เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ต.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ศาสนทายาทนะ เราจะสร้างศาสนทายาทกัน ดูสิ ศาสนทายาทมาจากไหน เวลาครูบาอาจารย์ท่านว่านะ เลี้ยงลูกศิษย์ลูกหานี่เลี้ยงลูกชาวบ้าน เขาว่าลูกชาวบ้านไง เขาไปมองกันทางโลกๆ ว่าพระที่บวชมาก็มาจากลูกชาวบ้านมาบวชเป็นพระ แล้วเราก็ไปดูแลลูกเขา แต่ถ้าเป็น ศาสนทายาท เกิดในธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นลูกกษัตริย์ใช่ไหม พ่อเป็นพระเจ้าสุทโธทนะ แต่เวลาท่านบรรลุธรรมขึ้นมา เห็นไหม เป็นศาสดา แล้วก็กลับไปสอนพ่อ นี่ถ้าเป็นศาสนธรรม ศาสนะคือธรรมทายาท ถ้าเกิดในธรรมทายาทได้นะ สิ่งนี้มันเป็นบุญกุศลมหาศาล บุญกุศลนะ

ดูสิ เวลาเราคิดถึงลูกนะ คิดถึงพระนี่เรามีบุญไหม ถ้าเราคิดถึงลูกของเรา ลูกของพระ ลูกของเราไปเจ็บไข้ได้ป่วย ลูกของเราไปทุกข์ไปยากนี่เราคิดขึ้นมามันสะเทือนใจเราไหม ศาสนทายาทนะ แต่ถ้ามองทางโลกๆ มันมองไปอีกแง่มุมหนึ่ง ถ้ามองทางธรรมนะ นี่เพราะการเกิดและการตายเราญาติกันโดยธรรม มันจะลูกใครล่ะ นี่ลูกชาวบ้าน เขาว่าลูกชาวบ้านนะ ถ้าเราออกไปน่ะ ศาสนะก็เป็นทายาทของเรา เห็นไหม

แต่ถ้าเกิดเป็นศาสนะ ศากยบุตรพุทธชิโนรส ถ้าศากยบุตรพุทธชิโนรสมันเป็นได้ตรงไหน? มันเป็นด้วยทิฏฐิมานะ เห็นไหม ทิฏฐิมานะนะ ทิฏฐิความเห็นถูกต้องก่อน ทิฏฐินี่เป็นเครื่องดำเนิน ทิฏฐิถูกต้องนะ เขาบอกมีทิฏฐิไม่ได้ ถ้ามีทิฏฐิคนนั้นเป็น... คำว่าทิฏฐิเลยตีความว่าเป็นของเลวร้ายไปหมดเลย

ทิฏฐิที่ดี เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเรานี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ เขาจ้างนะ ลัทธิต่างๆ เขาจ้างมาติฉินนินทา เวลาออกบิณฑบาตไปโต้แย้งกับศาสนาอื่น ไปคุยธรรมะกัน นี่ชนะเขาไว้หมด นี่ถ้าเป็นทิฏฐิเขาชักนำไปแล้วไปกับเขาเหรอ เห็นไหม ทิฏฐิเราจะสมานฉันท์ๆ สมานฉันท์ในทางที่ถูกต้องสิ

สิ่งที่สมานฉันท์ เราสมานฉันท์ด้วยการไม่กระทบกระเทือนกัน แต่ความเห็นผิดสมานฉันท์ไม่ได้หรอก ถ้าความเห็นผิด ดูสิ เราจะไปสมานฉันท์กับโรคร้ายได้ไหม เชื้อโรคจะมาสมานฉันท์กับร่างกายเราได้ไหม ใช่...ในร่างกายเราก็มีเชื้อโรค ในร่างกายเรานี่มันมีเชื้อ มันมีต่างๆ มันมีของมัน แต่นี่มันเป็นสิ่งที่เป็นภูมิคุ้มกัน ถ้าภูมิคุ้มกันนะ ถ้าไม่มีเชื้อสิ่งภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราเลย ร่างกายเรามีเชื้อโรคขึ้นมามันก็ต้องเข้าไปทำลายในชีวิตของเรา เห็นไหม นี่ภูมิคุ้มกันของอย่างนี้มันมี

