เทศน์พระ

พระต้องรู้ธรรม

๓๑ ส.ค. ๒๕๕๑

 

พระต้องรู้ธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้อุโบสถ ครึ่งทางนะ วันคืนล่วงไปๆ วันนี้วันอุโบสถ ปักษ์นี้เดือนครึ่ง อีกเดือนครึ่งออกพรรษา ออกพรรษา เห็นไหม ออกพรรษาแล้วพระออกวิเวก ออกไปหาความสงบสงัด แต่ในปัจจุบันนี้ถ้าเราคิดถึงออกพรรษา เห็นไหม อีกหนึ่งเดือนครึ่ง อีกหนึ่งเดือนกว่า ชีวิตเราจะถึงออกพรรษาไหม หายใจเข้าและไม่หายใจออกนะ นอนไปตื่นมา ถ้าไม่ตื่นก็ตาย ความตายนี่มันอยู่เป็นปกติเลย ถ้าความตายนะ ถ้าเราคิดอย่างนี้แล้วเราจะไม่คิดฟุ้งซ่านไปอนาคต ถ้าเราคิดฟุ้งซ่านไปอนาคตนะ ในปัจจุบันไง ในการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี่สำคัญที่สุด

ก่อนเข้าพรรษานะ เราตั้งใจอธิษฐานพรรษากัน ในพรรษานี้เราจะเร่งความเพียร เราจะเร่งความเพียรนะ ความเพียรอุกฤษฏ์เลย เวลาเราบวชใหม่ ทุกคนบวชใหม่นะปรารถนาถึงสิ้นกิเลส ถ้าเราบวชไปแล้วเราจะตั้งใจภาวนา เราจะเข้าป่าเข้าเขา เราจะเร่งความเพียรของเราด้วยความอุกฤษฏ์ ทุกคนจะคิดอย่างนี้หมดเลย

แต่เวลาปฏิบัติไปแล้ว เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านฉลาดนะ ท่านจะไม่ให้เราคุ้นชินกับอารมณ์ความรู้สึกของเราเอง จะนั่งที่ไหน จะอยู่ที่ไหน ให้มันตื่นตัวตลอดเวลา เพราะการตื่นตัวกิเลสมันเกาะเราไม่ทัน ถ้ากิเลสมันเกาะเราทันนะ ความปรารถนาความตั้งใจของเรา เห็นไหม ถ้าบวชแล้วให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ เราอยากจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวางศาสนาไว้

เราเห็นตัวอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์นะ ละทิ้งสมบัติทางโลกมาทั้งหมดเลยแล้วออกมาแสวงหา ไม่ใช่ออกมามีธรรมแล้ว แต่เราบวชมามันมีธรรมแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้แล้ว มีเครื่องบอกมีเครื่องชี้ทางอยู่แล้ว เราออกมาเพียงแต่เราเริ่มประพฤติปฏิบัติด้วยความจริงจังนะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ถ้าผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม อย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามี

ถ้าเป็นพระอนาคามีนะ จิตอยู่ในเรือนว่าง เราอยู่ในเรือนว่าง เห็นไหม ว่างหมด แต่เรามีเราอยู่ แต่ถึงที่สุดแล้วนะก็จะพ้นจากกิเลสไป แต่นี่มันเป็นความวิตกกังวล เราจะทุกข์จะร้อนไป ความทุกข์ใจนะ ความเป็นอยู่ของสงฆ์ เขาเห็นว่าความเป็นอยู่ของพระนี่สะดวกสบาย ไม่ต้องปากกัดตีนถีบแบบโลกเขา โลกเขาปากกัดตีนถีบแล้วยังหาทางออกนะ อยากจะพ้นจากทุกข์นะ แสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย ของเราอยู่ในสัจธรรม อยู่ในประเพณีของชาวพุทธ เขาหาให้นะ เขามาทำบุญกุศลของเขา ปัจจัยเครื่องอาศัย เพราะการแสดงออกของใจ การทำบุญคือการแสดงของใจ ใจของเขาเขาจะทำบุญด้วยอย่างไร? ก็ด้วยหาปัจจัย ๔ ปัจจัยเครื่องอาศัยให้กับนักรบ

นักรบคือภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ภิกษุเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นไหม ใช้ปัจจัย ๔ แล้ว ต้องพยายามเร่งความเพียรของเรา เพราะหน้าที่ของเราไม่มี หน้าที่การหาปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ไม่มี เป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์เขา หน้าที่ของโลกเขา เขาแสวงบุญของเขา เขาต้องการบุญกุศลของเขา เขาหามาเพื่อต้องการทำบุญของเขาเพื่อประโยชน์ของเขา นั่นประโยชน์ของเขา แล้วประโยชน์ของเราล่ะ? ประโยชน์ของเรา เห็นไหม เราต้องหาดูใจของเรา เราต้องพยายามฟื้นฟูใจของเรา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมาจากราชวัง ออกมาแล้วไปถึงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารคิดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนเขาปฏิวัติมา จะให้กองทัพครึ่งหนึ่งให้กลับไปเอาสมบัตินั้นคืน เจ้าชายสิทธัตถะบอก “ไม่ใช่ ออกมาแสวงหาโมกขธรรมจริงๆ ออกมาด้วยความปรารถนา ไม่ใช่มีใครขับไสมาหรอก” ออกมาด้วยอำนาจวาสนา ออกมาด้วยความต้องการ “ถ้าอย่างนั้น ถ้าประพฤติปฏิบัติมาแล้วได้ธรรมมาให้มาสอนด้วย” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วกลับไปสอนพระเจ้าพิมพิสาร จนพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน

ทางคฤหัสถ์เขา เขาพยายามสร้างบุญกุศลของเขา เขาปรารถนาตรงนี้ไง ปรารถนาตรงที่ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสารได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามีคุณธรรมในหัวใจ แล้วมาสั่งสอนกันบ้าง มาบอกทางกันไง แม้แต่ความเป็นอยู่ดำรงชีวิต เห็นไหม สอนโดยไม่ต้องสอน ชีวิตของเราสอนโดยไม่ต้องสอน เราดำรงชีวิตของเรา

ชีวิตของเรา เห็นไหม เราไม่ตื่นเต้นไปกับเขา เสา ๘ ศอกปักอยู่ในดิน ๔ ศอก อีก ๔ ศอก พ้นจากดินมา จะโดนลมพัดโดนพายุกระหน่ำขนาดไหนมันก็ไม่หวั่นไหว จิตใจของผู้ที่มีคุณธรรมไง มันจะไม่ไหวกับโลก ดูสิ โลกถ้าร่มเย็นเป็นสุขนะ ภิกษุเราในการประพฤติปฏิบัติ สมณะ ชี พราหมณ์ จะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ จะได้มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ แล้วโลกในปัจจุบันมันสงบสุขเพราะใคร? สงบสุขเพราะเรามีผู้นำที่ดี

ราชาโน เห็นไหม เวลาในอุโบสถนะ ถ้าเราสวดอุโบสถอยู่นี้ ถ้ากิจกรรมของสงฆ์ไม่สำเร็จไป ภิกษุลุกออกจากสงฆ์นี้ไปเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้! งูเข้ามาในสถานที่นี้ เว้นไว้ไฟไหม้ เว้นไว้แต่กษัตริย์เสด็จมา ราชาโนไง เวลากษัตริย์เสด็จมาสงฆ์หยุดได้ สังฆกรรมนี้ให้พัก พักเพื่อต้อนรับกษัตริย์ก่อนเห็นไหม สังคมที่มันร่มเย็นเป็นสุขเพราะอะไร? เพราะผู้นำที่ดี สังคมที่ดี เห็นไหม สมณะ ชี พราหมณ์ อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสมณะ ชี พราหมณ์ อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขมันจะนอนใจไหม

