใจธรรม

ถ้าเราเข้าใจธรรม เราเข้าใจนี้เป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียนมา ศึกษาเล่าเรียนแล้วดัดตน ธรรมจะเกิดขึ้นมาจากหัวใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ธรรมเท่านั้นชำระกิเลสออกไปจากหัวใจ ธรรมที่เราเกิดขึ้นมา ธรรมเป็นปัจจุบันธรรมในหัวใจที่สร้างขึ้นมา มรรคอริยสัจจัง มรรค มรรคญาณ เกิดขึ้นมาจากหัวใจ หัวใจนี้เราสร้างมรรคขึ้นมานี้เป็นมรรคภายใน

นี้มรรคภายนอก มันก็มรรคที่ว่า มรรคภายนอกเริ่มดัดแปลงตนของตนให้เข้ามาในหลักของศีลธรรมก่อน ถ้าเข้ามาในหลักศีลธรรม ถ้าเราหลง เราว่าแค่นี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่ชักนำให้เราเข้ามาถึงสละทาน รักษาศีลขึ้นมานี่ มันเป็นบาทฐานของการเริ่มต้นภาวนา มันเป็นบาทฐานของทำให้หัวใจนี้เข้าหาหลักธรรม

ความถูกต้องของการก้าวเดิน มันถูกต้องในฐานะการก้าวเดินขึ้นไป แต่เป้าหมายที่ไม่ก้าวเดินต่อไป ถึงว่าตรงนี้เป็นผลของมัน คือพอใจในแค่นี้ จากความที่ว่าเราหลงจากเริ่มต้น แล้วเราพัฒนาตัวเราขึ้นมาจนพ้นจากความหลง แล้วพัฒนาพลิกแพลงใจเข้ามาให้เข้ามาหลักของศาสนาแล้วเราก็ศึกษาหลักของศาสนาแล้ว เราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเรา แล้วเราพอใจ เห็นไหม นี่มันหลงจากพัฒนาความสูงขึ้นไป

จากเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล้ว สิ่งนี้เป็นความถูกต้อง แต่ถ้าก้าวขึ้นไปแล้วมันก็เป็นความลุ่มหลงของมันภายใน นี่ถึงต้องทำความสงบของใจ ต้องทำความสงบของใจ ใจนี้มันเป็นโรค สิ่งที่เป็นโลกนี้เป็นโลกียารมณ์ โลกหมายถึงโลกียะ โลกียะมันเป็นความคิดโดยธรรมชาติของมัน ความคิดของมนุษย์นี้เกิดขึ้นมา สัตว์เดรัจฉานก็มีความคิดของเขาโดยธรรมชาติของเขา

แต่สมมุตินี้มันบัญญัติขึ้นมา สมมุตินี้สมมุติขึ้นมาเพื่อจะสื่อความหมายกัน ภาษาของสัตว์โลกมันถึงหลายๆ ภาษา มันคนละภาษาไป อันนั้นเป็นสมมุติขึ้นมา สมมุติเป็นสมมุติ บัญญัติเป็นบัญญัติ แต่มนุษย์นี้มันมีความรู้สึก มีความนึกคิด มีปัญญาใคร่ครวญอยู่ในธรรมชาติของมันอยู่แล้ว สิ่งนี้มันก็ดิ้นรนๆ พอดิ้นรนแล้วมันก็คิดไปตามประสาของมัน กิเลสควบคุมสิ่งนี้อยู่ กิเลสควบคุมความคิดโดยธรรมชาติของมันอยู่ สิ่งที่เป็นมนุษย์สมบัตินี้กิเลสมันบังคับใช้ เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์นี้เรามีกิเลสควบคุมมาโดยธรรมชาติของมัน กิเลสนี้มันถึงควบคุมความคิดอยู่ เราพัฒนาขึ้นมาส่วนหนึ่งของความเป็นธรรม แต่มันก็ยังควบคุมอยู่ สิ่งที่ควบคุมอยู่นี้คือโลกียารมณ์ไง

โลกียารมณ์ ความคิดตามประสาโลกไปไง ความคิดตามประสาของโลก ความขับไสของกิเลสที่กิเลสในหัวใจ ที่ขับไสความคิดออกมานี้เป็นโลกียะทั้งหมด ความที่เป็นโลกียะ เราถึงต้องทำความสงบเข้ามา ต้องทำความสงบเข้ามาๆ ถ้าความสงบเข้ามาแล้วมันจะเริ่มผ่อนคลายความเป็นโลก ความเป็นโลก คำว่า “โลกๆ” นั่นน่ะ สิ่งที่ว่าเป็นโลกนี้มันหมุนไปโดยธรรมชาติของมัน สิ้นสุดของความหมุนของความคิดไป มันก็ปล่อยวางได้โดยธรรมชาติของเขา สิ่งที่เขาปล่อยวางได้มันก็เป็นความสุข ความพอใจชั่วคราวของความพอใจของจิต จิตนี้โดนบังคับขับไส โดนขับไสให้ความคิดนี้เผาลนใจอยู่ตลอดเวลา

เผาลนใจ เห็นไหม เราว่าเราปล่อยวางจากความนอกเข้ามา แล้วเราพลิกใจของเราเข้ามาเพื่อจะหาธรรม แล้วเราประพฤติปฏิบัติธรรม ทำไมมันไม่เห็นธรรม ไม่เห็นธรรมล่ะ เห็นธรรมมันต้องมีความสุข ทำไมเรามีแต่ความทุกข์ๆ? ความทุกข์แบบนี้มันเป็นความทุกข์เพราะกิเลสมันขับไส กิเลสมันขัดขวางไง กิเลสมันต้องการเอาสัตว์โลกไว้ในอำนาจของมัน กิเลสมันต้องการเอาหัวใจนี้เป็นที่อยู่ของมันตลอดเวลา

ทีนี้การประพฤติปฏิบัติที่จะเข้าหาหลักธรรม สิ่งที่เป็นกิเลส มันถึงต่อต้าน ความต่อต้านของกิเลสคือมันพลิกแพลงไปให้ความเห็นเราขัดแย้งกับความเป็นธรรมไง ถ้าสิ่งที่เป็นธรรมมันต้องให้ผลเป็นความร่มเย็น ธรรมคือความร่มเย็น ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ผลเป็นความร่มเย็นของใจ ใจ ถ้าได้ดื่มกินมันจะเป็นความร่มเย็น

แต่ปัจจุบันนี้เราเป็นแค่กู้ยืมมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามาเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นยาไง เหมือนกับเราได้ขวดยามาขวดหนึ่ง มีฉลากยามาพร้อม เราอ่านฉลากยานั้นแล้ว แต่เรายังไม่ได้ดื่มกินยาขวดนั้นเข้าไปในร่างกายของเรา มันจะไปรักษาโรคของเราเองโดยธรรมชาติได้อย่างไร

เราอ่านฉลากยาเท่านั้น ฉลากยานี้ก็เป็นยา ธรรมโอสถ ธรรมโอสถเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาแล้วเราเชื่อ เห็นไหม ศรัทธาความเชื่อถึงให้เราเริ่มประพฤติปฏิบัติ เราเริ่มประพฤติปฏิบัตินี่ การประพฤติปฏิบัติพยายามดัดแปลงตนเข้าหาหลักธรรม ดัดแปลงตนเข้าหาหลักธรรมอันนั้นให้ได้ แล้วกิเลสมันรู้นี่

ถ้าธรรมโอสถสามารถชำระ...ก็จะไปฆ่ากิเลส กิเลสนี้มันจะยอมเสียชีวิต ยอมตายโดยเปล่า โดยไม่มีการต่อต้านขัดขวาง มันเป็นไปไม่ได้ มันต่อต้าน มันขัดขวาง แล้วมันเบี่ยงเบนพลิกแพลงให้การประพฤติปฏิบัติเราเสียหายด้วยนะ การประพฤติปฏิบัติเรานี่จะเข้าถึงหลักความจริง ไอ้ตัวนี้มันจะผลัก แล้วมันจะทำให้เราเบี่ยงเบนออกไปความเห็นภายนอก เห็นไหม พอความเห็นภายนอก มันทำให้เราท้อถอยไง ทำให้เราท้อถอย ทำให้เราไม่มีกำลังใจ ทำให้เราคิดว่าปฏิบัติธรรมมันมีความทุกข์

ทุกข์เป็นอริยสัจ มันเกิดโดยความเป็นจริงของมันแล้วหนึ่ง ทุกข์ในการพยายามต่อต้านกับกิเลส ทุกข์พยายามขัดขวางการต่อสู้กับกิเลส เห็นไหม ทุกข์นี้มันถึงว่า ทุกข์ถึงที่สุดแล้วมันจะดับทุกข์ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้ควรกำหนด ทุกข์ถึงต้องต่อสู้ ไม่ใช่ทุกข์แล้วเราจะท้อถอยไง