แต่เชื้อโรคจากข้างนอก เชื้อโรคที่เข้ามาทำลายเรา เราไม่เอาด้วย เห็นไหม นี่ในการกระทำต่างๆ เหรียญมีสองด้านตลอดไปนะ จะว่า “พุทโธ พุทโธ” นี่ถูกต้องตลอดไป กำหนด “พุทโธ” มันก็ต้องเป็นสมาธิขึ้นมาสิ ทำไมกำหนด “พุทโธ” ขึ้นมาแล้วยังไม่ลง ยังลงได้ยาก เห็นไหม แล้วจะลงหรือไม่ลงนี่ คำบริกรรมวิธีการน่ะมันหลายหลากวิธีการได้ แต่มันต้องถูกต้องเข้ามา ขณะที่ทำต้องถูกต้องเข้ามา

เราบอกเลยนะคนที่มีคุณธรรม เห็นไหม นี่มีคุณธรรม ไม่มีทิฏฐิมานะเลย เวลาขับรถไปเจอไฟแดง ผ่ามันให้หมดเลย เพราะเราปล่อยวางแล้ว ไฟแดงที่ไหนก็ลุยเข้าไปเลย สิ่งนี้เป็นผู้ที่ไม่มีคุณธรรม ถ้าคนที่เคารพกติกา เห็นไหม เจอไฟแดงเราก็หยุดก่อน ไฟเขียวถึงจะไป โอ๊ย! คนนี้ทิฏฐิมานะ พวกนี้ติดข้อง ติดข้องไปหมดเลย อะไรก็ปล่อยวางไม่ได้

มันปล่อยวาง ปล่อยวางคุณงามความดีไม่ได้ ทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิมันต้องมีนะ เราต้องมีจุดยืนของเรา ครูบาอาจารย์ต้องมีจุดยืนของเรานะ หลวงปู่มั่นเวลาท่านออกค้นคว้ามานี่ ดูสิ เขาโจมตีเขาถากถางขนาดไหน หลวงปู่เสาร์ไปนี่ โอ๊ย! นี่ครอบครัวจะไปไหน เพราะอะไร? เพราะมีแม่ชีด้วยไง มีแม่ชี มีสามเณรน้อยนะ โอ๊ย! ครอบครัวจะอพยพกันไปไหนน่ะ ทั้งแซวทั้งติฉินนินทา เห็นไหม

แล้วถ้าเราไม่มีจุดยืน ไม่มีทิฏฐิที่สัมมาทิฏฐิมันจะอยู่กันได้อย่างไร ทิฏฐิมันทิฏฐิ คำว่า “ทิฏฐิ” ถ้ามันมิจฉาทิฏฐิสิ ทิฏฐิที่ความเห็นผิด อันนั้นไม่ได้ อันนั้นเราจะเอามาไม่ได้ ทิฏฐิที่ถูกต้องได้นะ ความถูกต้องทำคุณงามความดีต้องมี ศาสนทายาทเกิดตรงนี้ไง เกิดตรงทิฏฐิคือความเห็นถูกต้อง วิธีการที่ถูกต้องเข้าไป แล้วมันภาวนาเข้าไป เห็นไหม ศาสนทายาทเกิดที่ไหน นี่ “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต” เห็นไหม

เราเป็นลูกกันเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน ดูสิ เราเลี้ยงมาเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราโอ้โลมปฏิโลมกันแต่ภายนอกนะ แต่เวลาเข้าไปนี่ใจถึงใจ ถ้าใจถึงใจ เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ใจถึงโสดาบัน ใจถึงสกิทา ใจถึงอนาคา ใจถึงความรู้สึกของใจ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมานี่ โอ๊ย! มันกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยนะ มันรำพึงออกมาจาก...สะเทือนหัวใจนี่ ฟังแล้วมันสะเทือนใจมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไรๆ

แล้วเราครูบาอาจารย์ขึ้นมานี่ หลวงปู่มั่นรู้ได้อย่างไร ดูสิ ขนาดที่ว่ามีเชาวน์ปัญญาขนาดนั้นนะ เพราะปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน มีเชาวน์ปัญญามากนะ นี่เวลาศึกษา แล้วดูสิเจ้าคุณอุบาลี เห็นไหม ท่านเป็นปราชญ์ของเมืองไทยนะ เป็นผู้วางโครงร่างการศึกษา นี่พวกการศึกษาปริยัติต่างๆ

