เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ก.ย. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในศาสนาเรา การเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์อันประเสริฐมากเลย เพราะว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี่เรากักวิญญาณไว้ได้ ถ้าเรากักวิญญาณ เห็นไหม เพราะในร่างกายมนุษย์ ปฏิสนธิจิตมันเกิดในไข่ของมารดา พัฒนาการมา ๙ เดือนคลอดออกมาเป็นเรา เห็นไหม เรากักไว้ได้ ๑๐๐ ปี ๘๐ ปี กี่ปีก็แล้วแต่ ชีวิตนี่เรากักไว้ได้ เราจะทำคุณงามความดีได้มหาศาลเลย

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ คิดค้นไง เพราะเอาชีวิตนี้มาออกประพฤติปฏิบัติ ก่อนที่จะกักจิตวิญญาณนี้ไว้ได้ จิตวิญญาณ เห็นไหม ปฏิสนธิจิตมันเกิดตายเกิดตายเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นต่างๆ สะสมมา เห็นไหม บุญญาธิการอันนี้สะสมมา

พอสะสมมา สิ่งที่เป็นอามิส เห็นไหม บุญกุศลเป็นอามิส บุญกุศลเป็นพลังงานขับเคลื่อน นี่อวิชชาๆ อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ในอะไร ไม่รู้ในอริยสัจ แต่รู้ไปหมดเลย พระโพธิสัตว์สร้างสมบุญญาธิการมหาศาลเลย สร้างสมนะ เพราะเป็นหัวหน้า เป็นผู้เจือจานสัตว์โลกมาตลอดเลย เพราะสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ โพธิญาณๆ นะ

แต่ขณะที่ยังไม่ตรัสรู้ธรรมนะ นี่เป็นอามิสหมดเลย เพราะเป็นแรงขับเคลื่อนไง เราเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม สิ่งนี้เป็นแรงขับเคลื่อน นี้อามิสบูชา บุญกุศลเป็นเรื่องโลกๆ ไง แต่เวลาบรรลุธรรม เห็นไหม อาสวักขยญาณ ทำลายกิเลสอวิชชาขาดออกไปจากใจ

นี่เพราะว่ากักจิตวิญญาณไว้ในร่างมนุษย์ แล้วเอาร่างมนุษย์นี่ออกวิวัฒนาการ ในการรื้อค้นในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม วิวัฒนาการอันนี้จะทำให้จิตอันนี้สะอาดได้ สิ่งที่สะอาดขึ้นมาจึงเข้าใจเรื่องโลกนอกโลกใน

โลกนอก เห็นไหม โลกนอกๆ โลกภายนอก โลกนี่ เรื่องของสสาร เรื่องของวัตถุนี่เรื่องโลกนอก รู้แจ้งโลกนอก เรื่องของกรรม เรื่องของการกระทำ เห็นไหม โลกนอกๆ

โลกใน เห็นไหม โลกในคือเรื่องอวิชชา เรื่องโลกทัศน์ภายในหัวใจ ถ้าทะลุโลกในไม่ได้ ไม่เข้าอริยสัจ ภาวนาไม่เข้าหลักการ สิ่งนี้มันมหัศจรรย์มา ๒,๐๐๐ กว่าปีนะ แล้วสาวกสาวกะได้บรรลุธรรมขึ้นมาจะเห็นเรื่องอย่างนี้ เข้าใจเรื่องโลกนอกโลกใน

ทีนี้วิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ไม่ได้ พอวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เห็นไหม ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเรื่องนามธรรม ไม่เชื่อเรื่องนามนะ แต่เชื่อเรื่องรูป เรื่องจับต้องได้ แล้วในปัจจุบันนี้เขาบอกเขากักแสงได้ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ของเขามาก จะได้พิสูจน์กันสักทีว่าจิตวิญญาณคืออะไร เพราะแสงมันเร็วมาก มันเคลื่อนที่ได้ นี่หนึ่งเศษส่วนวินาทีนี่เป็นแสนๆ ไมล์ เป็นหลายๆ แสนไมล์ เห็นไหม ถ้ากักสิ่งนี้ได้นะ

