เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาคนประพฤติปฏิบัติ มันความเห็นนะ แล้วดูสิดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่ ๖ ปี ช่วงที่ ๖ ปีน่ะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ธรรมไหม? ไม่รู้ธรรมเลย ขณะที่ว่าไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์เธอได้ยินได้ฟังไหม ว่าเราเป็นพระอรหันต์ อยู่ด้วยกันมา ๖ ปี ไม่เป็นก็บอกว่าไม่เป็นนะ บัดนี้เป็นแล้ว ฟังนะ เงี่ยหูลงฟัง ขณะนี้เงี่ยหูลงฟังดูสิ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วจะออกบิณฑบาตครั้งแรกเห็นไหม พระพุทธเจ้าอดีตทำอย่างไร? ถึงว่า อ้อ บิณฑบาตด้วยบาตร พอบิณฑบาตด้วยบาตรน่ะ เทวดาเอาบาตรมาให้สี่ใบ อธิษฐานให้เหลือใบเดียว เห็นไหม เวลาพระเจ้าสุทโธทนะนิมนต์ไปที่บ้าน ประเพณีของพระพุทธเจ้าทำอย่างไร? ประเพณีของพระพุทธเจ้าต้องนิมนต์ พอไม่ได้นิมนต์ก็ออกบิณฑบาต พระเจ้าสุทโธทนะก็คิดว่าพ่อกับลูกทำไมต้องนิมนต์ด้วย นี่ความคิดของพ่อ เห็นไหม พ่อนี่ลูกของเรา ถ้าลูกของเรานิมนต์มาแล้วก็ต้องไปฉันที่ราชวัง แต่เพราะไม่ได้นิมนต์ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ประเพณีของพระพุทธเจ้าทำอย่างไร คำว่า ประเพณีของพระพุทธเจ้า คือว่ามันมีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้ามาใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน นี่พูดถึงในคอลัมน์ของเขา เขาบอกว่าหลวงตาเขียนถึงหลวงปู่มั่นว่า หลวงปู่มั่นได้เห็นยักษ์ สิ่งนี้ได้เห็นยักษ์แล้วรู้ด้วยนะว่ายักษ์เป็นรุกขเทวดา เป็นหัวหน้าเทวดา รุกขเทวดาแล้วแปลงตัวเป็นยักษ์มา แล้วคุยกันได้ด้วยนะ มีความสำนึก มีความรู้สึกด้วยนะ แล้วเวลายังอยู่ในกลางพรรษา เวลานั่งภาวนาไปนี่พระอรหันต์ต่างๆ มาเทศน์สอนว่าการ พระพุทธเจ้ามาสอนว่าการ
มันความรู้สึกของเขา เขาจะปฏิเสธว่านิพพานไม่มีไง ถ้าเป็นนิพพานแล้วพระพุทธเจ้าจะมาสอนได้อย่างไร? แต่เขาไม่พูดตรงๆ ไง แล้วเขาบอกว่าของอาจารย์...เขาดีอย่างนั้นๆ แล้วสรุป เห็นไหม สรุปว่าเวลาจิตรวมใหญ่แล้ว พิจารณาปล่อยไป เป็นพรรษาที่รู้แจ้ง มันจะรู้แจ้งไปได้อย่างไร? ถ้ารู้แจ้ง...ไอ้นิพพานมันจะลึกกว่านี้อีก จะบอกว่าวุฒิภาวะของคนที่ไม่ถึงไปเขียน มันก็เขียนด้วยความด้นเดา ขณะที่คนเขียนด้วยความด้นเดานะ แต่คนที่ไม่รู้ก็ไปอีกอย่างหนึ่ง
