ผู้รู้จริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
โยม : จะสอนให้คนบรรลุหรือเปล่า หรือว่าท่านก็ไม่บรรลุ จะสอนให้คนอื่นบรรลุหรือยังไงฮะผมอ่านไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้
หลวงพ่อ : มันประเด็นมันเยอะแยะเราจะพูดเรื่องประเด็นอะไรกันละ เรื่องโปฐิละจะเอาประเด็นไหนละ
โยม : ประเด็นอยู่ที่เมื่อกี้หลวงพ่อพูดว่า โคนำฝูงแล้วที่ว่ามันพาไปทำ..เข้าป่าไป ธุดงค์ไปอะไรไป เอ๊ะ มันหาตังค์หรือเปล่า มันอะไรอย่างนี้นะครับ มันเป็นธุรกิจหรือเปล่า มันทำไป ถ้าเกิดมันไม่มีความรู้ความเข้าใจนี่ แล้วมันจะนำพาคนได้จริงหรือ แล้วประเด็นก็คือว่า ไอ้คนที่เขาไม่เข้าใจแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาเขาก็ไม่สามารถที่จะนำพาให้คนอื่นเข้าใจได้ด้วย
หลวงพ่อ: แน่นอน แก่นอยู่ตรงนี้ ถ้าคนไม่รู้จริงมันบอกผิดหมดๆ พูดคำเดียวกัน พูดคำเดียวกันเลย แต่คนไม่รู้พูดผิด คนรู้พูดถูก
โยม : ใช่ๆ
หลวงพ่อ : คำเดียวกันนี้แหละ
โยม : เพราะว่าความเข้าใจของศรัทธาคนไม่เหมือนกัน
หลวงพ่อ : ใช่ๆ ฉะนั้นจะมาพูดไม่ได้หรอกว่า ธรรมะเหมือนกันๆ
โยม : มันอยู่ที่คน
หลวงพ่อ : คำพูดคำเดียวกันนะคนหนึ่งพูดถูก คนหนึ่งพูดผิด
โยม : แม้คำเดียวกันนี่นะ
หลวงพ่อ : ใช่
โยม : เพราะว่าความเข้าใจ
หลวงพ่อ : ใช่
โยม : ฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องของการสอบอารมณ์ของแต่ละคนด้วยหรือว่ายังไง
หลวงพ่อ: แล้วใครจะสอบ
โยม : คือถ้าคนที่มันภูมิธรรมไม่ถึงมันก็สอบไม่ได้
หลวงพ่อ: แน่นอน และการสอบๆ ใครตั้งขึ้นมาสอบ
โยม : ก็คงจะต้องเป็นคน
หลวงพ่อ : ไม่มี
โยม : ยังไงฮะ ขออธิบายให้ผมเข้าใจนิดหนึ่ง
หลวงพ่อ : ไม่มีหรอก ไอ้สอบอารมณ์ๆ คิดกันขึ้นมาเอง
โยม : อ๋อ อย่างสมมุติ ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างนั้น คนที่มาปฏิบัติที่นี่มีอยู่ใช่ไหมครับ
หลวงพ่อ : เยอะ
โยม : แล้วหลวงพ่อดูความก้าวหน้ายังไงครับ
หลวงพ่อ: ไม่ต้องสอบ เขารู้ของเขาเอง
โยม : รู้ด้วยตัวเองเลย แล้วถ้าเขารู้ผิดล่ะครับ หลวงพ่อจะแนะเขายังไง
หลวงพ่อ: ก็ผิดหมดนั่นแหละ ทุกคนปฏิบัติผิดหมด
โยม : อ๋อ ผมเคยฟังซีดีหลวงพ่อแล้วล่ะ หลวงพ่อบอกว่าอะไรก็ผิดหมด ถ้ามันยังไม่ถึงจริงๆ นะ อันนี้ผมเข้าใจเลยนะตรงนี้
หลวงพ่อ: ใช่ อะไรก็ผิดหมด แล้วใครจะถูก
โยม : แล้วทีนี้เราจะแนะเขายังไงครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ: การจะแนะคน เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาเยอะ หลวงปู่มั่นเวลาท่านบอกกับทั่วไปท่านให้พุทโธ หลวงปู่อ่อนท่านให้ท่องคำบริกรรมยาวๆ เลย เพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน เขาเห็นมาตั้งแต่เริ่มต้นเลยล่ะ พอเข้ามาแล้วคนไหนภาวนาได้ไม่ได้ หลวงปู่มั่นบอกเลยนะเวลาถึงที่สุด หมู่คณะจำไว้นะ ให้พึ่งท่านขาวนะ ท่านขาวได้มาคุยกับเราแล้ว
โยม : หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงพ่อ: ใช่ บอกหมู่คณะไว้หมด นี่หลวงตาเล่าให้ฟัง ว่า หลวงปู่มั่นก่อนที่ท่านจะสิ้น ท่านบอกเลยว่าใครพึ่งได้ใครพึ่งไม่ได้
โยม : อ๋อ บอกไว้เลย เพื่อที่ว่า อ้าว เดี๋ยวเราไม่อยู่แล้วนะ ถามคนนี้แทนก็แล้วกัน (ใช่) แล้วยังไงต่อครับ
หลวงพ่อ: อันนี้ถ้าพูดถึงว่าใครจะสอบยังไง โดยข้อเท็จจริงทุกคนรู้ อย่างเช่นถ้าโยมปฏิบัติ โยมผิดโยมถูก โยมจะรู้ข้อเท็จจริง ปฏิบัติผิดปฏิบัติถูกอารมณ์ของเราคืออีกข้อเท็จจริงนะ
โยม : อ้าว ข้อเท็จจริงเหมือนกัน แต่ว่า..
หลวงพ่อ : เดี๋ยวๆ ก็ให้เราอธิบาย ให้อธิบายก็ฟังกูก่อนสิ
โยม : ผมกำลังจะบอกว่าผมเข้าใจตาม
หลวงพ่อ: ถ้าบอกว่าก็ถามเราว่าปฏิบัติทำยังไง เราจะชี้ว่ายังไง โดยข้อเท็จจริงของคนปฏิบัติมันมีข้อเท็จจริงผิดกับถูกอยู่ในใจของมัน ทีนี้มันมีกิเลสอยู่มันก็ต้องคิดว่าความที่มันชอบใจคือถูก
โยม : ถูกต้องหลวงพ่อพูดถูก
หลวงพ่อ: มันเป็นไปได้หรอกที่ว่าปฏิบัติแล้วจะรู้อะไรผิดอะไรถูก แต่มันรู้ความต่างของอารมณ์
โยม : ความที่ว่ามันไม่เหมือนกัน
หลวงพ่อ : ใช่ อย่างเรา แต่ก่อนที่ปฏิบัติมา เราเคยปฏิบัติอีรุ่ยฉุยแฉกแหลกเหลวมาขนาดไหนมันจะปฏิบัติของมันไปแต่พอมันมาเจอทางที่ถูกต้อง มันก็ได้สัมผัสของมัน
โยม : จิตเราก็จะรู้เอง
หลวงพ่อ : แน่นอนมีคนมานั่งร้องไห้ที่นี่เยอะมาก น้ำตาไหลเลยเสียเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปีนั่งอยู่นี่เยอะ ปฏิบัติมาตั้งเป็น สิบๆ ปีไม่ได้อะไรเลย พอมาเปลี่ยนอารมณ์ มาพุทโธอะไรต่างๆ แล้วอารมณ์จะลึกมากแตกต่างกันเยอะแยะ ใครต้องไปสอบมัน
โยม : แล้วเขาจะรู้
หลวงพ่อ: เดี๋ยว สิ่งที่รู้มันรู้อยู่แล้ว แต่คนที่เป็นอาจารย์มันก็ต้องรู้เทคนิคอยู่แล้วเพราะคนที่จะเป็นอาจารย์นะ คนที่จะรู้จริงนะมันต้องผิดมาก่อน ไม่มีใครเลยปฏิบัติแล้วถูกมา แม้แต่พระพุทธเจ้า ๖ ปีแรก ตอนพระพุทธเจ้าปฏิบัติ ๖ ปี ถูกมาหรือยัง
โยม : ไม่ถูกๆ
หลวงพ่อ : พระพุทธเจ้าผิดมา ๖ ปี ทุกคนผิดมาทั้งนั้นล่ะ เพราะผิดอย่างนั้นเราก็ผิดมาก่อน แล้วคนที่ปฏิบัติมันก็มาผิด แล้วเอ็งจะทำยังไงกับมัน มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มันเป็นความจริงอันหนึ่งต้องผิด แต่เพราะเขามีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขาก็พยายามขวนขวายของเขา ถ้าผิดก็ต้องแก้ไข ถ้าอาจารย์ที่ดีก็ดูจริตดูอำนาจวาสนาดูความเป็นไป แล้วคอยประคองให้มันเข้ามาให้ได้ เทคนิคการจะบอก การจะสอนเยอะแยะไปไม่ใช่ว่ามึงผิดๆ ไม่มีทาง
พอเขาเริ่มปฏิบัติ เขาลงทุนลงแรง เขาทำของเขามา พอจิตมันลงบ้าง จิตมันติดข้องอย่างไร เราก็ต้องให้เขารับรู้ ให้เขามีจุดยืนของเขา แล้วเราค่อยๆ บอกเขา ค่อยๆ ใช้อุบาย ค่อยบอกเขา การสอนการแก้จิต หลวงปู่มั่นบอกแล้ว การแก้จิตนี้ยากมาก บอกกับพระนะ
ภิกษุทั้งหลายที่ปฏิบัติมา ผู้เฒ่าจะแก้จิตว่ะ ถ้าผิดพลาดมาผู้เฒ่าจะแก้ ผู้เฒ่าอีกไม่กี่ปีก็จะตายแล้วนะ หาคนแก้จิตยากนะ
โยม : ตกลงว่าไม่ทัน
หลวงพ่อ : ทันไม่ทันมันอยู่ที่วาสนาของคน มันเป็นยุคเป็นคราว นี่เราเอามาเปรียบเทียบให้เห็นว่า คนๆ หนึ่งที่ปฏิบัติมาด้วยความห่วงใยศาสนทายาทเขาจะมีความพยายามอย่างไรของเขา ที่พยายามชักนำมาให้ถูกแนวทาง ไม่ใช่ปล่อยจนอีรุ่ยฉุยแฉกหมาจะพูดยังไง ควายมันจะพูดยังไง ก็เชื่อเขาไปหมด ไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นมันเป็นไอ้พวกไอ้เต่านะไอ้พวกวัชพืชอยู่ใต้น้ำนะ แล้วให้เต่ามันกิน มันอยู่ที่เชาว์ปัญญาของคน
โยม : แล้วถ้าบางคนเขาพูดไม่ได้เราก็ไม่ต้องพูดใช่หรือเปล่าครับ สมมุติว่า...
หลวงพ่อ: ไม่หรอก คนจะพูดไม่พูดอีกเรื่องหนึ่ง กาลเวลาของเขา ไม่มีใครหรอกที่จะเชื่อฟังใคร เป็นไปไม่ได้
โยม : มันก็แล้วแต่คนไปนะ
หลวงพ่อ: แน่นอน มันกรรมของสัตว์ พระพุทธเจ้าบอกแล้ว กรรมพันธุ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นเรื่องต่างๆ ทีนี้กรรมมันแตกต่างหลากหลายขนาดนี้ แล้วจะมารวบยอดให้เป็นเหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คนที่ประพฤติปฏิบัติมาเขาเข้าใจเรื่องอย่างนี้ คนยิ่งผ่านการปฏิบัติมา เรื่องของกิเลสเขาจะเห็นของเขาหมด เขาเข้าใจใจดวงนี้แล้วจะเข้าใจจิตทุกดวงหมด ถ้าโง่กับจิตดวงนี้แล้ว โง่กับทุกดวงหมด ถ้าเข้าใจจิตดวงนี้แล้ว แล้วจิตของใครมันจะต่างกับจิตดวงนี้
โยม : มันก็เป็นจิตที่คล้ายๆ กัน
หลวงพ่อ: อันเดียวกันเลย!
โยม : ทีนี้หลวงพ่อกำลังจะชี้ว่า ให้เราดูว่าไอ้ตัวจิตมันเป็นยังไง ให้เราเข้าใจมันอย่างแท้จริงแล้วยังไงครับ เราต้องเข้าใจมันหรือว่ายังไงครับ
หลวงพ่อ: คนจะเป็นนี่นะ อย่างลูกเราเกิดมา เราจะเลี้ยงลูกเรายังไง จะให้ลูกเราดูจิตรู้จิตไปหมดเลยใช่ไหม ลูกเราเกิดมามันจะรู้จิตไหม แล้วบอกให้มันรู้ มันจะรู้ไหม?