แล้วนักวิทยาศาสตร์อีกฝ่ายหนึ่งก็ค้นคว้าได้ว่าคลื่นสมอง คอมพิวเตอร์เราต้องมีคีย์ใช่ไหม เราต้องเล่นคีย์ ต้องเล่นเมาส์ ต้องกด มันถึงจะเป็นคอมพิวเตอร์ออกมา ต่อไปไม่ต้องแล้ว เขาใช้คลื่นสมอง คอมพิวเตอร์นี่คลื่นสมองนะ เมาส์นี่เขาจะสวมในศีรษะแล้วใช้ความคิด ถ้าความคิดนี้เคลื่อนไปคอมพิวเตอร์มันจะทำงานของมันไป เห็นไหม ตื่นเต้นกันใหญ่เลยว่าแสงนี้กับคลื่นสมองนี้เป็นอันเดียวกันหรือเปล่า จิตวิญญาณคือคลื่นสมอง คือเรื่องของสมองไม่ใช่เรื่องของจิต

รูปธรรมนะ รูปกับนาม เป็นรูปทั้งหมดเลย สิ่งที่คลื่นเคลื่อนไปก็เป็นรูปจับต้องได้ แสงนะ ความเร็วของแสงมันเป็นวัตถุนะ มันทะลุมิติไม่ได้ เพราะมันไม่มีชีวิต มันเป็นวัตถุเหมือนรูปนามๆๆ รูป.. รูปคือสิ่งที่จับต้องได้ รูป...สิ่งที่เราสามารถคาดหมายได้ว่าสิ่งนั้นเราจินตนาการได้

แต่นามนี่ นามเป็นทำไม ถ้านามจินตนาการได้ เห็นไหม ขนาดที่ว่าเรื่องนรกสวรรค์ เราก็จินตนาการไม่ได้ เพียงแต่ว่าถ้าพูดถึงฤๅษีชีไพรเขาก็ไปนรกสวรรค์ได้ ทุกอย่างเขารู้ได้หมดล่ะ แล้วสิ่งนี้มันมีอยู่ เห็นไหม แล้วคนที่ไปได้ตื้น ไปได้ลึก ไปได้ละเอียดกว่า ฉะนั้น ว่าจินตนาการของนรกสวรรค์ถึงไม่เหมือนกันไง

ถ้าไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นความจริงนะ ความจริงคือผู้ที่เห็นจริงนะ แล้วผู้ที่เห็นไม่จริงล่ะ วิปัสสนึก ถ้ามันนึกเอา มันคาดหมาย มันเอามาจินตนาการเอานั้น อันนั้นมันเป็นโดยอวิชชา โดยนิมิต สภาวะไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงมันจะไปโดยความจริงของมัน

ดูสิ ดูอย่างกาฬเทวิลไปอยู่บนพรหมได้ สิ่งนี้ไปได้เพราะอะไร? เพราะจิตนี้วิวัฒนาการได้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้อริยสัจนะ ที่ว่ากักจิตไว้ๆ ถ้าเราเป็นมนุษย์ขึ้นมา เห็นไหม เรากักจิตวิญญาณไว้ได้โอกาสหนึ่ง แต่ถ้าเราพอมันตายไป สิ่งนี้มันเคลื่อนไป เคลื่อนไปมันมีอยู่ไง เพราะอะไร?