ทำความทุกข์ความประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ เจ็บปวดนะ นั่งขึ้นมา เวทนาเกิดขึ้น ในการพยายามประพฤติปฏิบัติ ถือศีล ถือศีลเพื่ออะไร? เพื่อให้ร่างกายนี้ผ่องใส ถือศีล เห็นไหม ผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ในร่างกาย มนุษย์สมบัติอันนั้นผ่องแผ้วมากในร่างกายนั้น แล้วโรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่มี นี่ตามหลักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้โดยธรรมชาติเลยว่า ผู้มีศีล ร่างกายจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไปตามประสาโรคที่ว่าสะสมแต่สารอาหารต่างๆ ที่สะสมในร่างกายจนมีมากเกินไป เห็นไหม ดูอย่างผู้ประพฤติปฏิบัติ อย่างพระฉันมื้อเดียวๆ ทำงานยิ่งกว่าโลก ทำงานมากกว่าโลก เห็นว่าโลกกินข้าวกันวันละ ๓ มื้อ ๔ มื้อ ทำงานไปสักแต่ว่าทำงาน เหนื่อยก็พัก

พระนี้เวลาทำความเพียร เวลาทำการทำงาน นี่คนเราถ้ามีหลักความจริงในหัวใจ มันจะสร้างรากสร้างฐานขึ้นมาของใจได้ ถ้าเราไม่มีหลักความจริงของใจ เราจะไม่สร้างรากสร้างฐาน เราจะวางหลักใจของเราไม่ได้ ถ้าเราวางหลักใจของเราไม่ได้ เราจะเอาอะไรไปชนะกิเลส เราจะเอาอะไรไปทำความสงบของใจ

ถ้าใจเราไม่มีความสงบ มันเป็นโลกียารมณ์ๆ สิ่งที่เป็นโลกียะ สิ่งที่สะสมขึ้นมาเป็นความคิดของโลกเขา แล้วมันจะเป็นประโยชน์อะไร นี่หลงไม่หลง เราประพฤติปฏิบัติเราก็หลงไป หลงใหลได้ปลื้มไปกับความเห็นของเรา ความเห็นของความคิดที่เราคิดกันอยู่นี่ เราวิตกวิจารณ์ว่าเป็นความคิด นี่มันเป็นขั้นของความสงบ

ขั้นของความสงบ เราจะไม่หลงใหลความสงบนั้น ความสงบนั้นเพียงแต่ตัดโลกียารมณ์มาเป็นโลกุตตระเท่านั้นเอง ตัดโลกียารมณ์นะ ตัดอารมณ์ความคิดของโลก ความคิดของโลก ดึงออกไปของโลก แล้วโลกสืบต่อ โลกสืบต่อ เป็นธรรมก็เหมือนกัน คิดว่าเป็นธรรม แต่มันก็สืบต่อว่า เมื่อนั้นเราได้ทำขนาดนี้แล้ว เราพอใจในธรรมของเรา อันนี้เป็นผลในธรรมของเรา ถ้าไม่ใช่ผลในธรรมของเรา เราประพฤติปฏิบัตินี้ บุญกุศลเราก็มากแล้ว สิ่งที่เป็นบุญกุศลนี้มันจะทำให้เราเกิดในสถานะที่ดีขึ้น

สิ่งนี้กิเลสมันหลอกลวง ความหลงไปในความคิด ความหลงกิเลส กิเลสทำให้เราผลักไสให้การประพฤติปฏิบัติของเราเสียหายไป การประพฤติปฏิบัติเราจะก้าวเดินไป ก้าวเดินไปเพื่อถึงหลักชัยของเรา ไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติเพื่อจะให้มันคาไว้อย่างนั้น สิ่งที่คาไว้เพราะ สิ่งที่มันคาใจ มันคาใจของเรา มันไม่หลุดออกไปจากใจของเรา สิ่งที่คาใจไว้ อะไรคาใจ คาใจไว้เพื่ออยู่ในอำนาจของเขา นี่ความสงบของใจเป็นอย่างนั้น

แล้วพิจารณาเข้ามา ทำความสงบเข้ามา กำหนดคำบริกรรมเข้ามา มันจะสงบ มันจะสงบถึงจุดของมันแล้วมันจะสงบได้โดยธรรมชาติของมัน เพราะอะไร เพราะธรรมนั้นถึงไง ธรรมถึงที่สุดนะ กำหนดคำบริกรรมถึงอิ่มตัวของมันแล้ว ความสงบต้องเป็นไปโดยธรรมชาติของมันเด็ดขาด ความสงบต้องเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดจะไปเอาชนะกิเลสได้

ในเมื่อธรรม เรากำหนดคำบริกรรมเข้าไป ถึงอิ่มตัวของมัน อิ่มตัวของมันเหมือนกับการชั่งน้ำหนัก น้ำหนักเสมอกัน น้ำหนักมากกว่ามันต้องชนะน้ำหนักสิ่งที่น้อยกว่า กิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่าเรา มันทำให้เราเร่าร้อน ทำให้เราไม่มีกำลังใจ ทำให้เราต้องเชื่อมันไปตลอดเวลา นี่เวลากิเลสผลักไสไป

เราทุกข์ร้อนขึ้นไป แล้วเราพยายามกัดฟันทน มีความมุมานะ มีความอุตสาหะ มีความอุตสาหะเพราะเราหวัง เราหวังความสุข เราหวังสิ่งที่มีที่พึ่ง เราหวังคุณงามความดี หวังเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ สิ่งนี้ชำระกิเลสได้ แล้วเรามันก็พิสูจน์มา เพราะพิสูจน์มา เห็นใจมันปล่อยวางเป็นคราวๆ มานี่ สิ่งที่ใจมันปล่อยวางเป็นคราวๆ มา มันปล่อยวางแล้วมันเป็นผลของเรา มันเป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตน มันเป็นเครื่องยืนยันมา มันก็ทำให้เรามีแก่ใจทำมา พอมีแก่ใจทำมา สะสมสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ สะสมขึ้นไปเรื่อย จนอำนาจของธรรมเหนือกว่า

สิ่งที่มีธรรมเหนือกว่ามันต้องชำระกิเลสได้ นี้สิ่งที่คำบริกรรมเหนือกว่า ธรรมนี้สูงกว่า มันจะสงบตัวลง มันจะเกิดขึ้นโดนธรรมชาติของมัน มันสงบตัว ปล่อยเข้ามา จากสงบเล็กน้อย เริ่มสงบเข้ามา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ความลึกซึ้ง ลึกตื้นของความสงบต่างกัน แต่มันสงบ เพราะคำบริกรรมเหมือนกัน

สงบเพราะเราสร้างเหตุเหมือนกัน สิ่งที่เราสร้างเหตุขึ้นมา มันสงบตัวเข้ามา พอสงบตัวเข้ามาก็เวิ้งว้าง ถ้ามันเวิ้งว้างขึ้นมา เราก็คำบริกรรมมากขึ้นไปเรื่อย มากขึ้นไปเรื่อย ความชำนาญ ชำนาญในวสี ชำนาญในการกำหนด ตั้งสติได้ พอครั้งแรกขึ้นมาเราตั้งสติไว้ สติอย่างนี้ เราระลึกอย่างนี้ไปตามจำอย่างนี้ เรากำหนดให้ได้

จากขณิกสมาธิเป็นอุปจาระสมาธิ เห็นไหม บ่อยเข้าๆ เป็นอัปปนาสมาธิ มันจะเวิ้งว้าง มันจะดับหมด ดับเป็นความสุขมาก เป็นความสุขจนเราสามารถจะจินตนาการว่าสิ่งนี้เป็นผลไง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าเป็นธรรมที่ว่าสูงสุดไง ถ้าเราว่าสิ่งนี้เป็นธรรมสูงสุด หลงในขั้นของความสงบ ทำความสงบมานี่เราก็ต่อสู้มากับความกิเลสมันผลักไสขึ้นมาตลอดเวลา แต่ทำความสงบเข้ามาถึงที่สุดแล้ว เราก็ไปติดในความสงบนั้นน่ะ เห็นว่าความสงบนั้นเป็นผลเป็นสุดยอดของธรรม

