เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ธ.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ.วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาคนเราปรารถนาความสุขนะ ทุกคนเราเกิดมาปรารถนาความสุข แต่ความสุขของใคร ดูเด็กๆ สิ เรามีความยิ้มแย้มแจ่มใสกับเขา เขาก็มีความสุขของเขาแล้วนะ เด็กนี่แค่นี้มันก็มีความสุข แต่ผู้ใหญ่เราจะมีความสุขเพราะอะไรล่ะ เพราะความปรารถนาของเรา ความคิดของเรามันคิดไปแต่ตามแต่จินตนาการของแต่ละบุคคลนะว่าปรารถนาความสุข

นี่ตัณหาความทะยานอยาก ถ้าสนองมัน มันก็ว่าจะมีความสุข เห็นไหม เป็นความสุขด้วยอามิสไง ความสุขด้วยอามิส ความสุขของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ความสุขเกิด เทียบกับความสงบไม่มี ผู้ใดมีความสงบของใจ ผู้นั้นมีความสุขมาก”

เหมือนเรานั่งอยู่โค่นไม้นะ แล้วนั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ นี่มีความสุขมาก แต่ใจให้สงบนี่มันสุขได้อย่างไรล่ะ ความสงบนี่เราค้นหากันไม่เจอ มันละเอียดอ่อนเกินไปไง ดูอาหารสิ อาหาร ถ้าอาหารรสชาติเข้มข้น คนเขากินอย่างนั้น แต่ถ้าอาหารคนที่เคยรู้จักสุขภาพด้วยกันนี่ เขาจะกินรสชาติธรรมชาติของมัน เวลาปลามาจากทะเลเนื้อหวานเนื้ออะไร มันรสอย่างนั้น แต่ถ้าเราไปทำให้รสมันเข้มข้นขึ้นมา เราจะได้รสหวานของเนื้อปลาไหม

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรา อาหารของใจมันละเอียดอ่อนขนาดนั้น เพราะเรามีศรัทธาเรามีความเชื่อ เราถึงเข้าใจเรื่องอาหารของใจ ถ้าอาหารของใจ ความสุขเกิดจากตรงนี้ ความสุขไม่ใช่เกิดจากสิ่งที่โลกเขามองกัน การโฆษณา การสื่อต่างๆ สื่อเพื่ออะไร? ไอ้นั่นมันเป็นธุรกิจของเขา นี่ว่าเป็นเหยื่อไง

นี่ขนาดว่าโลกก็เป็นเหยื่อนะ พระก็เป็นเหยื่อ ถ้าพระเป็นเหยื่อ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “โมฆบุรุษตายเพราะลาภ” ลาภเพราะอะไร ลาภสักการะนี่มันมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ ถ้ามีเบ็ดเกี่ยวอยู่ ถ้าเรางับเข้าไปเท่าไรนี่มันจะโดนเกี่ยวเบ็ดไปตลอด แต่คนที่มีสติ มีความสงบของใจ นี่อยู่กับโลกเขามันตอดเหยื่อนั้น ไม่กินเบ็ดนั้นไง

นี่ก็เหมือนกัน ภาระของโลก นี่อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลกนะ ถ้าอยู่กับโลกโดยติดโลกเพราะอะไร เพราะมันแบกโลก คนแบกโลก คนนั้นมีความทุกข์มากเพราะอะไร คำว่า “แบกโลก” เพราะเราปรารถนาจะให้สมความปรารถนาเราไง เราคิด เราต้องการสิ่งใด เราจะต้องให้สิ่งนั้นเป็นสมความปรารถนา นี่คือแบกโลกนะ เพราะแบกโลกคือว่ามันไม่เป็นตามที่เราปรารถนาหรอก

มันเป็นไปตามสัจธรรมความจริง คนมีบุญมาเกิด ความเป็นบุญของคนนั้น สิ่งนั้นจะอำนวยความสะดวกให้กับคนที่มีบุญมาเกิด คนมีบาปมาเกิด คนมีทุกข์ยากมาเกิด มันก็ต้องกระเสือกกระสนไปตามความทุกข์ยากอันนั้น อันนี้เป็นเรื่องของกรรม เป็นเรื่องสัจจะความจริง สัจจะความจริงอันนี้เกิดจากการกระทำของเรา สิ่งนี้เป็นอริยสัจ