แต่สรุปของเขา เขาบอกว่า นี่น่าฟังมาก ว่าหลวงปู่มั่นพูดถึงเรื่องความรู้สึก เรื่องลิง ภาษาลิง ภาษาลิงนี่ ภาษาใจ เห็นไหม ว่าความรู้สึก รู้เรื่องภาษา แต่อย่างนี้เพราะมันเป็นที่การที่สามารถคาดหมายได้ ก็ว่าอย่างนี้น่าเชื่อถือ ถ้ามันไม่น่าเชื่อถือ ภาษาลิงก็ไม่น่าเชื่อถือ ภาษานกพูดได้ก็ไม่น่าเชื่อถือ
ทำไมเขาไปยอมรับเรื่องภาษาสัตว์ แต่เขาไม่ยอมรับความเห็นของหลวงปู่มั่นว่า เทวดามาสอน พระพุทธเจ้ามาสอน พระอรหันต์มาสอน เขาจะปฏิเสธว่ามรรคผลนิพพาน คือว่าความตรรกะของโลกว่านิพพานคือไม่มี นิพพานคือสื่อความหมายไม่ได้ นี่กวฬิงการาหาร อาหารเป็นคำข้าว วิญญาณาอาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือการหล่อเลี้ยงชีวิตนะ ความเป็นชีวิตของเรามันมีอาหารหล่อเลี้ยง เทวดาเขาก็มีอาหารของเขาอย่างหนึ่ง พรหมเขาก็มีอาหารของเขาอย่างหนึ่ง
มโนสัญเจตนาหาร มนสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ ในอาทิตตฯ เห็นไหม มโนนี้ก็ต้องเบื่อหน่าย ความรู้สึกของใจก็ต้องเบื่อหน่าย ความสัมผัสของใจก็ต้องเบื่อหน่าย สิ่งต่างๆ ต้องเบื่อหน่ายทั้งหมด แต่มโนเป็นอาหาร มโนสัญเจตนาหารคือว่าจะทางผ่านของพระอรหันต์ที่จะมาพูดกับผู้ที่เข้าไปในจิตไง ผู้ที่เวลาจิตสงบขึ้นมาแล้ว มันรู้จักภายใน รู้จักภายในพระอรหันต์มาสอนได้ คือพระอรหันต์มีอยู่ แล้วพระอรหันต์สามารถที่จะเข้ามาสอน สอนผู้ที่เขามีวุฒิภาวะ
ดูนะ ดูอย่างจูฬปันถก เห็นไหม เวลาพระจูฬปันถกเป็นพระอรหันต์ เวลาพระอรหันต์นะ พระจักขุปาลเป็นพระอรหันต์ พระจูฬปันถกเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์มีเดชมาก เพราะว่าขณะที่กำหนดที่ว่าผ้านี้ขาวหนอๆ เวลาสำเร็จไปแล้วนี่ แปลงตัวอย่างไรก็ได้ แต่เวลาพระจักขุปาล เห็นไหม เป็นพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์จะกลับไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ รอให้หลานไปรับมา หลานไปจูงพระจักขุปาลมาเพราะอะไร เพราะสุกขวิปัสสโก พระอรหันต์ก็มีคุณค่าต่างๆ กันไป พระอรหันต์ที่ว่ามีฤทธิ์มีเดช พระอรหันต์ที่รู้ได้ก็ต่างกันไป พระอรหันต์ที่สุกขวิปัสสโก พระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสได้โดยรู้แจ้งโลกนอกโลกในจากภายในหัวใจ แต่ไม่มีความสัมผัสจากภายนอกก็มี เห็นไหม พระอรหันต์มันมีต่างๆ กันไป ไม่ใช่ว่าเป็นพระอรหันต์แล้วจะไม่มีเลย