ความสงบนั้นเป็นความสงบของใจเฉยๆ เป็นความสงบของใจ เป็นกุปปธรรม ธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลาย ความเจริญเกิดขึ้น ธรรมทั้งหลายต้องแปรสภาพโดยธรรมชาติของมัน มันจะยืนยันกับความเสื่อมของใจนั้น ถ้าดวงใจนั้นเคยทำความสงบเข้าไปแล้วมันเสื่อมไปนี่ มันจะยืนยันกับใจดวงนั้นว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเจริญแล้วต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา มันจะซึ้งใจดวงนั้นมาก

ใจดวงไหนเคยทำความสงบเข้าไปถึงที่สุดแล้ว แล้วไม่ได้ยกขึ้นวิปัสสนา ปล่อยไว้ เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นผลของธรรม แล้วปล่อยไว้ รักษาไว้...รักษาไปเถิด รักษาขนาดไหนก็แล้วแต่ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องแปรสภาพทั้งหมด แม้แต่ความสงบนี้ก็แปรสภาพ สิ่งที่แปรสภาพมันยังรักษาอยู่ มันไม่แปรสภาพ เพราะเรามีสติสัมปชัญญะ แล้วเรารักษามันได้ เรารักษาได้เพราะเราสร้างเหตุอยู่ สติเราพร้อม เราสร้างเหตุอยู่ตลอดเวลา

สิ่งที่เราสร้างเหตุอยู่ตลอดเวลา อันนี้มันรักษาความสงบอันนั้นไว้ ถ้าเหตุอันนี้ วันไหนมันคลอนแคลนไป เหตุมันไม่พอ ความเห็นมันไม่พอ แล้วมันใช้พลังงานไปบ่อยๆ เข้า มันจะเสื่อม ความเสื่อมไป เห็นไหม เพราะเราไม่ฉลาด เพราะเราไม่เคยประสบกับสิ่งนี้ เราถึงหลงในความสงบนั้นไง ความหลงของขั้นความสงบ เพราะอะไร เพราะเราหลงโลก เพราะสิ่งนี้เป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลกียารมณ์ เรื่องของวัฏฏะ

อาฬารดาบส อุทกดาบส ทำสมาบัติ ๘ ก็ทำความสงบนี้ได้อยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่สามารถพ้นไปจากกิเลสได้ เขาก็เวียนไปในโลกนี้ เวียนไปในวัฏฏะ วัฏฏะคือโลก โลกคือหมูสัตว์ หมู่สัตว์คือจิตที่หมุนเวียนไป จิตที่ไม่เคยตายจะหมุนเวียนไปในโลกนั้น นี่เราหลงในความสงบนั้น เราก็หลงในวัฏฏะนั้น หลงในวัฏฏะนั้นเราก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนั้นไปอยู่เรื่อย นี่ความหลงในความสงบนั้น

ถ้าเราไม่หลงในความสงบนั้น หรือว่าทำความสงบนั้นแล้ว จนความสงบนั้นสอนฝึกใจดวงนั้นให้ฉลาดขึ้นมา ใจดวงนั้นโดนเสื่อมสภาพไป จิตที่เคยสงบขึ้นมา จะแน่นหนาขนาดไหน...

...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา หลักของอนัตตา ถ้าเป็นอนัตตา หลักธรรมมันก็เป็นอนัตตา สิ่งใดๆ ก็เป็นอนัตตา แต่เราไม่เห็น จะเห็นอนัตตาได้มันต้องเห็นเพราะเราจับตั้งแล้วเราวิปัสสนา เราทำความเพียรเข้าไปจะเห็นเป็นอนัตตา อนัตตานี้เราเข้าใจว่า...เราเข้าใจตามความเข้าใจ เข้าใจด้วยสุตมยปัญญาไง

สุตมยปัญญาว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายต้องแปรสภาพทั้งหมดๆ ทุกข์ก็ต้องแปรสภาพทั้งหมด แล้วเราก็แปรสภาพทั้งหมด มันก็กลิ้งกันไปตลอด กลิ้งกันไปกับสิ่งนั้น นี่หลงในความสงบนั้น มันเสื่อมสภาพไปแล้วก็ต้องฟื้นกลับมาใหม่ๆ ฟื้นกลับมาหาความสงบนั้น สงบ ความสงบนี้เป็นบาทเป็นฐาน

ความสงบนี้เป็นบาทเป็นฐาน มีศีล มีสมาธิ ปัญญา มีศีลที่บริสุทธิ์ คุณงามความดีของศีลนั้นจะทำให้เกิดสมาธิที่มีคุณค่า สมาธิที่มีคุณค่า สมาธิมีบริสุทธิ์ สัมมาสมาธิจะเกิดให้ปัญญา ปัญญาที่เกิดในความบริสุทธิ์นั้น ปัญญานั้นสามารถทำให้วิมุตติหลุดพ้นไปได้

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อใจมันสงบ มันมีความบริสุทธิ์ขนาดไหน แต่เพราะไม่ความเข้าใจของเรา เราถึงทำให้มันเสื่อมค่า หลุดออกไปจากมือของเราเอง เราก็ต้องพยายามฟื้นขึ้นมาใหม่ ฟื้นขึ้นมาใหม่ เห็นความสุขอันนี้หนึ่ง ความสุขของความสงบของใจนี้หนึ่ง มันจะมีความสุขขึ้นมามาก ว่ามีความสุขแล้ว มีความสงบ

เพราะมันเสื่อมสภาพได้ มันไม่ใช่เป็นความจริง มีความสงบขึ้นมาแล้วเราจะยกขึ้นวิปัสสนาอย่างไร นี่วิปัสสนานี้เป็นขั้นของปัญญาไง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้าเราทำศีลบริสุทธิ์ขึ้นมาแล้วนี่ ถ้าเป็นศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์โดยธรรมชาติของมันแล้วมันจะเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ ถ้ามันเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ เกิดโดยศีล สมาธิ ปัญญา โดยธรรมชาติของมัน ทำไมต้องมีครูบาอาจารย์มาคอยแก้ไข ทำไมครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคอยชี้พระ คอยสอนพระตลอด พระองค์ไหนที่ว่าติดข้องอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าถ้าอินทรีย์แก่กล้า จะไปแก้ไปบอกไปชี้แจงตลอด

มันไม่เป็นไปธรรมชาติของมัน มันเป็นไปโดยที่ว่าเราต้องพยายามสะสมแล้วเราก้าวเดิน เรายกขึ้นของเรา ใจของเรายกขึ้นเป็นปัญญา มันถึงจะเป็นปัญญา ถ้าไม่ฝึกเป็นปัญญา จะเป็นปัญญาได้อย่างไร

แต่ก็มีนะ เถียงว่า มันเป็นปัญญาสิ เพราะเราได้ใช้ปัญญาแล้ว แล้วมันถึงจะความสงบนั้น เราใช้ปัญญามา เราใคร่ครวญเข้ามาในเรื่องหลักสัจธรรม ใช้ธรรมนี้ใคร่ครวญแล้วมันปล่อยธรรมเข้ามานั้น...จริงอยู่ มันเป็นปัญญา แต่มันเป็นปัญญาในวงของสมถธรรม ปัญญาอย่างนี้ ถ้าเปรียบเหมือนโลก มันก็ปัญญาแบบเราพิสูจน์หลักฐาน กองพิสูจน์หลักฐานนี่เขาจะพิสูจน์ว่าลายเซ็นนี้เป็นของจริงหรือของปลอม วัตถุสิ่งนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม นี่กองพิสูจน์หลักฐานเขาพิสูจน์อย่างนี้ได้ เพราะอะไร เพราะมันมีของให้พิสูจน์ มันมีหลักฐาน มีลายเซ็นนั้น จริงหรือปลอมนี้มาให้พิสูจน์

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อสัจจะความจริง คนเราเกิดมามีธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มีความคิดโดยธรรมชาติของมัน เราจับความคิดนั้นแล้วเราพิสูจน์หลักฐานว่า สรรพสิ่งธรรมดาในโลกนี้มันต้องแปรสภาพทั้งหมด อารมณ์ของเราก็ต้องแปรสภาพ ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย ไม่มีสิ่งใดคงที่มันต้องปล่อยวางไป ปล่อยวางไป ปล่อยวางไปจนถึงกับจิตนี้มีความสงบขึ้นมา