เวลาเราทำบุญกุศล ทำบุญกับพระแล้วเราจะได้บุญ ทำบุญกับพระแล้วได้บุญ ทำบุญกับพระนี้เป็นแค่สื่อเฉยๆ ทำบุญกับอริยสัจ ความจริงต่างหาก เพราะเราสละออกไป เราสละด้วยหัวใจของเรา พระก็เป็นปฏิคาหก ถ้าไม่มีพระเราก็สละไม่ได้ เราก็ทำบุญไม่ได้ ถ้าไม่มีเรา พระก็ไม่ได้สิ่งนั้นจากเรา นี่มันได้ประโยชน์กัน ๒ ฝ่าย ๒ ฝ่ายนี้เป็นโลกไง สิ่งนี้เจือจานชีวิตการดำรงไป

แต่ถ้าหัวใจ เห็นไหม ผู้เสียสละสิ่งนั้นออกไป เราจะสร้างสิ่งใดไว้หรูหราขนาดไหน สิ่งนั้นก็เป็นสมบัติของโลก แต่หัวใจของผู้สละมันไปสวรรค์ มันไปสิ่งที่มีความสุขของมัน ผู้ที่รับ เห็นไหม ปฏิคาหก สิ่งนี้เป็นเรื่องของปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย เราอาศัยสิ่งนี้อยู่ แล้วเราประพฤติปฏิบัติให้ใจของเราพ้นออกไปจากกิเลส ประโยชน์เกิดขึ้นมาจากเราเข้ามาพบกัน แล้วแยกออกจากกัน

นี่ก็เหมือนกัน ปฏิคาหก ผู้ที่ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ สิ่งนี่มันเป็นเรื่องของโลก อาหารนี่เรากินเข้าไปขนาดไหนมันก็ขับถ่ายออกไปทั้งหมด มันไม่อยู่กับเราตลอดไปหรอก สิ่งนี้เป็นการดำรงชีวิต สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลก แต่ถ้าหัวใจมันเป็นสิ่งที่อาศัยสิ่งนั้น นี่อยู่กับโลกโดยไม่แบกโลกไง ถ้าอยู่กับโลกโดยแบกโลก มันจะต้องการสิ่งนั้น มันต้องการความปรารถนาของมัน มันต้องการปรารถนา มันจินตนาการของมัน แล้วมันแสวงหาสิ่งนั้นของมัน

ถ้าตามความเข้าใจ เวลาเราประพฤติปฏิบัติสิ เวลาเราฉัน หรือเรากินตามความพอใจของเรา เราไปนั่งสมาธิได้ไหม เวลาเรากิน เรามีความสุขของเรา เพราะอันนี้มันเอร็ดอร่อยในลิ้นของเรา แต่เวลาไปนั่งสมาธินะ ไปนั่งโงกง่วงอยู่นี่ มันก็ไปเสียใจตอนนั้นไง ทำไมมันภาวนาไม่ได้ล่ะ เห็นไหม ความสุขที่มันกระทบกับลิ้น กับความสุขที่สัมผัสของใจ ใจสัมผัสกับสัมมาสมาธิ ใจสัมผัสกับความสงบของใจ

สิ่งที่ความสงบของใจนี้ อาหารที่ละเอียดกว่า เราถึงต้องสละอันหยาบเพื่อจะไปเอาอันละเอียด เหมือนคนที่เขาเดินทางไป เขาไปเจอสิ่งที่ว่าเป็นปุ๋ยเป็นอะไร เขาแบกไป ถ้าเขาแบกไป ฝนตก ถึงชำระกับเรื่องของปุ๋ยนั้นรดร่างกายของเขา ถ้าเขาเดินไปข้างหน้า เขาไปเจอเงิน เขาทิ้งจากปุ๋ยนั้นเขาเอาเงิน เขาไปข้างหน้าเขาเจอทอง เขาเอาทอง แต่ถ้าทิฏฐิของโลก การแบกโลกคือมันไม่ยอมทิ้งสิ่งใดเลย ถ้าเราปรารถนาสิ่งใด เราต้องการสิ่งนั้น เราจะเสพสิ่งนั้นตลอดไป มันไม่ยอมทิ้งสิ่งที่หยาบเข้าไปเอาสิ่งที่ละเอียด แล้วมันจะเข้าไปหาความสุขอันละเอียดได้อย่างไร ถ้ามันไม่เข้าไปหาความสุขอันละเอียด แล้วอะไรเป็นความหยาบเป็นความละเอียดล่ะ