โยม : มันก็ไม่รู้ครับ
หลวงพ่อ : แล้วถ้าสอนอย่างนี้มันจะรู้ได้ยังไง ที่มันสอนกันอย่างนี้จะรู้ได้อย่างไร?
โยม : ไม่รู้เหมือนกันครับ เมื่อกี้ผมฟังหลวงพ่อแล้ว ผมเข้าใจว่าหลวงพ่อ กำลังจะบอกว่าให้เราเข้าใจจิตใจของเราเองถูกไหมครับหรือยังไงเอ่ย ผมไม่เข้าใจ
หลวงพ่อ: ฆราวาสธรรม ธรรมของภิกษุ ธรรมของผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร มึงจะเอาธรรมของใครล่ะ
โยม : ก็ต้องเป็นรูปของฆราวาส เพราะผมเป็นฆราวาสด้วย
หลวงพ่อ: ฆราวาสนะ เพราะใช่ฆราวาส การที่ว่าฆราวาส ธรรมะมันหลากหลายหลวงตาบอกว่าเปรียบเหมือนห้างสรรพสินค้า เอ็งเข้าไปในห้างเอ็งจะเอาอะไรล่ะ
โยม : ก็ต้องแล้วแต่ว่าความอยากที่จะเอาอะไร
หลวงพ่อ: ไม่ใช่หรอกคนโง่คนฉลาด ไอ้คนโง่มันเข้าไปในห้างมันไม่รู้หรอกว่าอะไรดีไม่ดี อะไรใกล้มือมันหยิบ
โยม : ผมรู้สึกว่าจะฟังของหลวงพ่อมา ฟังอยู่ไม่มากหรอก แต่ว่าอยากจะมาหามาดูว่า เอออย่างที่หลวงพ่อสอนอันหนึ่งดีมาก อย่างที่หลวงพ่อบอกตอนแรกว่า อะไรมันก็ผิดหมด เพราะว่าเรายังไม่รู้จริงเพราะว่าทำอะไรก็ทำด้วยความโง่ ทีนี้หลักที่ว่าเป็นกรรมฐานที่ว่าแนวทาง ที่หลวงพ่อบอกว่า อ้าว เวลาเราเข้าไปห้างสรรพสินค้าเราไปเจอคนไม่เหมือนกัน ทีนี้หลวงพ่อพอจะชี้แนะผมได้ไหมว่า ถ้าเป็นผมควรทำอะไรยังไง หลวงพ่อ : อาจารย์....อาจารย์ของเอ็งนะ เก่งกว่ากูเยอะแยะเลย
โยม : อาจารย์....ไม่ได้สอนเลย โอ้โฮ เขาไม่สอนผมนะสิ
หลวงพ่อ : อาจารย์เอ็งเก่งๆ ทั้งนั้นนะ ถ้าไม่เก่งไม่สอนให้เอ็งพูดเก่งอย่างนี้หรอก
โยม : เอ่อ ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่สอนนะ วันนั้นเอาน้ำเย็นมาเสร็จแล้วก็ อ้าว กลืนน้ำเย็นไป บอกให้ผมนะแบบว่าจับความเย็นดูซิ ความเย็นมันไหลเข้าไป ทำสมาธินะผมก็เข้าใจอย่างนั้นนะ แต่ว่าก็นิดหน่อยเท่านั้นเอง จะว่าไม่สอนเลยก็ผิดทางอีกนะ ไอ้ผมมันฟุ้งเยอะ พูดง่ายๆ ผมมันชอบธรรมะ อ้าว ฟังกับใครคุยกับใคร ผมก็ชอบแต่ผมฟุ้งไปหน่อย เอ่อ อย่างนี้
หลวงพ่อ: จะถามก็ถามมาเลยว่าจำเป็นต้องทำสมาธิหรือไม่จำเป็นต้องทำสมาธิพูดออกมาเลยไม่ต้องมาอ้ำอึ้ง
โยม : ไม่ใช่ๆ ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ หลวงพ่อ....บอกให้ผมทำสมาธิไม่ใช่ว่าจะต้องจำเป็นหรือไม่จำเป็น ส่วนตัวผมรู้ว่าจำเป็นแน่นอน สมาธิ
หลวงพ่อ : ทำไมต้องจำเป็นล่ะ
โยม : เพราะว่าถ้าจิตไปคลุกเคล้าอยู่กับอะไร ผมเห็นผู้หญิง ผมก็อื้อหือ อยากจะไปบี้ไปอะไรซะเหลือเกิน ไอ้นี่มันทำให้เราไม่มีสมาธิเลย
หลวงพ่อ : อันนี้มันยุ่งเรื่องข้างนอกเกินไป ไกลเกินไป คนถือศีลกินเจเยอะแยะเลย ก็ผิดศีลข้อนี้เยอะแยะ ไร้สาระ ถ้ามึงไม่คุมใจมึง
โยม : ไม่คุมใจ ต้องคุมใจให้ได้หรือเปล่า
หลวงพ่อ : ต้องคุมใจให้ได้ แต่จะคุมยังไงเท่านั้นเอง
โยม : อ้าว หลวงพ่อบอกเทคนิคให้ผมหน่อยผมจะได้เอาไป
หลวงพ่อ : เราพูดในซีดีมาเยอะแยะ
โยม : มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเขาจะส่งซีดีให้ยังไม่เห็นถึงเลย
หลวงพ่อ : ซีดี เรามีเยอะแยะไปหมด
โยม : เดี๋ยวผมต้องขอหลวงพ่อไปแล้วนะ
หลวงพ่อ : เดี๋ยวจะให้
โยม : แล้วจะได้เอาไปฟังเพราะตอนนั้น เขาบอกว่าเขามีซีดีเยอะแยะเลย เขาบอกว่าคุณนะอยู่เมืองกาญจน์มาหาท่านสิ เขาก็พูดว่าลูกศิษย์อาจารย์.... ท่านส่งคนมาให้รู้จักอยู่แล้วล่ะ เพราะว่าท่านอยู่บ้านตาด ผมเลยโทรไปถาม ผมเลยมานี่เลยนะ ก็เลยมาหาท่านอาจารย์สงบนี่แหละ เพราะว่าอาจารย์เราท่านอยู่ไกลที่เราไปบวชกับท่าน ท่านก็อยู่สุรินทร์โน้นแน่ะ เราก็ไม่ถนัด เราก็เลยจะมาหาคนที่...
หลวงพ่อ : ความชั่วความดีของแต่ละบุคคลมันเป็นของแต่ละบุคคล ความชั่วความดีมันเป็นความชั่วความดีของคนๆ นั้น ความชั่วความดีเอาคนอื่นมาอ้างไม่ได้ ความชั่วก็คือคนนั้นชั่ว ความดีของคนนั้นก็คือคนนั้นดี จะดีจะชั่วก็เป็นเฉพาะบุคคลไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น ความจะขาวสะอาดความจะทุกข์จะยากมันก็เป็นเรื่องของส่วนบุคคลของคนคนนั้น แต่ใครจะมารับรองใครจะมาการันตีไม่ได้ทั้งสิ้น
โยม : ใช่ อันนี้ผมเห็นด้วยนะ ที่ว่าจะมันต้องเป็นพฤติกรรมของคนๆ นั้น
หลวงพ่อ: คนๆ นั้น ฉะนั้นที่ว่าจะเอาคนนั้นมาอ้างคนนี้มาอ้าง ไม่มีประโยชน์หรอกกับเราไม่มีประโยชน์ เอาเหตุผลที่มึงพูดมานะ เอาข้อเท็จจริงจากใจมึงมาคุยกัน คนอื่นไม่เกี่ยว
โยม : เขาอยากจะมาหาท่านอาจารย์เองฮะ
หลวงพ่อ: คนอื่นไม่เกี่ยว
โยม : เอาจริงๆ เลย
หลวงพ่อ : เออ ใช่ ก็ว่ามาสิ
โยม : อยากจะกราบเป็นลูกศิษย์ท่าน
หลวงพ่อ: ไม่ต้องๆ เอาพูดเหตุผลกัน
โยม : ก็อยากมาหาท่าน มาสนทนานี่แหละ
หลวงพ่อ: เอาซิเอาเลย
โยม : มีเพื่อนฝากถามด้วยนะครับ เอ่อ ไอ้เรื่องการปฏิบัติสายของหลวงพ่อเทียนนะครับหลวงพ่อมองว่ายังไงครับ มีคนฝากถามมา
หลวงพ่อ: เรื่องการทำความสงบของใจ เราไม่เคยคัดค้านใครทั้งสิ้น ในซีดีจะบอกมาตลอด การปฏิบัติทุกแนวทางทั้งหมดในโลกในจักรวาลนี้ฤๅษีชีไพร ในศาสนา นอกศาสนา ผลของมันคือสมาธิหมด ไอ้ผลของมันคือสมถะหมด ไอ้ที่วิปัสสนาสายตรงสายไม่ตรง ที่ปฏิบัติไปไม่มี! ไม่มี!