กำหนดสัมมาสมาธิ กำหนดพุทโธๆๆ เข้าไปนี่ มันเป็นการพิสูจน์ พิสูจน์เพราะว่าอะไร เพราะมันมีสิ่งที่ให้พิสูจน์ มันมีขันธ์ ๕ มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ให้พิสูจน์ แล้วก็มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาจับเครื่องนี้พิสูจน์ นี้ความพิสูจน์อย่างนี้พิสูจน์แบบโลก เห็นไหม สิ่งที่มีอยู่ในโลก สิ่งที่เขามีอยู่แล้ว ความพิสูจน์นี้มันพิสูจน์แบบการประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วพิสูจน์สิ่งนั้นแล้วปล่อยวาง ถ้าสิ่งนั้นพิสูจน์แล้วเป็นความจริง เป็นความจริงถูกต้อง เป็นความเข้าใจแล้วก็เข้าใจกันไปว่าถูกต้อง สิ่งนั้นพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง สิ่งนั้นเป็นของผิด พิสูจน์ว่าอันนี้เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรม เป็นความถูกต้อง ก็ปล่อยวาง

สิ่งนี้เป็นโทษ สิ่งนี้เป็นกิเลส สิ่งนี้เป็นกิเลส ไม่ใช่ ผิด พิสูจน์แล้วสิ่งนี้เป็นของไม่ใช่ตามที่ว่าเราเข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้น ไอ้นี่มันคนละอย่างกัน พิสูจน์แล้วไม่ใช่ ไม่ใช่ไปแล้วก็จบกระบวนการ การพิสูจน์นั้นจบว่า ไม่ใช่ ผิด ผิดนี้ก็คือกิเลส ความคิดเห็นว่าผิด มันก็ปล่อยวางไป

ปัญญาที่ว่า เราเป็นปัญญาๆ กันอยู่แล้วนี่มันเป็นปัญญาของโลก ปัญญาของโลกคือพิสูจน์สิ่งที่มีอยู่ในโลก สิ่งที่เป็นไปของโลกนี่ โลกมันก็หมุนไปในหมู่สัตว์ มันก็เป็นวัฏฏะวันยังค่ำ มันก็เป็นวัฏฏะเหมือนเดิมอย่างนั้น แล้วจิตที่พิสูจน์ว่าเป็นวัฏฏะแล้วว่าเป็นปัญญา แล้วปล่อยวางเข้ามาๆ มันก็ปล่อยวางเข้ามาเป็นสมถธรรม อันนี้ถึงไม่ใช่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ศีล สมาธิ ปัญญา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาตัวนี้คือปัญญาชำระกิเลส ปัญญาชำระกิเลสในอริยสัจ เห็นไหม ถ้าใช้ปัญญายกขึ้นในวิปัสสนา ในกาย เวทนา จิต ธรรม เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าเราว่าเราเห็นกาย เราพิจารณากายมาแล้ว เราพิจารณากายนอกเข้ามา จากเริ่มต้นเราตั้งสติขึ้นมา แล้วพิจารณากายเข้ามา พิจารณากายเข้ามาก็ปล่อยวางๆ เข้ามา

นี่เหมือนกัน เป็นการพิสูจน์หลักฐาน เพราะกายกับใจมันมีอยู่โดยดั้งเดิม เราพิจารณากายนอกเข้ามา จับสิ่งต่างๆ เข้ามา เห็นร่างกายของสัตว์โลก เห็นร่างกายของเรา เห็นร่างกายด้วยกายเนื้อ พิจารณาเข้ามาๆ เหมือนกัน เป็นการพิจารณาโดยกองพิสูจน์หลักฐาน หลักฐานที่มีอยู่ แต่พิสูจน์หลักฐานไปแล้ว พิสูจน์หลักฐานเข้ามาจนมันปล่อยวางเข้ามา แล้วยกขึ้นใหม่ ยกขึ้นใหม่วิปัสสนาในกาย เวทนา จิต ธรรม กายที่จะเห็นขึ้นมานี่ มันเป็นกายจากภายใน กายภายใน กายจากตาธรรมเห็นเห็นไหม ขั้นของปัญญามันจะเกิด มันจะเกิดตรงนี้ไง ถ้าคนยกกายขึ้นไม่ได้นี่มันเกิดปัญญาขึ้นไม่ได้

ปัญญาที่จะชำระกิเลสนี้เป็นปัญญาแบบวิทยาศาสตร์ไง ไม่ใช่ปัญญาแบบกองพิสูจน์หลักฐาน กองพิสูจน์หลักฐานนี่พิสูจน์สิ่งที่มีอยู่ แต่วิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าสิ่งที่ว่า ไม่มีในหลัก ในโลกนี้ พยายามค้นคว้าอยู่ แต่หลักวิทยาศาสตร์นี่ พิจารณาแบบวิทยาศาสตร์นี้ วิทยาศาสตร์ที่เขาพิจารณาอยู่นั้น มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มันเป็นกฎเกณฑ์ของวิทยาศาสตร์ มันก็เปรียบเหมือนโลก เปรียบเหมือนกองพิสูจน์หลักฐานเหมือนกัน แต่วิทยาศาสตร์นี่ วิทยาศาสตร์พิจารณาสิ่งที่ไม่เคยไง อย่างวิทยาศาสตร์ค้นคว้าสิ่งใหม่ขึ้นมา สิ่งที่พิสูจน์สิ่งใหม่ขึ้นมาแล้วให้กลายเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมา อันนั้นเป็นการค้นคว้าใหม่

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราวิปัสสนาในกาย เวทนา จิต ธรรม มันพิจารณาแบบวิทยาศาสตร์ คือว่าต้องค้นคว้ากันขึ้นมาเอง ต้องพยายามค้นคว้ากันขึ้นมาเอง แต่ค้นคว้าขึ้นมาพิจารณาไปแล้วมันก็อยู่ในกฎของอริยสัจ เห็นไหม อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันจะเป็นอยู่ในหลักของอริยสัจ ๔ ไม่พ้นไปจากอริยสัจ มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ อริยสัจนี้เป็นหลักโดยหลักธรรมชาติ หลักธรรมที่มีอยู่ดั้งเดิมที่มีคงที่ คงเส้นคงวา

แต่ในการค้นคว้าของเรา ในกาย เวทนา จิต ธรรม มันต้องค้นคว้าอย่างนั้น ยกกายขึ้นมาให้ได้ไง ยกกายตั้งกายขึ้นมาให้ได้ เวทนาให้ได้ จิตให้ได้ ธรรมให้ได้ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งคือสิ่งเดียวในสติปัฏฐาน ๔ อันนี้อันใดอันหนึ่ง พิจารณาอันใดอันหนึ่งเข้าใจจะเข้าใจหมด พิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เวทนาก็ได้ ธรรมก็ได้ ไม่ใช่ว่ากายกับจิตๆ ธรรมคือความกระทบของจิตกับอารมณ์กระทบกันแล้วเป็นสิ่งอารมณ์ขึ้นมานั้นเป็นธรรม กระทบสิ่งนั้น พิจารณาสิ่งนั้นเข้าไป มันสะเทือนถึงใจทั้งหมด

มันเป็นจริตนิสัยของแต่ละบุคคล จริตนิสัยของแต่ละบุคคล เห็นไหม เป็นหลักวิทยาศาสตร์หนึ่ง เป็นจริตนิสัยของแต่ละบุคคลหนึ่ง เป็นอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละสัตว์แต่ละบุคคลหนึ่ง ถึงไม่มีกฎตายตัวว่าต้องเป็นเท่านั้นๆ ถึงจะวิปัสสนาไปได้

ผู้ที่ขิปปาภิญญา วิปัสสนาทีเดียวทะลุเป็นพระอรหันต์ไปเลย แล้วอย่างพระอานนท์เป็นพระโสดาบันมา จนพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วค่อยเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะมาเป็นหลักฐานว่า ต้องตายตัวระดับไหน แต่ไม่พ้นจากหลักของอริยสัจ ๔ ไปได้แน่นอน กับสติปัฏฐาน ๔ เราถึงยกนี้ขึ้นมาแล้ววิปัสสนา

สิ่งที่วิปัสสนานี้ต้องอาศัยความสงบของใจโดยพื้นฐาน ถ้าใจนี้ไม่มีความสงบอยู่ หรือมีความสงบอยู่แล้วยกขึ้นวิปัสสนาได้ จับสิ่งนั้นวิปัสสนาได้ ถ้าความสงบนี้ไม่พอ พลังงานของมันไม่พอ มันจะเป็นโลกียะ มันจะเป็นสัญญา มันจะเป็นสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งของเราที่ใคร่ครวญเทียบเคียง สิ่งที่ใคร่ครวญเทียบเคียงจะใช้ได้ต่อเมื่อมีสัมมาสมาธิมาตัดออก