ถ้าเรานอนใจวันคืนล่วงไปๆ แล้วอนาคตเราจะคิดว่าสัปปายะ การประพฤติปฏิบัติจะเป็นจริงอย่างนั้นไหม ถ้าเกิดสงคราม เกิดสิ่งต่างๆ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกิดวาตภัย เกิดต่างๆ ขึ้นมา ภิกษุจะมานั่งภาวนาอยู่ได้อย่างไร ภิกษุจะมานั่งหลับตาพุทโธๆ อยู่เหรอ ภิกษุก็ต้องออกไปช่วยเหลือสังคมใช่ไหม

สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาขณะที่สังคมมันร่มเย็นเป็นสุขนี่อย่าลืมตัว เพราะร่มเย็นเป็นสุขอย่างนั้น เพราะเราเกิดในประเทศอันสมควร สมควรนะ ประเทศอันสมควรประเทศที่มีฤดูกาล ๓ ฤดูกาลเห็นไหม ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูมันเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงเพื่ออะไร? เพื่อให้คนมันได้มีการเปลี่ยนแปลง มีวิวัฒนาการของมัน ดูสิ พวกพรรณพืช เวลาฝนตกขึ้นมามันจะเกิดแตกหน่อแตกพันธุ์ของมันออกมา สดชื่นของมันออกมา ใจของเราก็เหมือนกัน ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป เช่น เข้าพรรษา ออกพรรษา ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง เห็นไหม “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” เป็นปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

แล้วเราได้พิจารณาไหม? เราได้ทำหน้าที่ของเราไหม? ถ้าเราทำหน้าที่ของเรา เห็นไหม อุโบสถสังฆกรรม เรามากันเพื่อมาตอกย้ำ ตอกย้ำเรื่องสังฆกรรม ตอกย้ำเรื่องอุโบสถ เรื่องความสะอาดบริสุทธิ์ของสังฆะ ถ้าสังฆะสะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม สงฆ์มันเป็นใหญ่ เหมือนร่างกายของมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์ตรวจร่างกายประจำเดือน ประจำวัน ประจำปี ตรวจร่างกายของเขา ร่างกายมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไหม

ลงอุโบสถก็เหมือนกัน ตั้งแต่ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ ต่างๆ สวดอุโบสถกัน สังฆกรรมมีใครทำผิดบ้าง? ใครทำผิดสิ่งใดให้ปลงอาบัติ ให้เข้าอยู่กรรมออกไปจากอาบัติให้ได้ เพราะอาบัตินี่เห็นไหม อาบัติ! อาบัติทำให้มันดูมีความเศร้าหมอง แล้วเศร้าหมองไหม สังฆกรรมนั้นเศร้าหมอง สังฆกรรมนั้นเป็นสังฆะ สังฆกรรมนั้นเป็นโมฆียะ เป็นโมฆะ เป็นต่างๆ ไป เห็นไหม

แต่ถ้าสังฆกรรมนั้นสะอาดบริสุทธิ์ล่ะ สังฆกรรมสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ทุกคนต้องการความดีใช่ไหม เราต้องการคุณงามความดีทั้งนั้น เราต้องการให้ทุกคนปรารถนาดีกับเขา แต่เราต้องการสิ่งนั้นเราก็ต้องทำสิ่งนั้นเพื่อสังคมด้วย เพื่อสังฆะด้วย เราต้องการสิ่งใดปรารถนาสิ่งใด เราต้องทำสิ่งนั้นเพื่อสังคม เพื่อสังฆะ เพื่อตัวเรา ถ้าเราไม่ทำสิ่งนั้น เราปรารถนาสิ่งนั้น แต่เราไม่ทำสิ่งนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติเราต้องการพ้นจากกิเลส แต่วิธีการของเรา การกระทำของเรา ชีวิตของเรา สมกับการจะพ้นจากกิเลสไหม? ถ้าไม่สมกับการพ้นจากกิเลส ทำกันอย่างนี้เหรอ ทำกันแบบเด็กเล่นขายของ ศาสนามันไม่ใช่ของเล่น ศาสนาเป็นของจริง เห็นไหมดูสิ บวชก็บวชขึ้นมาจริงๆ เวลาบวชขึ้นมาญัตติจตุตถกรรมออกมาจากโบสถ์ อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ ทำเล่นหรือทำจริงล่ะ ถ้าทำเล่นก็ของเล่น ทำเล่นก็โมฆะเป็นโมฆียะ เป็นวิบัติ ๔ พอสิ่งนี้เป็นวิบัติมันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไร

สมมุติก็จริงตามสมมุติ ขณะที่เราจะบวชต้องจริงตามสมมุติ บวชมาจริงแล้วทำจริงขึ้นมา พอบวชขึ้นมาจริงแล้ว จากสมมุติเป็นบัญญัติ สมมุติเราสมมุติกัน คุยกันเป็นภาษาสมมุติ สมมุติก็โลกเขาคุยกัน บัญญัตินี่บาลีไง บัญญัติๆ เห็นไหม ธาตุ ๔ ปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรมมันเป็นบาลี มันเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นจริงไหม

คำสอนของพ่อแม่ เห็นไหม พ่อแม่สอนลูกก็ดีทุกอย่าง แต่ลูกก็เบื่อหน่าย ลูกก็ไม่ฟังสักอย่าง พอโตขึ้นมา ลูกที่โตขึ้นมาเป็นพ่อแม่คนมันก็รู้สึกว่าต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน โลกต้องเป็นอย่างนั้น ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น นี่ก็เหมือนกัน คำสอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นสัจจะความจริง แต่เราลังเลสงสัย เราเชื่อไม่ได้ เราเชื่อไม่ได้ เราทำไม่ได้ ถ้าเราเชื่อได้ มันซึ้งใจมากนะ มันซึ้งใจคนที่เห็นคุณคนนะ

เราออกบิณฑบาตตอนเช้า แม้แต่ออกบิณฑบาต การเหยียดคู้ของเรา สิ่งนี้เห็นไหม ชาวบ้านชาวช่องเขาก็รู้นะ เห็นไหม ถือเอ้กา พระเขาถือเอ้กา เขาฉันมื้อเดียวเห็นไหม เขาถือเอ้กาเป็นประเพณีของภาคกลาง แต่ถ้าเป็นประเพณีของอีสานเห็นไหม เป็นอีสานก็ธุดงควัตร ถือธุดงค์เห็นไหม พระธุดงค์เขาจะเข้าใจว่าพระป่า พระป่าทำตัวอย่างไร เขาเข้าใจของเขา

แม้แต่พระเรา เห็นไหม บวชเป็นพระนุ่งห่มธงชัยพระอรหันต์ เขาเห็นผ้าเหลืองนะ เขาเกรงใจผ้าเหลือง เขาไม่กล้าว่ากล้าติกล้าเตียน เขาไม่กล้าติกล้าเตียนทั้งๆ ที่ติเตียนได้ คำว่าติเตียน เขาไม่ได้ติเตียน ติเตียนนี้เป็นคำติเตียนที่เป็นบาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าเป็นการเตือนล่ะ เป็นการบอกกล่าวล่ะ เป็นการเตือนเป็นการบอกกล่าวเพราะอะไร?

เราเป็นเจ้าของศาสนาใช่ไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา “มารเอย เมื่อใด ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ของเรายังไม่สามารถกล่าวแก้การจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้” ของลัทธิ ของหมู่คณะ ของสังคมอื่นที่เขาจาบจ้วง เขาติเตียน “ถ้ายังไม่สามารถกล่าวแก้ลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ปรินิพพาน” จนถึงวันมาฆบูชา เห็นไหม พอถึงวันมาฆบูชามารดลใจมาตลอด “มารเอย อีก ๓ เดือนข้างหน้า วิสาขบูชาเราจะปรินิพพาน บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้” ศาสนามั่นคง มั่นคงเพราะอะไร? เพราะการเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมที่ไหน?