โยม : ก็แล้วต้องทำยังไงครับ ขอเมตตาช่วยบอก
หลวงพ่อ : ผลของมันคือสมถะ ผลของมันคือว่าง แต่ว่างโดยมิจฉาหรือสัมมา ถ้าว่างโดยมิจฉามันเข้าใจว่านั่นคือมรรคผล ถ้าว่างโดยสัมมา ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ สมาธินั้นมันจะเข้ามารู้ถึงฐีติจิต ถิ่นกำเนิดของกิเลส ถิ่นกำเนิดของความรู้สึก ดูใจๆ ใจคืออะไร เราเกิดในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนมาอย่างนี้ ปากเปียกปากแฉะท่องกันไป กายกับใจไม่ใช่อันเดียวกัน คนเกิดมาแล้วก็ต้องตายมันเป็นไตรลักษณ์ นกแก้วนกขุนทองมันท่องได้ดีกว่ามึงอีก
โยม : หลวงพ่อครับแล้วความแตกต่างมันเป็นยังไง ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยครับหรือว่าเราต้องสัมผัสเอง
หลวงพ่อ: มีพระมาหาเราเยอะมาก บอกว่าให้เราพูดกลัวผิด มันเป็นไปไม่ได้หรอกในเมื่อมันไม่มีตุ๊กตาจะพูดเรื่องอะไรกัน
โยม : ตุ๊กตา? ไม่เข้าใจครับ ลองอธิบายให้ผมฟังที
หลวงพ่อ: ถ้ามึงไม่มีอาการ อารมณ์ความรู้สึกมึงเลยจะพูดเรื่องอะไรกัน ไม่มีอาการ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แล้วจะพูดเรื่องอะไรล่ะ
โยม : เออ ใช่ ถ้าให้พูดมันก็พูดไม่ได้
หลวงพ่อ: มึงจะพูดเรื่องธรรมะคนอื่นได้ไหม พูดธรรมะพระพุทธเจ้าหรือ ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือธรรม ธรรมชาติก็คือธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติ คนเอากันก็เป็นธรรมชาติ
โยม : เดี๋ยวผมคิดตามก่อนนะ ไอ้ความแตกต่างกันก็อยู่ที่การที่เราควบคุมจิตได้
หลวงพ่อ: ไม่! ไม่มีหรอก
โยม : แล้วยังไงครับ
หลวงพ่อ : กิเลสคุมมันไม่ได้หรอก
โยม : แล้วเราจะทำยังไงกับมันล่ะ เดี๋ยวผมขออธิบายว่า ผมมองว่าด้วยความคิดแบบโง่ๆ ของผมว่ากิเลสเราไปฆ่ามันตรงๆ ไม่ได้หรอก ผมมองอย่างนั้นนะถูกไหมครับอย่างนี้
หลวงพ่อ: ไม่หรอกๆ เพราะว่ามันเพ้อเจ้อเพ้อฝันกันไปเอง กระแสมันไม่ขึ้นนะ ก่อนหน้านั้นไม่มีหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น ทุกคนก็ไม่เชื่อหรอกว่ามรรคผลมันมี หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิตเลยอยู่ในป่าในเขาของท่านเพราะท่านมีความสุขของท่านเอง ท่านทำของท่านมาเพื่อความเชื่อมั่นของสังคม
พอท่านทำของท่านจนกระแสสังคมมันยอมรับขึ้นมา ทุกคนก็ปรารถนานิพพานๆ ปรารถนาธรรมะๆ กัน ก็ธรรมะมันก็เลยหลากหลาย ไม่รู้ว่าธรรมะใครเป็นธรรมะจริงธรรมะปลอม นี่ถ้าธรรมะจริงนะ คนๆ นั้นจะดี ดูสิ อย่างคู่ครองเขาซื่อสัตย์กับเรา เอ็งเชื่อมั่นว่าจริงไหม เอ็งเชื่อมั่นว่าคู่ครองจะอยู่กับมึงตลอดไปจริงไหม
โยม : ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่จริง
หลวงพ่อ: มันเป็นไปไม่ได้หรอก
โยม : อ้าว อย่างน้อยก็ต้องตายนะ
หลวงพ่อ: วันไหนถ้าเขาแผ่นดินกลบหน้า นั้นนะ เออ นี่เมียกู ถ้าแผ่นดินยังไม่กลบหน้านะไม่รู้วันไหนมันจะเลิกกับกู มันไม่มีอะไรที่จะพึ่งได้หรอกไม่มีอะไรที่จะเป็นความจริงขึ้นมาได้หรอก
โยม : และอะไรที่มันจะจริงบ้างครับ
หลวงพ่อ: เอ็งก็หาเอาสิ
โยม : สิ่งที่เราไปยึดมั่นถือมั่น ไม่จริงเลยถูกไหมครับ หลวงพ่อกำลังชี้ตรงนี้
หลวงพ่อ: ไม่หรอกเอ็งถามเรื่องธรรมะไง ก็เลยพูดเรื่องธรรมะ เอ็งถามเรื่องธรรมะ ธรรมะมันมีหลายขั้นหลายตอนแล้วจะบอกว่าควบคุมๆ ทุกคนก็ มันพูดเป็นวิทยาศาสตร์ว่าการควบคุมทางจิต พวกอภิธรรมมาหาเราเยอะมาก
โยม : เป็นขั้นเป็นตอน
หลวงพ่อ : พิสูจน์ได้ อารมณ์ความรู้สึกจับต้องได้หมดเลย ผิดตรงพิสูจน์ได้นี่แหละเพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ ตอบ
โยม : ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อกำลังจะบอกว่า การพิสูจน์แบบวิทยาศาสตร์มันทำไม่ได้ในแง่ของพุทธศาสตร์หรือเปล่า
หลวงพ่อ: วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ แต่ธรรมะพิสูจน์ได้
โยม : อ้าว เป็นอย่างนั้นอีก ยังไงครับ
หลวงพ่อ: ใช่ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ธรรมะไม่ได้
โยม : อ๋อ โอเค อย่างนี้เข้าใจ ผมเห็นด้วยนะตรงนี้
หลวงพ่อ: แต่ธรรมะพิสูจน์ได้ด้วยคนที่รู้จริง
โยม : คนนั้นเองนะต้องเป็นด้วยตัวคนไป
หลวงพ่อ: คนนี้รู้จริง แล้วคนนี้รู้จริงแล้วมันฟังคนที่ไม่จริงออกหมด ฉะนั้นคนรู้ไม่จริงพูดธรรมะมาผิดหมด
โยม : อย่างที่หลวงพ่อบอกตอนแรกนะ ที่ว่าพูดเหมือนกัน พูดคำเดียวกันแต่ว่ามันผิด
หลวงพ่อ : ผิด!
โยม : เออ แล้วหลวงพ่อกับไปเรื่องเมื่อกี้นี้ ที่บอกว่าไอ้เรื่องของสมาธิเราทำอะไรมันก็เป็นสมถะไปหมดแหละ เพียงแต่ว่ามันต่างกันที่ว่า
หลวงพ่อ : มิจฉากับสัมมา
โยม : เออ นี่แหละ หลวงพ่อช่วยเมตตาผมหน่อยเถอะผมไม่เข้าใจ มันจุดต่างมันยังไง
หลวงพ่อ: ที่ทำกันไป ถ้าทำกันไปผลของมันคือว่าง
โยม : ใช่ ว่าทำกันไปแล้วผลของมันก็คือว่าง ทุกคนต้องว่างหมดเลย
หลวงพ่อ: นั่นแหละ พวกว่างๆ นี่มิจฉาหมด
โยม : โอ๋ พี่สาวผม เพิ่งจะมาคุยกับผมเขาไปว่างๆ อย่างนี้ ผมก็ว่ามันผิดนะอย่างนี้
หลวงพ่อ: ทีนี้ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ คำบริกรรม พุทโธ พุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ใช้สิ่งใดก็แล้วแต่ความคิดเกิดจากอะไร
โยม : ความคิดก็เกิดจากการปรุงแต่งจิตสังขารเรา มันปรุงแต่ง
หลวงพ่อ: จิตสังขารเกิดจากอะไร
โยม : เกิดจากอวิชชา
หลวงพ่อ: อวิชชาเกิดจากอะไร
โยม : อาสวะกิเลส
หลวงพ่อ : นี่มันวิชาการ ตกทะเลไปเลยไป
โยม : ไม่รู้สิ ผมก็ตอบไปเรื่อย แล้วต้องตอบ...
หลวงพ่อ : ความคิดเกิดจากจิต
โยม : อ่า ใช่ครับใช่ เกิดจากจิต
หลวงพ่อ : พุทโธเกิดจากอะไร พุทโธเกิดจากจิต คือจิตมันให้นึกพุทโธ พุทโธๆๆ นี่ กระแสมันมี มันจะเข้าไปสู่จิต ปัญญาอบรมสมาธิใช้สติตามความคิดไป ถึงจะไปถึงความคิดแล้ว พอความคิดสงบลง มันก็ต้องกลับมาสู่จิตมัน ถ้ากลับมาสู่จิต พอมันมาสู่จิต ถ้ามันเข้าไปถึงตัวจิต ตัวจิตตัวนั้นนี่คือตัวสัมมาสมาธิฐีติจิต
โยม : อ๋อ งั้นก็ต้องย้อนกลับมาอยู่ที่จิตเรานี่แหละ ให้..
หลวงพ่อ: ย้อนกลับมาอยู่ที่จิต มึงย้อนไม่ได้หรอก ยิ่งพูดยิ่งออก
โยม : หรือครับ แล้วต้องยังไงครับ ให้มันเป็นไปเองหรือว่า
หลวงพ่อ: การกระทำกับคำพูดมันคนละเรื่องกัน การกระทำก็ตั้งสติขึ้นมา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พุทโธก็ได้ แล้วถ้ามันลง มันจะลงยังไง
โยม : ก็ต้องลงของมันเองนะ หรือเปล่า
หลวงพ่อ : ฟังทีแรกก็นึกว่าจะฉลาดเนอะ
โยม : โอ๊ย ผมไม่รู้สิผมถึงมาถาม ผมถึงมาหาหลวงพ่อ ไม่รู้ถึงมาถาม
หลวงพ่อ: ฟังทีแรกก็คิดว่าจะฉลาด ก็ไม่ฉลาดนะ
โยม : ไม่ฉลาดหรอกครับ ยังห่างไกลฮะ
หลวงพ่อ : อธิบายไปก็เท่านั้นแหละ อธิบายไปยิ่งปากเปียกปากแฉะเลย แต่คนฟังคนรับรู้ไปแล้วมันได้ประโยชน์อะไร
โยม : ก็ได้ลองเอาไปปฏิบัติ
หลวงพ่อ: สัมมาสมาธิ คำว่าสัมมาสมาธิกับสิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขาเป็น เขาเข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะเขาไม่มีขั้นตอนไม่มีการกระทำ เราจะทำอาหาร เราจะทำสิ่งใดให้เป็นอาหารขึ้นมา กระบวนการของมันไม่จบ อาหารไม่มีหรอก อาหารไม่มี เสียหมดเน่าหมดการปฏิบัติที่ปฏิบัติกันไปแล้ว ถึงที่สุดแล้ว คนนั้นได้ขั้นได้ตอนอะไร ไม่มีหรอก ไม่มี รอแต่วันเสื่อมสภาพ
โยม : ที่แท้ธรรมะมันเป็นคือไม่ได้ทำอะไรหรอก ไอ้ที่ผมเข้าใจ อย่างจากผลที่จิตมันเข้าใจในแง่ของการปฏิบัติ ธรรมะที่แท้เราไม่ต้องไปทำอะไร เกิดสภาวธรรมที่มันปรากฏอยู่นี่ เหมือนแขนขาที่ขยับ ที่มันขยับปากอ้าปาก ที่พยายามนั่งอยู่นี่ แล้วก็เมื่อยก้นปวดหลัง ที่มันก็ปรากฏให้เรารู้ ผมก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไร นอกจากรู้ว่ามันเกิดขึ้น จิตไปรู้ไปประจักษ์ต่อหน้าว่า เออ เฮ้ย มันเกิด
หลวงพ่อ: นี่สุกก่อนห่าม ชิงรู้ก่อน สุกก่อนห่ามไง
โยม : ถ้ามันไปรู้ เพราะว่าเรานึกคิด ไอ้อย่างนั้นเราหลงเข้ามาในความคิด แต่ถ้าเรารู้สภาวะ มันไม่ใช่การที่ว่าเราไปคิดเอา ไอ้นี่ที่ผม..
หลวงพ่อ : ความเข้าใจ
โยม : เอ่อฮะ ความเข้าใจที่จิตมันรู้
หลวงพ่อ: มันเป็นการโดนล้างสมองกันมาตั้งแต่ต้น เป็นการล้างสมองกันมาแต่ต้น!หลวงปู่มั่นบอกเลยว่าต้นคดปลายตรงไม่มี
โยม : เหรอฮะ ทีนี้ผมก็เลยเข้าใจ กำลังอธิบายว่าผมก็เลยเข้าใจว่าไอ้ที่แท้ธรรมะมันไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ไปทำอะไรสักอย่างเดียว ไม่ต้องไปทำ เพราะมันก็มีอยู่แล้ว
หลวงพ่อ: เราก็ไม่ต้องทำ เราก็กลับบ้านนอนเดี๋ยวก็เป็นพระอรหันต์ กลับไปบ้านเลย จบ เป็นพระอรหันต์ไม่ต้องทำอะไรเลย
โยม : แต่เราต้องรู้ให้มันถูก
หลวงพ่อ: แล้วทำไมเราต้องรู้ล่ะ ไอ้คำพูดนี่มันขัดแย้งกันเอง
โยม : ไม่ๆ คือถ้าเราไปปรุงสิ่งอะไร มีอะไรเข้ามาปั๊บ เราก็ปรุง อย่างสมมุติหลวงพ่อว่าผม ผมขุ่นขึ้นมาปั๊บ ผมขุ่นเพราะอย่างนั้นอย่างนี้
หลวงพ่อ: ไร้สาระ ไอ้ปรุงอย่างนี้มันข้างนอก มึงนั่งเฉยๆ ไม่มีใครว่ามึง มึงคิดทำไม มึงไม่ให้ใครกระทบเลย มึงไปขุดเจาะรูอยู่เลย อยู่ในรูเลยมึงก็ปรุง
โยม : มันก็ปรุงขึ้นมาเอง ไม่ใช่ว่าจิต...ถูกต้อง
หลวงพ่อ : ไม่ต้องมากระทบๆ หรอก ไอ้ที่กระทบๆ พูดกันทำไมรู้ไหม ก็อย่างที่ว่าสุกก่อนห่าม ปัจจุบันอวดรู้กันว่ารู้ธรรมะ ศึกษาพระไตรปิฎกมาหมดแล้ว รู้ทั้งนั้นนะสภาวะการเคลื่อนไหวรู้ สภาวะมันคงที่ไหม
โยม : มันจะเปลี่ยนตลอด
หลวงพ่อ: และสภาวะเป็นธรรมได้อย่างไร
โยม : ที่มันเป็นธรรม นี่ผมตอบตามความเข้าใจนะ หลวงพ่ออย่าเพิ่งว่าผมเยอะนะ คือมันเปลี่ยนเพราะว่ามันเป็นธรรมะนั้นแหละ มันเป็นสภาวะที่มันเกิดดับๆ ของมันไป มันเป็นไป เออ ไม่เป็นก็ช่างมัน
หลวงพ่อ: เราก็ถึงพูดเมื่อกี้ว่า คนผู้หญิงร่วมเพศเป็นธรรมไหม ถ้าเอ็งคิดอย่างนั้นร่วมเพศก็เป็นธรรมะ
โยม : ผมมองเลยว่าทุกๆ อย่างคือธรรมะ แต่ว่าสิ่งที่เป็นธรรมะจริงๆ คือความจริงของมัน หรือยังไงฮะ
หลวงพ่อ: ไม่ใช่ ถ้าคิดอย่างนี้ เราถึงบอกว่าความจริงเขาเริ่มต้นคิดกันอย่างนี้ หลวงปู่ดูลย์บอกว่า! ความคิดทั้งหมดที่ส่งออกให้ผลเป็นสมุทัย เป็นทุกข์ เป็นกิเลสต้องหยุดความคิดใช่ไหม แต่การหยุดความคิดนั้นก็ต้องใช้ความคิด
โยม : คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าคิดถึงรู้ แต่ก็อาศัยคิดนั้นแหละ
หลวงพ่อ: เอ็งหยุดคิดตรงนี้ อาศัยคิด อาศัยคิดคืออะไร
โยม : อาศัยคิด คือว่า อาศัยว่ารู้
หลวงพ่อ : แล้วสภาวะที่รู้อยู่แล้ว นี่คือสภาวะของความเป็นจริงมันล่ะ นี่คือสภาวะที่มันรู้ นี่ที่ออกรู้คือสมุทัยทั้งหมดเลย แล้วมึงไปรู้สมุทัยแล้วเอ็งได้อะไร
โยม : อีกรอบครับ
หลวงพ่อ : ความที่มึงคิดอยู่นี่ ที่มึงคิดออกรู้นี่ แล้วมึงตามความคิดนี้ไปตามสภาวะที่รู้ สภาวะ สภาวะที่มันคิด สภาวะ
โยม : รู้สภาวะไม่ได้รู้เรื่องราวนะ
หลวงพ่อ : อ้าว ว่าไป
โยม : ไอ้ที่เรื่องราวมึงไปรู้ตัวนั้นตัวนี้ เราไม่ได้รู้เรื่องราว เรารู้ เออ สภาวะที่เกิดขึ้น
หลวงพ่อ: แล้วยังไงต่อไป
โยม : แล้วแต่สภาวะอื่นเข้ามา ยังไงก็แล้วแต่
หลวงพ่อ : เป็นไปไม่ได้!!!
