เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o พ.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เราก็บอกว่าส่งเสริมพระพุทธศาสนา ใครๆ ก็ส่งเสริมพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเจริญมากสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เผยแผ่ธรรมมานะ แล้วใครจะมีดวงใจแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? ใครจะเป็นคนส่งเสริม?

ส่งเสริม...พระพุทธเจ้าส่งเสริม...พระโมคคัลลานะเวลาเหาะไปบนสวรรค์ กลับมาบอกว่า “ตระกูลนั้นบ้านนั้น พ่อแม่ตายแล้วไปเกิดที่นั่นๆ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับประกันว่า “ใช่.. ใช่..” เห็นไหม คนก็เชื่อมั่นมาก

เวลาศาสนาเจริญที่สุดคือเจริญสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี นี่เถียงกันในพระไตรปิฎกว่าไม่มีๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ว่าไว้ นี่เราก็ว่ากันไป

มีหรือไม่มี สิ่งที่จะส่งเสริมพระพุทธศาสนา มันส่งเสริมพระพุทธศาสนาจากผู้รู้จริง ถ้าส่งเสริมพระพุทธศาสนา เห็นไหม ดูสิ ดูในสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนานะ ภูมิใจกันมากนะ ว่าเป้าหมายของศาสนาพุทธนี่เป็นสันติภาพ เหมือนกับสำนักยูเอ็น เหมือนกับสหประชาชาติเขาส่งเสริมสันติภาพเหมือนกัน

แต่ส่งเสริมสันติภาพ ดูสิ เวลาเขาส่งเสริมสันติภาพ เห็นไหม งบประมาณเป็นของใคร เป็นของผู้มีอำนาจที่จะจ่ายงบประมาณ เขาก็คอนโทรล เขาก็ต้องการส่งเสริมไปในทางความพอใจของเขา นี่ว่าเป็นสันติภาพ สันติภาพของใคร? สันติภาพของผู้ที่เอาผลประโยชน์ใช่ไหม?

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ สันติภาพของใคร? สันติภาพ เห็นไหม ส่งเสริมไปนะ เขามีกรรมของเขา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเริ่มเผยแผ่ธรรม เห็นไหม ต้องรอเวลา เขาพร้อมไม่พร้อม ในปัจจุบันนี้ถ้าพูดไป เขาจะไม่เห็นด้วย เห็นไหม ต้องรอเวลา

เวลาทรมานพระ เวลาพระที่ชอบมามององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากว่าสวยมาก พอใจมาก เห็นไหม รอนะ รอจนมันสุกงอม ถ้าผลไม้มันสุกงอมมันจะแก่ได้ มันจะบ่มได้ เห็นไหม ไล่เลยนะ “จะมาดูอะไรกับร่างกายที่มันเป็นเรือนรังของโรคนี้”

นี่เสียใจมาก หนีไป เห็นไหม พระพุทธเจ้าไปรอที่หน้าผาเลย จะไปโดดหน้าผาตายไง เพราะอะไร เพราะรักองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก แล้วเวลาไปเฝ้ามอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารอไง รอให้ถึงเวลาแล้วกระตุก พอกระตุกก็มีความเสียใจ พอจะไปกระโดดหน้าผา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยฤทธิ์...

นี่ส่งเสริมพุทธศาสนา ส่งเสริมจากเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์มีเดช มีทุกอย่างพร้อม แต่ฤทธิ์เดชนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ใช้ แล้วท่านก็ไม่ค่อยใช้ด้วย เพราะอะไร เพราะฤทธิ์เดชมันเป็นอุตริมนุสสธรรมที่คนจะมีได้หรือมีไม่ได้ก็ได้

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระอรหันต์นี่รู้เหมือนกันหมด เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “สิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์ฤทธิ์ของศาสนาพุทธเรานี่คือการแสดงไง การบันลือสีหนาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เวลาแสดงธรรม เทวดา อินทร์ พรหมสำเร็จมหาศาลเลย เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นการสื่อความหมาย

นี่ที่เราบอกว่าให้ธรรมเป็นทานเป็นสิ่งที่เป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง เห็นไหม ให้ธรรมเป็นทาน ธรรมคืออะไรล่ะ ธรรมคือสภาวธรรมความเป็นจริงที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเผยแผ่ออกมา แล้วเรานี่กิเลสมันปกปิดในหัวใจ ถ้าได้ยินได้ฟังธรรมอันนั้น มันทำให้เรามีความตื่นตัว อย่างน้อยมีความตื่นตัวนะ