ดูสิ สมัยรัชกาลที่ ๕ การศึกษาของเราเมื่อก่อนมันไม่มีนะ มันเรียนกันตามวัด เห็นไหม ศึกษากันมาเป็นอักษรขอม แล้วเวลารัชกาลที่ ๕ ไปเห็นไปดูการปกครองของเขา แล้วก็จะมาวางรากฐานการศึกษา แล้ววางรากฐานมาจากไหนล่ะ นี่กษัตริย์นะปกครองแล้วมันยังไม่มี กระทรวงศึกษาก็ยังไม่มี อะไรก็ยังไม่มี แล้วคิดการกับใคร คิดการกับสมเด็จสมณเจ้า เห็นไหม วางการศึกษากันไว้นี่ เขียนตำรากัน วางการศึกษากันมา นี่เป็นปราชญ์ของนักการศึกษานะ นี่เจ้าคุณอุบาลีเป็นเสาหลักอันหนึ่งในวงการศึกษาของเมืองไทยเรา แต่เรามองข้ามกันไป เราไปมองข้าม

ดูสิ กระทรวงศึกษาเป็นดอกเตอร์ เป็นศาสตราจารย์ เป็นผู้ที่มีภูมิปัญญา ไอ้พวกนี้มาทีหลัง มาชุบมือเปิบ สิ่งที่เขาวางรากการศึกษาไว้นี่ใครเป็นคนวางรากการศึกษามา ที่รากการศึกษานี่ วางมาอย่างนี้ แล้วเจ้าคุณอุบาลีเป็นเสาหลักอันหนึ่ง เห็นไหม แล้วองค์หลวงปู่มั่นเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาปรึกษา ปรึกษากับใคร นี่ทางวิชาการปรึกษากับเจ้าคุณอุบาลีนะ มาทดสอบตรวจสอบมาฟังเทศน์ฟังธรรม มาปรึกษาผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติไปเรายังไม่เห็นอะไรเลย เห็นไหม

ถนนหนทางเขาเดินไปยังหลงนะ ไอ้นี่เดินเข้าไปในความรู้สึกของใจนี่ ในความรู้สึกของใจ มันเดินเข้าไปตั้งแต่โสดาบัน สกิทา อนาคา มันต้องเดินเข้าไป ทวนกระแสเข้าไปนี่ การเดินทาง เดินทางอย่างนี้ มรรคญาณอย่างนี้ที่มันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้ววิชาการศึกษามันก็เป็นวิธีการเท่านั้น มันเป็นปริยัติมันเป็นวิชาการ แล้วยังไม่มีใครทำขึ้นมาเลย แล้วปรึกษากับใคร นี่มีปัญญาขนาดนั้นนะ

แต่เวลาบรรลุธรรมขึ้นมา เห็นไหม สิ่งนี้พระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร มันลึกลับๆ พอสมควรแต่ไม่พ้นวิสัยของมนุษย์ ไม่พ้นวิสัยของความรู้สึกอันนี้ ถ้าความรู้สึกอันนี้เข้าไป เห็นไหม ศาสนทายาทเกิด เกิดตรงนี้ เกิดตรงหัวใจมันเป็น ถ้าหัวใจมันเป็น เห็นไหม การเคลื่อนไหวมันก็เป็นหมด มันเป็นมาจากใจ ดูสิ การกระทำการเคลื่อนไหวทั้งหมดมันมาจากความรู้สึกนะ ถ้าใจไม่สั่งทำอะไรไม่ได้หรอก ถ้าใจไม่สั่งนะ ดูสิ ถ้าใจไม่สั่ง แม้แต่ใจสั่งนะ ถ้าเวลามันเป็นอัมพฤกษ์ขึ้นมามันก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน

แต่ถ้ามันสิ่งที่มันเนื่องกัน เห็นไหม สมองคิดได้อย่างไรๆ สมองถ้าไม่มีตัวพลังงานตัวจิต สมองคิดไม่ได้หรอก สมองคือสมอง สมองคือธาตุ สิ่งที่เป็นธาตุมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ถ้ามันไม่เข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์มันใช้ประโยชน์อะไรมัน เราเขียนโปรแกรมแล้วทิ้งไว้สิ ไม่ยัดเข้าไปในเครื่องมันจะเป็นประโยชน์อะไรไหม สมองมันก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ถ้ามันมีหัวใจ มันมีพลังงาน พลังงานเข้าไป นี่มันเนื่องกัน สมองเฉยๆ คิดไม่ได้