โยม : อย่างช่วงหนึ่งมันก็คิดต่อใช่ไหม
หลวงพ่อ : ใช่ เพราะรู้สภาวะก็ต้องหยุด ถ้าคิดต่อไม่ใช่รู้สภาวะ มันรู้เรื่อง
โยม : ถ้ารู้ถูกต้องต้องหยุดเลย
หลวงพ่อ: โธ่เอ๊ย อย่ามาตอแหล แหม รู้สภาวะๆ แล้วมันหยุด นี่คนไม่เป็นพูดกันมามันสาวเข้ามาเป็นชั้นๆ คนไม่เป็นพูดเห็นไหม คนไม่เป็นพูด หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดอยู่แล้วตามดูจิต ตามดูความคิด ความคิดออกนั่นคือส่งหมด ต้องหยุดความคิด แต่ก็ต้องใช้ความคิด คือปัญญาอบรมสมาธิ
โยม : ไอ้ตอนที่มันหยุด มันต้องหยุดเอง
หลวงพ่อ : หยุดยังไม่รู้ว่าหยุด หยุดแล้วมันมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรก็ยังไม่รู้ จิตหยุดแล้ว จิตเห็นอาการของจิตก็ไม่เข้าใจ การทำงานของมันก็ไม่รู้ กูงงฉิบหายเลย เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!!! รู้สภาวะ รู้ไม่ใช่รู้อารมณ์ ไม่รู้อารมณ์ ความคิดต้องไม่มี
โยม : ใช่ๆ ความคิด ตอนที่รู้ต้องไม่คิด
หลวงพ่อ: รู้แต่สภาวะไม่รู้อารมณ์ แม่งคิดต่อไป ส้นตีน
โยม : แสดงว่าตอนนั้นเขาคิด เขาก็...
หลวงพ่อ: โกหกๆ ตอแหล!!! ธรรมะคือของจริงแต่ถ้าคนพูดไม่เป็น มันก็พูดผิดมาอย่างนี้ กูบอกว่าผิดมาตลอดเลย กูยืนยันว่าผิด
โยม : อ้าว อย่างนี้ หลวงพ่องั้นวิธีการทำที่จะปฏิบัติ วิธีปฏิบัติ หลวงพ่อแนะนำให้หน่อย
หลวงพ่อ: หลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนถูก และหลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นของจริง ของจริงเห็นไหม ดูสิ กูพูด เอ็งบอกสภาวะๆ เอ็งพูดกันไป ถ้าคนไม่เป็นมันฟังแล้ว มันก็เคลิบเคลิ้มคนเป็นนะมันเป็นไปได้ยังไงวะ กั้นเขื่อนแล้วมีน้ำไหลออกมามันเป็นไปได้ยังไงวะ กั้นเขื่อนแล้ว น้ำจะไหลออกมาได้อย่างไร นอกจากเปิดเขื่อน แล้วรู้สภาวะแต่ไม่รู้อารมณ์ เออะ อย่างนี้ก็มีเนอะ กูเพิ่งได้ยิน กูได้ยินเขาตอแหลกันมาเยอะ แต่กูไม่เคยพูดเลย
เมื่อก่อนเราจะไม่พูดเรื่องอย่างนี้เลย เพราะเราถือว่า หลวงตาท่านคุยอยู่แล้ว ครูบาอาจารย์ท่านสอนกันมา ใจเราดูแต่ใจเรา มันเรื่องของเขา มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเราหรอก หน้าที่ของพวกเราก็คือแก้ไขใจของเรา แต่เราทนไม่ไหวเพราะคนมาถามกันเยอะเราเห็นคนมันไปกันมาก เพราะฉะนั้นเรารู้ของเราเองเลยล่ะ ว่าคนที่จะพูดเรื่องอย่างนี้ได้จริงก็คือคนที่รู้จริงเท่านั้น ถ้าคนไม่รู้จริงนะพูดอย่างไรนะ เถียงกันไปก็สีข้างเข้าถูกันไปวันยันค่ำ เพราะพูดคำเดียวกัน
โยม : แม้จะพูดคำเดียวกันนะ
หลวงพ่อ: ใช่ แต่ถ้าคนจริงคนไม่จริงมาเจอกันเมื่อไหร่ก็เสร็จเมื่อนั้นล่ะ มันถึงไม่กล้าเจอหน้ากันไง คำพูดคำเดียวกัน แต่มันมาอย่างไรมึงบอกกูมา แล้วตอบไม่ได้ไงถ้าคนไม่เป็น อย่างนี้ อย่างเช่นพูดอย่างนี้ หักได้ทุกข้อ ลองไม่เป็นมันผิดทุกข้อนะ เพียงแต่คนเป็นชี้ ตายทันที มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่พูดมาเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันขัดแย้งกันในตัวมันเอง ทุกอย่างขัดแย้งในตัวมันเองหมดทุกกรณีเลย เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น
โยม : แล้ววิธีปฏิบัติล่ะครับ
หลวงพ่อ: วิธีปฏิบัติก็ครูบาอาจารย์สอนกันอยู่แล้วนี่ไง พระป่าสอนถูกหมด แต่คนทำไม่ถึงแล้วเข้าไม่ได้
โยม : พุทโธก็ได้
หลวงพ่อ: ใช่ ที่เขาทำกันเพราะอะไร อย่างนั้นนิพพานเอามาแจกขายกันได้ โดยทั่วๆ ไป มันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อนิพพานเอามาแจกขายกันไม่ได้ แล้วเอามาแจกขายกันใครๆ ก็อยากได้ พอเมื่อใครอยากได้ มันก็เข้าไปแสวงหา แต่มาปฏิบัติเอาจริง ไม่ได้แจกมันต้องทำให้ได้ มึงต้องทำเอง พอทำเอง อ้า เลิกกลับบ้าน พระป่าสอนยากฉิบหายเลย อัตตกิลมถานุโยค โอ๊ย เฮงซวย
กูก็มานั่งจ้ำจี้จ้ำไช โอ๊ย ไปนิพพานกันดีกว่า เชิญตามสบาย จะมาถามอะไร หลวงปู่มั่นสอนมาตั้งสองช่วงอายุคนแล้ว รุ่นหลวงปู่มั่นรุ่นหนึ่ง รุ่นครูบาอาจารย์รุ่นหนึ่ง พวกเรารุ่นหลานแล้ว
โยม : ใช่ๆ เราเป็นรุ่นหลานแล้ว
หลวงพ่อ: ของจริงๆ ดีๆ มีอยู่เยอะแยะ
โยม : เราต้องมองให้ออกนะ
หลวงพ่อ : เสือกเหยียบข้ามกันไป จะไปเอาของมักง่าย แล้วก็พากันไปตายหมด แล้วศาสนาสอนกันอย่างนี้เหรอ ว่ายังไม่ถึงเวลาล่มสลาย วันไหนล่มสลายแล้วจะเห็นกันว่าอะไรจริงอะไรปลอมของไม่จริงอยู่ไม่ได้
โยม : อย่างนั้นถ้าเกิดคนไปเดินจงกรมก็เดินไป สมมุติว่าครูบาอาจารย์สอน อ้าว หลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้ก็สอน ไม่เอ่ยชื่อนะ สอนเดินจงกรมก็อ้าว ก็เดินๆ กันไป ก็เดินไปแต่ว่าต้องให้เป็นสัมมาสมาธิ
หลวงพ่อ: มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของเขา อยู่ที่ความตั้งใจสมบูรณ์ของเขา ความตั้งใจจริง ความตั้งใจจริงนะความเพียรชอบและไม่ชอบ
โยม : ของแต่ละคนที่ไปฝึกนะ
หลวงพ่อ: ความเพียรชอบและความเพียรไม่ชอบ ความเพียรไม่ชอบมันจะให้ผลเป็นความชอบได้อย่างไร
โยม : อืม มันก็ออกมาไม่ถูก
หลวงพ่อ : ไอ้อย่างนี้แล้วจะไปโทษใครล่ะ ว่ายากหรือง่ายจะไปโทษใคร
โยม : โทษเจ้าของ โทษไอ้ตัวคนที่เขาปฏิบัตินั่นแหละ
หลวงพ่อ: นั่นแหละมันต้องโทษตรงนั้น ไม่ใช่โทษว่าใครทำง่ายใครทำยาก ไม่ใช่มันตั้งใจว่าความเพียรชอบหรือไม่ชอบอำนาจวาสนาของบุคคลที่สร้างมา ความเป็นไปของจิตแต่ละดวง โอ้ มันหลากหลายมาก ถ้ามันไม่หลากหลายมันไม่มีสูตรสำเร็จไง นี้คือสูตรสำเร็จกัน ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ เวลาเรียนหนังสือยกชั้นนะโว้ย เวลาปฏิบัติไม่เคยเห็นมียกชั้น กว่าจะได้มาแต่ละองค์นี้แสนทุกข์แสนยาก
โยม : มันปัญญาไม่เท่ากัน
หลวงพ่อ: มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ไม่เท่ากันหรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ลูกแฝดนะไข่ของแม่ใบเดียวกันนะ นิสัยมันยังไม่เท่ากันเลย แล้วมึงจะเอาสังคมโลกมาปฏิบัติ โดยสูตรสำเร็จให้เหมือนกันหมด มึงจับกูไปฆ่าอีก ๕๐๐ ชาติ กูก็ไม่เชื่อว่าทำไปได้
โยม : งั้นหลวงพ่อก็จะสอนคนไม่เหมือนกันซิ เพราะว่าสูตรสำเร็จไม่มี
หลวงพ่อ: แน่นอน สอนตามกิเลสพวกมึงนั่นแหละ จะสอนเรื่องอะไรเอ็งรู้มากเกินไปแล้ว
โยม : ไอ้ตรงรู้โดยที่ว่าเราไม่ได้ประจักษ์ โดยการปฏิบัติมันไม่ดีหรอก ผมก็อ่านไปเยอะเกินไปไง อ่านเยอะเกินไปไง ก็ถึงได้มาเรียนให้หลวงพ่อเมตตาผมนะ
หลวงพ่อ: ผ่านครูบาอาจารย์มาระดับนี้ เราไม่เคยสนใจใครเลย ไร้สาระเพราะกูไม่ได้บวชมาเพื่อใครทั้งสิ้น กูไม่ได้บวชมาเพื่อพวกมึงหรอก กูบวชเพื่อกูคนเดียว ทำไมกูต้องไปยุ่งกับพวกมึงด้วย
โยม : ผมพยายามจะฟังอยู่นะเพราะว่าเป็นคำสอนแล้วนะนี่
หลวงพ่อ: ไม่ เราไม่สนใจหรอก ไม่สนใจ เราทำเพื่อศาสนา ทำเพื่อข้อเท็จจริง เราไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งสิ้น ไม่ได้เพื่อใครเลย แล้วไม่จำเป็นต้องสอนใครหรือไม่สอนใคร ไม่สน ใครมานี่ไล่ออกอย่างเดียว ไม่สนๆ ไม่เคยสนเลย ธรรมกับโลกมันคนละเรื่อง
โยม : แต่ผมก็ได้ฟังแล้วนะ ผมก็ได้แล้วนะได้ความรู้
หลวงพ่อ: โลกคือโลก ธรรมคือธรรม โลกไม่ใช่ธรรม ถ้าการเคลื่อนไหวคือโลก อย่ามาคุยเรื่องธรรมะ ไม่ต้องมาคุย ถ้าการเคลื่อนไหวยังเป็นโลกอยู่โลกทั้งนั้น ถ้าการเคลื่อนไหวเป็นธรรม ดูออกหมด ถ้าการเคลื่อนไหวเป็นโลก แล้วบอกว่าปฏิบัติธรรมกันนะ มันก็เป็นธุรกิจธรรมะไง เดี๋ยวนี้นะสังฆภัณฑ์ขึ้นห้างหมดแล้ว