ถ้าคนมีความตื่นตัว รู้สึกว่าเรานี่เป็นมนุษย์แล้วนะ คนเราถ้าไม่มีความตื่นตัวนะ ถ้าไม่มีศีลธรรมในหัวใจนะ สัตว์ดีๆ นี่ ดูสัตว์สิ มันก็ทำคุณงามความดีของมัน สัตว์นี่มันมีลูกนะ มันผสมพันธุ์ มันมีลูกนะ มันรักลูกของมันนะ มันหวงมาก ดูแม่ไก่สิ เวลาเหยี่ยวโฉบมา มันเอาปีกปกป้องนะ ถ้ามันจะตายมันก็ยอมตายเพื่อลูกของมันได้นะ นี่แม้แต่สัตว์มันก็มีคุณธรรมของมัน คุณธรรมของความรักลูก คุณธรรมปกป้องภัยมันมีของมัน แล้วมนุษย์เรานี่ก็ว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพล เป็นผู้ที่มีอำนาจ แต่เวลาเบียดเบียนเขานี่มันเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งไง

แต่ถ้าฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ให้เข้ามาถึงใจไง โลกุตตรธรรมคือความลับในหัวใจของเรา เราคิดดีคิดชั่ว เราเบียดเบียนใคร สิ่งนี้เป็นคุณธรรม เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่บันลือสีหนาทจากสิ่งที่บริสุทธิ์อย่างนี้ออกไป พระจะไปโดดหน้าผา ไปพูดเทศนาว่าการสำเร็จเป็นพระอรหันต์เลยนะ

นี่ส่งเสริมพุทธศาสนาคือคุณธรรมอันนั้นไปส่งเสริมพุทธศาสนา ของเรานี่สืบทอดพุทธศาสนาให้ได้เถอะ ถ้าเราสืบทอดพุทธศาสนาได้ เราสืบทอดมาในการกระทำของเรา ในการประพฤติปฏิบัติของเรา สืบทอดนะ ส่งเสริมนะ เราไม่มีคุณธรรมส่งเสริมหรอก อ้างอิงกันในพระไตรปิฎก และพระไตรปิฎกนี่ก็เขียนมาจารึกมา

แล้วตอนที่ว่าเวลา ดูสิสมัยโบราณ เวลามีสงครามมีข้าศึกนะ ตำรับตำราจะหายไป แล้วจะมาเชื่อมต่อกัน นี่ค้นคว้าเอาที่ไหน? บาลีเอาที่ไหน?

นี่ก็ประชุมกัน ก็มีความเห็นกัน พระไตรปิฎกนี่ ธรรมและวินัยเราต้องเคารพเต็มที่ อย่างเช่นหลวงปู่มั่นท่านว่าไว้ เห็นไหม แม้แต่ตัวอักษรที่สื่อธรรมเราก็ยังเคารพเลย แต่สัจจะความจริงอันนี้ เราไปยึดแผนที่อันนี้ มันเป็นส่วนหนึ่ง เห็นไหม แต่ความรู้จริงจากหัวใจ ดูสิ ดูว่าตำราเขียนว่า “น้ำตาลนี่หวาน เกลือนี่เค็ม ถ้าเราอ่านหวานกับเค็ม เราก็หวานกับเค็มอยู่อย่างนั้นแหละ”

แต่ถ้าไม่มีตำราเลยนะ ถ้าลิ้นเรากระทบนะ ว่าหวานหรือเค็ม มันจะซึ้งในใจเราไหม? ถ้าหวาน ลิ้นเรากระทบหวาน หวานเป็นอย่างนี้ หวานไม่ใช่ตัวอักษรว่าหวาน หวานเป็นความกระทบอันนี้

นี่ก็เหมือนกัน ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ต้องส่งเสริมที่ใจของเราก่อน ถ้าหัวใจเราเป็นธรรมอย่างนี้ เราจะไม่ลังเลสงสัยสิ่งใดๆ เลย ถ้าจิตใจเราลังเลสงสัยอยู่อย่างนี้ ลังเลสงสัยอยู่นี่สร้างภาพ สร้างภาพว่าเป็นผู้มีสันติภาพมาก รักสันติภาพมาก แต่ตัวเองจะเอาแต่ผลประโยชน์