เพราะอย่างนี้เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาวไปถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไปตลอด เห็นไหม อดีตชาติ เพราะสิ่งนี้มันสะสมมา ถึงว่าพระโพธิสัตว์ที่วิวัฒนาการของจิตนะ วิวัฒนาการของจิตมันทำคุณงามความดีไง มันสะสมมาๆ วิวัฒนาการของมัน

อย่างเช่นลูกของเรา เด็ก เห็นไหม เด็กของเรานี่มันเป็นอภิชาตบุตร มันเกิดมามันฉลาด มันจะมีสิ่งที่ทำให้เชิดชูในบ้านในเรือนเรา แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่มีเวรมีกรรมต่อกัน เวลาเราเกิดมาเป็นคู่ครอง เห็นไหม คู่ทุกข์คู่ยาก คู่เวรคู่กรรม คู่สร้างคู่สม แล้วทำไมมันถึงต้องมาอยู่ด้วยกันล่ะ เพราะอะไร?

เพราะความเป็นไป เพราะความผูกพันของใจ อย่างไรก็คู่ของเรา อย่างไรก็เป็นของเรา นี่เรื่องกรรมไง ถ้าทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ว่าถ้าแยกจากกันมันก็จบจากกัน สิ่งนี้มันเกิดมานะ ไม่มีเหตุจะไม่มีผล เหตุปัจจัยมันมีมาอยู่ถึงมาเกิดเป็นเรา ถ้าเกิดเป็นเรา นี่ศาสนาทะลุโลกนอกโลกในทะลุตรงนี้ เข้าใจโลกนอกโลกใน

ถ้าเข้าใจโลกนอกโลกใน โลกนอกเป็นเรื่องของรูปธรรมนามธรรมที่มันเป็นไปสภาวะ นามธรรมนะ นามธรรมโลกนอกด้วยตรงไหน ถ้านามธรรมโลกนอก เห็นไหม กาฬเทวิลทำไมทำได้? ทำไมพวกฤๅษีชีไพรเขาทำได้? ด้วยนามธรรมของเขานี่ เหาะเหินเดินฟ้านะ เราก็ตื่นเต้นไปกับเขานะ จนในการประพฤติปฏิบัติของเรา ดูสิไปอ้อนวอนเอา อย่างนั้นเราก็เท่ากับถือผีถือสาง เราไปหาเจ้าหาเข้าทรง เห็นไหม เราอ้อนวอนเอา ไปดูเจ้า ดูอดีตอนาคต นี่ไปอ้อนวอนเอา

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เวลาพูดถึงบารมีสิบทัศ อธิษฐานบารมี ทานบารมี ศีลบารมี” อธิษฐานบารมี ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อธิษฐานเอา ไม่ได้อ้อนวอน อธิษฐานคือเป้าหมาย เป้าหมายว่าเราตั้งเป้าหมายว่าเราต้องการสิ่งใด แล้วเราพยายามทำให้ถึงเป้าหมายนั้น เห็นไหม อย่างนี้ไม่ใช่อ้อนวอน!

ถ้าการอ้อนวอนนะ ขอให้เป็นไปแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย ขอให้เป็นไป เห็นไหม ถ้าเราถือผีถือสางกัน ไปขอเอานี่ถือผีถือสาง ไปขออย่างนั้นไง อ้อนวอนให้ชีวิตนี้มีความสุข แล้วคิดไปประสาเรานะ สุขทุกข์มันอยู่ที่การกระทำนะ คนมั่งมีศรีสุข คนรวยขนาดไหน คนมีสมบัติมากขนาดไหน ทุกข์ก็มี สุขก็มี คนทุกข์คนจนขนาดไหนนะ ทุกข์ก็มี สุขก็มี เพราะอะไร? สุขเพราะอะไร?