สัมมาสมาธิพยายามกดกิเลสไว้ ถ้ามีสัมมาสมาธิกดกิเลสไว้ แรงดึงดูดของกิเลสมันไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญญาอันนั้น ถ้าแรงดึงดูดของกิเลสเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญญาอันนั้น มันจะเป็นโลกียะ แรงดึงดูดของกิเลสคือแรงดึงดูดของตัวตน แรงดึงดูดของกิเลสคือแรงดึงดูดของความเห็นของเรา พิจารณาไปก็เอาความเห็นของเราเทียบเคียงไปด้วยความเห็นๆ เห็นไหม มันไม่เป็นไปหลักวิทยาศาสตร์ที่มันจะเกิดโดยธรรมชาติของมัน เป็นหลักเทียบเคียง มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลก มันถึงเป็นโลกียะๆ

ถ้ามีความสงบของใจขึ้นมา มีความสงบของใจขึ้นมา แล้วกดความเห็นของตัวตนเอาไว้ แล้วปล่อยให้ปัญญามันหมุนไปโดยธรรมชาติของมัน ถ้าหมุนไปโดยธรรมชาติของมัน มันหมุนไป มันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน มันมีพลังงานของมัน มันจะเข้าไปพิจารณาไป แล้วมันจะแยกออกจากกัน แยกแยะร่างกายกับหัวใจ แยกแยะมานะทิฏฐิตัวตนในหัวใจนั้น แยกแยะสิ่งนั้นออก

พอแยกแยะสิ่งนั้นออก พลังงานมันพอ มันวิปัสสนาไปบ่อย มันพลังงานพอมันก็ปล่อย มันปล่อย เห็นไหม มันแยกออกจากกัน ถ้าว่าสิ่งนี้เป็นผล นี้ก็หลงในปัญญา ผู้ที่หลงในปัญญาจะไม่ได้เห็นผลในความเป็นธรรมหลุดออก ธรรมหลุดออกมาจากหัวใจ ถ้าหลงในปัญญา สิ่งนี้พอแยกออกไป เข้าใจว่าอันนี้เป็นผล พอเข้าใจว่าอันนี้เป็นผล จะอยู่กับสิ่งนี้ จะยืนอยู่ตรงนี้ จะรับว่าอันนี้เป็นผล แล้วไม่ก้าวเดินต่อไป

หลักของความจริงแล้วมันต้องก้าวเดินทางปัญญาต่อไป ก้าวเดินทางปัญญาต่อไป ปัญญาหมุนเวียนไป ปัญญาภาวนามยปัญญาเคลื่อนไป แล้วมันจะวิปัสสนาไป พลังงานนี้สร้างขึ้นมาแล้ว หมุนออกไป กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งใดสิ่งหนึ่งจับต้องแล้วแต่จริตนิสัย อำนาจวาสนา เห็นไหม ของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน จับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วแยกออก แยกออกด้วยพลังงานของเรา แยกออกด้วยมรรค

มรรค มันมีอะไร? ความเห็นชอบ ความดำริชอบ ความเพียรชอบ การงานชอบ การงานในการแยกแยะ ในการขุดคุ้ย ในการค้นคว้านั่นน่ะ ค้นคว้าแล้วมันจะปล่อยวาง มันจะเวิ้งว้าง ความเวิ้งว้าง ความสงบของใช้ปัญญา มันจะต่างกับความเวิ้งว้างของสมถะ ของความเป็นสมาธิ ความเป็นสมาธิเราก็เวิ้งว้าง เราก็ได้หลงใหลได้ปลื้ม จนเสื่อม จนแปรสภาพไป

ความเวิ้งว้างอย่างนั้นมันกดกิเลสไว้ เหมือนกับคนกินยาเข้าไปลดไข้เฉยๆ ไข้ลดลงแต่ว่าไม่ได้ชำระกิเลส อันนี้ก็เหมือนกัน ในการแยกแยะออกมา เห็นไหม กินยาเข้าไปแล้ว แต่ยานั้นยังไม่มีประโยชน์ ยานั้นไม่มีคุณค่าสามารถยับยั้งหรือชำระกิเลสออกไปได้ แต่ยานั้นได้กินเข้าไป แล้วพอเข้าไปมันทำปฏิกิริยาต่อกัน มันจะปล่อยวาง ว่างออกจากกัน

ถ้าเข้าใจว่านี้เป็นผล จะหลงในปัญญา ปัญญาทางฝ่ายเริ่มต้นมา มันเป็นปัญญาในทางกองพิสูจน์หลักฐาน พิสูจน์สิ่งที่มีอยู่ในโลก ปัญญาที่เกิดขึ้นนี้ปัญญาแท้แล้วนะ เป็นภาวนามยปัญญาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นมาเพราะมีความสงบของใจแน่นอน เพราะมีบาทฐานของสัมมาสมาธิ เพราะมีการงานชอบ เพราะยกขึ้นวิปัสสนาชอบ ยกขึ้นวิปัสสนาเป็นงานชอบ

งานชอบๆ งานอย่างไรชอบ งานหยาบๆ คืองานของโลก มรรคหยาบๆ มรรคของโลกเขา แล้วก็มรรคของสมถธรรม มรรคหยาบเห็นไหม ถ้ามรรคหยาบ เราติดในมรรคหยาบ มันจะเกิดมรรคละเอียดขึ้นมา แล้วมรรค ๔ ผล ๔ มีไว้ทำไม ทำไม่มีมรรคเดียวแล้วกำจัดกิเลสไปถึง ๔ ครั้งล่ะ

มรรคมันมีหยาบ เห็นไหม โสดาปัตติมรรคกับอนาคามิมรรค ห่างกันราวฟ้ากับดิน

โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค ยกขึ้นไปเป็นชั้นขึ้นไป ละเอียดอ่อนขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ชำระล้างเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไป ยกขึ้นวิปัสสนาเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นี่อยู่ที่เรายกขึ้นไป มรรคเราเดินไปแล้ว นี่คือปัญญาล้วนๆ เลย ปัญญาล้วนๆ นี่มันหมุนไป

เราต้องมีสติสัมปชัญญะหนึ่ง เทียบเคียงกับความเป็นจริงหนึ่ง เพราะมันปล่อยวาง เห็นไหม ฟังสิ มันปล่อยวางๆ แต่ไม่มีความเห็นว่ากิเลสมันขาดออกไปจากใจ ไม่มีกิเลสหลุดออกไปจากใจเลย มันปล่อยวาง มันเป็นธรรมชาติของกิเลส กิเลสนี้มันแก่นนะ กิเลสกับหัวใจนี่ วัฏวนพาเกิดพาตายไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่เกิดเป็นมนุษย์นี่มันก็กล่อมหลอกมาขนาดนั้น

เพราะเรามีอำนาจวาสนาหนึ่ง เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง เราเชื่อธรรม เราเชื่อธรรมว่าชำระกิเลสได้จริงหนึ่ง เราพยายามทุ่มทั้งชีวิตเราเพื่อชำระกิเลสขึ้นมา แล้วพอเข้ารูปเข้ารอย คาบลูกคาบดอก ทำไมเราจะปล่อยให้เราลุ่มหลงไปในนั้นให้เราเสื่อมถอยมา

กุปปธรรมๆ เจริญแล้วเสื่อมมาตลอดเวลา แล้วเราก็เข็นครกขึ้นภูเขานะ พยายามก้าวเดินมาตลอด เข็นขึ้นไปๆ ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยบุญญาธิการ มีเท่าไรทุ่มเข้าไปทั้งหมด ขึ้นไปถึงที่สุดแล้วจะชะล่าใจไม่ได้ เทียบเคียงแล้วอย่าชะล่าใจ อย่าสุกเอาเผากิน สุกเอาเผากิน ความมักง่าย ความสุกเอาเผากิน กิเลสมันเข้าเสียบง่ายๆ แค่นี้ แล้วเราก็จะถอยหลังลงมา แล้วถ้าเราจะปฏิบัติ เราก็ต้องก้าวเดินขึ้นมาตามนี้แน่นอน

ทางอันเอกมีอยู่ทางเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทางไว้แล้ว ผู้ที่ก้าวเดินถึงก็มี ผู้ที่ก้าวเดินไม่ถึงก็มี ผู้ที่ไปกลางทางแล้วนอนอยู่กลางทางนั้นก็มี ผู้ที่ไปถึงปลายทางแล้ว แล้วก็ไปนอนอยู่ปลายทาง เห็นไหม ถ้าไปนอนอยู่ปลายทาง มันจะเสื่อมค่าโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นกุปปธรรมๆ ต้องวิปัสสนาซ้ำๆๆ ต้องค้นคว้า ต้องพยายามค้นคว้าไป มันจะปล่อยวางขนาดไหน หน้าที่ของเขา หน้าที่ของสัจจะความจริง สิ่งที่พิสูจน์แล้วมันปล่อย มันเวิ้งว้าง มันหลุดออกไป เป็นหน้าที่ของเขา หน้าที่ของเราคือค้นคว้าเข้าไป แล้วสะสมขึ้นไป หน้าที่ของเรา สร้างสมของเราตลอดเวลา