โยม : โลตัสก็มีเป็นชุดเลย อย่างนั้นก็เป็นไปได้ไหม ถ้าเราปฏิบัติเพื่อที่ว่า เราเห็นว่า ไอ้สิ่งที่มันเปลี่ยนแปลง เห็นโลกเห็นอะไรมันเปลี่ยนแปลงไป แต่จิตเรามันไม่ได้เปลี่ยนหลวงพ่อ
หลวงพ่อ : จิตนี่เปลี่ยนเร็วกว่าเขาอีก
โยม : จิตเปลี่ยนเร็วกว่าเขา แต่เราไม่ได้ปรุงไปกับเขาหรือว่ายังไง
หลวงพ่อ: จิตนี่เปลี่ยนแปลงไปกับเขา สันตติมันเคลื่อนไหวเร็วมาก แล้วพอเห็นปั๊บ ว่ามันต้องเปลี่ยนแปลงไป อารมณ์ความรู้สึกเราเปลี่ยนแปลงนะ วันหนึ่งกี่ล้านๆ ครั้งแล้วเอ็งจะบอกว่าข้างนอกเปลี่ยนแปลง แล้วกูไม่เปลี่ยนแปลง ซื่อบื้อกันไปหมดแหละ ที่เราไม่อยากจะพูดกับโยม พอโยมพูดออกมา เราจับประเด็นได้หมดแล้วล่ะ ว่าโยมในสมองโยมเราจะบอกอยู่ประจำนะ เวลาใครมาหาเรา ลูกศิษย์นี่จะบอกว่าโยมมาจากไหนผ่านสำนักไหนมา แล้วอยู่นั่นกี่ปี ๕ ปี ๑๐ ปี ๒ ปี ถ้า ๒ ปี ก็ยังเล็กน้อย ๕ ปี ๑๐ ปี
มีคนมาร้องไห้อยู่นี่ บางคนนะ ๒๐ ปี ๓๐ ปีนะ ไปพิจารณานามรูปมาต่างๆ แล้วเราจะถามว่า มึงปฏิบัติเพื่ออะไร ถ้าเอ็งปฏิบัติเพื่อปฏิบัติธรรมถูกต้องแล้วล่ะ บอกไม่ใช่หรอกปฏิบัติเพื่อมรรคผล ถ้ามรรคผลเอ็งผิดหมดล่ะ ร้องไห้เลย
มันกำหนดนามรูปกำหนดทุกอย่างหมดใช่ไหม ใช่ แล้วมันว่างหมดใช่ไหม ใช่ แล้วทำยังไงต่อไปล่ะ ก็ที่มาถามเพราะเหตุนี้ไง ทำยังไงต่อไปล่ะ ใช้ปัญญาสายตรงถึงพิจารณาแล้วๆ เพราะความเข้าใจผิดว่าพิจารณาแล้ว มันก็ปล่อยวาง
เราพูดประจำการปฏิบัติทุกสายล่ะผลของมันเป็นสมาธิหมด การปล่อยวางคือสมถะ การเกิดและการดับ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคงที่ไม่มี ต้องดับเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรคงที่หรอก แต่เพราะมันไม่มีอะไรคงที่ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปของมันอยู่แล้ว
ที่บอกธรรมะเป็นธรรมชาตินี่ไง ถึงบอกมึงอย่ามาคุยกับกูว่า ธรรมะเป็นธรรมชาตินะ ธรรมะนี่เหนือธรรมชาติ ธรรมะมันต้องรู้กฎรู้ทฤษฎีทิ้งธรรมชาติไปหมดเลย ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ เราจะต้องเกิดต้องตายกันอยู่ เพราะการเกิดการตายเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แล้วเราจะหลุดพ้นจากการเกิดการตายแล้วบอกธรรมะเป็นธรรมชาติได้ยังไง
โยม : ใช่ แต่ว่าการเกิด
หลวงพ่อ : เออ เป็นธรรมะหรือเปล่า
โยม : ไม่เป็น ถ้ายังเกิดดับ เกิดดับก็ไม่ใช่ธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมะ เพราะธรรมะ..
หลวงพ่อ: ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาตินี่เป็นธรรมะสาธารณะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเทศน์ธรรมะไว้ เทศน์ธรรมะให้เราเข้าใจเหมือนทางวิทยาศาสตร์ เมื่อก่อนคนกลัวฟ้ากลัวฝนตกกลัวฟ้าผ่า กลัวหมด กราบไหว้หมดเลย เพราะเราไม่เข้าใจ
วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว ฟ้าผ่าฝนตกแดดออก มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เราก็เลยไม่มีความกลัวกัน นี่เราก็บอกว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ เราเข้าใจธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเสือกโง่ไง ก็กูเข้าใจแล้วกูก็นึกว่ากูมีธรรมไง แล้วมีธรรมแล้วมึงได้อะไรขึ้นมา อ้าว ก็กูไปท่องพระพุทธเจ้ามาได้แล้วไง โอ๊ย พระไตรปิฎกนี่นะ ปลวกมันกินเข้าไปเลยนะมึง มันแดกทั้งเล่มเลยนะ มันไม่ได้อะไรเลย
ไอ้นี่ก็ไปท่องมาได้หมดทั้งเล่มเลย นี่กูรู้ธรรม มึงรู้ธรรมนะแต่ใจมึงเป็นกิเลสหรือเปล่า กูไม่เคยค้านพุทธพจน์เลยนะมึง แต่กูค้านไอ้คนพูดพุทธพจน์นะ พุทธพจน์นี่จริง แต่ไอ้คนพูดตอแหล อย่าอ้างพุทธพจน์มาข่มกู เพราะพุทธพจน์กูก็รู้
โยม : อ่า มีตู้พระไตรปิฎกอยู่
หลวงพ่อ : พุทธพจน์คือพุทธพจน์ แต่ไอ้คนพูดมันตอแหล นี่ก็เหมือนกัน ศึกษามาๆ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมะเหนือธรรมชาติ ถ้าไม่เหนือธรรมชาติมันจะทิ้งธรรมชาติได้อย่างไร ทิ้งธรรมชาติ
โยม : ผมมามองว่าธรรมะคือความจริงนะ แต่ไม่ได้มองว่าธรรมะคือธรรมชาติ
หลวงพ่อ : ความจริง จริงอย่างไร
โยม : จริงโดยที่มันเป็นตัวของมันเอง เช่นตั้งอยู่ เปลี่ยนไป มันต่อมิอะไร ของมันไป
หลวงพ่อ: เป็นไปไม่ได้
โยม : ยังไงครับ อธิบายให้ฟังหน่อย
หลวงพ่อ: ถ้าอย่างนี้ เราก็นั่งดูกัน โลกมันจะเปลี่ยนไป ตอนนี้โลกร้อน ทุกคนพยายามจะแก้ไขมันหมดเลย อ้าว มันก็เป็นความจริงอันหนึ่งนะโลกร้อน
โยม : คือไอ้ตัวความจริงของมัน ที่ใจเราต้องไปประจักษ์
หลวงพ่อ: นี่ ที่เราจะบอกว่าเขาผิดกันหมด เราจะแบ่งแยกหลายๆ ชั้นมากเลย ไอ้ที่พูดนี้ก็ชั้นหนึ่งแล้วนะ ไอ้เรื่องความเข้าใจธรรมะก็เรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องที่สองถ้าคนมันรู้คนมันเห็นนะมันจะเข้าใจเรื่องโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา อันนี้ก็ไม่เข้าใจ คนไม่เข้าใจคนไม่เคยทำ ถ้าคนไม่เคยเห็นโลกุตตรปัญญา คนนี้จะไม่เข้าถึงโสดาบัน
คนเข้าถึงโสดาบันได้เพราะเห็นโลกุตรปัญญา เพราะตัวโลกุตตรปัญญา คือตัวชำระกิเลสคือตัวที่ทำให้จิตนี้เข้าถึงโสดาบัน ถ้าคนยังพูดตรงนี้ไม่เป็น มันไม่เคยเห็นทางเข้าสู่โสดาบันมันจะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร
โยม : ก็ไม่เห็นแสดงว่าไม่เคยเจอ
หลวงพ่อ: แล้วคำพูดที่กำลังพูดออกมา ที่ว่า แล้วใช้ปัญญาอย่างไร ผมก็ใช้ปัญญาผมเข้าใจแล้วจะใช้ปัญญาอย่างไร
โยม : อันนี้โยมคิดเอาเองนะ
หลวงพ่อ: แน่นอน แล้วพอเข้าไปแล้วจะมีสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญามันจะหลากหลายและปัญญาแต่ละขั้นตอนที่มันแก้กิเลส แต่ละชั้นแต่ละตอนนี่ มันเป็นไปตามข้อเท็จจริงด้วย ไม่ใช่เป็นตามที่เราพูดหรือใครพูด ถ้าคนไม่เข้าถึงตรงนี้ พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักร ถ้าเราไม่รู้วงรอบของมันใน ๓ รอบนั้นที่เราปฏิบัติมา เราจะไม่ประกาศตัวว่าเราเป็นพระอรหันต์
โยม : ใช่
หลวงพ่อ : แล้วที่เขาคุยกันอยู่นี่ อย่างที่เอ็งพูดเมื่อกี้นี้ ร้อยแปดพันเก้า นิทาน นิทานธรรมะ แล้วก็เห่อเหิมกันไป กระแสชักนำกันไป
โยม : เอ่อ ถ้าผมขอใช้ความคิดอีกสักทีหนึ่งนะครับ สรุปออกมาจากที่นั่งฟัง ที่หลวงพ่อแสดงธรรม ผมมองว่าหลวงพ่อกำลังจะบอกเราว่าให้เราเข้าใจเสียก่อนให้มันถูกเสียก่อนว่าอะไรมันเป็นอะไร ไอ้ธรรมะจริงๆ นะมันคืออะไร เพื่อปรับทิฐิให้มันถูกก่อน ก่อนที่จะไปยึดไอ้รูปแบบทำเนียม หรือที่ว่าหลักของคัมภีร์อะไรโดยที่ว่าใจมันยังไม่ถึง
หลวงพ่อ: แน่นอน หนึ่งใจไม่ถึง แล้วมันไม่ใช่ว่ามาปรับความคิดเห็นหรอก มันเหมือนกับกระแส คนจะสร้างขึ้น ถ้าคนไม่สร้างขึ้นกระแสมันไม่สร้างขึ้น ความนิยมมันก็ไม่เกิดขึ้น ทีนี้ความนิยมเกิดขึ้นแล้ว บอกว่าจะเข้าไปปรับมันอยู่ที่โคนำฝูงนะ
โยม : เออๆ กลับมาเรื่องนี้
หลวงพ่อ : เพราะว่าเรื่องนั้นมันชัดไปแล้ว และก็บอกว่าจะกลับมาปรับ ไอ้นี่ก็พูดอยู่คนเดียว ไร้สาระ เราไม่คิดอย่างนั้นหรอก เวลาเราพูดที่ว่าโดนล้างสมอง ทุกคนมันจะโดนล้างสมองมา พอโดนล้างสมองมา มันมาเริ่มธรรมะเริ่มมาหัดอยู่กับเรา แล้วก็กลับไปทำตามที่เราสอน ทุกคนนะถ้ามันได้เข้าไปสัมผัสนะ มันจะมานั่งร้องไห้ที่นี่เยอะมาก เรานั่งอยู่นี่ น้ำตาจะฝากกูเยอะมาก
โยม : เพราะถ้าเขาเห็นแล้ว เขาจะ..