เพราะเขาพอใจของเขา สุขเพราะเขาเข้าใจชีวิตของเขา นี่คือสัจจะความจริงมันอยู่ตรงนี้ไง ตรงที่ว่าใจมันพอ มันจึงจะมีความสุข ถ้าไม่มีความสุขของมัน เห็นไหม ศาสนาสอนที่นี่ สอนถึงความสุขของเรา สอนถึงสัจธรรมของเรา สอนถึงความจริงเป็นของเรา สอนถึงผลงานของเรา สอนถึงความเป็นไปของเรา แล้วสอนถึงการกระทำของเราด้วย

ถ้าเราไม่มีการกระทำ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันส่งออก ขณะที่เป็นความคิด นี่จิตฟุ้งซ่านมาจากไหน จิตฟุ้งซ่าน เห็นไหม คลื่นสมอง เวลาว่าคลื่นสมองนะ เวลาคนสมองตาย มันก็มีความรู้สึกอยู่ แล้วสมองมันไม่ทำงานล่ะ เวลาเป็นเจ้าชายนิทราต่างๆ เขานอนของเขา สมองเขาพร้อมอยู่ คนตายไปสมองก็มีอยู่

แต่ถ้าพูดถึงสมองมันตาย คนมีความรู้สึกอยู่ มันก็สื่อสารกันไม่ได้ สิ่งนี้มันเกี่ยวเนื่องกันไง คนที่มีจิตวิญญาณ คนยังมีชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่ ยังขยับได้อยู่ สมองมันทำงานได้ด้วยพลังงาน เหมือนเครื่องไฟฟ้า เหมือนสิ่งต่างๆ มันต้องใช้พลังงาน

พลังงานคือตัวจิต ตัวจิตอย่างนี้ แล้วตัวจิต ดูสิ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สิ่งที่กระทบต่างๆ ถ้าเวลาเราสบายใจ เราเผลออยู่ มันก็สบายๆ นี่จิตไม่รับรู้ เห็นไหม สิ่งนี้กระทบทั้งหมดนะ อายตนะกระทบหมด เสวยทั้งหมด แต่จิตไม่รับรู้ ไม่มีผลถึงมัน แต่ขณะที่กระทบนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็นไหม รับรู้ขนาดไหนผลต้องเกิดมาจากจิต เกิดมาจากตัวพลังงานตัวนั้น

ตัวพลังงานคือภวาสวะ ตัวฐีติจิต คือตัวจิตตัวนี้ออก พลังงานที่มันรับรู้ออกมา นี่ที่ว่าเผลอๆ เผลอตรงไหน เผลอเพราะถ้ามันไม่รับรู้นะ มันกระทบอยู่ เราเห็นอยู่ เราเห็นภาพอยู่ เห็นต่างๆ แต่มันไม่รู้ภาพอะไร เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่รับรู้ มันไม่รับรู้มันไม่ส่งออก มันส่งเข้าถึงไม่ได้

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับรู้ต่างๆ มันต้องเข้าไปสะสมที่จิต หนึ่งสะสมที่จิต เพราะสะสมที่จิต จิตนี้รับข้อมูลนี้ไว้ สิ่งนี้เวลาตายเกิดตายสูญ ตายไปมันถึงจะมีสิ่งนี้รองรับตลอดไป สิ่งที่รองรับตลอดไป เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ต่างๆ สร้างบุญญาธิการขึ้นมามันก็สะสมลงที่นี่

พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม พระสีวลีนี่ลาภมหาศาลเพราะอะไร เพราะได้สละ เป็นหัวหน้าผู้ที่เสียสละมาตลอด แต่ผู้ที่ไม่ได้เสียสละเรื่องของทาน แต่มีปัญญาขึ้นมาก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่ไม่มีอำนาจวาสนาบารมี...อำนาจวาสนาบารมีส่วนหนึ่ง ความสะอาดของจิตส่วนหนึ่ง สิ่งที่ส่วนหนึ่งอันนี้มันเป็นคนละส่วนกัน แต่มันอยู่ด้วยกัน