เพียงแต่ครูบาอาจารย์ท่านก็เขียนออกมาเพื่อให้เป็นคติ ว่าสิ่งนี้ความสัมผัสของจิตของหลวงปู่มั่น เพราะเวลาประวัติของหลวงปู่มั่นนี่ ทุกคนยอมรับว่าหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า ท่านเคยปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านเคยปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า การสร้างสมบุญญาธิการอย่างนี้มามันมหาศาล วุฒิภาวะของจิตมันต้องมีความมหัศจรรย์ สิ่งนี้มหัศจรรย์ว่ามันสัมผัสได้อย่างนั้น มันก็เป็นไปได้
เวลาที่ว่าจิตมันรวมใหญ่ ขณะที่รวมใหญ่มันพิจารณากาย เวลาพิจารณากายจิตมันรวมใหญ่เข้ามา ดูสิจิตมันรวมใหญ่เข้ามา แต่เวลาคิดว่าจิตมันรวมใหญ่เแล้วนี่ พอเข้าความสงบในจิต จิตมันปล่อยวางหมด...ความปล่อยวางหมดขณะที่จิตวิปัสสนา จิตนี้ใช้ปัญญา เรื่องของธาตุขันธ์ของความเจ็บไข้ได้ป่วย นี่มันปล่อยวางตรงนี้ ตรงนี้เป็นอริยสัจ แต่ขณะที่จิตสงบเข้าไปแล้ว แล้วมันไปเห็นสภาวะแบบนั้น
เหมือนกับเรากินอาหาร อาหารมันเป็นคุณค่าของร่างกายใช่ไหม แต่รสชาติของอาหารมันเป็นรสชาติของอาหารใช่ไหม จิตก็เหมือนกัน เวลามันพิจารณาเรื่องธาตุขันธ์อันนี้เป็นอริยสัจ เป็นมรรคญาณ เป็นอริยสัจมันพิจารณาเข้ามา แล้วมันปล่อยวางเข้ามา จิตนั้นปล่อยวาง มันรวมใหญ่ทั้งหมด มันรวมใหญ่ทั้งหมด นี่ถ้าเป็นสุกขวิปัสสโก รวมใหญ่เข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา แล้วก็ว่าง ว่างเฉยๆ แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ เห็นไหม พอว่างเข้ามาแล้วนี่ มันจะออกรู้อะไรต่างๆ มันออกรู้ของมันได้ไง การออกรู้อย่างนี้นี่จิตมันมีคุณค่า พอมันมีคุณค่าขึ้นไป
อย่างที่ว่ารุกขเทวดาต่างๆ เขาก็มีฤทธิ์มีเดชของเขา แต่ฤทธิ์อันนี้ คำว่า ฤทธิ์เดช มันหวงถิ่น หวงที่ หวงต่างๆ การหวง เห็นไหม ใครที่จะมีอำนาจบาตรใหญ่ คือใครที่จะมาอยู่ในเขตของตัวเองมันจะไม่ยอม มันจะรักษา เหมือนกับพวกที่ว่าเขารักษาถิ่นของเขา เขาเฝ้ายามของเขา เขามีคนเข้ามา คิดว่ามันเป็นการสัมผัสไง เหมือนกับเราเห็นรูปด้วยตานี่ เราเห็นรูปด้วยตาเราก็เห็นด้วยตาใช่ไหม เราเข้าใจด้วยตาใช่ไหม พอเห็นด้วยตาเราก็เข้าใจด้วยตา ไอ้พวกเทวดามันเห็นว่าพระมันก็นึกว่าเป็นเหมือนกันไง แต่มันไม่เข้าใจ เห็นรูปด้วยตา แต่ภาพที่เราเห็นนั้นมันอีกความหมายหนึ่ง มันมีส่วนละเอียดความแตกต่างในนั้นหนึ่ง
นี่ก็เหมือนกัน จิตของหลวงปู่มั่นขณะที่พิจารณาไปแล้วเข้าใจเรื่องของกิเลส เวลาสนทนาโดยภาษาใจ ถามเทวดา มีฤทธิ์มากใช่ไหม ถ้ามีฤทธิ์มากเอาชนะความตายไหม ชนะมารตัวเองได้ไหม เห็นภาพเฉยๆ แต่จิตก็เหมือนกัน เห็นกันเฉยๆ แต่วุฒิภาวะของจิตมันต่างกัน วุฒิภาวะมันต่างกัน ความสูงอันนี้มันต่างกันไง ความเป็นไปได้ สิ่งที่เป็นไปได้
ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาเขียนประวัติของหลวงปู่มั่นจะเชิดชู จะบอกว่าสิ่งนั้นมีจริงไง แต่ของเราถ้าเป็นรุกขศาสตร์ เป็นภาษาสัตว์ ภาษาต่างๆ สิ่งนี้มันพอคาดหมายได้ มันก็ยอมรับ สิ่งที่เหนือความคาดหมายน่ะ เราภูมิใจกันว่าวิทยาศาสตร์เป็นการทดสอบศาสนา แต่วิทยาศาสตร์เป็นการทดสอบศาสนา สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์เขาก็ไม่ยอมใช่ไหม แต่สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้
คำว่าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้นะ แต่ธรรมะพิสูจน์ได้ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ มันเป็นความลังเลสงสัย ถ้าความสงสัย ความลังเลนี่ มันเป็นนิวรณธรรม แม้แต่ทำความสงบของใจมันยังทำได้ยากเลย แต่ถ้าเกิดเรายังมีความสงสัยอยู่นี่ มันจะเป็นกิเลสไหม? มันต้องเป็นกิเลสแน่นอน เห็นไหม
ฉะนั้น พระอรหันต์เวลาสิ้นสุดของกิเลสแล้วไม่มีความลังเลสงสัย จะเข้าใจไปทั้งหมดเลย เพียงแต่อำนาจวาสนาจะแสดงออกสภาวะแบบนั้น จะได้หรือไม่ได้ไง ถ้ามันแสดงออกได้ แสดงออกได้มันก็เป็นสภาวะที่ว่ามันเป็นจริตนิสัย แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ว่าเข้าใจเรื่องโลกแล้ว จบกิเลสนี้มันก็จบไปสภาวะแบบนั้น นี้เป็นความจริงนะ ความจริงในหัวใจ
สิ่งที่ว่า เห็นไหม ดูสิโลกมันมีสิ่งต่างๆ ในป่า เห็นไหม ไม้ต่างๆ มันมีมหาศาลเลย เราจะไปคิดว่าเราจะใช้ประโยชน์สิ่งใด เราจะเอาแต่สิ่งนั้นเป็นประโยชน์อันเดียวไม่ได้ เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดไว้ แล้วหลวงตาท่านก็พูดซ้ำมาอีกทีว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก เหมือนไม้ในกำมือ
ป่าทั้งป่าใบไม้ในกำมือในพระไตรปิฏก แล้วเราจะบอกว่าเวลาสิ้นจากกิเลสแล้วนี่มันสูญไป ความสูญเราก็ว่าสูญ แต่เราบอกแล้วว่าสูญมี เห็นไหม ดูสิเวลาความว่าง ความว่างของพระโสดาบัน นี่มันเป็นความว่าง เราคุยกันได้ พระโสดาบันคุยกันได้เพราะอะไร เพราะเรามีจิตรับรู้ เวลามันเป็นสมาธิจะรู้ตลอดไปเลย เวลาอัปปนาสมาธิจิตมันสักแต่ว่ารู้นี่ มันจะสื่อความหมายไม่ได้เลย มันถึงวิปัสสนาไม่ได้ ถ้าออกมาอุปจารสมาธิจิตมันออกมารับรู้ต่างๆ มันโต้ตอบกัน นี่ธรรมกับกิเลสมันต่อสู้กันได้ เห็นไหม นี่เป็นวิปัสสนา