หลวงพ่อ : ร้องไห้ ร้องไห้เลย เพราะเมื่อก่อนทำอย่างนั้น
โยม : มันเสียเวลา
หลวงพ่อ : ไม่ใช่เสียเวลา เพราะเขาเข้าใจว่าอย่างนี้ เพราะเขาเข้าใจเลย และพอเขาปฏิบัติปั๊บ แล้วเขามาร้องไห้ เราจะไม่บอกอย่างนั้น เวลาเราสอนเราจะไม่บอกอย่างนั้นเราจะบอกว่า แล้วความรู้สึกรสชาติต่างกันอย่างไร เขาบอกมันคนละเรื่องเลย เมื่อก่อนอันโน้นที่เราทำอยู่แล้ว เราก็ว่าดี พอมาทำอย่างนี้ปั๊บ มันเห็นความต่างเลย แล้วย้อนกลับไปดูอันนั้นแล้วนะ เมื่อก่อนเราคิดเราไปเชื่อเขาได้ยังไง มันก็ยังงงตัวมันเองเลยนะเยอะแยะแต่เรื่องอย่างนี้ เราจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เราจะช่วยโลก คือโลกทัศน์ โลกก็คือเรา โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือตัวเรา เราช่วยเขาได้คนหนึ่ง เราช่วยโลกธาตุได้โลกหนึ่งแล้ว
โยม : ก็เท่ากับว่าดึงคนเรานี่แหละ
หลวงพ่อ : ใช่ เราไปช่วยเขาคนหนึ่งสองคนนี่ เขามาร้องไห้ต่อหน้านี่เยอะ เยอะจริงๆ แล้วอย่างที่ว่าปฏิบัติ ถ้าเอ็งพวกนามรูปการปฏิบัตินี่ ๓ ปี ๒๐ ปี เอ็งปฏิบัติเพื่ออะไร ถ้าปฏิบัติเพื่อไปปฏิบัติธรรม เออ ถูก แต่ส่วนใหญ่เขาจะไม่พูดอย่างนั้น เขาจะตอบเราว่าอยากจะได้มรรคได้ผล คือไม่ต้องการเวียนว่ายตายเกิด บอกมึงผิดหมดนะ พอผิดหมดแล้วก็มาแยกให้ตรงเห็นตรงนี้ ตรงที่แบบว่า มึงกำหนดแล้วมันว่างใช่ไหม ใช่ แล้วว่างแล้วทำยังไงต่อไปล่ะ จริงๆ แล้วมึงไม่ว่างกันหรอก
โยม : อืม มันว่างปลอมๆ
หลวงพ่อ : เพราะมึงคิดว่าว่าง เพราะความคิดมันเกิดดับ มึงไปดูนามรูป ใครเป็นคนดูถ้าไม่มีพลังงานไม่มีจิต ถ้าไม่มีไฟฟ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดใช้ไม่ได้หมดเลย
โยม : เออ ถูกต้องเลย ถ้าอยู่ดีๆ ไฟดับหมดนะ
หลวงพ่อ: เออ แล้วเครื่องใช้ไฟฟ้ามันจะใช้ได้ยังไง ถ้าไม่มีจิตความคิดจะเกิดได้อย่างไร แล้วมึงไปดูที่ความคิด ดูนามรูป ดูความรู้สึก แล้วมันเกิดดับ มันเกิดดับที่เครื่องใช้ไฟฟ้ามันไม่ได้เกิดดับที่ไฟ
โยม : ต้องไปดูที่เครื่องต้นกำเนิดมันใช่ไหม ที่หลวงพ่อกำลังพูด
หลวงพ่อ: นั่นแหละ เอ็งพูดเมื่อกี้ไงว่าปฏิบัติยังไงล่ะ
โยม : นี่ๆ หลวงพ่อผมก็สอนอย่างนี้เลย
หลวงพ่อ : เออ สอนอย่างไรว่าไป
โยม : อันเดียวกันนี่แหละ
หลวงพ่อ: ไม่จริง!!! กูไม่เชื่อ!!! กูถึงให้มึงอธิบายให้กูฟังไง
โยม : หลวงพ่อ.... ท่านพูดอยู่ บอกว่า นี่นะบอกว่าเราอย่าไปตามดับสวิตซ์
หลวงพ่อ: คนพูดคำเดียวกัน แต่คนรู้จริงกับคนรู้ไม่จริงต่างกัน กูบอกมึงตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า คนพูดคำเดียวกัน คนหนึ่งพูดถูกคนหนึ่งพูดผิด
โยม : แต่ท่านก็พูดอันนี้นะ ไอ้ที่ว่า ไอ้เครื่องปั่นไฟ
หลวงพ่อ : หมากูเห่าดีกว่านี้อีก หมากูมันเห่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเลย เดี๋ยวกูพาไปดู จริงๆ หมากูเห่าดีกว่าพวกนั้นสอนอีก ฉะนั้นอย่ามาอ้าง
โยม : หลักปฏิบัติ.. ไม่ๆ เขาพูดอ้างอิงจากคำของหลวงพ่อพูดเมื่อกี้นี้แหละ ที่ว่าให้มันอยู่ที่ว่าเรา ที่ๆ..
หลวงพ่อ: เวลาพูดนะมันพูดคำเดียวกัน แต่เวลาทำนะ มันไม่เหมือนกัน
โยม : วิธีการไม่เหมือนกันแต่ละคน
หลวงพ่อ : มันไม่เหมือนกัน ไม่ใช่วิธีการไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันเลย ไม่เหมือนเพราะอะไร เพราะจิตกับความคิดไม่ใช่อันเดียวกัน แต่คนที่มันไม่รู้ มันไม่รู้ว่าจิตกับความคิดเป็นอันไหน มันรู้ว่าความคิดคือจิตนะ
โยม : เอ่อ ไปสำคัญผิดว่า เป็นการ...
หลวงพ่อ : มันคิดว่า ความคิดนี้เป็นจิต แล้วความรู้สึกจากภายนอกมันคิดว่าเป็นความคิด
โยม : อ๋อ ถูกแล้ว
หลวงพ่อ : แล้วพอมันเข้ามา มันก็หดเข้ามาที่ความคิดมัน
โยม : มาตั้งอยู่ที่ความคิดแทน
หลวงพ่อ: ว่างๆ ว่างๆ สัญญาอารมณ์ คิดให้ว่าง แล้วตัวมึงว่างจริงหรือเปล่า
โยม : แยบคายมาก ถูกแล้วล่ะ
หลวงพ่อ : ไม่ได้แยบคายหรอก นี่เป็นความจริง
โยม : เออ ก็ความจริงนั่นแหละ ที่หลายคนไม่รู้
หลวงพ่อ : แต่คนไม่จริงมันแหกตากัน แล้วก็ไปโกหกไอ้คนไม่รู้นั่นล่ะ เพราะมีคนมาหาเราเยอะมาก เหมือนกันพูดเหมือนกัน เราเฉยๆ นะ เราไม่โต้แย้ง เราเฉย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะกูพูดทีไร มึงก็ไปใส่ในหนังสือมึงหมดน่ะ มันจำคำพูดกูไปนี่ แล้วก็ไปเขียนกัน กูรู้ทั้งนั้นล่ะ กูเห็นเยอะ มาฟังกูนี่แหละแล้วก็ไปเขียนกัน แล้วก็บอกว่ากูนี่เหี้ย
โยม : มีหนังสือหลวงพ่อไหมครับ มีไหมที่หลวงพ่อเขียนออกมา ไม่มี
หลวงพ่อ: มีเยอะแยะ นู่นน่ะ มีเยอะแยะ มีทั้งนั้นแหละ
โยม : มีคนเอาไฟล์ ขึ้นไปในอินเทอร์เน็ตนี่แหละ เราก็ดาวน์โหลด เห็นมีอยู่ไม่กี่ไฟล์นะ ทีนี้ก็รอว่าเขาจะเอามาให้
หลวงพ่อ: ไม่หรอก ไอ้เรื่องอินเทอร์เน็ตข้างนอกนี่นะมันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยเพราะว่าใครมาหาเรา ลูกศิษย์เราเยอะมาก แล้วเราสั่งห้ามทุกคน ห้ามเอาของเราไปทำอะไรทั้งสิ้นเราไม่เคยให้ใคร
โยม : เหรอครับ มีเพียบเลยนะตอนนี้ เอาไปกระจาย เห็นเขาพูดกันน่ะ
หลวงพ่อ: เวลาเขาเอาไปแล้ว ลูกศิษย์ก็มาบอกเรา แล้วเราก็ไปถามเขาว่าเอาของเราไปออกได้อย่างไร เขาก็อ้างว่าเขามาทำบุญที่นี่ แล้วเขาก็ถ่ายรูป แล้วเขามาฟัง แล้วเขาก็เอาไปทำกัน เขาบอกว่าไม่ได้ผิด ก็มาทำบุญน่ะ อ้าว แล้วกูไปรู้อะไรกับพวกมึงล่ะ
โยม : เออ หลวงพ่อไม่รู้เรื่องด้วย
หลวงพ่อ: เรายังไม่เคยทำเลย แล้วเราก็ไม่ทำด้วย ไม่ทำมาแต่ไหนแต่ไร เพราะเรารู้เราเข้าใจ เราเข้าใจถึงเรื่องความจริง กับสมมุติกับโลกมันอยู่กันยังไง แล้วเราคิดว่าถึงเวลาต่อไปเรากำลังจะออกอินเทอร์เน็ตของเราเองอยู่ ถ้าถึงเวลาแล้วเราจะออกเอง ออกเองเพราะอะไร เพราะเราเป็นคนพูดเอง เราจะต้องรับผิดชอบกับคำพูดของเราเอง เราจะอธิบายคำพูดของเราได้ทุกกระทงความที่เราเป็นคนพูดเอง แต่ในเมื่อเอ็งมาหากู เอ็งก็เอาคำกูไป แล้วเอ็งก็เอาคำพูดกูไปพูดกัน แล้วก็ยังมีคนมาถาม ก็ยังดี เขาเอาหนังสือมาให้กูหมดล่ะ เอาหลักฐานเอาข้อมูลมาให้กูนี่เยอะ เยอะมากๆ จนกูไม่มีเวลา กูไม่ยุ่งด้วย
โยม : ได้อ่านหมดเลยเหรอหลวงพ่อ
หลวงพ่อ : ไม่ ไม่ต้องอ่านเพราะรู้อยู่แล้วว่า ถ้าคนพูดคำผิดแล้ว อย่างการออกรบ ถ้ามันเอาปืนยิงตัวมันเอง มันไม่ใช่ทหารหรอก ไอ้คำพูดที่เขาพูดเขายิงตัวเขาตลอดเวลา กูรู้อยู่แล้วว่า ไอ้พวกนี้ไม่จริงหรอก กูไม่ต้องอ่านหรอก กูดูประเด็นกูก็รู้หมดแล้วว่า ใครถูกใครผิด แต่กูก็เฉยมาตลอด เราไม่พูดเลย เราไม่สนใจ เพราะอะไรรู้ไหมมันเป็นเรื่องของโลก นานาจิตตัง