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เผยแผ่เข้าไปในหัวใจของสัตว์โลก เห็นไหม ดูสิ เวลาพระเจ้าอโศกมหาราชเผยแผ่ธรรม ทำสังคายนา เพราะอะไร? เพราะติสสะ ติสสะนี้เป็นอาจารย์ของพระเจ้าอโศก เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้รู้จริง เป็นพระอรหันต์แล้วมีบารมี มีบารมีเพราะอะไร? คำว่ามีบารมี เพราะภิกษุยอมรับ การจะเป็นหัวหน้าภิกษุ หัวหน้านักปราชญ์ ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจน่ะ เขาไม่ให้เป็นหัวหน้าหรอก เป็นหัวหน้า เป็นหัวหน้าเพราะอะไร? เป็นหัวหน้าเพราะมีเหตุมีผล มีเหตุมีผลในการชี้นำ ในการต่างๆ เพราะหัวหน้าชี้นำ เห็นไหม พระเจ้าอโศกทำสังคายนาแล้วก็ส่งพระต่างๆ ออกมาเป็น ๘ สาย ๘ สายออกมาเพื่อศาสนา เพื่อให้ศาสนามั่นคง เห็นไหม “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถแก้คำจาบจ้วง”

แล้วนี่เราอยู่ในสังคมของสงฆ์ เวลาออกบิณฑบาต สังคมคฤหัสถ์ อุบาสก อุบาสิกา เขาเห็นเขาก็ชื่นใจของเขา เขาเห็นเขาดูแลของเขา เขาเห็นของเขานะ นี่มันเป็นเรื่องหัวใจทั้งหมด เห็นไหม แล้วเราล่ะ ถ้าเราสงบ เราอยู่ในศีลในธรรม เรามีศีล สมาธิ ปัญญา เรามีหลักมีเกณฑ์ของเราขึ้นมา มันต่างคนต่างได้ประโยชน์ เห็นไหม ศาสนามันก็มั่นคง เขาก็ได้ประโยชน์ของเขา เขาได้ทำบุญกุศลของเขา เขาลงใจของเขา ทำแล้วเขาชื่นใจของเขา

แต่ถ้าภิกษุที่เป็นอลัชชี เขาทำไปแล้วเขาก็ไม่สะดวกใจของเขา แต่! แต่ในเมื่อเป็นเรื่องศาสนาเขาก็ต้องดูแลรักษา เขาก็ทำของเขาไป มันก็แกนๆ เห็นไหม สักแต่ว่าทำ! สักแต่ว่า เริ่มต้นตั้งใจเป็นสักแต่ว่า ผลก็เป็นสักแต่ว่า ถ้าสักแต่ว่าจากข้างนอก เห็นไหม แต่สิ่งนี้มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา เราต้องไม่หลอกตัวเราก่อน อย่าโลเล สัจจะความจริงต้องทำ ทำอะไรทำให้มันจริงๆ ลงมือจริงๆ ไอ้นี่มันโลเลที่ใจใช่ไหม โน่นเขาก็ทำแล้ว นี่เขาก็ทำแล้ว สิ่งนี้เขาทำแล้วเราไม่ต้องทำเพราะสิ่งนี้มีคนทำแล้ว มันเป็นเรื่องเล็กน้อย

เพราะของเล็กน้อยเห็นไหม ดูสิ เขื่อนมันแตกเพราะตามด เพราะเห็นว่าของเล็กน้อย นี่ก็เล็กน้อย กลายเป็นคนเฉื่อยชา กลายเป็นคนไม่มีจุดยืน กลายเป็นคนไม่มีความรู้สึกนะ เหมือนหุ่นยนต์ เหมือนซากศพ เดินไปเดินมาเหมือนซากศพ แต่กิเลสมันเกาะหัวใจอยู่นะ มันบอกว่ามันเป็นผู้ที่มีคุณประโยชน์ เป็นคนที่ว่าเขาเคารพนบนอบ มีคนคอยอุปัฏฐากอุปถัมภ์

อุปัฏฐากสิ่งใด สิ่งใดของเขาน่ะใครทำก็ใครได้ เป็นสมบัติของเขา ใครเป็นคนกินเป็นคนอิ่ม จิตใครเป็นคนทำใช่ไหม หัวใจเขาพัฒนาแล้วเห็นไหม ดูสิ อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้านิ่งอยู่เพราะอะไร? เพราะรู้เท่าความคิดตัว คิดออกไป พูดออกไป มันจะเป็นประโยชน์กับใครไหม พูดออกไปมันกระทบกระเทือนใคร กระทบกระเทือนเขาไปหมดใช่ไหม เราไม่ให้กระทบกระเทือนใคร เรามีสติของเรา เห็นไหม ความนิ่งอยู่ นิ่งอยู่เพราะรู้เท่า รู้เท่าความคิด รู้เท่าว่าเราพูดออกไปแล้วมันจะมีเหตุกับผล เห็นไหม

ดูสิ คนเกิดมานี่เอาขวานมาคนละเล่ม คือปากนี่ถากกันด้วยขวาน ถากกันด้วยคำพูด ด้วยการติฉินนินทา ความติฉินนินทานี่ติฉินนินทาเรื่องของเขา เราไม่พอใจสิ่งใดเขาก็ไม่พอใจในสิ่งนั้น ถ้าเราไม่พอใจสิ่งใดเห็นไหม เราก็ไม่ทำสิ่งนั้นเหมือนกัน สิ่งที่ไม่พอใจ แล้วสิ่งที่เวลาปฏิบัติขึ้นมามันเรื่องของใคร มันเรื่องหัวใจของเรานะ ถ้าใจของเราดี เห็นไหม หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะ การปฏิบัติของเราเราจะปฏิบัติด้วยความสะดวกสบายใจ เพราะอะไร? เพราะมันไม่ต้องหวั่นไหว ไม่ต้องวิตกกังวลว่ามันจะมีอะไรกระทบกระเทือน

แต่ถ้ามันเป็นสิ่งใด เห็นไหม หมู่คณะที่เขาไม่ได้ปฏิบัติ หมู่คณะที่เขาไม่เห็นด้วย เราจะทำสิ่งใดมันก็กระทบกระเทือนกันน่ะ เราก็ต้องระวัง เราก็ต้องรักษา นี่ไงสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะนะ ศาสนามันเจริญเจริญตรงนี้ไง สัปปายะ ๔ มันสมควรไปหมดเลย ถ้าสมควรไปหมดมันก็เป็นดีกับเรา แล้วสิ่งข้างนอกมันสมควรแล้ว แล้วเราสมควรไหม? เราตั้งใจทำจริงของเราไหม? ถ้าเราตั้งใจทำจริงของเรานะ สิ่งที่เราทำขึ้นมามันไม่เป็นประโยชน์เพราะอะไร? เพราะใจมันโลเลไง ใจมันจับจด

ถ้าใจจับจด! สุกเอาเผากิน ทำก็สักแต่ว่าทำ เรียกร้องแต่จะเอาผล ฟังธรรมทุกวันๆ ฟังจนชินหู พูดจนชินปาก หัวใจมันด้าน หัวใจมันด้าน มันดื้อ ไม่เป็นตามความจริง เพราะธรรมที่เราฟังอยู่นี่มันธรรมของใคร ธรรมของครูบาอาจารย์ใช่ไหม

ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดมาจากใคร? มันก็เกิดมาจากการปฏิบัติของเรา มันเกิดมาจากหัวใจของเรา มันจะเกิดจากการฟังนั้นไหม การฟังในภาคปฏิบัติ เห็นไหม การฟังนี่สำคัญที่สุด การฟังเพราะอะไร? เพราะฟังนี่สัจจะความจริงมันออกมาจากใจแล้วมันกระเทือนหัวใจของเรา การฟังนี่มันทิ่มเข้ามาที่ใจๆ เวลาปฏิบัติเราก็ทำของเราให้จริงจังขึ้นมาสิ ไอ้นี่เวลาฟังขึ้นมามันก็ทิ่มหัวใจ แต่พอมันลงจากศาลาไปกุฏิ มันก็ไปหมอบกับกิเลสไง ให้กิเลสมันขี่หัว

..เอาไว้ก่อน มันชื่นใจอยู่ มันมีเหตุมีผลอยู่ แต่ถ้าพักก่อนเดี๋ยวตื่นขึ้นมาแล้วจะทำ แต่ไว้พรุ่งนี้ก่อน แต่ไว้ออกพรรษาก่อน สถานที่มันไม่สงัดนะ ออกพรรษาแล้วเราจะไปที่ป่าที่เขา เราจะไปที่สงบสงัดที่เราจะเร่งความเพียรของเรา เห็นไหม กิเลสมันผลักไปออกพรรษาโน่นค่อยภาวนาไง มันไม่ได้มาภาวนาเดี๋ยวนี้ นี่หัวใจมันโลเล

ถ้าหัวใจมันโลเลมันจะเอาจุดยืนมาจากไหน หัวใจต้องไม่โลเลนะ หัวใจเรามันจะต้องไม่โลเล ปักลงไปเดี๋ยวนี้ๆ ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ความตายมันจะถึงเมื่อไหร่ ใครจะไปรู้ว่าความตายมันจะมาถึงเราเมื่อไหร่ เราอย่านอนใจนะ ผัดวันประกันพรุ่ง.. มั่นคงมาก ชีวิตมั่นคงมาก ยังไม่ตายหรอก อีก ๕๐๐ ชาติถึงจะตาย.. ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอก ความตายประมาทกันไม่ได้ มันมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ถ้ามาถึงเมื่อไหร่ มรณานุสติ เห็นไหม พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติ เทวดานุสติ สิ่งต่างๆ เป็นสติ เป็นอนุสติให้จิตมันได้เกาะไว้ ให้มันคิดไว้ ให้มันเตือนใจไม่ให้มันฟุ้งซ่านออกไป นี่ก็คิดไปแต่ข้างนอก แล้วเราจะทำไอ้นั่น เราจะบริหารจัดการไอ้นั่น เขาให้เอ็งบริหารเหรอ ชีวิตเอ็งทำไมไม่บริหาร หัวใจนี่ทำไมไม่บริหาร กิเลสในหัวใจทำไมไม่เหยียบย่ำมันลงไป เหยียบมันลงไป อย่าให้มันครอบงำ อย่าให้มันเหยียบย่ำใจเรานะ

ถ้ามันเหยียบย่ำใจเรา เห็นไหม นี่ไง นักรบมันไม่สมเป็นนักรบเลย นักรบมีแต่เสื้อเกราะ ไม่มีดาบ ไม่มีอาวุธ ไม่มีสิ่งใดๆ เลย นักรบไม่มีสติ นักรบไม่มีสติสัมปชัญญะ ความเป็นอยู่ข้างนอกนะ วัดวาอาราม สิ่งที่อยู่อาศัย ไม่ต้องวิตกกังวลเลย ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ออกมาอยู่โคนต้นโพธิ์ ไม่มีโบสถ์วิหารแม้แต่หลังเดียว ไม่มีสิ่งใดๆ เป็นเครื่องยืนยันในเครื่องแสดงออกของศาสนาพุทธเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาไม่มีสิ่งใดๆ เป็นเครื่องประกอบเลย

ของเราอยู่กันวิหารตึกรามบ้านช่อง ทุกอย่างอยู่สุขสบาย แล้วตรัสรู้ขึ้นมา ถ้ามันบรรลุธรรมขึ้นมา เห็นไหม มันยังมีเหตุมีผล มีเหตุมีผลเพราะอะไร? เราไม่ไปตื่นเต้นกับสิ่งนั้น มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ สิ่งที่ก่อสร้างที่สร้างกันมาสร้างเพื่อใคร เห็นไหม นกมีรวงมีรัง แต่มันก็มีความพอดีของมัน

นี่ก็เหมือนกัน เราสร้างเราดูแลของเรา มันมีความพอดีของมัน แล้วเราสะดวกสบายของเรานะ ทุกคนคิดส่งออก ถ้าเรามีกุฏิอย่างนั้น เรามีศาลาอย่างนั้น เรามีอะไรอย่างนั้น มันจะมีความสะดวกสบาย แล้วมันจริงไหม? มันเป็นขี้ข้า มันมีไว้บำรุงรักษานะ แต่ในเมื่อเราต้องบริหารจัดการ ในเมื่อสังคมมันเป็นอย่างนี้ สังคมมันก็มีที่ซุกหัวนอน ที่หลบ.. พอแล้ว ที่ซุกหัวนอนนะ แล้วหน้าที่ของเรา การกระทำของเรา ให้มันเป็นข้อเท็จจริงนะ เราปฏิบัติกันจริงๆ

สิ่งที่เราปฏิบัติ พอปฏิบัติถึงที่ปฏิบัติแล้วนะ มันหดหู่ๆ มันเศร้าสร้อย มันหงอยเหงา เวลาจิตใจมันตก จิตตกนะ จิตตกเห็นไหม เวลาจิตเสื่อมจะแก้อย่างไร? จิตตกจะแก้อย่างไร? นี่ไง จิตตกก็ฟังเทศน์อยู่นี่ไง เทศน์นี่มันจะทิ่มเข้าไปในหัวใจไง จิตมันตก จิตมันหมักหมม! จิตมันเอากิเลสขี่หัว แล้วขี่หัวขึ้นมามันจะมองไปที่ไหน สุดท้ายเห็นไหม ออกไปข้างนอกดีกว่า อยู่กับโลกดีกว่า อยู่แค่ทำบุญดีกว่า

ดีกว่าแล้วโลกเขาอยู่กันอย่างไร? โลกเขาร้อนไหม? โลกเขาเร่าร้อนนะ โลกนี้ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ขณะที่เขามีสโมสรกันอยู่ เขามีกิจกรรมกันอยู่มันยังว้าเหว่ เพราะจิตใจมันไม่รู้ต้นปลายมันจะไปทางไหน อยู่กันไปอย่างนั้น อยู่กันไปเพราะอะไร อยู่กันไปเพราะเกิดมาเป็นวิบากกรรม เกิดมาเพราะมีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตชีวิตนี้ก็ต้องรักษากันไป รักษาชีวิตนี้ไป ถ้ารักษาชีวิตนี้ไปมันก็เหมือนกับวัวเทียมเกวียน ต้องลากแอกนี้ไป เห็นไหม ชีวิตมีเท่านั้นล่ะ ต้องลากแอกนี้ไป

แอกคืออะไร จิตมันลากร่างกายนี้ไปไง หัวใจมันอยู่ในร่างกายนี้ แล้วมันก็ต้องลากกันไป แต่เราก็ไม่รู้เลยกว่ามันจะไปสิ้นสุดกันที่ไหน ชีวิตนี้มีการพลัดพรากกันเป็นที่สุดๆ เหมือนลากแอกลากร่างกายนี้ไป แล้วมันก็ยังอุ่นใจนะ ยังไม่ตายนะ มันยังอยู่ค้ำฟ้า แต่ถ้ามันเห็นมรณานุสติ เห็นการตาย ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกมันต้องตายแน่นอน ถ้าตายขึ้นมามันมีอะไรติดไม้ติดมือไป