เราเจริญแล้วเสื่อมๆ ในหัวใจ นี่มันจะทุกข์ร้อนนะ คนเจริญแล้วเสื่อมๆ สัตว์โลกทุกตัว แล้วผู้ที่ปฏิบัติทุกคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ครูบาอาจารย์ทุกองค์เอาชีวิตเข้าแลกเห็นไหม นี่ความเจริญแล้วเสื่อม ความเจริญแล้วเสื่อมอย่างนี้เกิดขึ้นมา แล้วมันต้องมีผิดพลาด

ไม่มีผิดพลาด สิ่งที่ไม่มีผิด ใครมันจะถูกมาตลอด เป็นไปได้อย่างไร สิ่งที่จะเจริญแล้วเสื่อมมาในหัวใจเรา มันก็สอนเรามาจนมันเจ็บมันยอกอยู่ในหัวใจนะ มันกัดฟัน มันไม่เชื่อสิ่งใด มันต้องเห็นจริงต่อหน้า ค้นคว้าเข้าไป ปัญญาจะหมุนออกไปตามหลักการค้นคว้าของเรา เราค้นคว้าเต็มที่ของเราไปแล้ว จนถึงที่สุด...ขาด! ขาดออกหมด กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ เวิ้งว้างขาดออกจากกันหมด จิตหลุดออกไปเป็นอิสรเสรี เห็นไหม นี่หลุดออกไปเลย เป็นอิสรเสรี นี่เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้มันถึงเป็นความจริง เป็นความจริงจากใจดวงนั้น เห็นชัดๆ นะว่ากิเลสมันขาดออกไปจากใจ

พอกิเลสขาดออกไปจากใจนั่นน่ะ สังโยชน์ขาดออกไป ๓ ตัว นี่มีธรรมส่วนหนึ่งในหัวใจ ถ้ามีธรรมเป็นส่วนหนึ่งในหัวใจ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เห็นไหม ธรรม ๒๕ เปอร์เซ็นต์ กิเลสของโลกเขายังมีอีก ๗๕ เปอร์เซ็นต์

ความที่เป็นกิเลสของโลก โลก เห็นไหม ถ้ายังจะไปตลอดหรอ มันก็ยังจะหลงไง หลงในปัญญา ขั้นของความหลงในปัญญาจะหลงไปอย่างนี้ตลอด มันมีเรื่องความดึงดูดของโลกเขายังอยู่ เพราะพระโสดาบันยังเกิดอีก พระโสดาบันยังอยู่ในวัฏฏะ พระโสดาบันยังเกิดในสวรรค์ พระโสดาบันยังเกิดอีก ๗ ชาติ ความเกิดความตายยังมีในหัวใจ แต่การเกิดการตายของใจดวงนี้มีเป้าหมายอย่างมากอีก ๗ ชาติเท่านั้น กับวัฏฏะที่เสียดแทงหัวใจ ใจของสัตว์โลกหมุนตายหมุนเกิดมาไม่มีต้นไม่มีปลาย นี้มันเจ็บปวดแสบร้อนในหัวใจ แล้วมันก็ว้าเหว่นะ เหงาหัวใจ หัวใจนี้เหงามาก ทุกข์มากในหัวใจ ไม่รู้จะไปเริ่มต้นไปจบกันที่ไหนไง

งานที่ไม่มีวันสิ้นสุดมันอยู่ในหัวใจของเรา แล้วคิดดูสิว่ามันทุกข์อย่างนี้ไม่มีสิ้นสุด มันจะมีทุกข์ขนาดไหน กับอีก ๗ ชาติเท่านั้นน่ะ มันอิ่มเอมใจนะ อย่างไรๆ มันก็ต้องเอาให้ได้ๆ แต่เพราะแรงดึงดูดของโลก เห็นไหม ธรรม ๒๕ เปอร์เซ็นต์ กิเลส ๗๕ เปอร์เซ็นต์ กิเลสนี้คือโลก มันจะดึงดูดโลกนั้นไปตลอด แต่ในมุมกลับกัน วิปัสสนาไปสิ วิปัสสนาไปยกขึ้นมา ถ้าทำได้แล้วหนหนึ่ง มันจะทำได้ชำนาญขึ้น พอชำนาญขึ้น กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าจับกาย เวทนา จิต ธรรม ยกขึ้น แล้วใช้สมถกรรมฐาน ความเป็นสมาธินี้ยกขึ้นมาเป็นเรื่องของธรรม ถ้าสมาธินี้อ่อนไปเป็นเรื่องของโลก แล้วโลกจะดึงดูดไป โลกจะดึงดูดไป ความเห็นของโลก ความเห็นของกิเลสมันจะดึงดูดไป มันจะไม่ยอมให้ใจดวงนี้หลุดออกไปเป็นอิสระ

ถึงจะต้องมีขอบมีเขตอีก ๗ ชาติเท่านั้น แต่เขาก็ยังอาศัยอยู่ได้ สิ่งที่มีเป็นโลกยังอาศัยอยู่ได้ วัฏฏะนี้ยังเป็นเจ้าอำนาจอยู่ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ เห็นไหม ธรรมมี ๒๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หมุนไป วิปัสสนาไปๆ ถ้ามันเป็นโลก สังโยชน์หลุดไป ๓ ตัว ๓ ตัวก็ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วสังโยชน์อีกตั้ง ๗ ตัว วิปัสสนาไป มันพ้นนะ วิปัสสนาไปๆ จนมันหลุดออกไป มันขาด จะขาดออกไปเป็นชั้นๆ เข้าไป

พอขาดออกไป เห็นไหม สกิทาคามีล่ะ? ก็ยังต้องเกิดอยู่ แรงดึงดูดของโลกมีไปตลอด นี่ขั้นของปัญญาไง จะชี้ให้เห็นว่า ขั้นของปัญญามันก็มีแรงดึงดูดของกิเลส แรงดึงดูดของโลก ถ้าเราหลงในขั้นของปัญญา เราจะไปไม่ได้ เราจะติดอยู่ตรงนั้น พระอริยบุคคลถึงติดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ต้องหาครูบาอาจารย์คอยชี้นำเข้าไป ชี้นำเข้าไป

เวลามันขาดออกไป กายกับใจแยกออกจากกัน กายกับใจแยกออกจากกัน ถ้าเป็นธรรม กายกับใจแยกออกแล้วเป็นสกิทาคามี มันต้อง ๕๐-๕๐ สิ สิ่งที่เป็น ๕๐-๕๐ นี่ มันเป็นความคิดของโลกเขา แต่ความเป็นจริง มันเป็น ๗๐ กับ ๓๐ อยู่อย่างวันยังค่ำ เพราะสังโยชน์ขาดไป ๓ ตัวเท่านั้น ยังสังโยชน์อีก ๗๐ เปอร์เซ็นต์ สังโยชน์อีก ๗ ตัว ไม่มีขาดออกไป

นี่ตรงนี้ แรงดึงของโลก แรงดึงดูดของสังโยชน์มันมากกว่า ๓๐ กับ ๗๐ ไม่ใช่ว่ากายกับใจแยกออกจากกัน แล้ว ๕๐-๕๐ สิ เพราะมันกึ่งกลางแล้วควรจะเป็น ๕๐-๕๐ มันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ มันเป็นแรงดึงดูดของกิเลสมันมีมากอยู่ มันถึงพยายามปิดกั้นไง การปิดกั้น การค้นคว้า การพลิกหานี่ การพลิกหาที่ว่าเราหามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา หาง่ายๆ หาง่ายเพราะว่ามันจับต้องได้

แต่การหาข้างบนนี้หายาก การหายาก การจับต้องยาก การเริ่มต้นขึ้นมาวิปัสสนายาก ถ้าเป็นกายใน กายก็เป็นกายใน เวทนาก็เป็นเวทนาใน จิตก็เป็นจิต จิตก็เป็นจิตใน เห็นไหม จิตเป็นจิตหนึ่งเดียว จิตที่มันปล่อยเข้ามาเป็นชั้นๆ เข้ามาแล้ว ธรรมก็เป็นธรรมที่ละเอียดขึ้นไป ถึงเป็นมหาสติ มหาปัญญา มหาสติ มหาปัญญาต้องสร้างสมขึ้นมา จากสติปัญญานี่ส่งเสริมขึ้นไป จนกลายเป็นมหาสติ มหาปัญญาในใจดวงนั้น