แล้วถ้าพูดถึงใจเฉยๆ คิดได้ เพราะใจเฉยๆ ความรู้สึกมาจากภายใน แต่คิดอย่างเดาส่ง เห็นไหม ดูสิ เราสบตากัน ตาต่อตามันประสาทแห่งความรู้สึกนะ ตานี่เป็นหน้าต่างของหัวใจ มันประสาทความรู้สึก ไม่มีสมองมันก็คิดของมันได้ แต่ในเรื่องความหยาบๆ เรื่องของโลกมันต้องผ่านสมอง ผ่านจากความรู้สึกผ่านจากความคิด เห็นไหม นี่สมองที่มันคิดได้เพราะมันมีพลังงานมีตัวใจเกี่ยวเนื่องกัน

นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายนี่มันแสดงออกๆ ร่างกายแสดงออกไป มันต้องมีหัวใจ มีการเกี่ยวเนื่องกัน ใจอย่างเดียวแสดงออกได้จากภายในจากความรู้สึก ดูสิ เวลานั่งสมาธิจิตสงบขึ้นมา เห็นไหม ไปเห็นเทวดา อินทร์ พรหม ไปสวรรค์ไปนรกไปได้หมด จิตออกไปร่างกายไปไหน ร่างกายนั่งอยู่นี่ แต่หัวใจมันไปหมดนะ มันไปรับรู้เลย มันไปเทศนาว่าการบนสวรรค์บนอะไร มันไปได้หมดเลย สิ่งนี้มันประพฤติปฏิบัติแล้วมันจะรู้ได้อย่างนี้

แล้วมันไม่กลัวใครหรอก ความจริงที่เกิดขึ้นมาในประสบการณ์ กับความเป็นไปอ่านตำรามานี่อ่านแล้วไม่กล้าพูดนะ พระพุทธเจ้าบอก “ทำความจริงไม่กล้าพูด กลัวผิด แล้วกลัวเขาจะบอกว่าเรานี่ล้าสมัย” มันจะล้าสมัยไปไหน หมดนะ ๕,๐๐๐ ปีหมดไปแล้วนะพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้น่ะ อนาคตข้างหน้าพระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้อย่างนี้ ธรรมอย่างนี้อนาคตพระพุทธเจ้ายังมาตรัสรู้เลย แล้วนี่มันล้าสมัยไปไหน แต่เราไม่กล้าพูดกันว่าล้าสมัย มัน ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ไม่กล้าพูด นี่ขนาดอ่านตำราเราก็ไม่กล้าพูด

แต่เข้าไปประสบจริงไม่ต้องอ่านตำรา ทำมากับมือทั้งนั้น ทำมากับมือ มือทำมาเองแล้วมันไปกลัวอะไร เพียงแต่ว่าพูดออกไปมันเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์นะ มันสังเวชตรงนี้ที่หลวงตาท่านพูดน่ะ ตั้งแต่ออกมาไทยช่วยไทยนี่เสียใจอย่างเดียวเท่านั้น เสียใจเพราะคนมันตกนรกมาก เสียใจอันเดียวไงเพราะเขาสบประมาท เขาสบประมาทเขาโต้แย้ง มันเป็นนรกของเขาทั้งนั้นนะ

แต่มันต้องทำเพราะอะไร? เพราะมันเป็นคนส่วนมากต้องรักษาส่วนใหญ่ไว้ รักษาประเทศชาติไว้ รักษาความจริงไว้ ท่านก็ต้องออกโต้กับเขา ออกโต้กับเขา เวลาออกโต้กับเขามา คำโต้มา เห็นไหม ที่เขาโต้มามันต้องหาเหตุผล แล้วหาเหตุผลลบหลู่ หาเหตุผลพยายามจะเอาเหตุผลชนะได้ มันก็ต้องคิดออกมาจากใจ นี่กรรมมันเกิดตรงนี้ไง ถึงว่ามันมีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ตรงนี้ ตรงที่ว่าพูดไปแล้วถ้ามันเป็นประโยชน์มันก็ได้ประโยชน์ เราๆ ศาสนทายาทเป็นผู้แสดงธรรมเป็นผู้สื่อสาร เห็นไหม

แล้วถ้าเกิดเขาได้ประโยชน์ขึ้นมาก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าสื่อสารออกไปแล้วไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม นี่มันเห็นโทษอย่างนี้ไง มันถึงว่าพูดไปทำไมมันเป็นโทษกับเขา ไม่เป็นโทษกับเรานะ เป็นโทษกับเขา ถึงว่าพูดได้ถ้าเอาเด็ดขาด เด็ดขาดเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าเขายิ่งสบประมาทมากขนาดไหน เขายิ่งทำของเขามากขนาดไหน มันก็นรกมากขนาดนั้น นี่ไงมันรู้ถึงเหตุถึงผลน่ะ มันกลับสังเวชไง นี่ธรรมสังเวช