เหมือนกับสหประชาชาติ ตัวสหประชาชาติเองไม่ว่า ไม่ได้ว่าตัวสหประชาชาติจะเสียหายนะ แต่ตัวสหประชาชาติมันอยู่ได้ไหม? มันต้องมีงบประมาณใช่ไหม? มันต้องมีคนบริจาคใช่ไหม? แล้วคนบริจาคเขาก็ต้องคอนโทรลของเขาไปตามของเขา

พูดถึงโลกไง ถ้าเรายังเป็นโลกอยู่ นึกโลกเป็นใหญ่ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ โลกนี้เต็มไม่ได้ โลกนี้ไม่มีวันเต็ม เป็นอนิจจัง มันจะแปรสภาพตลอดไป แต่ธรรมในหัวใจของสัตว์โลก ธรรมอยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับครูบาอาจารย์นี่มันเต็มนะ พอมันเต็ม มันรอเวลานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎกมหาศาลเลย ถ้าได้พบนะ ได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิขอทานที่ว่าเป็นเศรษฐี เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านไปแล้วยิ้ม พระอานนท์ถามว่า “ยิ้มเพราะอะไร?”

เศรษฐี ๒ คนนี่เป็นขอทานอยู่ แต่เดิมเขาเป็นเศรษฐี จิตใจเขานี่ควรแก่การงาน คือคนที่มีความสุขมีความสบาย จิตใจมันจะปลอดโปร่ง ถ้าได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนนั้นอย่างน้อยได้เป็นอนาคา แต่ในปัจจุบันนี้เขาเล่นการพนัน เขาใช้ชีวิตของเขาจนเขาโดนโกงจนหมดเนื้อหมดตัวกลับมาเป็นขอทานนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่างเท้าผ่านหน้าเขาไป เห็นไหม พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ต่างกาลต่างเวลา ประโยชน์ของเขาก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาไม่ได้เพราะอะไร นี่เพราะจิตใจเขาไม่ควรแก่การงาน พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พบที่กาลพบเวลาพบที่หัวใจเราปรารถนาด้วย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเราปรารถนา ถ้าเรายึดนะ เราไปยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เห็นไหม ทิฏฐิความเห็น ถ้าทิฏฐิความเห็นมันยึด เห็นไหม ทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าสัมมาทิฏฐิ เห็นไหม ย้อนกลับมาประสบการณ์ สันทิฏฐิโกกับหัวใจ สิ่งที่หัวใจมันสัมผัส สิ่งที่มันสัมผัสมันรู้นี่ สิ่งนี้เป็นความจริง

แต่ถ้าพูดถึงครูบาอาจารย์เราสอน สิ่งที่ว่าเป็นกาลามสูตร เห็นไหม ไม่ให้เชื่อแม้แต่ตำรา ไม่ให้เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์เรา ไม่ให้เชื่อประเพณีวัฒนธรรม ไม่ให้เชื่ออะไรเลย เพราะสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นส่วนประกอบ ต้นไม้มันต้องมีเปลือกนะ ต้นไม้ต้องมีเปลือกมีกระพี้ใช่ไหม แล้วแก่นอีกส่วนหนึ่งใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ส่วนประกอบอันนี้ ไม่ได้ติเตียนว่าประเพณีวัฒนธรรมนี่เป็นสิ่งที่ผิดพลาด ประเพณีวัฒนธรรมสิ่งนี้เป็นการสะสม เป็นการตกผลึกของสังคม สังคมสภาวะแบบนั้น แต่หัวใจของคนมันไม่เหมือนกัน ดูสิร้านอาหารร้านหนึ่ง เห็นไหม อาหารที่มีคุณภาพมาก อาหารที่มีชื่อเสียงมาก ใครๆ ก็ต้องปรารถนาว่าอยากกินอาหารนั้น แต่ถ้าเราไปกินแล้วมันไม่ถูกใจเรา มันก็ไม่อร่อยหรอก

จริตนิสัยก็เหมือนกัน สังคมประเพณีเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าจริตนิสัยเราเป็นอีกอย่างหนึ่ง ดูสิ ว่าเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ เห็นไหม เจโตวิมุตติเป็นสภาวะแบบใด ปัญญาวิมุตติเป็นสภาวะแบบใด นี่ก็ว่ากันไป เห็นไหม แต่ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตตินะ มันก็เหมือนก๋วยเตี๋ยวแห้ง ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ก๋วยเตี๋ยวแห้งมันไม่มีน้ำใช่ไหม แต่ก็จะอาศัยน้ำลวกมา มันจะเป็นอาหารขึ้นมาได้ มันก็ต้องมีความร้อนออกมากลมกล่อมมาเป็นอาหารใช่ไหม? ก๋วยเตี๋ยวน้ำมันก็ทำมาจากน้ำในหม้อ เห็นไหม แต่เขาก็เติมน้ำมาด้วย