ทางการศึกษาเห็นไหม ทำไมเขามีคณะเยอะแยะไป เพราะการศึกษาของคน และวุฒิภาวะคนไม่เท่ากัน การปฏิบัติหรือการรับรู้ในศาสนามันหลากหลายมากเราจะไปบังคับบัญชาหรือให้ใครเห็นตามเรานะ มึงบ้า มึงบ้า มึงบ้าแน่นอน ถ้าเราเข้าใจเรื่องทุกอย่างหมดแล้ว มึงจะไปตีโพยตีพายกันเรื่องอะไร
โยม : อื้อหือ ถูกต้อง
หลวงพ่อ : ยังไม่ได้ตีโพยตีพายเรื่องอะไรเลย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมาเพราะเขาไปจัดการกันเอง
โยม : แต่ไอ้ตรงนี้สำคัญหลวงพ่อ
หลวงพ่อ : เขาไปจัดการกันเอง พอเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว
โยม : ดูจะมีเรื่องด้วยนะ ผมดูเท่าที่ดูข่าวคราวมานี้
หลวงพ่อ: มีเรื่องอะไร
โยม : เขาจะพูดประมาณว่าหลวงพ่อไปแย้ง
หลวงพ่อ: แย้งสิ ในเมื่อมันมีเรื่องขึ้นมาแล้วนี่ แบบว่าไม่ใช่มีเรื่องหรอก ในเมื่อเขามาถามเรา ในเมื่อเราห้ามทุกอย่างเพราะเราบอกทุกๆ คนที่ไปพูดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ที่พวกมึงจะพูดให้เขาเข้าใจ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมึงจำคำกูไปพูดแทน คำว่าพูดแทนไม่รู้จริง ถ้าพูดแทนเวลาแย้งแล้ว มึงจะตอบเขาได้ยังไง คนพูดแทนกูพูดไม่ได้ ต้องกูพูดเอง เราพูดกับทุกคนที่จะไปทำ มีคนมาขอเยอะมาก ซีดีขอไปออก ไม่ให้ ไม่เคยให้ใครเลย
โยม : อย่างนี้ไม่ดีหรอก เพราะว่าคนมันเข้าใจผิด
หลวงพ่อ: แต่ถ้าเราจะทำ เราจะทำของเราเอง เดี๋ยวกูทำเอง กูไม่ได้ทำเพื่อใคร กูทำเพื่อศาสนา ใครจะติใครจะชม มันเรื่องของเขา นี่เรื่องของกู มันคนละเรื่อง เรื่องของกูคือกูทำของกูเอง เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับกู ไม่เกี่ยว แต่จะพูดที่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นมานี่ พอเขาไปแล้ว มันก็ลูกศิษย์เขานั่นแหละ ที่ว่าร้องไห้ๆ มาหากู โอ้โฮ ร้องไห้เป็นฟูมเป็นฟายทั้งนั้นแหละ
ไอ้พวกที่มันพลิกแล้ว พอมันร้องไห้เสร็จแล้ว มันก็ไปทำ ก็บอกว่าอย่า มันก็ไปแอบทำกัน พอเรื่องมันเกิดแล้ว มันก็มาหาเรา มาขอโทษ ผมเอาชื่อหลวงพ่อไปขายแล้วล่ะ ผมขอโทษ ร้องไห้กันอีก เราก็เรื่องมันเกิดไปแล้ว แล้วจะฆ่ามันเหรอ ทีนี้เราจะพูดบอกว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เราเป็นต้นเหตุเพราะว่าเราเป็นคนพูด ฉะนั้นเราถึงต้องรับผิดชอบคำพูดกูไงล่ะ กูพูด!!! กูยืนยัน!!! ว่ามันผิด!!! ผิดหมด!!! แล้วที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาใดเชิญได้ กูไปได้ตลอด
โยม : เท่าที่ผมฟังนะ มันจะเป็นว่า คนที่มาฟังหลวงพ่อแล้วทีนี้มันเข้าใจความหมายไม่ถูก แล้วมันก็ไปพูด
หลวงพ่อ: ไม่ใช่ไม่เข้าใจความหมายหรอก เพราะมันพูดกับเราอย่างนี้ เรานี่คนจริงสังเกตเราพูดไหม เวลาเ??ขามาฟังเราแล้ว หลายคนมาก จะบอกว่าหลวงพ่อจริงหรือ จริงหรือ
โยม : คำว่าจริงคือยังไง
หลวงพ่อ : จริง หมายถึงว่า เขาผิดจริงหรือ
โยม : เขาผิดจริงหรือ หมายถึงท่านอื่นนะ ครูบาอาจารย์ท่านอื่นนะ ไม่ได้เอ่ยชื่อใครนะ
หลวงพ่อ: ใช่ พอผิดจริงหรือ เราก็อธิบายให้ฟังว่าอย่างนี้ๆ มันถึงผิดเห็นไหม ความขัดแย้งกันอย่างนี้ มันถึงได้ผิดตรงนี้
โยม : เขาเอาเรื่องราวมาเลยเหรอ เรื่องราวนู้น เรื่องราวนี้
หลวงพ่อ: ทั้งนั้นแหละ มาเปิดให้ฟังหมด
โยม : มาขอนั่นขอนี่อะไรนี่นะ
หลวงพ่อ : แน่นอน
โยม : แล้วหลวงพ่อว่าไง
หลวงพ่อ : ก็มันผิดอยู่แล้ว ก็กูอธิบายให้ฟังไง
โยม : ผมเข้าใจแล้วล่ะตั้งแต่ตอนที่หลวงพ่อบอก
หลวงพ่อ: กูอธิบายให้ฟังหมดนะ เพราะเราอธิบายให้เขาฟัง ความคิดเห็นเขาเปลี่ยนหมด พอความคิดเห็นเขาเปลี่ยนหมด ความจริงเขาเปลี่ยนแล้ว เขาก็ต้องดูใจเขา แต่ความเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ พอความคิดมันเปลี่ยนแล้ว มันสงสารคนอื่นไง สมมุติอย่างเรานี่ ถ้าเราหลงผิดมาด้วยกัน เราหลงทางมาด้วยกัน หรือว่าหลงผิด
โยม : อ่า คือบอกคนอื่นเขาแหละว่า อย่างนั้นอย่างนี้นะ
หลวงพ่อ : ใช่ ถ้าเราหลงทางมาด้วยกัน และเราไปทางที่ถูก เอ็งจะมาคุยอีกไหม นี่พูดถึงสัญชาตญาณของมนุษย์นะ
โยม : ทั่วๆ ไป เราต้องมีความเมตตา
หลวงพ่อ : ทีนี้ไอ้พวกที่มันมาคุยกับเราแล้ว เราเข้าใจว่ามันมีตรงนี้ มันถึงไปแอบทำกัน แอบทำกันไม่เคยอนุญาต ไม่เคยอนุญาต! เว้นไว้แต่มันมีเว้นไว้แต่ มันมีอยู่อันหนึ่งที่เขามาบันทึกตั้งแต่ทีแรก เขาขอร้องเรา เราบอกจะทำอะไร เขาบอกขออนุญาต เรามีอนุญาต มันมีของใคร มีอยู่ ๒ คน ที่อนุญาตไปเฉยๆ แต่ไม่ได้ให้แจกนะ
โยม : เขาเอาไปทำอะไร
หลวงพ่อ : แค่เสนอความคิดเรา
โยม : เขาขอจะเสนอความคิดหลวงพ่อ ต่อสาธารณชนอย่างนี้เหรอ เขาเอาไปทำอะไรปะ หรือเขาเอาไปทำอะไรฮะ
หลวงพ่อ: ไม่ได้ทำเลิกหมดแล้ว เขาเคยเอาไปทำแล้วมันแบบว่า มันทำไม่ได้
โยม : นานหรือยังครับอันนี้
หลวงพ่อ : เมื่อปีที่แล้วหรือปีนี้ก็ไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับพวกนี้หรอก ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดนี้ เพราะคนของเราเรารู้หมด
โยม : ผมได้ยิน เห็นเหมือนเขาบอกว่า เอ้อ ก็เรื่องนานแล้วนะ ผมยังไม่รู้เรื่องเลยไอ้เรื่องราวนะ
หลวงพ่อ: อะไร อันไหน เรื่องอะไร เรื่องอันไหนล่ะ มันมีหลายเรื่อง มึงเอาเรื่องไหนล่ะ
โยม : เขาบอกว่ามันมีก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ที่มันมีอยู่ ที่ว่าเรื่องอะไรกับทาง อันนี้ผมมารู้อันนี้ ผมเพิ่งจะมารู้
หลวงพ่อ: ใช่ๆ ก่อนหน้านั้น มันก็มีระแคะระคายกันมา โธ่ มีคนมาขอซีดีเราไปออกเยอะแยะ เจ้าของเว็บไซต์ลานธรรมมาหาเราที่วัดสันติธรรมารามที่โพธาราม เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ขอไปออก กูก็ไม่ให้ เจ้าของเว็บไซต์เขาเอง มาหากูเองเลย มาขอกูเยอะแยะทุกคนนะ อย่าให้เอ่ยชื่อวัดเลยนะ หลายวัดมาก มาขอเทปขอซีดีเราไปออกกระจายเสียงนะ เราก็ไม่อนุญาตหมดเลย เพราะการประพฤติปฏิบัติไม่เหมือนกัน แล้วจะเอาเราไปหนุนเขาทำไม ซีดีของเราหรือเทปของเรา หรือหนังสือของเรา เราทำมาตั้งแต่ปี สามสิบเศษๆ จนป่านยังเก็บไว้กับเรา
โยม : อุ๊ย ก็ท่าจะเยอะสิหลวงพ่อ ใช่ไหม
หลวงพ่อ : เดี๋ยวออกไปแล้วมึงจะเห็นเอง
โยม : ถ้าทำตั้งแต่ปี 2530 นี่ก็ยี่สิบปีกว่าๆ แล้ว
หลวงพ่อ: ข้อมูลดิบๆ กูนี่ ยังอีกเยอะแยะมหาศาลนัก
โยม : ดีเหมือนกัน ถ้าหลวงพ่อเปิดเว็บไซต์คนจะได้เอาไป..