เราคิดว่าเราตายเดี๋ยวนี้ สิ่งที่เก็บไว้ในกุฏิ สิ่งที่เก็บไว้ทุกคนเก็บไว้เป็นความลับ ไม่มีความลับหรอก ตายปั๊บเขารื้อทิ้งหมด เพราะว่าอะไร เวลาพระตายขึ้นมาแต่ละองค์ เห็นไหม บริขาร ๘ เป็นสมบัติของสงฆ์ถ้าไม่มีผู้อุปัฏฐาก ถ้ามีผู้อุปัฏฐากอยู่นะ สมบัติของพระทั้งหมดจะตกเป็นของผู้อุปัฏฐาก ผู้อุปัฏฐากนั้นจะแจกสงฆ์หรือเอาไว้ใช้ส่วนตัวก็ได้ แต่ต้องแจกสงฆ์ออกไป แต่ถ้าพระตายขึ้นมาสมบัตินั้นเป็นของสงฆ์ เป็นของสงฆ์ทั้งหมดเลย ถ้าตายในผ้าของพระ

แต่เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องโลกๆ นะ พอตายต้องมีพินัยกรรม จะต้องเขียนยกให้ใคร มันต้องเขียนยกให้ใคร ธรรมวินัยบัญญัติไว้แล้ว เราเป็นพระน่ะ ตายในเพศของพระนะ ของของสงฆ์ สงฆ์ก็ต้องแจกกันเองในสงฆ์ อยู่ในป่าในเขา เห็นไหม ดูสิ เราอยู่ในป่าในเขา เวลาตายเอาออกหมดน่ะ ไอ้จีวงจีวร ผ้าพระ ธมกรก สิ่งต่างๆ เอาออกหมด ชักออกหมดแล้วเผาไปแต่ศพเฉยๆ กรรมฐานนี่ กรรมฐานพวกเราทำกันจริง สิ่งที่ทำกันจริงมันถึงได้เป็นความจริงขึ้นมา ทำให้จริง สิ่งต่างๆ ทำให้จริง แล้วทำให้จริงขึ้นมาไม่ต้องไปวิตกกังวล

มันไม่รู้ใครหรอก แต่เราไปคิดกันเองว่าคนเราต้องอายุ ๘๐, ๙๐ แล้วมันจะตาย เมื่อนั้นมันจะตาย เมื่อนี้มันจะตาย มันจะอยู่อีกสักร้อยกว่าปีก็ได้ ถ้ารักษาร่างกายดีๆ แต่อยู่กันเพื่ออะไร อยู่เพราะแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานใช่ไหม พรรษาจะมากขึ้นมาเห็นไหม เขาเคารพบูชาพรรษา ๑๐๐ พรรษาถ้าพูดถึงทำผิดก็คือผิด สามเณรมันทำถูกยังต้องเคารพในคุณธรรมของสามเณรเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำคุณความดี พรรษานี่ ถ้าเป็นคนดีนะพรรษาคือกฎหมาย พรรษา เห็นไหม อาวุโส ภันเต เป็นกฎหมายที่เรายอมรับกัน เหมือนกับคนมีอายุมาก คนอายุน้อย คนอายุมากเป็นคนดีก็มี บางคนอายุมากเป็นคนเกเรก็มี คนอายุน้อยเกเรก็มี คนอายุน้อยเป็นคนดีก็มี อายุพรรษาก็เป็นอย่างนั้น แล้วอายุพรรษานี้มันเป็นสิทธิตามกฎหมาย ถ้าสิทธิตามกฎหมายนะ มันก็เป็นกฎหมาย แต่หัวใจมันลงไหมล่ะ แต่ถ้ามีคุณธรรมนะหัวใจมันลง ถ้าหัวใจมันลงขึ้นมา เราไม่ต้องไปถืออายุพรรษาจากข้างนอก สัจจะความจริงนี้พรรษาเยอะพรรษาน้อยไม่สำคัญ สำคัญว่าความจริง ความดี คุณงามความดี

ถ้าคุณงามความดี เห็นไหม เราลงมาที่คุณงามความดี คนมันมีตา ตานี้มันจะพิสูจน์เองว่าสิ่งใดเป็นคุณความดีแล้วมันจะลงตรงนั้น ถ้าลงตรงนั้นนะสังคมมันก็ร่มเย็นเป็นสุข สังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ มันไว้เนื้อเชื่อใจกัน ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เขาเรียกว่ามันเป็นวิสาสะ ถ้าคุ้นเคยกันวิสาสะวินัยนี้ยกเว้นเยอะแยะเลย เพราะอะไร หยิบเอาถือเอาด้วยการวิสาสะถือว่าเป็นเพื่อนรัก เพื่อนรู้จักกัน นี่วิสาสะ แต่ถ้าไม่มีสิสาสะนะ หยิบเอา หยิบ..ปาราชิก ปรับปาราชิก ปรับปาราชิกหมดเลย

แต่ถ้าวิสาสะเราแลกเปลี่ยนกัน เราถือวิสาสะกัน เราคุ้นเคยกัน มันคุ้นเคยกันมันจะเกิดมาจากไหน เกิดมาจากเห็นไหม ดูสิ มันความคุ้นเคยกัน ทำไมครูบาอาจารย์ที่คุ้นเคยกันมา เขาสร้างบุญกุศลกันมานะมันถึงคุ้นเคยกัน ใครอยู่ดีๆ จะมาคุ้นเคยกัน มันคุ้นเคยมาจากไหน ขนาดกิเลสกับเรามันยังไม่คุ้นเคยเลย มันยังเหยียบหัวใจเราเลย เราเองเราคนเดียวนี่แหละ เดี๋ยวก็อารมณ์ดี เดี๋ยวก็อารมณ์ร้าย เดี๋ยวก็คิดดี เดี๋ยวก็คิดชั่ว มันยังไม่คุ้นเคยกับเราเลย แล้วที่ไปคุ้นเคยกับคนอื่นมันจะเป็นไปได้อย่างไร แต่มันเป็นเพราะสายบุญสายกรรม มันสร้างบุญสร้างกรรมกันมา มันมีความเห็นเหมือนกัน มีความชอบเหมือนกัน ธุดงค์ด้วยกัน ไปไหนมาด้วยกัน เห็นไหม เป็นความคุ้นเคยกัน สิ่งที่คุ้นเคยน่ะนี่วิสาสะ วิสาสะก็เป็นเรื่องหนึ่ง สิ่งที่เป็นที่ความเคารพคุณธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เราถึงต้องหาของเรานะ เราต้องหาของเรา เราต้องมีที่พึ่งของเรานะ ถ้าเราไม่มีที่พึ่งของเรา เราจะร้อน เราจะหวังพึ่งใคร แล้วนี่หวังพึ่งครูบาอาจารย์ เห็นไหม ๑๕ วันก็มาลงอุโบสถหนหนึ่ง ถ้ามีเวลาก็ไปเยี่ยมเยียนกัน พอไปเยี่ยมเยียนกันแล้ว เราเองเราทำไมไม่ยืนตัวเราขึ้นมาให้ได้ ถ้าเรายืนตัวขึ้นมาได้ เห็นไหม ตื่นตัว! ต้องตื่นตัว แล้วอย่าให้ใจมันด้าน ใจอย่าไปนอนคลุกอยู่กับกิเลส ใจต้องพยายามสร้างธรรมขึ้นมา สร้างธรรมขึ้นมาคือสติปัญญา มันจะมีสติ พอเรามีสติขึ้นมานี่การทำสมาธิ การทำสิ่งต่างๆ มันก็เป็นประโยชน์กับเรา