เขาทำแล้วเป็นโทษกับเขา เราทำเพื่อประโยชน์นะ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านทำเพื่อประโยชน์ ครูบาอาจารย์ท่านว่า “ท่านทำเพื่อประโยชน์” อุ้มประเทศชาติ อุ้มโลกเลย แต่ทำเพื่อประโยชน์แต่ไอ้คนที่มันจะเอา มันจะกอบโกยทุกข์กอบโกยกรรม เห็นไหม มันก็โต้แย้ง พอมันโต้แย้ง มันก็เป็นกรรมของมัน นี่สลดสังเวชว่าออกมาช่วยเหลือแล้วคนตกนรกมาก

นี่ก็เหมือนกัน การแสดงออกไป แสดงออกไปเพื่อคนดี คนดีมีประโยชน์ขึ้นมาก็แสดงเพื่อคนดี หลักการเพื่อคนดี แล้วคนดีเวลาพูดความดีไป เห็นไหม มันเข้ากัน ความจริงเข้ากับความจริง ความถูกต้องเข้ากับความถูกต้อง ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิก็เรื่องของเขา นี่สัตว์โลกเป็นสภาวะแบบนั้น นี่ศาสนทายาทเป็นโดยหัวใจนะ

เวลาเกิดขึ้นมานี่ เห็นไหม เป็นลูกเป็นเต้าของพ่อของแม่ บวชแล้วถ้าอยู่ในโลกก็เป็นทายาททางโลก ถ้าเป็นทายาททางธรรม เห็นไหม แล้วทายาททางธรรมนี่มันเป็นธรรมเข้ามาจากหัวใจ ใจเป็นธรรมทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าทุกอย่างเป็นธรรม ...เป็นธรรม กว่าจะเป็นธรรมได้ ตรงนี้สำคัญมากนะ ถ้าครูบาอาจารย์ไม่มีตรงนี้ มันดูสิ เราบ่มเพาะ เห็นไหม ดูสิ ผลไม้เอามาแกะแล้วเอามาบ่มให้มันสุกน่ะ นี่ก็เหมือนกัน กว่าจะบ่มเพาะหัวใจ จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน จากกัลยาณปุถุชนเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล มันต้องบ่มเพาะอย่างนี้

การบ่มเพาะการเปลี่ยนแปลงนี่ครูบาอาจารย์ต้องมีเทคนิคต้องมีวิธีการ ผู้ที่สูงกว่าพยายามดึงที่ต่ำกว่าขึ้น การดึงที่ต่ำกว่านี่ โรยเชือกมาให้ดึง ทอดบันไดทั้งหมด ทอดทำถนนหนทาง ทำรางเครื่องบินให้ขึ้นทั้งหมดเลย แต่มันไม่รู้จัก มันว่าครูบาอาจารย์ดุมาก ครูบาอาจารย์ อู้ฮูย! รุนแรงมาก ครูบาอาจารย์ทำลายทุกหมดเลย นี่กิเลสมันเป็นอย่างนั้น เห็นไหม

แต่ศาสนทายาท พ่อแม่ครูจารย์นะ สร้างขึ้นมาแต่ละคน ได้แต่ละคนประโยชน์มหาศาลเลย สามแดนโลกธาตุไม่ใช่โลกธาตุเดียวหรอก ไม่ใช่มนุษย์หรอก เทวดา อินทร์ พรหม ได้ประโยชน์หมดเลย นี่ศาสนทายาท เราเกิดมาจากไหน? เกิดจากหัวใจ เกิดจากความรู้สึก ความรู้สึกเราเป็นได้นะมันเป็นกันที่ใจ ร่างกายนี้เกิดมานี่ ได้ร่างกายมาเพราะบุญกุศล เกิดมาเป็นมนุษย์

แล้วทุกคนต้องตายไป แต่จิตไม่เคยตาย ...มหัศจรรย์ แล้วถ้าจิตไม่เคยตายมันมีกิเลสมันก็ไปตามมัน แต่ถ้ามันเป็นถึงที่สุด เห็นไหม นี่จิตไม่เคยตาย นี่มันถึงว่านิพพานคงที่ของมัน คงที่แบบนิพพาน ไม่ใช่คงที่แบบสมมุติที่เรายิ่งคิดยิ่งบ้า เอวัง