สิ่งที่เป็นความหยาบความละเอียด เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ไง ธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา...ทาน การสละทานกัน คนทำทานกันนี่ โอ้โฮ! คนนี้มีบุญญาธิการมาก ทำทานมาก เขาสร้างของเขามา เขาถึงมีสิ่งที่สละ คนที่ไม่สร้างมา ในสมัยพุทธกาล สามีภรรยามีผ้าอยู่ผืนเดียว เวลาไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากสละมากแต่มีผ้าอยู่ผืนเดียว จะสละก็สละไม่ได้ เพราะอะไร เพราะภรรยาอยู่ที่บ้าน เวลาออกจากบ้านก็ใช้ผ้าผืนนี้ไง สละไม่ได้ สละไม่ได้ จนสิ้นสุดท้ายแล้วสละออกไป สละจนตัวเองไม่มีนะ เราไม่มีผ้านุ่ง ไปนุ่งใบไม้ไง

“เราเป็นผู้ชนะแล้ว เราเป็นผู้ชนะแล้ว”

กษัตริย์นั่งอยู่ด้วย “ชนะอะไร” เพราะกษัตริย์ เรื่องของกษัตริย์ เรื่องการทำสงคราม ถ้าชนะมันชนะได้อย่างไร ในพื้นที่ของเรา ถามว่า “ชนะอะไร”

“ชนะความผูกพันของใจที่ติดในเรื่องเหตุผลในเรื่องของผ้านี้ไง”

เราเป็นคนที่ไม่มีผ้า ไม่มีเสื้อผ้าอาศัยเลย แล้วมีผืนเดียวเราสละได้อย่างไร มันความติดพัน มันผูกพันไง เราแพ้กับจินตนาการ แพ้กับความเห็นของตัวเอง แต่ถ้ามันสละออกปั๊บ เป็นผู้ชนะ เห็นไหม กษัตริย์มีความชื่นชมมาก ให้ปัจจัย ให้เงินให้ทองขึ้นไป นี่บุญเกิดเดี๋ยวนั้นนะ เกิดเดี๋ยวนั้นเพราะอะไร เพราะเขาทำกันในปัจจุบันนั้น

แต่นี่เราทำกัน เรามีความคิดอะไร เรามีความเห็นอะไร นี่มันไม่มีบริสุทธิ์ไง ปฏิคาหกไม่บริสุทธิ์ สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์มันถึงไม่ได้ผลตามความมุ่งหมายอันนั้น สิ่งที่เขาให้ความมุ่งหมายอันนั้น นี่ถึงบอกผู้ที่เขาได้ทำบุญมหาศาลของเขา เพราะเขาสร้างบุญของเขามา เขาก็ได้สละของเขา เขาก็มีความสุขของเขา แต่ถ้าเรามีของเราขนาดไหน สิ่งที่มีมากมีน้อยมันอยู่ที่เจตนาของเรา ถ้าเจตนาของเราบริสุทธิ์ อันนี้บริสุทธิ์มาก จะมากจะน้อยอยู่ที่เจตนาของเรา อยู่ที่หัวใจของเรา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้าเราได้มีการสละออกนะ สิ่งที่สละออกเหมือนน้ำ น้ำถ้าเรากักขังไว้ น้ำจะเสีย ถ้าเราให้น้ำนั้นได้หมุนเวียน น้ำนี่มันจะอะไร? นี่ใจมันได้หมุนเวียน สิ่งนี้เป็นอะไรหมุนเวียน

แต่ถ้ากิเลสมันดึงไว้ มันยับยั้งไว้ มันไม่ยอมของมัน สิ่งนี้มันก็ทำให้สิ่งที่เป็นความหยาบๆ นี่สิ่งที่หยาบๆ ยังสร้างกันได้ด้วยแสนยาก เวลาคนมีโอกาสและไม่มีโอกาส คนที่มีโอกาส คนที่เขาอยากทำบุญกุศลมีนะ เขาต้องการเนื้อนาบุญ เขาต้องการที่ไว้ใจของเขา เขาทำบุญของเขา เขาก็หาสิ่งนั้นไม่ได้ พระของเราที่แสวงหาก็พยายามแสวงหา พยายามดึง พยายามว่าสิ่งนี้มีความจำเป็นๆ

มันเป็นความหยาบๆ ทั้งนั้นแหละ สิ่งที่เป็นความละเอียดอ่อน ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ที่โคนต้นโพธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ยังไม่มีโบสถ์ ไม่มีวิหาร ไม่มีวัตถุสิ่งใดๆ เลย เป็นป่าล้วนๆ อยู่โคนต้นโพธิ์น่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมอันนั้นต่างหาก