ร้อนมันร้อนไหม? อยู่ที่ไหนก็ร้อน เห็นไหม ดูสิ ออกไปตากแดดมันจะร้อนไหม แล้วเราอยู่ที่วัดร้อนทั้งนั้นน่ะ มันจะร้อนจะเย็นเราก็หาที่หลบเอาสิ มันต้องรู้จักนะ ฉันเสร็จแล้วอย่าเข้าไปกุฏิ ฉันเสร็จแล้วนะ ดูสิ ในปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐาน ฉันเสร็จแล้วบาตรให้วางไว้ แล้วผ้าจีวรน่ะให้ผึ่ง ผึ่งแล้วเข้าทางจงกรมเลย เข้าทางจงกรมเลย! อย่าขึ้นไปบนกุฏิ มันจะนอน เข้าทางจงกรมน่ะ เดินจงกรมก่อนๆ นั่งสมาธิก่อน ๑๑ โมง ๑๒ โมงโน่น เดี๋ยวบ่ายโมงจะฉันน้ำร้อนใช่ไหม เออ สักชั่วโมงหนึ่งน่ะเห็นด้วย เพราะจากบ่ายโมงไปแล้ว ทำข้อวัตรเสร็จแล้วทางจงกรมก็มี

ถ้ามันยังขี้เกียจไม่อยากทำก็ดูประวัติครูบาอาจารย์ หนังสือครูบาอาจารย์เอาออกดู ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมของครูบาอาจารย์ ท่านพูดอย่างนี้ พระอรหันต์ หลวงตา ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ ท่านเทศนาว่าการอย่างนี้ พระอรหันต์พูดอย่างนี้ พระอรหันต์มีความเห็นมีมุมมองอย่างนี้ แล้วไอ้กิเลสของเรา ไอ้ประพฤติปฏิบัติเรามีมุมมองอย่างไร จับตรวจสอบไง ตรวจสอบแนวความคิด ตรวจสอบทัศนคติของพระอรหันต์ กับตรวจสอบของนักรบที่เราอยากจะมีคุณธรรม ปรับมุมมอง ปรับความรู้สึก ปรับความคิด ความคิดนี้ปรับปรุงขึ้นมาให้มันเสมอเหมือน ให้มันเข้ามาเป็นทัศนคติเหมือนกันได้ไหม

ถ้ามันอ่านแล้วมันเข้าใจ นี่ไงๆ มันปรับมุมมองไง เพราะเราอ่านเราเข้าใจ ทัศนคติเห็นไหม มุมมองว่าหลักของสมาธิ หลักของปัญญา หลักของการกระทำของการก้าวเดินของจิตมันเป็นอย่างไร แล้วเราทำอยู่นี่มันเป็นอย่างไร ถ้าเรายังไม่นั่งสมาธิภาวนาเราก็ดูคำเทศน์ ดูหนังสือของครูบาอาจารย์ เห็นไหม ดูหนังสือของครูบาอาจารย์ที่หมู่คณะที่สังคมยอมรับว่าเป็นความจริง อย่าไปดูหนังสือประโลมโลก หนังสือประโลมโลกมันทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกไง เมตตาสงสาร เห็นเขาได้กันเขาเสียกันแล้วก็ไปโอ้โลมปฏิโลมกับเขา มันไม่เป็นประโยชน์หรอก

มันไม่เป็นประโยชน์ เพราะอะไร? เพราะเราหนีโลกมา เราพยายามหนีโลกมา เราจะพ้นจากโลก ถ้าเราพ้นจากโลกเราต้องเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมเราต้องดูแลใจของเรา เราต้องประพฤติปฏิบัติของเรา อย่าให้กิเลสมันเป็นดินพอกหางหมู กิเลสเป็นดินพอกหางหมูนะ วันคืนล่วงไปๆ นะ พรรษาหนึ่ง ๒ พรรษา ฮื่อ อย่างนี้เราเป็นคฤหัสถ์เราก็ทำบุญได้ ถึงที่สุดแล้วมันออกไปตรงนั้น

เพราะอะไร? เพราะเพศของพรหมจรรย์กว่าจะได้บวชมาเห็นไหม กว่าจะได้เพศของพรหมจรรย์มา พ่อแม่ไม่อนุญาตบวชไม่ได้นะ พ่อแม่ไม่อนุญาตบวชไม่ได้ ถ้าเป็นหนี้เป็นสิน หนีภัยมานี่เขาไม่ให้บวช บวชไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะมันมีอยู่ในพิธีกรรมการบวช แต่โลกเขาบวชกันนั้นเรื่องของเขา เรากว่าจะได้เพศนี้มา ได้เพศของนักรบมา แล้วได้เพศนักรบมาเห็นไหม ได้มาแล้วเราอยู่ในสังคม เห็นไหม อยู่ในบริษัท ๔ ปัจจัยเครื่องอาศัยมันมีพร้อม

เราไปนี่เห็นไหม สมัยธุดงค์มีผ้ายางผืนเดียวเท่านั้น ผ้าร่มผืนเดียว ไปไหนก็ปู กางกลด ร่มไม้ชายคาอยู่ได้ทั้งนั้น เว้นไว้แต่หน้าฝน เวลาหน้าฝนก็ต้องหาที่หลบเอา ชีวิตเหมือนนก กินเสร็จก็บินไป ไม่ติดในที่อยู่ ไม่ติดในสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ติดในโลก ไม่อยากอยู่กับโลก อยากจะพ้นไปจากโลก แต่! แต่เพราะเป็นมนุษย์ เป็นพระสงฆ์ เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันต้องอาศัยปัจจัย มันต้องอาศัยอาหาร อาศัยปัจจัยเครื่องดำรงชีวิต มันถึงอาศัยโลกเขาอยู่ไง อยู่กับโลกเขาโดยไม่ติดโลก

ถ้าอยู่กับโลกเขาโดยไม่ติดโลกนี้ เห็นไหม ในการภาวนาเรามันก็ไม่เป็นความกังวล ถ้าอยู่กับโลกก็ไปติดกับโลก เห็นไหม ทำอะไรก็เกรงใจเขา เขาจะพอใจไม่พอใจ พูดไปแล้วสะเทือนเขาไม่สะเทือนเขา เลยยอมจำนนเขาหมดเลย เลยกลายเป็นหมาให้เขาคอยเคาะกะลากระดิกหางไปหาเขาตลอดเวลา เห็นไหม

ไม่ต้อง! ไม่ใช่หมา เราเป็นภิกษุ เราเป็นนักรบ ไม่ต้องไปกระดิกหางให้ใครทั้งสิ้น อยู่ในธรรมวินัย ใครจะเชื่อไม่เชื่อเรื่องของเขา เพราะธรรมวินัยมันเป็นกฎของสากลใช่ไหม ธรรมและวินัย เห็นไหม นี่พุทธพจน์ พุทธพจน์ที่วางไว้ใครจะศึกษาอย่างไรมุมมองของเขา ทัศนคติของเขา เรื่องของเขา เราทำของเรา เห็นไหม วุฒิภาวะ มันหยาบมันละเอียดมันต่างๆ กันไป

วุฒิภาวะเห็นไหม ดูสิ แก่นของไม้ ที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้าจิตเราละเอียดเข้าไปมันไม่ได้อยากพูดกับใครนะ มันไม่อยากพูดกับใคร มันอยากอยู่คนเดียว มันอยากจะรีบเร่งภาวนาของมัน ถ้ามันไม่อยากไปพูดกับใคร ไม่อยากต้องไปยุ่งกับใคร แล้วเขาจะหาว่าพระองค์นี้หยิ่งจองหอง พระองค์นี้ไม่ยอมไปปฏิสันถารเขา ไม่คอยไปดูแลเขา วุฒิภาวะของใจมันพัฒนาคนละชั้นคนละตอนกัน ไม่ต้องไปเดือดร้อนๆ ไม่ต้องไปกังวลว่าเขาจะเป็นอย่างไร ถ้าจิตใจเราพัฒนาเพราะอะไร? เพราะมันอริยทรัพย์ ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันเป็นสมบัติของเราที่เราอยากไขว่คว้ามากกว่า ถ้าสมบัติภายในเรา ที่เราวิปัสสนาอยู่ ใจเราจะพัฒนาขึ้นไป เราจะไปห่วงอะไรกับความเคารพนบนอบของสังคมล่ะ?