อำนาจวาสนากับปัญญา กับความเป็นไปของอริยสัจ มันคนละส่วนคนละแง่หมดเลย นี่จริตนิสัยถึงเป็นอย่างนี้ไง เวลาเราเกิดมา เห็นไหม จิตนี่เรื่องลูกของเรา สังคมของเรา ต้องการให้เป็นคนดีทั้งหมด เป็นเพราะสิ่งแวดล้อมไม่ดี เป็นเพราะอะไรไม่ดี สิ่งแวดล้อมมีส่วนทั้งนั้นแหละ แต่เพราะคนมันเกิดไง คนมันถึงคราวถึงวาระ เราเกิดในสังคมที่เป็นสภาวะแบบนั้น เวลาผู้นำที่ดี สังคมที่ดี ดูสิเราจะไปยืนในสังคมที่ดี เรามีบุญกุศลเราจะมีความสุข แต่พอเวลาสังคมมันแปรสภาพไป ถึงคราวทุกข์จนเข็ญใจขึ้นมา นี่สังคมมันแปรสภาพไปแล้วเราก็อยู่ในสภาวะแบบนั้น

สิ่งนั้นถ้าเราเข้าใจสภาวะแบบนั้นก็ยอมรับสภาวะแบบนั้น มันก็ไม่ดิ้นรนจนเกินไป จิตมันไม่ดิ้นรน มันไม่ทุกข์จนเกินไป แต่ถ้ามันขัดแย้ง มันโต้แย้ง มันดิ้นรนจนเกินไปเพราะอะไร เพราะกรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมเก่าคือการสะสมมาของจิตวิญญาณที่มันสะสมมา จิตนี้ไม่เคยตาย สภาวะนี้ไม่เคยตาย

แสงที่เขาบอกว่ามันเป็นแสงที่กักไว้ เวลาปล่อยไปสสารนี่มันเปลี่ยนแปลงนะ และมันไม่มีผู้รับรู้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะมันเป็นวัตถุ มันเป็นเรื่องของวัตถุ มันไม่มีจิตวิญญาณ แต่จิตนี่มันมีของมัน มันเป็นธาตุรู้ มันเป็นวัตถุด้วย แล้วมันมีธาตุรู้ด้วย

แล้วเวลาเราสะสางด้วยมรรคญาณ ด้วยมรรค ด้วยความเป็นไปของปัญญา พร้อมกับสมาธิ พร้อมกับอะไร ต้องจากภายใน จากภายในคือว่ามันย้อนกลับมาทวนกระแสเข้ามาจากภายใน มันไปชำระล้างตรงนั้น ถ้ามันชำระล้างตรงนั้น เห็นไหม สิ่งที่มีพลังขับเคลื่อนมันสะอาดได้ไง สิ่งที่สะอาดนี่มันถึงมหัศจรรย์ไง มหัศจรรย์กว่าแสงมากมายนัก มหัศจรรย์กว่าวัตถุมากนัก นี่รูปนามๆ เป็นรูปทั้งหมด มันเป็นสสารที่มันแปรสภาพ มันก็มีสสารตัวอื่นแปรสภาพไปทั้งหมด

แต่นามธรรม ถ้ามันโดนปัญญาเข้าไปชำระล้างแล้ว นามอันนี้มันสะอาดได้ไง แล้วนามอันนี้ไม่มีที่สิ้นสุดไง แล้วนามอันนี้ขณะที่ว่ามีกิเลสเต็มหัวใจเลย เวลามันเกิดตายในมิติต่างๆ เห็นไหม ตั้งแต่วัฏฏะ ตั้งแต่พรหมลงมา มันเปลี่ยนสภาพตลอดไป แต่แสงมันไม่เปลี่ยนของมันสภาวะแบบนั้น มันต่างกันมหาศาล

ถึงบอกเขาคิดค้นเขาตื่นเต้นนะ ตื่นเต้นยังไม่ได้หลับตา ยังไม่ได้ทำสมาธิ ยังไม่ได้สร้างปัญญาขึ้นมาจะไม่รู้สิ่งใดเลย เห็นไหม นี่อวิชชา เป็นนักวิทยาศาสตร์นะ กักแสงไว้ได้ คลื่นสมองนี่เอามาทำเป็นคอมพิวเตอร์ได้ ทุกอย่างได้หมดเลย มันเป็นเรื่องของโลกนะ ปัจจัยเครื่องอาศัย คอมพิวเตอร์นี่จะทำให้สังคมเราสะดวกสบายขึ้น สิ่งต่างๆ ทำให้สะดวกสบายขึ้น ความสะดวกสบาย เห็นไหม สะดวกสบายให้คนเรานี่มีเวลา