หลวงพ่อ: ถึงเวลาแล้วเราจะทำของเรา ด้วยความรับผิดชอบ แต่ทีนี้สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ทุกคนมา ๑. ลูกศิษย์ของเราหลายคน เขาก็พยายามจะช่วยดูแลเราอยู่ เขาก็ไปดูอยู่ เดี๋ยวคนโน้นมาฟ้องไอ้นู่น เดี๋ยวคนนี้มาฟ้องไอ้นี่ เราก็ถามว่า แล้วจะทำยังไงล่ะ มันในเมื่อเขาก็ไปถามกัน เขาบอกว่า คุณเอามาออกกันได้ยังไงนี่ แล้วหลวงพ่อรู้หรือยัง เขาก็บอกว่า อ้าว ก็มาทำบุญที่วัดนี้นะ นี่เขาตอบนะ
โยม : ก็เขามาทำบุญกับหลวงพ่อ แล้วเขาก็มาเอาซีดีไป หลวงพ่อก็ให้อย่างนี้นะ
หลวงพ่อ : เออ แล้วเขาก็เอาไปออกกัน เขาบอกก็ผมไปทำบุญมา เขาไม่มีอะไรหรอก เขาบอกมีรูปด้วยนะบางทีมันมา
โยม : ไอ้เราก็ต้องให้ไปนะ
หลวงพ่อ : ไม่ได้ให้หรอก เราจะวางไว้เฉยๆ
โยม : นั่นแหละเขามาทำบุญ เขามา เขารับแจกไปอย่างนี้เหรอ
หลวงพ่อ: เขามารับแจกไป นี่ตอนเช้าๆ มันจะมีซีดีวางอยู่ ถ้าซีดีออกใหม่มันจะวางไว้ ลูกศิษย์เราเขาก็จะรู้กัน ล่าสุดเขาจะมาหยิบล่าสุดกันไป ทีนี้ใครๆ พวกนั้นปีหนึ่งจะโผล่มาหนเดียวล่ะ ๒๐ ปีด้วย ไอ้พวกที่มาเอาไปออก มันไม่เคยมาหรอก ทีนี้พอมันมามันได้อะไรไปมันก็คิดว่า
โยม : หลวงพ่อให้
หลวงพ่อ : เออ แต่เราเป็นลูกผู้ชายเพราะในซีดี ก็กูพูดจริงๆ เสียงของกูและกูพูดเอง
โยม : จริงๆ อาจารย์....บอกว่าอย่าไปพูดนะว่าเป็นศิษย์ของคนโน้นคนนี้ อย่าไปเอ่ยชื่อท่านนะ ผมก็ยังห่วงอยู่นะนี่
หลวงพ่อ: เอ่ยได้ ถ้างั้นน่ะ
โยม : ผมว่าเอ่ยได้ ไอ้เรามันจริงใจ มันไม่มีอะไร
หลวงพ่อ : เราเอ่ยได้ทั้งนั้นแหละ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะอาจารย์องค์ไหนหรือสายไหนอย่างเช่นทหาร ราบ ช่าง หรือว่าปืนใหญ่ หรือว่าสื่อสาร การกระทำของเขาการศึกษาของเขา มันคนละแนวทางกันมา ในการปฏิบัติมึงบอกกูมาเลยว่าลูกศิษย์ใคร กูรู้หมด มันก็เหมือนกับทหารนี่ล่ะ อาจารย์องค์นี้จะสอนไปในแนวทางนี้ อาจารย์นี้ก็สอนไปแนวนี้ เอ็งเอ่ยชื่ออาจารย์ขึ้นมากูรู้ถึงทัศนคติมึงแล้ว
โยม : ผมบวชกับท่านอยู่เดือนหนึ่ง
หลวงพ่อ : เอ็งเอ่ยชื่ออาจารย์เอ็งมา กูรู้ถึงทัศนคติพวกมึงเลยล่ะ
โยม : เพราะคนส่วนใหญ่จะไปยึดเอาตามแนวทางของครูบาอาจารย์
หลวงพ่อ: โธ่ แล้วจะมาอยู่กับเรา มาแก้ไข เราจะบอกเลยว่า แก้ไขยังไงจะทำยังไงแล้วการแก้ไขของเรา เราไม่ได้ยัดเยียดเข้าไปในสมองเขา เราต้องให้เขาพิสูจน์เองแล้วเขาจะร้องไห้กับเราเอง เขาจะทิ้งเอง
โยม : อันนี้ตรงนี้ ที่วัดมีปฏิบัติกันอยู่ทุกวันๆ หรือเปล่าครับ
หลวงพ่อ: มีทุกวัน ฝั่งโน้นมีเยอะแยะ
โยม : อ๋อ ฝั่งโน้นนะ ที่ผมเห็นนะ
หลวงพ่อ: ผู้หญิงอยู่ฝั่งโน้น ผู้ชายอยู่ฝั่งนี้
โยม : อ๋อ เยอะไหมครับ โทษทีถามหน่อย
หลวงพ่อ : ทางนี้สิบกว่าคนยี่สิบคน
โยม : พอได้นะ กำลังดี
หลวงพ่อ : เพราะตอนนี้ แต่ถ้ามันเป็นเสาร์อาทิตย์หรือวันนักขัตฤกษ์นะล้น
โยม : ถ้าเราขอมาปฏิบัตินี่ต้องขอไหมครับ
หลวงพ่อ : ต้องขอ
โยม : บอกกับหลวงพ่อโดยตรงนะ อย่าไปบอกใครนะ
หลวงพ่อ: บอกใครไม่ได้หรอก บอกใครเข้ามากูไล่ออกหมด แล้วใครเอาเข้ามาแล้วไม่บอกกูนะ ก็ต้องให้ออก
โยม : ถ้ามีเบอร์โทรศัพท์ผมขอเบอร์ได้ไหม
หลวงพ่อ: เบอร์ของวัด เบอร์วัดแล้วต้องโทร เพราะที่ว่าต้องโทรเพราะอะไร เพราะมันจะได้รู้ว่า พอมันเต็มแล้วนี่ ๔๐-๕๐ คนมันเต็มแล้ว พอเต็มแล้วเราจะบอกว่า ถ้าจะมานะให้เอาเต๊นท์มาได้
โยม : อ๋อ ให้กางเต๊นท์ด้วย
หลวงพ่อ: อาสาฬหบูชานี้เป็นร้อย
โยม : ผมก็เคยนะ ไปกางเต็นท์นะ
หลวงพ่อ : เต็นท์ คำว่าเต็นท์ คำว่าพระป่า ลูกศิษย์สายพระป่า เขามันติดดิน ความเป็นอยู่มันเรียบง่าย
โยม : ผมมีกลดด้วยนะ กางกลดได้ใช่ไหมครับ
หลวงพ่อ: ใช่ ถ้าพระป่ามันติดดิน แล้วมันเรียบง่าย พอเรียบง่ายขึ้นมา กิเลสตัวไหนมันจะแหย่มึง แต่ถ้ามึงไม่เรียบง่าย กิเลสมันต่อรองทั้งนั้นล่ะ พอต่อรองขึ้นมา พระที่ไม่มีหลักก็ไปโอ๋เขา มีคนมาที่นี่บ่อยมาก แล้วพอไปวัดอื่นกลับมา แล้วก็บอกว่าไม่มาที่นี่แล้วล่ะ เพราะที่อื่นนะมันมีห้องกระจกมันติดแอร์ กูบอกนะ ถ้ามันติดแอร์มีห้องกระจกนะ มันมีเครื่องอำนวยความสะดวกให้พวกมึงได้ ถ้าเป็นพระอรหันต์ได้กูสร้างให้มึงเดี๋ยวนี้เลย กูสร้างเลย เอ็งจะมาแก้กิเลสหรือว่าเอ็งจะมาเพิ่มกิเลส
ถ้าเอ็งจะเอาความสะดวกสบายนะกูจะทำให้ กูลงทุนให้หมดเลย ถ้ากูสร้างอย่างนี้ แล้วมึงเป็นพระอรหันต์ได้นะ กูทำให้ ๑๐ ชั้นเลย เพราะเงินมันไม่มีความหมายกับกูเลย เงินสิ่งปลูกสร้างนะของไร้สาระ แต่การสร้างใจคน การปลุกให้คนขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมาได้ มันยากกว่านั้นหลายร้อยหลายพันเท่า
ฉะนั้นถึงบอกว่าเวลามาแล้วเราให้ได้แค่นี้ ระดับปานกลางคือไม่ทุกข์จนเกินไปกับไม่สุขจนเกินไป แต่ให้เราต่อสู้กับตัวเราเอง การต่อสู้นั่นคือการปฏิบัติ การต่อสู้ไหนว่าแก้กิเลสกัน แก้กิเลสยังไง มึงเห็นกิเลสกันหรือยัง โธ่ การปฏิบัตินะจิตสงบแล้วขุดคุ้ยหากิเลส ถ้าไม่หากิเลสไม่มีทางฆ่ากิเลสได้ การหากิเลสให้เจอกิเลส เป็นเรื่องที่เทคนิคมันยังอีกเยอะนัก
หลวงปู่ดูลย์สอนบอกดูจิต หลวงปู่ดูลย์สอนให้ดูจิต จนจิตเห็นอาการของจิต เห็นอาการของจิตแล้วพิจารณามันเป็นขั้นตอนเลย ดูจิตคือสมถะ จิตเห็นอาการของจิตคือวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาฆ่ามันแล้วเห็นไหม ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต แล้ววิปัสสนามัน ฆ่ามันๆ!! ฆ่ามันนะ โสดาบัน หลวงปู่ดูลย์สอนชัดเจน ถูกต้อง
โยม : แต่ว่าไม่ใช่ว่าเรา ไปเอาจิตไปควานหาจิตใช่ไหมครับ
หลวงพ่อ: เอาจิตไปควานหาจิต คือดีกว่าเอาจิตไปความหา เป็นไปไม่ได้ที่ผิดก็ผิดกันตรงนี้ เราเคยคุยกับลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์เยอะมาก เขาบอกว่าหลวงปู่ดูลย์สอนให้ดูจิต แล้วไปหาท่าน ท่านบอกว่า ไม่ใช่ หลวงปู่ดูลย์ไม่เคยรับประกันใครเรื่องเห็นจิตสักคนเดียวเลย น้อยคนนักที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่า เออ มึงเห็นจิต คนปฏิบัตินะ เอ็งดูในเมืองไทยเศรษฐีโลกมีกี่คน เศรษฐีเมืองไทยที่ติดอันดับโลกมีกี่คน ไม่กี่คนใช่ไหม ในการปฏิบัติคนที่บรรลุธรรมเหมือนเศรษฐีโลก น้อยนัก
โยม : มันมีไม่เยอะนะ
หลวงพ่อ : แล้วทำไมมึงเป็นกันเกลื่อนเลย เห็นจิตรู้จิต นั่งพิจารณากันเกลื่อนเลย ส้นตีนกูไม่เชื่อมึงหรอก มึงจับกูฆ่ากี่รอบ กูก็ไม่เชื่อ
โยม : หลวงพ่อไอ้คำว่าอาการจิตคือว่ายังไง
หลวงพ่อ: กูอธิบายเท่าไหร่มึงก็ไม่รู้
โยม : ต้องเห็นเองใช่ไหมครับ
หลวงพ่อ : เพราะลูกศิษย์กูหลายคนให้กูอธิบายเรื่องนี้เยอะมาก แล้วพอคนไปเห็นอาการ มันมีลูกศิษย์มาหาเยอะมาก หลงกันไป แล้วก็มาอธิบายให้ฟังนะ พอเข้าไปเห็น โอ๋ หลวงพ่อมันแฮ้งก์เลย มันต้องรู้ต้องเห็นอย่างนี้ แล้วกูจะอธิบายไปเรื่อยๆ เมื่อวานนี้ก็มา หลงไป ๓-๔ ปี เพิ่งกลับมา ก็บอกว่าดูจิตๆ แล้วก็คิดว่าทำได้ดีมาก แล้วบอกว่าถ้าทำดีมาก มึงต้องทำอย่างนี้ ก็กลับไปทำ มาหาเราเลย บอกทำตามเราหมดเลย แล้วมันไม่เหมือน
เราบอกเลย คำถามมึงมันฟ้อง แต่ในใจมึงมันไม่จริง จิตมันไม่สงบจริง มันไม่รู้จักจิต มันดูจิตไม่ถึงตัวจิตจริง แล้วมันเอาออกไปใช้ แล้วมันคิดว่ามันรู้จริง ถ้ารู้จริงนะจิตต้องเห็นอาการของจิต แต่นี้เขาไม่เห็นอาการของจิต เขาไปเห็นความคิดข้างนอก ถ้าวิ่งข้างนอกมันก็ออกมาจากความคิด ไปเห็นความคิดข้างนอก แสดงว่ามึงไม่ถึงตัวจริง โธ่ แค่มันพูดก็รู้แล้ว ไอ้คนพูด ปฏิบัติภาวนาแล้วมาพูด กูทำปืนลั่นตูมนะ ทำไมปืนมันลั่นล่ะ ก็ทำไมไปฆ่าเขา ก็มึงถือปืนอยู่ โธ่ นี่ก็บอกว่าทำไมจิตเป็นอย่างนี้ๆ ก็ปืนมึงทั้งนั้นนะหลอกเราไม่ได้หรอก
โยม : ก็พูดอยู่นะ อ้าว อย่างนั้นต้องเฉยๆ หรือเปล่า
หลวงพ่อ : เฉยๆ ก็ผิด
โยม : ไม่ๆ หมายถึงว่าไม่พูดไม่จา แล้วให้หลวงพ่อดูเอาอย่างนี้
หลวงพ่อ: ไม่มีทางๆ
โยม : แล้วต้องทำยังไงฮะ
หลวงพ่อ : มันต้องพูดอาการออกมา
โยม : มันก็พูดอยู่นี่แหละ แต่ว่าให้มันของแท้ๆ นะ
หลวงพ่อ: เวลาพูดจริง จริงมันก็คือจริง มันต้องพูดกัน ถ้าไม่พูดกันนะ ทำไมหลวงปู่มั่นเวลา ธมฺมสากจฺฉา พระป่าที่ปฏิบัติแล้วกลับมาคุยกัน
โยม : อย่างที่ไปธุดงค์อะไรมาใช่ไหมครับ แล้วเขาก็กลับมา
หลวงพ่อ: ใช่ กลับมาแล้วมาคุยกันอย่างนี้ นี่วิทยานิพนธ์ของแต่ละคน และผิดก็คือต้องมาแก้ไขกันและคนจริงกับคนจริงมาคุยกัน ไม่ใช่เอาหน่อมแน้มๆ มาคุยกัน เอาหน่อมแน้มๆ มาคุยกันมันก็หน่อมแน้มอยู่นั่นล่ะ แล้วศาสนาก็ไม่มีอะไรเลยต่ออะไร ก็ประสาหน่อมแน้มไง อ๋อ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้นะ สอนให้คนเป็นควาย หลงกันเป็นล้านๆ คนเลย พุทธศาสนานี้มันเป็นศาสนาของควายโว้ย ไม่ใช่ศาสนาของคน จบยัง
โยม : ผมเข้าใจแล้ว
หลวงพ่อ: จบ เราจะเรียกพระให้เอาซีดีมาให้