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นสมาธิไง สิ่งที่ฐานโดยสมาธิ มันก็เหมือนมีน้ำมีความเป็นไป เห็นไหม สิ่งที่เป็นปัญญามันก็สุกมาเหมือนกัน ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ มันจะสภาวะแบบใด แล้วมันเข้าไปกระทบกับจิตอย่างไร สิ่งนี้มันเป็นการประพฤติปฏิบัติมา เราก็ว่ากันไปตามตำรานะ แล้วก็มาวิเคราะห์วิจัยกันนะ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น..

สิ่งที่เป็นอย่างนั้น นี่มันเป็นความคิดความหมายแล้วก็คาดไป แล้วก็มาว่าสิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเอาประสบการณ์ของเราเข้ามาเทศนาว่าการก็บอกมีการสอนผิด เป็นการสอนผิด.. มันจะผิดไปไหนในเมื่อหัวใจนี่มันสัมผัส มันเป็นสันทิฏฐิโกจากใจดวงนั้น

ตำราเป็นตำราเป็นกรอบไว้ เพราะตำราขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว้างขวางมาก เราประพฤติปฏิบัติขนาดไหนที่ว่าเราจะรู้ขนาดไหนนะ มันจะไม่พ้นจากตำราขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้หรอก เพราะอะไร เพราะพุทธวิสัย ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่อจินไตย ใหญ่กว้างขวางลึกลับจนขนาดว่าเป็นอจินไตย คาดหมายไม่ได้ แม้แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือยังคาดหมายไม่ได้เลย

สิ่งที่คาดหมายไม่ได้ แต่ปฏิบัติธรรมรู้ธรรมตามความเป็นจริงจะรู้ได้ แต่คาดหมายด้นเดาตรรกะปรัชญาต่างๆ เข้าถึงธรรมไม่ได้เด็ดขาด เพราะตรรกะปรัชญาต่างๆ นั้นเกิดจากฐีติจิตที่จิตมันมีอวิชชา มันมีสถานที่เกิด อวิชชามันครอบงำอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้เลย คิดปรุงแต่งขนาดไหนเป็นโลกียปัญญาทั้งหมด แล้วโลกุตตรปัญญาไปไหน?

ว่าโลกุตตรปัญญา การเผยแผ่ต้องเป็นโลกุตตรธรรมๆ มันถึงจะเป็นไปได้ เพราะโลกุตตรธรรมมันเกิดจากความเป็นจริง จากมรรคญาณในหัวใจนี้ไง ถ้าโลกุตตรธรรมแล้วเผยแผ่โลกุตตรธรรมไป นี่ไงที่ศาสนามันจะยั่งยืนตรงนี้ไง นี่พิธีกรรมๆ อย่างหนึ่ง แต่การประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างหนึ่ง การประพฤติปฏิบัตินะ เพราะพิธีกรรมมันจะเรื่องภายนอกใช่ไหม?

พิธีกรรม ดูสิ ดูเวลาเขามีพิธีงานศพ เห็นไหม เขามีพิธีกรรมมหาศาลเลย สิ่งนี้มันเป็นพิธีกรรมเพื่อคนอยู่ เพราะอะไร คนที่ตายไปในขณะที่จิตขาดไป จิตเขาไปแล้ว เขาเสวยภพเสวยชาติไปแล้ว ทำบุญกุศลนี่มันเป็นประเพณีเท่านั้นเอง แต่จิตขณะที่ตายมันไปแล้ว จิตที่ตายนี่

ขณะที่ทำอยู่ มีชีวิตยังทำอยู่ เห็นไหม เหมือนว่าสิ่งที่มีชีวิตอยู่ เรากระทำขนาดไหน เราได้หยิบไป หยิบติดตัวเราไปเองเลย เพราะอะไร เพราะการกระทำนี่มันเกิดมาจากใจ ใจรับรู้ ใจเอาไปเลย แต่ขณะที่ตายไปแล้ว จิตนี้ไปแล้ว แล้วเราส่งต่อ ส่งไปๆ เราส่งต่อ ทำบุญกุศล อุทิศส่วนกุศลไปให้ ถ้าอุทิศส่วนกุศลไปให้ ส่งไปนี่ เราฝากธนาคาร ถ้าธนาคารเขาโกง เขาก็ยังโกงเราได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน ฝากไปในอริยสัจ เพราะการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่การส่งต่อไป เห็นไหม สิ่งนั้นสิ่งที่การส่งต่อไปบริสุทธิ์ผุดผ่องขนาดไหน มันเศร้าหมองขนาดไหน มันเป็นไปได้ขนาดไหน อันนี้ก็อันหนึ่ง กรรมของเขาก็อันหนึ่ง ถ้าทำคุณงามความดีนะ