พระก็เหมือนกัน ถ้าพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันจำเป็นสิ่งใด ไม่มีความจำเป็นสิ่งใดเลย ในเมื่อเราจะเอาใจของเรา เราเอาใจของเราอย่างเดียว แต่สิ่งที่ว่าปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยนี้ไม่ปฏิเสธ สิ่งนี้ไม่ปฏิเสธนะ

พระเรามีบริขาร ๘ ถ้าบริขาร ๘ นี่ไปได้แล้ว เวลาบวชขึ้นมานี่ปัตตัง บาตรนี้สำคัญที่สุด เพราะบาตรนี้เป็นการดำรงชีวิต แล้วธมกรกคือสิ่งที่กรองน้ำ น้ำกับบาตรนี้เป็นการดำรงชีวิต แล้วผ้าเครื่องอาศัยเท่านั้น แล้วเราภิกขาจารไปนี่มันมีข้าวตกบาตร นั่นดำรงชีวิตของเราได้แล้ว ถ้าดำรงชีวิตของเราได้แล้ว เราประพฤติปฏิบัติได้แล้ว เราประพฤติปฏิบัติ เราเอาใจของเราได้แล้ว นี่มันละเอียดขึ้นไป

สิ่งที่ละเอียด ถ้าเราคิดว่าละเอียด เราไม่ต้องการ เราไม่ติดสิ่งที่เป็นหยาบ มันจะเข้ามาละเอียด ถ้ามันติดสิ่งที่หยาบ ถ้าเรามีการก่อสร้าง เรามีการว่าสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของพระ สิ่งนี้เป็นหน้าที่ของพระ มันจะเป็นความกังวลนะ มันจะคิด มันจะจินตนาการตลอด เดินจงกรมก็ว่านี่จะต้องทำอย่างนั้น จะต้องทำอย่างนั้น มันเป็นนิวรณธรรมทั้งหมด สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลกเขาที่เขาจะจุนเจือกับพระ สิ่งที่เขาเป็นพลาธิการ เขาจะส่งเสริมขึ้นมา นั่นเป็นหน้าที่ของโลกเขา หน้าที่ของพระ เห็นไหม รบกับกิเลส รบกับตัวเอง นี่หยาบละเอียดก็เข้ามาตรงนี้ ถ้าหยาบละเอียดเข้ามาตรงนี้มันจะเห็นคุณค่าของมัน พระถึงอยู่ที่สูงกว่า เห็นไหม ครูบาอาจารย์เราอยู่เหนือกว่าเรา

เวลาทิศ บริหารทิศ ครูบาอาจารย์อยู่เบื้องบน พ่อแม่อยู่เบื้องหน้า เพื่อนอยู่เบื้องข้าง บ่าวไพร่อยู่เบื้องล่าง เราบริหารทิศอย่างไร ครูบาอาจารย์อยู่สูงเขา ในเมื่อเราอยู่สูงเขา องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ “ดวงตาของโลกดับแล้ว” ดวงตาของโลกไง ดวงตาของโลกเป็นผู้ชี้นำทั้งหมด เป็นผู้ชักนำ เป็นผู้ชี้นำความถูกความผิดของสังคม ของโลกทั้งหมดเลย นี้คือครูบาอาจารย์ของเรา เพราะมันเห็นจากจิตดวงนั้นไง

เราบริหารกัน เขาบริหารกันเรื่องการบริหาร ต้องบริหารจัดการทั้งหมด แต่ในเมื่อเรื่องของกิเลส มันบริหารจัดการได้อย่างไร ถ้าเราไม่เคยเห็นสิ่งต่างๆ เราไม่เคยเห็นข้อมูลเรื่องของหัวใจ เรื่องการเกิดดับ เรื่องของกิเลส จะบริหารได้อย่างไร เราจะไม่สามารถบริหารได้เลย แต่ถ้าเมื่อครูบาอาจารย์ของเราเห็น รู้เท่าทันความเป็นจริงของอาการของใจ การเกิดดับของอาการของใจ ความต้องการของมัน การหิวกระหายของมัน แล้วจะบริหารจัดการมันอย่างไร