เวลาเราจะเป็นจะตาย เขาช่วยเหลือเจือจานเราได้ขนาดไหน เขาจะไปส่งเสริมให้จิตใจเราเป็นอริยภูมิได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นการกระทำของเรา มันเป็นอริยสัจ มันเป็นสัจจะความจริงจากภายในของเราที่มันจะเกิดขึ้นมา แล้วถ้ามันเกิดขึ้นมามันก็เกิดขึ้นแสนยาก มันอาศัยสติปัญญา อาศัยการบำรุงรักษา อาศัยการแสวงหา อาศัยความหมั่นเพียร ความวิริยะอุตสาหะ มันเกิดขึ้นมาจากการกระทำทั้งนั้น ไม่มีใครมาส่งเสริมให้หรอก

ถ้ายิ่งส่งเสริมขึ้นมายิ่งเกรงอกเกรงใจ ยิ่งมีการเกรงอกเกรงใจกัน มีการคอยดูแลรักษากัน มันเป็นนิวรณธรรม มันเป็นเครื่องกั้น สิ่งที่จะทำให้มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา มันเป็นเครื่องกั้นให้มันเนิ่นช้า ให้มันเป็นไปเห็นไหม มันถึงไม่ต้องไปวิตกกังวล ยิ่งเราเป็นลูกศิษย์ลูกหา สบายมากเลย เพราะอะไร เพราะมันมีหัวหน้าชนไว้ให้ มีหัวหน้าปะทะไว้ให้เลยนะ โลกกับธรรมไง อยู่ด้วยกันแต่ไม่เหมือนกัน โลกกับธรรม

โลกก็คือโลกไง โลกก็คือวิทยาศาสตร์ไง ต้องพิสูจน์กัน แต่ธรรมะเห็นไหม มองตาก็รู้ใจ คนนี้คิดปรารถนาอะไร คนนี้ปรารถนาอะไร คนนี้จะหวังอะไร คนนี้จะทำให้ได้ขนาดไหน เห็นไหม เพราะยิ่งอยู่ด้วยกัน ศีล ศีลรู้เมื่ออยู่ด้วยกันนะ เอ้า นี่มีศีลธรรม มีศีลของเขา พูดธรรมะออกมา ฮื่อ มันเถียงไม่ขึ้น ธรรมะเวลาออกมาจากใจครูบาอาจารย์นะ ไม่มีช่องไม่มีประตูให้เราโต้แย้งเลย มันลงกันที่นี่ ลงกันที่ใจ เรายอมรับความเป็นจริง

ถ้าลงกันที่นี่ เห็นไหม แล้วมันจะมีอะไรจะไปฝ่าฝืน มันจะฝ่าฝืนสิ่งนั้นไม่ได้ มันจะฝ่าฝืนเพราะกิเลสไง กิเลสมันเก่ง กิเลสมันจะแถ กิเลสมันหาทางออก ท่านไม่ใช่ว่าเรา ท่านว่าคนอื่นๆ ถ้าท่านจะว่าเราก็ท่านเข้าใจผิด ท่านไม่เห็นความจริง เราขยันหมั่นเพียร เราเป็นคนดี เราเป็นคนแสนดี เปรตมันยังชมว่าดีเลย ท่านจะมาว่าเราได้อย่างไร เห็นไหม เปรตมันชม ผีมันชม ผีมันยอมรับ แต่ครูบาอาจารย์ไม่ยอมรับ ถ้ากิเลสมันตัวใหญ่มันเป็นอย่างนี้ มันตะแบงของมันไป มันไม่ยอมรับอะไรเลย มันเก่งของมันอยู่คนเดียว เก่งอยู่คนเดียวแล้วมันตะแบงของมันไปแล้วเป็นความจริงไหม

ถ้าเป็นความจริงนะ เวลานั่งสมาธิภาวนา จิตเราแค่สงบ เทวดา อินทร์ พรหม เขาอนุโมทนา ยิ่งเวลามรรคญาณมันหมุนเข้าไปในหัวใจเห็นไหม มรรคมันเดินตัวขึ้นมา มันสมุจเฉทปหานขึ้นมา มันไปทำลายโลกธาตุหวั่นไหวในหัวใจ ข้างนอกเขาจะชื่นชม เทวดา อินทร์ พรหม เขาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป เขามาทำอะไรเรา เขาชื่นชมอยู่แล้ว เขาต้องการอยู่แล้ว เทวดา อินทร์ พรหม เขาอนุโมทนากับเรา เห็นไหม แล้วคุ้มครอง

เวลาหลวงปู่มั่นไปอยู่ถ้ำสาริกา ดูสิ เขาเป็นรุกขเทวดา เวลาเขาไม่เห็นด้วย เขามารุกราน เขามาทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย หลวงปู่มั่นบอก สิ่งที่เขาเป็นอยู่ เขาเก่งขนาดไหนเขาก็ต้องตาย ทุกคนก็ต้องตาย สิ่งที่เขาทำขึ้นมาเขาทำกับภิกษุ ทำกับพระอริยเจ้า กรรมเขายิ่งมหาศาล เขาทำไม่ลงหรอก โดยสัจธรรมนะ โดยหัวใจน่ะ เขาก็เกรงกลัวอยู่แล้ว แต่โดยกิเลส ด้วยความอยากใหญ่ เคยใหญ่เคยโต เคยมีคนนบนอบ เอ๊ะ แล้วทำไมคนที่มีคุณธรรมเขาไม่มองเรา เขาไม่เคารพนบนอบเรา เขาจะเข้ามารังแก เห็นไหม ถึงที่สุดโดยสัจธรรมรุกขเทวดานั้นต้องยอมรับ ยอมตัวเป็นลูกศิษย์ เห็นไหม ยอมตัวลงเป็นลูกศิษย์

ในสังคมมีคนดีและคนชั่วปนกันในสังคมทุกสังคม ในเมื่อสังคมทุกสังคม สังคมของเราถ้าเราเจอสภาวะแบบนั้น เทวดา อินทร์ พรหม เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิก็เรื่องของเขา ก็เรื่องของเขา เราก็ทำดีของเรา ถ้ามันเป็นวิบากกรรมมันต้องเป็นไปตามนั้น ก็เราทำมา ก็กรรมมันทำมา เรามีสิ่งนั้นมาเราจะไปเดือดร้อนใจทำไม สิ่งนั้นเราทำของเรามา ถ้าไม่ได้ทำมาก็เป็นกรรมปัจจุบันเป็นกรรมใหม่ ก็เป็นเรื่องของพวกเปรตผีที่มันเป็นกรรมของเขา เป็นกรรมของเขา เห็นไหม มันถึงที่สุดแล้วมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น

แต่ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมา มันทำไม่ได้ ศีล! ศีลเป็นเครื่องปกป้อง ศีลสะอาดบริสุทธิ์ อยู่ในป่าในเขาเผชิญภัยมาพอแรงแล้ว เพราะมีศีลตัวเดียว ศีลนี่ ด้วยความมั่นใจของเรา มันจะมีฤทธิ์เดชขนาดไหนเรื่องของเขา ถึงที่สุดแล้วนะมันผ่านวิกฤติมาได้หมด มันผ่านไป ถึงจะตาย เอ้า ตายก็ตายเลย อะไรตายก่อน อยากจะรู้ว่าอะไรตายก่อน มันเอาตายมาหลอก เห็นไหม วิปัสสนากันเวลามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เอ็งต้องตายนะ เอ็งต้องพิการนะ เอ็งต้องง่อยเปลี้ยเสียขานะ อ่อนแอไปหมดเลย