ขนาดที่ว่าความว่างในขั้นของสมาธิ ความว่างของโสดาบัน มันเป็นความว่าง เพราะจิตมันปล่อยสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดของกาย มันปล่อยเข้ามา ความว่างของสกิทา ความว่างของพระอนาคา พระอรหันต์ไม่มีความว่าง พระอรหันต์ไม่มีความว่างเพราะอะไร เพราะถ้ามีความว่างต้องมีอัตตานุทิฏฐิ มีความรู้สึกอันนั้น เวลาโมฆราช เห็นไหม เธอต้องปล่อยความว่างให้หมด แล้วมาถอนอัตตานุทิฏฐิ กลับมาถอนความรู้ว่าว่างให้หมดเลย
นี่นิพพานที่ว่าไม่มีไม่มีอย่างนี้ไง ไม่มีเพราะสื่อความหมายได้ แต่มันมี มันมีเพราะอะไร เพราะถ้ามันไม่มี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์นั้นน่ะ อีก ๔๕ ปีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงชีวิตอยู่นั้นอะไร นั้นอะไรแต่ว่าสิ่งนั้นมันสื่อสารความหมายได้ไง ความรู้อันนี้ถึงมีไง
นิพพานสุก นิพพานดิบ นิพพานดิบคือพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ เพราะยังมีร่างกายอยู่ ยังสื่อสารกันได้ นิพพานสุก เวลาจิตออกจากร่างไปนี่พ้นออกไป แต่ก็สร้างประโยชน์ได้คือสอนให้มีอยู่ ถ้าสสารมีอยู่ ธาตุรู้มีอยู่ ธาตุรู้อันนี้ยังมีอยู่ สื่อความหมายได้ แต่สื่อความหมายได้อันนี้เป็นศักยภาพของกรรมฐาน
เวลาหลวงปู่มั่นท่านพิจารณาของท่านมา เวลาท่านเล่าเป็นคติกับลูกศิษย์ลูกหา เป็นวงภายในมา หลวงตาท่านบอกว่า สิ่งที่หลวงปู่มั่นเคยสื่อสารกับท่าน ท่านเขียนในประวัติแค่เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ บางอย่างไม่ให้เขียนมากไปกว่านี้ ถ้าเขียนไปมากกว่านี้ มันจะเป็นการที่ว่าเราจะไปติดฤทธิ์เดช ไปติดที่ว่าอภิญญา ๖ หูทิพย์ ตาทิพย์ การสื่อสาร รู้วาระจิตต่างๆ อันนี้เป็นอภิญญา สิ่งที่เป็นอภิญญาแก้กิเลสไม่ได้ สิ่งที่แก้กิเลสได้คือมรรค
สิ่งที่เป็นมรรคคือว่ามีสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม นี้เป็นสนามชัยที่จิตของเราเข้าไปวิปัสสนากันเพื่อจะชำระกิเลส อันนี้เป็นสัจจะ เป็นอริยสัจจะความจริง แต่สิ่งที่รู้เห็นอันนั้นมันเป็นเครื่องเคียง มันเป็นเครื่องประดับ มันเป็นเครื่องเชิดชูว่าจิตดวงนั้นมีอำนาจมากมีอำนาจน้อย มีความรู้มากน้อย เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน ทุกคนอยากหาครูบาอาจารย์ แล้วบอกว่าทำอย่างไรจะให้ตรงกับจริต
ถ้าเราไปเจอหลวงปู่มั่น เห็นไหม หลวงปู่มั่นรู้ความคิดเรา รู้ทุกอย่างเรา นี่สอนจริตได้ แต่ลูกศิษย์ลูกหาต่างๆ ต่อๆ มานี่ ลูกหลาน วุฒิภาวะของใจมันไม่เหมือนพ่อเหมือนแม่ เหมือนลูกเรา เราเป็นลูก พ่อแม่เรามีความสามารถมากกว่าเรา ปู่เรามีความสามารถมากกว่าเรา เรานี้มีความสามารถน้อยกว่า แต่เราก็เข้าใจเรื่องอริยสัจ แต่เรื่องความสามารถที่จะบอกเรื่องจริตเรื่องนิสัย มันจางลงๆ เห็นไหม