สิ่งใดก็แล้วแต่นี่เหมือนเด็ก เราจะสอนลูกของเรา เราจะสอนหลานของเราให้เติบโตขึ้นมา วิชาการอย่างไร การประพฤติปฏิบัตินี่มันจะก้าวเดินอย่างไรขึ้นมา จะพัฒนาขึ้นมาอย่างไร ถ้ามันไปติดในเรื่องของหยาบๆ มันก็ติดหยาบ ๆ อยู่อย่างนั้น ถ้าเราปล่อยสิ่งนั้นเข้ามา เขาบอกพวกนี้ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่ได้อยู่ที่หรูหรา ที่สมควรกับสมณะ นั่นเป็นความเห็นของโลก ถ้าเราติดคำนี้ เราติดของเขา เราจะสละสิ่งหยาบๆ มาไม่ได้เลย เขาพูดอย่างนั้นคือเขาเป็นคนโง่ไง

โลกนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด ในเมื่อคนโง่เขาเห็นแต่เป็นพระวัตถุ แล้วเขาว่าสิ่งนั้นเป็นบุญกุศล แล้วเราไปติดเขา เราก็อยู่ต่ำกว่ากระแสของโลกสิ ในเมื่อเราวางกระแสของโลก เรื่องนี้เป็นเรื่องของโลกเขา เป็นเรื่องความเห็นของวัตถุที่เขาเห็นกัน เราจะเอาสิ่งที่ละเอียดกว่านี้ ฉะนั้น สิ่งที่โลกธรรมนี้เวลากระะเทือนใจเรา เห็นไหม ไม่เป็นโมฆบุรุษ ไม่ติดในลาภ เราจะตอดเหยื่อนั้น ไม่กินเบ็ดนั้น ถ้าเรากินเบ็ดนั้น เราจะเป็นภาระแบกโลกตลอดไป เราจะกินเหยื่อนั้น แต่เราไม่กินเบ็ดนั้น เราถึงสละเรื่องของวัตถุ แล้วเราพยายามเอาเรื่องของจิตใจ เรื่องการบริหารของหัวใจนี้

ถ้าการบริหารของหัวใจนี้ เห็นไหม นี่บริหารโลก เพราะหัวใจ โลกนี้เกิดจากใจดวงนี้ การก่อสร้างทุกอย่างเกิดจากคนคิดก่อน เกิดจากการบริหารจัดการจากใจดวงนี้ เป็นคนสร้างจินตนาการออกมา โลกเกิดจากตรงนี้ไง เราไปดับความดึงดูดของโลก เราไปดับสิ่งที่เป็นโลก เราบริหารโลก เราควบคุมโลก เราควบคุมจักรวาลทั้งหมดเลย ในเมื่อเราควบคุมใจดวงนี้ได้หมด แล้วบริหารใครก็ได้ นี่ดวงตาของโลกอย่างนี้ไง โลกนอกโลกใน โลกนอกคือความคิดของเรา คือจิตที่พาตายพาเกิด โลกจากข้างนอกมันเป็นประสาของเขา มันเป็นอจินไตย มันหมุนไปตลอดเวลา แต่ถ้าใจกำจัดโลกในนี้จบ จบสิ้นกระบวนการทั้งหมด นี้คือดวงตาของโลก นี้คือการชี้นำ

ในเมื่อดวงตาของโลกดับแล้ว เพราะดวงตาดวงนี้ถ้ายังมีชีวิตอยู่ มันยังสื่อความหมายได้ เป็นคนชี้นำได้ แต่พอดับแล้วมันก็มีอยู่ ดับแล้วท่านก็ไปอยู่ที่ของท่าน เป็นวิมุตติสุขอันนั้นต่างหากล่ะ นี้คือความสุขอันละเอียดนะ ทุกคนปรารถนาความสุข ในศาสนาของเรานี้ประเสริฐมาก ประเสริฐ ชี้นำเข้ามาถึงจิต ถึงที่สุดของการเกิดและการตาย ลัทธิต่างๆ มีแต่ว่าไปอยู่ที่นั่น ไปอยู่ที่นี่ เขายังเกิดและตาย เพราะเขาดับไม่เป็นไง เขาบริหารไม่เป็น เขาจัดการไม่เป็น เขาถึงไม่เป็นดวงตาของโลกเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้ารู้ตั้งแต่การเกิด รู้ตั้งแต่การดำรงอยู่ และรู้เรื่องวิธีการดับ แล้วรู้วิธีว่าอยู่ที่สูงที่สุด ที่สุดแห่งการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นี้คือดวงตาของโลกนะ

ในศาสนาของเรา เราปรารถนาความสุข ต้องพยายามขึ้นมาจากหยาบ จากกลาง จากละเอียด แล้วจะมีความสุขทุกๆ ขั้นตอนไป เอวัง