คนเมื่อก่อนนะต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ทุกอย่างเราต้องทำขึ้นมาด้วยตัวเอง ตลาดก็ไม่มีนะ สมัยโบราณไม่มีตลาดเลย สังคมใดก็ต้องปัจจัยอาศัย เครื่องอยู่อาศัยต้องแสวงหาเอง เห็นไหม ชีวิตนี่มีคุณค่า มีการพึ่งพาอาศัยกัน มีตลาดขึ้นมา มีต่างๆ ขึ้นมา นี่ว่าสะดวกสบาย ทุกข์ทั้งนั้นเลยเพราะอะไร? เพราะทรัพยากรมันจะดูดไปอยู่ที่ผู้ที่การเมืองไง การเมืองผู้ที่มีอำนาจ เห็นไหม เราก็ต้องทำกันไป โลกเป็นสภาวะแบบนี้ โลกมันจะร้อนเป็นไฟไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราห่วงกันว่าโลกจะไม่เจริญ ความเจริญของกิเลสนะ กับความเจริญของธรรม

ตอนนี้ศาสนาพุทธเราวัดกันด้วยความสุขของมวลชน ไม่ใช่วัดกันด้วยสิ่งที่มีปัจจัยเครื่องอาศัยมากอาศัยน้อย ถ้ากระแสสังคมยึดกลับมาได้ มันก็เป็นคราวๆ นะ คราวๆ ว่าสังคมทุกข์หรือยัง สังคมนั้นได้ตกผลึกหรือยัง ความเป็นไปของสังคมมันตกผลึกขึ้นมา มันจะหาทางออกของมัน แล้วศาสนาเรานี่ค้ำยันมาได้ พระไตรปิฎก เห็นไหม ธรรมและวินัยนี่ค้ำยันมาได้ แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ขอให้พิสูจน์เถิด ถ้าพิสูจน์โดยที่ว่าจินตมยปัญญา ผู้ที่ภาวนาแล้วเจาะทะลุเข้าไปในเปลือกไข่ ในฟองอวิชชาไม่ได้ มันจะไม่เห็นจริงจากโลกใน มันจะรู้จากโลกนอก

โลกนอกคือโลกจำ โลกจำคือโลกธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของเรา แล้วมันจะไม่เข้าใจเรื่องแสง ไม่เข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ ไม่เข้าใจเรื่องความเป็นไปของวัฏฏะ ไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เลย แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์นะ ไม่มีสิ่งใดลังเลสงสัย ต้องเข้าใจหมด ถ้าเข้าใจหมดเลย พวกนี้มันถึงไม่เป็นอวิชชาไง มันถึงเป็นวิชชา ชำระเพิกถอนกิเลสออกจากใจ

ถึงเรื่องของโลกนอกนะ เขาตื่นเต้นกันมาก เขาศึกษาได้ เขาค้นคว้าได้ว่าโลกจะเจริญต่อไป จะได้พิสูจน์กันเสียทีว่าจิตวิญญาณมีจริงหรือไม่มีจริงนะ ไม่มีทาง! เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เลย!