ใจดวงนั้น จากล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา จนเป็นมหาสติ มหาปัญญาขึ้นมา มันพยายามค้นคว้าเข้ามา ถ้าไม่ค้นคว้าเข้ามา มันติดอยู่ตรงนั้น มันติด เห็นไหม มันหลงอยู่ในตรงนั้น สิ่งที่หลงอยู่นั้นมันยังเกิดยังตายอยู่ มันหลงแน่นอน มันหลงเพราะมันผลักไส มันไม่ให้เห็น แล้วการก้าวเดินถึงติดอยู่ตรงนี้ ติดอยู่ตรงนี้เพราะมันไม่พลิกขึ้น

มันพลิกขึ้น มันยาก ๒ ชั้น ชั้นหนึ่งมหาสติ มหาปัญญา สติปัญญานี่มันเป็นงานใหม่เริ่มต้นไง เริ่มต้นงานของงานใหม่ จากสติปัญญาขึ้นไปเป็นมหาสติ มหาปัญญา แล้วพลิกขึ้นมาจับ ถ้ามันจับต้องได้ นี่จับต้องได้ๆ ต้องจับต้องได้โดยธรรมชาติ จับต้องได้โดยธรรม จับต้องได้โดยความเอาธรรมเข้าไปจับ พอธรรมเข้าไปจับ จับได้สิ่งนั้นได้ วิปัสสนา วิปัสสนาเข้าไป

ความหลงในวิปัสสนา ความหลงของขั้นปัญญามันจะมหาศาลตรงนี้ ตรงนี้มหาศาลมาก มหาศาลนี่มันผลักไส มันสร้างสม สร้างสิ่งจินตนาการต่างๆ ขึ้นมาให้เห็น ให้ดู ให้พิจารณา สร้างสิ่งต่างๆ เพราะว่ามันสงวนตัวของมัน มันพลิกแพลงของมัน นี่วิปัสสนาไป ปัญญาหลงก็หลงไป หลงแล้วไม่ใช่หลงธรรมดา ล้มลุกคลุกคลานนะ ล้มลุกคลุกคลานทำไปจนที่ว่าฟากตาย เอาตายเข้าแลก สิ่งที่เอาตายเข้าแลกได้ คนถึงระดับนี้แล้วเอาตายเข้าแลกได้ เพราะว่าถ้าไม่ตายก็กิเลสตาย

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเครื่องดึงดูดใจ เราไม่มีผลของการประพฤติปฏิบัติเลย เป็นเครื่องดึงดูดใจ การสละชีวิตบางคนก็สละได้ แต่ถ้ามีเครื่องดึงดูดของใจ สิ่งที่จะสละได้ มันมีของแลกเปลี่ยนไง มีสิ่งที่ว่าจะเป็นธรรมขึ้นมาในหัวใจนั้นแลกเปลี่ยน มันยอมสละสิ่งนี้ได้ ถ้าสิ่งนี้สละออกไป เห็นไหม สละเพราะสละตาย สละตายแล้วพยายามเข้าไปต่อสู้ด้วยปัญญา ทุ่มเข้าไปเต็มที่ นี่มหาสติ มหาปัญญาเกิดขึ้นอย่างนั้น แล้วเวียนไปอย่างนั้น มันจะชำระเข้าไป เวียนเข้าไปบ่อยเข้าๆ บ่อยเข้านะ ยิ่งต้องบ่อยเข้า เพราะว่ามันแก่นของมัน มันละเอียดเข้า มันยึดแน่นเหนียวแน่นมาก ความเหนียวแน่น มันเข้าไปรู้ทันเท่านั้นล่ะ จะว่ามันขาดไม่ขาด จะรู้เท่าแล้วปล่อย ไม่มีปล่อย มันรู้ทัน รู้ทันแล้วมันปล่อยวาง รู้ทันแล้วปล่อยวาง มันเป็นอสุภะ อสุภัง

อสุภะ อสุภัง มันมีแรงหน่วง แรงหน่วงว่าสิ่งนี้ควรไง สิ่งนี้ควร สิ่งนี้เราต่อสู้กับสิ่งต่างๆ เราต่อสู้เป็นธรรมดา เราต่อสู้ เราพยายามพิจารณาไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา เราต่อสู้กับธาตุขันธ์โดยสิ่งที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ มันมีอยู่แล้ว เราพิจารณาเข้าไปจนมันเป็นตามความเป็นจริง แต่อันนี้สิ่งที่มันมีชีวิต สิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีอารมณ์ สิ่งที่มีความดูดดื่ม กามราคะมันมีความดูดดื่มมาก ความหน่วง หน่วงอันนี้ ความหน่วงอันนี้มันมีความหน่วงอยู่ วิปัสสนามันถึงวิปัสสนายาก

วิปัสสนาเข้าไป วิปัสสนาเข้าไป นี่ปัญญา วิปัสสนาคือปัญญา การใช้ปัญญาไง ขั้นของปัญญา ขั้นของศีล ขั้นของสมาธิ ขั้นของปัญญา ขั้นของปัญญาต้องใช้ปัญญาจนถึงที่สุด ถ้าปัญญาไม่ถึงที่สุด มันไม่ถึงปลายทางอันนั้น ถ้าปัญญาถึงที่สุดนี่ ใช้ปัญญาเข้าไป มันจะหน่วงขนาดไหน มันก็ต้องต่อสู้ มันหน่วงแล้วมันท้อถอย มันท้อถอยต้องสร้างพลังงานขึ้นมาต่อสู้อันนี้หนึ่ง ต่อสู้กิเลสหนึ่ง เห็นไหม แล้วกิเลสมันพยายามไม่ให้เรารู้แจ้งอีกหนึ่งนี่

ซ้ำเข้าไปๆ การค้นคว้าละเอียดอ่อนเข้ามา แล้วมันทุ่มเข้าไปทั้งเต็มที่ มันจะขาดนะ มันเวิ้งว้าง ขาดออกไปนะ ขาดออกไป นี่ธรรมเป็น ๗๕ เปอร์เซ็นต์ กิเลสต้องเหลืออีก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ แต่หลักสังโยชน์ ธรรม ๕๐-๕๐ เพราะสังโยชน์ พระอนาคามีสังโยชน์ขาดไป ๕ ตัว เหลือสังโยชน์เบื้องบน สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สังโยชน์เบื้องบน ๕

สังโยชน์เบื้องบน เห็นไหม รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา...รูปราคะ อรูปราคะนี่ รูปฌาน อรูปฌาน นี้เป็นราคะทั้งหมด ความเวิ้งว้างของใจดวงนั้นเป็นราคะทั้งหมดเลย ใจมันว่างโดยธรรมชาติของมัน มันติดความว่างโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว รูปราคะ อรูปราคะ มันเป็นความว่าง รูปฌาน อรูปฌาน แล้วจิตดวงนี้ก็เป็นจิตธรรมชาติของมัน มันเป็นธรรมชาติของมัน เป็นความว่างโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว นี่ราคะมาติดตรงนี้ไง มันยิ่งจับยากเข้าไปใหญ่ การจะหาตัวหายาก แต่ถ้าเจอตัวแล้ว พลิกทีเดียวแล้วจบ พลิกทีเดียวแล้วจบ มันเข้าไปถึงแล้วมันไม่ให้ไป

ถ้าจับตรงนี้ไม่ได้ ตายขณะตรงนี้ พอเรากามราคะขาดนี่ กิเลสมันไม่เกิดในกามภพ มันไปเกิดบนพรหมอยู่แล้ว ไปเกิดบนพรหมนี่ ถ้าเราจับไม่ได้ สิ่งนี้มันจะกินตัวมัน มันจะต้องเผาไหม้ไปโดยธรรมชาติของมัน ผลไม้ จิตนี้สุก สุกแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับสิ้นกิเลส มีกิเลสอยู่ในนั้น นี่มันจะไปอยู่บนพรหม แล้วมันจะสุกไปข้างหน้า สุกไปข้างหน้า แต่เวลาเนิ่นนานมาก สุกไปน่ะ คำว่า “ผลไม้” ฟังสิ ผลไม้มันก็ต้องมีรูปของผลไม้ใช่ไหม มีสิ่งที่จับต้องได้ใช่ไหม มีกลิ่น มีรสชาติของผลไม้ใช่ไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อจิตเป็นอย่างนั้น มันก็มีสุข มีทุกข์อันละเอียดอยู่ในนั้น มีความอ้อยสร้อย มีความเหงาหงอย มีความเฉาอยู่ในหัวใจดวงนั้นไง หัวใจดวงนั้นยังมีความเฉา มีความติดข้องในหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้นยังติดข้องขัดใจใจดวงนั้น นี่ถ้าจับต้องได้วิปัสสนาไป พลิก ขาดออกไป จบสิ้นของขั้นของปัญญา ปัญญานั้นก็ดับ เห็นไหม ถึงที่สุดแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญานี้ เป็นสมมุติ เป็นสมมุติบัญญัติ เป็นสะพานให้ก้าวเดินขึ้นไปถึงสิ่งที่ว่าหลุดพ้นออกไป ถึงสิ้นสุดของการประพฤติปฏิบัติ แล้วสิ่งที่ว่าเป็นสมมุตินี่มันก็กิเลสก็เป็นสมมุติ