ถ้าตาย เอ้า ตายขอดู ขอดูอะไรตายก่อน สิ่งใดมันจะตายก่อน แล้วจะตาย ใครจะรู้ว่าตาย เราก็ต้องรู้เราก่อน ถึงที่สุดด้วยคุณธรรม ด้วยความองอาจกล้าหาญ มันหลบหน้าหมด มันไม่กล้าเผชิญหน้ากับเราหรอก แม้แต่กิเลส แม้แต่ความเห็นในใจไม่กล้าเผชิญหน้ากับเราเลย ถ้าไม่กล้าเผชิญหน้าเอ็งจะเอาอะไรมาหลอกกู มึงจะเอาอะไรมาหลอกกู! สิ่งนี้เกิดขึ้นมามึงจะเอาอะไรมาหลอกกู ไม่มีอะไรมาหลอกกูมันก็เผชิญภัยไปได้หมด มันเผชิญภัยได้จากข้างนอก จากภูติผีปีศาจ เผชิญภัยกับนามธรรม เผชิญภัยกับกิเลสในหัวใจ เผชิญภัยกับสิ่งที่มันสร้างภาพขึ้นมา หลอกลวงให้มันยอมจำนน เห็นไหม

สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากใจ มันจะหลอกให้ยอมจำนนกับมัน ให้กิเลสมันม้วนเสื่อ นี่กรรมฐานม้วนเสื่อ ให้มันถดถอย ให้มันทดท้อ ถ้ามันสู้ขึ้นไป มันสู้มันเผชิญกับมันขึ้นมาจนถึงที่สุดนะมันจะมาหลอกลวงเราไม่ได้ แล้วเราทำมันได้ ทำมันได้ด้วยความนุ่มนวลของใจ มัชฌิมาปฏิปทา จากความองอาจกล้าหาญความต่อสู้กับมัน เราต่อสู้ เรามีความเข้มแข็ง พอมีความเข้มแข็ง เห็นไหม สิ่งที่เข้มแข็งขึ้นไป สิ่งที่มันยอมรับขึ้นมา มันจะยอมรับธรรม

ถ้ายอมรับธรรม ธรรมเกิดจากการกระทำ เห็นไหม สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรม สมาธิเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ปัญญาเกิดขึ้นไปเป็นรอบๆ สิ่งนี้การกระทำเกิดขึ้นเป็นรอบๆ กิเลสเกิดตลอดเวลา เหมือนเชื้อโรค เชื้อโรคอยู่กับร่างกาย เวลาร่างกายเราอ่อนแอมันจะแสดงตัวทันที โรคภัยไข้เจ็บจะแสดงตัวออกมาทันที

กิเลสมันอยู่กับใจเรา ถ้าสติเราอ่อน ถ้าความมุมานะความเพียรเราอ่อนแอ มันจะโผล่หัวออกมาทันที มันจะเหยียบย่ำเราทันที สิ่งที่เวลาสติเราดี ปัญญาเราดี มันก็ซุกอยู่ในร่างกายเรา มันซุกในหัวใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันซุกอยู่ในหัวใจ รอเวลารอจังหวะจะตะปบตลอดเวลา สิ่งนี้มันตะปบเราไม่ได้ มันตะปบเราไม่ได้เพราะเราศากยบุตรพุทธชิโนรส เพราะเรามีศีลมีธรรมมันถึงตะปบเราไม่ได้

เราถึงรักษาชีวิตของเราได้มาตลอดเวลา แล้วเราต้องตั้งใจ ตั้งใจของเรา ดูแลใจของเรา อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไปอินเดียกันนะ ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ของเราไม่ต้องหรอก พุทธะอยู่ที่ใจ เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว “ผู้ใดปฏิบัติสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติตามเรา อยู่ถึงภาคตะวันตกของประเทศก็เหมือนอยู่ใกล้เรา ผู้ใดจับชายจีวรของเราไว้แต่ไม่ปฏิบัติตามเรา..”

นี่ก็เหมือนกัน มุ่งไปอินเดียโน่นน่ะ ไปกราบต้นโพธิ์แต่หัวใจเป็นเปรต ไอ้ของเราจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ดูใจที่นี่ รักษาอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รักษาอุปัฏฐากใจของเรา นี่อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ตั้งใจที่นี่

เราเป็นพระ เป็นพระจากข้างนอก แล้วเราไปเป็นพระจากข้างใน พระผู้ประเสริฐ พุทโธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุปัฏฐาก ทำสมาธิขึ้นมา ทำปัญญาขึ้นมา ทำหัวใจให้เป็นธรรมะขึ้นมา เห็นไหม บรรลุธรรม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี เห็นไหม เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ทั้งๆ ที่ตถาคตก็อยู่กับเรา ทั้งๆ ที่ตถาคตก็คือจิตวิญญาณเรา คือพุทโธ คือผู้รู้ คือสสาร คือความรู้สึก แต่เราปล่อยให้กิเลสมันครอบงำ ปล่อยให้กิเลสครอบงำนะ แล้วอ่อนแอ ทำก็ทำโดยกิเลส เวลาภาวนาขึ้นมาภาวนาโดยกิเลสนะ เป็นอย่างนั้นๆๆๆ มันเป็นวิปัสสนึก มันไม่เป็นตามความจริงหรอก แต่วิปัสสนึกอาการของใจมันมี ขณะทีทำมันต้องแยกต้องแยะ อาหารเห็นไหม ปลาเขากินแต่เนื้อเขาไม่กินก้าง ไก่น่ะใครกินก้างแล้วติดคอตายนะ

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันอยู่กับเรา เราก็แยกแยะ เราเอาแต่ธรรม เอาแต่คุณงามความดี เอาแต่สิ่งต่างๆ แล้วมันจะมีอุปสรรคขวากหนามเยอะมาก อุปสรรคขวากหนาม กิเลสเราก็เยอะอยู่แล้ว กิเลสของคนอื่นมันก็มีใช่ไหม หมู่คณะเรา พระอยู่ด้วยกันก็มีกิเลสกันเกือบทุกองค์ ถ้ามีกิเลสแล้วไอ้พวกกิเลสมันแสดงออกมามันกระทบกระเทือนกันบ้างก็ให้อภัยกัน สิ่งที่เป็นคุณธรรมนะให้อภัยกัน สิ่งที่แล้วก็แล้วกันไป รักษาใจดูแลใจของตัว แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติ พอใจเราเป็นธรรมขึ้นมานะ พอเราผ่านกาลเวลานี้ไปเราจะนึกถึง ดูสิ เราเคยศึกษามาจากสถาบันไหน เวลาเขาชุมนุมศิษย์เก่าเห็นไหม เราเพื่อนกันเรียกกันโดยสนิทปาก

นี่ก็เหมือนกัน กาลเวลาผ่านไปนะ ปีนั้นจำพรรษากับพระที่นั่น ปีนั้นจำพรรษา เราไปเจอกันข้างหน้านะ เราให้อภัยกันที่นี่ เราจะเจอกันข้างหน้า สังคมสงฆ์น่ะสังคมแคบๆ เดี๋ยวจะมาเจอกันอีก หน้าตาเราจะเจอกันอีก ปีนั้นอยู่ที่นั่น ปีนี้อยู่ที่นี่ เราจะเห็นกันเห็นไหม เรารักษาใจเรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรานะ พระจากข้างนอก พระจากข้างใน ถ้าเรารักษาพระจากข้างในได้ เราสร้างพระจากข้างในได้จะเป็นศาสนทายาท จะเป็นที่พึ่งของสังคม เอวัง