มันถึงอยู่ที่การสร้าง ดูสิเวลาพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งนี้สิ่งที่ตามๆ กัน วาสนามันต่างกันอย่างนี้ เวลาทำประโยชน์มันถึงต่างกันไง แต่ความบริสุทธิ์เหมือนกัน เวลาพระสารีบุตรที่ว่าไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถูกต้อง ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ มันต้องเป็นสัจจะความจริงจากภายในหัวใจนั้น ถ้าสัจจะความจริงรู้แจ้งอย่างนั้นถึงถูกต้อง
เขาบอกพรรษานั้นรู้แจ้ง เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะรู้แจ้ง โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง รวมใหญ่ คำว่า รวมใหญ่ รวมใหญ่ใครรวม? รวมใหญ่จิตยังมีอยู่ใช่ไหม? ถึงว่าเวลาขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว เห็นไหม ไปเทศน์ที่เชียงใหม่ที่ว่าเจ้าคุณอุบาลีบอกว่า เทศน์ขั้นพระอนาคา แล้วหลวงตาท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นท่านบอกว่าท่านไปสำเร็จที่เชียงใหม่ ทั้งที่ถ้ำสาริกายังไม่สำเร็จ จะบอกว่าข้อมูลของระลึกวันวานกับข้อมูลของหลวงตาขัดแย้งกัน ในเมื่อข้อมูลขัดแย้งกัน แต่เขาบอกว่าข้อมูลของระลึกวันวานถูกต้องเป็นเรื่องน่าอ่าน ข้อมูลของหลวงตานี้เพริศแพร้วเกินไป เป็นสิ่งที่เหนือการคาดหมาย เหนือการคาดหมายเพราะมันเป็นธรรมเหนือโลก มันเป็นสัจจะความจริง เราเอาตรงนี้เป็นที่ตั้ง เห็นไหม
ฟังสิ ถ้าแผนที่ผิด ถ้าเป้าหมายเราผิด เราบอกเมื่อวานนี้ เห็นไหม เชียงใหม่อยู่ทางภาคใต้นี่ แล้วเราว่าเราจะไปเชียงใหม่กัน แล้วเราก็ขับกลับหัวลงภาคใต้ จะไปเชียงใหม่ๆ มันจะถึงเชียงใหม่ได้ไง ถ้าความถูกต้องเชียงใหม่อยู่ทางภาคเหนือ ถ้าเราจะหันหัวรถขึ้นไปทางภาคเหนือ แล้วเราไปเชียงใหม่ เราจะไปเชียงใหม่ได้
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าแผนที่มันผิด เห็นไหม ตอนนี้แผนที่มันจะผิด แล้วเขาพยายามเขาบอกว่า แผนที่ที่ผิดนั้นมันเป็นตรรกะ มันเป็นสิ่งที่เป็นการคาด การหมาย การอนุโลมกัน เป็นกันได้ แต่แผนที่จริง เพราะอะไร? เพราะเป็นธรรมเหนือโลก อ่านไม่ออก อ่านไม่ได้ แต่ถ้าทำไปนี่ พอรู้แจ้งขึ้นมา ที่ว่าความรู้แจ้งที่เข้าไปชำระกิเลส มันชำระกิเลสอย่างนี้ไง ไม่ใช่ความเชื่อไง เข้าไปสัจจะ อ้อ อ้อ เอ๊าะ นั้นล่ะกิเลสมันจะปล่อยไปอย่างนั้นตลอดไป ฉะนั้นว่า เราจะต้องไม่เชื่อแผนที่ที่ผิด เราจะต้องเชื่อแผนที่ที่ถูก แล้วเราเดินตามครูบาอาจารย์ไป เราจะได้ประโยชน์ของเรา เอวัง