สิ่งที่เป็นสมมุติกับกิเลสที่เป็นสมมุตินี้มันก็ก้าวเดินมาพร้อมกัน เราจะอาศัยพยายามวิปัสสนามาเพื่อให้ธรรมเข้ามาแทรก ธรรมเข้ามาแทรกเพื่อให้สมมุตินี้แยกออกไป สมมุติกับกิเลสนี้แยกออกจากกัน แล้วให้ธรรม นี่ถึงว่า อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค เศษส่วนสองฝั่งนี้เราไม่ควรเสพเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มัชฌิมาปฏิปทา เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทาของหัวใจดวงนี้ไม่หลงไปในเรื่องของโลก ในเรื่องของชีวิต ไม่หลงไปในเรื่องของความสงบ ไม่หลงไปในเรื่องขั้นของปัญญา ไม่หลงโลกไง ถ้าไม่หลงโลกมันก็จะพ้นออกไปจากโลก ถ้าคนจิตใจที่ไม่หลงโลก พ้นออกไปจากโลก แล้วพ้นออกไปจาก ๓ โลกธาตุนู่นน่ะ ไม่ใช่พ้นออกไปจากกามราคะ รูปโลก อรูปโลก พ้นออกไปหมด

จิตดวงนั้นพ้นออกไปหมด จากการก้าวเดินของใจดวงนั้น ธรรมประเสริฐ ประเสริฐอย่างนี้ แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา เห็นไหม ศาสนธรรมคำสั่งสองขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แต่เวลาออกมาในเรื่องของโลกแล้ว ศาสนธรรมตู้พระไตรปิฎกนี้ไว้ในวัด ใส่กุญแจไว้ ไม่มีใครศึกษาเลยนะ เรื่องของวัดนี้ก็เรื่องของวิหาร เรื่องของโบสถ์ เรื่องของสิ่งก่อสร้าง ปลูกสิ่งก่อสร้างไว้ นั่นน่ะเรื่องของวัด นั่นโลกเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นเป็นเรื่องของโลกเขา ถึงไม่เห็นเรื่องของศาสนธรรม ศาสนบุคคล ศาสนวัตถุ ศาสนธรรม

ศาสนธรรม รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงเป็นพระธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วมีพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเท่านั้น พระอัญญาโกณฑัญญะมามีดวงตาเห็นธรรม นี่สงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นมาของโลก พระอัญญาโกณฑัญญะก็มารู้ธรรมตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ธรรม ธรรมนี้ถึงเป็นศาสนธรรม ที่ว่าเราประพฤติปฏิบัติเข้าไปเพื่อจะเข้าไปรู้ธรรมอันนี้ไง ธรรมอันนี้ถึงประเสริฐ แล้วเราเกิดขึ้นมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาที่การประพฤติปฏิบัติเจริญรุ่งเรือง เจริญรุ่งเรืองนี้ก็ต้องธรรมเจริญรุ่งเรืองสิ ธรรมเจริญรุ่งเรือง

ธรรมที่ไม่มีตัวตน ธรรมที่เป็นตัวตน ธรรมที่เป็นกรอบ เราศึกษามา สุตมยปัญญา ถ้าศึกษามานี่เป็นกรอบ พอเป็นกรอบเราติดในกรอบนั้น พอติดในกรอบนั้น เราสร้างกรอบนั้นไว้ปิดการก้าวเดินของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะก้าวเดินไปมันก็ติดในกรอบอันนั้น

แต่ถ้าเรา ธรรมไม่มีตัวตน เห็นไหม เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ไม่มีสิ่งที่ว่าเป็นกรอบขึ้นมา เราพยายามดั้นด้นขึ้นไป ดั้นด้นขึ้นไป มันเป็นธรรมของเราเอง เป็นธรรมกับใจดวงนั้น เป็นอกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ธรรม สัจจะความจริงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาตรัสก็เหมือนกัน ธรรมต้องเป็นแบบนี้ ธรรมเท่านั้นที่ชำระทุกข์ ชำระกิเลสออกจากหัวใจ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็จะมาตรัสแบบนี้

แล้วเราก็มาเจอธรรมอยู่แล้ว เราจะต้องไปรอตอนไหน มันเป็นการยืนยันกับสัจจะชีวิตนี้ ถ้าชีวิตเรานี่ เรามีความเชื่อ เรามีความประพฤติปฏิบัติ แล้วของนั้นมันมีอยู่ กับที่ว่าเราผัดวันประกันพรุ่งไป เราผัดวันประกันพรุ่ง นี่เป็นความคิดว่าผัดวันประกันพรุ่งนะ พอจิตมันท้อถอยออกมาแล้ว มันไม่ผัดวันประกันพรุ่ง มันผัดภพผัดชาติเลย ขอให้เจอพระศรีอารย์เข้าไปข้างหน้า ทำบุญกุศลแล้วสะสมไป เห็นไหม นี่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ แล้วก็ผัดภพผัดชาติไปเรื่อยๆ ผัดภพผัดชาติแล้วมันจะไปเจอตรงไหน

เพราะเวลาภพชาติมันเกิด มันไปเกิดสิ่งที่มันจะไปเกิดสภาวะแบบนี้เหรอ มันจะไปเกิดในสุญญกัปขึ้นมา แล้วเราเกิดมาไม่พบพระพุทธศาสนาล่ะ ถ้าหัวใจเราสร้างคุณงามความดีไว้ คุณงามความดีจะส่งเสริมให้เราเกิดพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาแล้วศาสนาเจริญรุ่งเรืองด้วย แล้วปัจจุบันนี้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองไม่เจริญรุ่งเรือง? เจริญรุ่งเรือง เจริญรุ่งเรืองในการประพฤติปฏิบัติ เพราะเมื่อก่อนไม่มี

หลวงปู่มั่นไม่มีครูไม่มีอาจารย์ หลวงปู่มั่นค้นคว้าหาเองนะ ค้นคว้าหาเอง หลวงปู่มั่นไม่มีครูอาจารย์ยังค้นคว้าหามาได้ ของเรานี่เราประพฤติปฏิบัติมา ครูบาอาจารย์มีอยู่มากมาย ชี้ทางไว้ ผิดถูกก็อยู่ที่เราประพฤติปฏิบัติ เราประพฤติปฏิบัติของเรา

ถ้าผิด เห็นไหม มันก็ต้องผิดกับความเห็นของเรา ถ้าถูก ถ้าเราประพฤติปฏิบัติถูก มันจะเข้ากับความเห็นของเรา ครูบาอาจารย์จะผิดจะถูก มันต้องเรื่องของท่าน แต่ความเห็นของเรา ผิดถูกมันในหัวใจของเรา แต่ถ้าเราผิดแล้วเราหลงไป อันนั้นก็เป็นอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาเข้ามาพบพุทธศาสนาแล้วยังเกาะเกี่ยวเหวี่ยงออกไป เห็นไหม เหวี่ยงเราออกไปวงนอกของสัจธรรม

ถ้าหลง มันจะพ้นออกไปจากวงสัจธรรม หลุดออกไปจากวงสัจธรรม ถ้าไม่หลง มันจะเข้าถึงวงสัจธรรม นี่วงสัจจะคือวงอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม ทุกข์นี้ควรกำหนด อะไรมากำหนด เอามรรคมากำหนด แล้วเอาอะไรนิโรธดับ ดับอะไร? ดับสมุทัยสิ แล้วนี่เวลาเกิดมันเกิดพร้อมกัน พั้บ! พั้บ! นะ ปล่อย ปล่อย เกิดจะเห็นอย่างนั้นเลย

นี่ถึงว่า ใจดวงนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจไง กลั่นออกมาจากอริยสัจ แต่เราเกิด เราจะเริ่มต้นขึ้นมา เราสะสมขึ้นมา สร้างสมขึ้นมา มันทุกข์ยาก มันทุกข์ยากตรงนั้น ทุกข์ยากตรงเราไม่เคยเดิน ทางที่ไม่เคยเดินนี้แสนทุกข์แสนยาก แต่ควรจะภูมิใจ...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)