ดูสิครูบาอาจารย์เราเวลามรณภาพไปนะ ถ้าถึงที่สุดกระดูกเป็นพระธาตุนี่จะมารอรับส่วนบุญจากใคร ไม่รอรับส่วนบุญจากใครหรอก เพราะถ้ากระดูกเป็นพระธาตุสิ่งนี้แสดงว่าเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์มีอะไรมารองรับเรา เพราะพ้นจากวัฏฏะไปแล้ว

“อามิส” สิ่งที่อามิสส่งผลไปในวัฏฏะนี้ นี่ส่งกันได้นะ ไปรษณีย์ส่งไปได้ หรือสิ่งต่างๆ ส่งไปได้ เพราะมันมีที่รับที่ส่งใช่ไหม? แต่ถ้าส่งไปแล้วปลายทางไม่มีคนรับ ไม่มีสิ่งต่างๆ อยู่ที่ไหน? เพราะนิพพานมันพ้นไปจากกระบวนการของวัฏฏะนี้ ใครจะส่งไปให้ได้? แต่เราก็ทำบุญกุศลไปเพื่อเราไง

เรานึกถึง เห็นไหม ดูสิ ส่งเสริมพุทธศาสนา วันนี้เป็นสัปดาห์วิสาขบูชา พระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าปรินิพพาน สิ่งนี้เราส่งเสริมกันเราทำกัน นี่ส่งเสริมพุทธศาสนา ว่ากันไป มันคิดแล้วมันสลดไง สลดเห็นไหม

ดูสิ อย่างพวกเรานี่คิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดเพื่ออะไร นี่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความรู้สึกนี่คือพุทธะ ถ้ามันส่งเสริมกันมาที่นี่ ย้อนกลับมาที่นี่ แต่นี่มันส่งออกหมดนะ ทำเป็นพิธี แล้วเกิดถ้าเวลาปลุกกระแสสังคมขึ้นมา แล้วทำให้มันเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับขึ้นมา มันเป็นความดีความชอบ ผู้ทำมันมีผลประโยชน์ มันเป็นเหมือนกับสหประชาชาตินะ เขาทำเพื่อใคร

แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไม่มีเพื่อใคร ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม สาดออกไป เหมือนกับทิ้งเหว คุณงามความดีเราทิ้งเหว ไม่ต้องการสิ่งใดเลย ส่งเสริมพุทธศาสนาเราก็บริสุทธิ์ก่อน เราจะไม่ต้องการสิ่งใดเลย ผลประโยชน์ไม่มีกับผู้ที่เผยแผ่ ผลประโยชน์ไม่มี เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว “ไม่มีกำมือในเรา”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีเคล็ดลับ ไม่มีกำมือสิ่งต่างๆ เลย เพียงแต่วุฒิภาวะของเราไม่ถึง ปัญญาของเราไม่ถึง เราจะรู้สิ่งนั้นไม่ได้เลย ไม่มีสิ่งใดๆ ในกำมือพระพุทธเจ้า ไม่ปิดบังเร้นลับสิ่งใดๆ เลย แล้วไม่ต้องการผลประโยชน์จากใคร ไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมันเต็มแก้วแล้ว น้ำเต็มแก้วไม่ต้องการสิ่งใดเข้าไปเติมอีกเลย นั้นคือหัวใจของครูบาอาจารย์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่นี่ทำเป็นพิธีกรรม แล้วว่าส่งเสริม ส่งเสริมก็ว่าส่งเสริม เราประพฤติปฏิบัติก็อาศัยสิ่งนี้ เราเตือนใจเราไง เราส่งเสริมที่ใจของเรา เราส่งเสริมเข้าไปที่ป่าที่เขา เราส่งเสริมเข้าไปที่โคนต้นไม้ เราส่งเสริมใจให้ผู้มีความสงบสงัด สงบสงัดขึ้นมาเพื่อเห็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจของเรา เราจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจของเรา แล้วเราจะส่งเสริมพุทธศาสนาที่ใจเราเพราะใจเราเจริญ เอวัง