แต่ถ้าหลับตานะ เพราะอะไร เพราะจิตวิญญาณนี่อยู่ในร่างกายของเรา ตั้งแต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรากักมันไว้อยู่แล้ว ๑๐๐ ปีหรือกี่ปีก็แล้วแต่ แล้วเราเผลอตัวไง ลืมตัว ไปเอาแต่เรื่องของวัตถุภายนอก ไม่เคยค้นคว้าหาความสุขจากตัวเราเอง ไม่เคยค้นคว้าหาความสุขจากภายใน ทั้งๆ ที่ห้องวิทยาศาสตร์คือร่างกายเรา แล้วมีจิตวิญญาณอยู่ แต่ไม่ค้นคว้ากัน ไม่เห็นกัน ไม่รู้ถึงคุณค่าของมัน

พวกทางยุโรปเขาบอกเลย “ชาวพุทธเรานี่กบเฝ้ากอบัว” ศาสนา อริยสัจนี้มหาศาลเลย แต่เราไม่สนใจมัน เราไปสนใจแต่เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยของมัน ส่วนประกอบของมันจากภายนอก แต่เขาค้นคว้าจากภายใน มันจะเป็นสุขความจริงจากภายในของเราขึ้นมา

นี่ของเรามีดีอยู่ แต่เพราะเราไม่ได้คุมสื่อ เห็นไหม สื่อมันเสนอแต่สิ่งที่ว่าของเขามี แต่สิ่งที่เรามีไม่มีใครเสนอ แล้วพอเขาค้นคว้าจะไม่จบ เขาจะค้นคว้าของเรา แต่เราทำไมไม่ค้นคว้าของเรา ถ้าเราค้นคว้าของเราเพราะอะไร?

เราเกิดในประเทศอันสมควรนะ เกิดในพ่อแม่อันสมควร เพราะพ่อแม่พาเข้าวัดเข้าวา เกิดในประเทศที่ศาสนาเจริญรุ่งเรือง เกิดในสถานที่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ เห็นไหม ชี้นำนะ เพราะเราศึกษาขนาดไหนอวิชชามันศึกษาไปด้วย แล้วถ้ามันมีผู้ชี้นำ เห็นไหม รู้แจ้งโลกนอกโลกใน โลกนอกนี่มันสะสม มันปิดบังไว้หมดเลย รู้หมด รู้ๆๆๆๆ รู้เอาตัวรอดไม่ได้เลย

แต่ถ้าเป็นโลกในนะ รู้! รู้ถึงการเคลื่อนไหม รู้ถึงการกระทบกระเทือน รู้ถึงเหตุถึงผล รู้ถึงวุฒิภาวะของผู้รับ เด็กมันรับไม่ไหวหรอก ผู้ใหญ่มันรับได้ขนาดไหน ธรรมหยาบธรรมละเอียด เห็นไหม สิ่งนี้มันจะเป็นไปได้ไม่เป็นไป

เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ มีดเชือดโค มีดเชือดไก่ มีดเชือดอะไร อย่าใช้สุ่มสี่สุ่มห้า ใช้สุ่มสี่สุ่มห้าแล้วมันจะไม่เป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีดเชือดโคต้องใช้มีดเชือดโค มีดเชือดไก่ต้องมีดเชือดไก่ เห็นไหม มันคนละชนิดกัน มันคนละปัญญากัน นี่ปัญญาหยาบ ปัญญาละเอียด ปัญญาจากภายใน นี่โลกุตตรปัญญา แล้วจะเข้าใจเรื่องที่ว่าวิทยาศาสตร์มันตื่นเต้น

วิทยาศาสตร์ถึงไม่ใช่ศาสนา เพียงแต่ว่าพิสูจน์เรื่องศาสนาให้ชัดเจนขึ้นมา ถ้าเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง นามธรรมเข้าถึงไม่ได้ เพราะมันไปติดที่กรอบ แต่ถ้าเป็นนามธรรมนะ ไม่มี อวิชชาของใครของมัน ปัญญาของใครของมัน แล้วจริตนิสัย แล้วความสามารถนี่ของใครของมัน มันเป็นเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ แล้วยังมีหยาบมีอ่อนต่างๆ กันไป นี้มันอยู่ที่อำนาจวาสนา อยู่ที่ความเป็นไป แล้วอยู่ที่การสมดุลของจิตนั้น มันถึงจะเป็นประโยชน์กับจิตดวงนั้น เอวัง