เทศน์เช้า วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ.วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตอนนี้ดูปรากฏการณ์ธรรมชาติ เวลาดาวมันโคจรมาพร้อมกัน ปรากฏการณ์ธรรมชาติหนหนึ่งๆ จะมี ๖๐ ปีหนหนึ่ง ชั่วชีวิตคนหนหนึ่งจะได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติหนหนึ่ง ปรากฏการณ์ธรรมชาตินะ แล้วปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เวลามันทำลายกันล่ะ เวลาปรากฏการณ์ธรรมชาติเวลาพายุเกิดขึ้น แผ่นดินไหว นี่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ปรากฏการณ์ธรรมชาติมันทำลายกัน แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มันเป็นสิ่งที่ดีล่ะ สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ดีอย่างนั้นนะ เวลาโลกมันร่มเย็นเป็นสุข นั่นปรากฏการณ์ธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ มันไม่มีชีวิต
แต่ปรากฏการณ์ของชีวิตเราล่ะ ปรากฏการณ์ของชีวิตทุกชีวิตนะ ทำไมมีสุขมีทุกข์ เวลาปรากฏการณ์สิ่งที่เป็นความทุกข์มันไม่มีความพอใจ ปรากฏการณ์ธรรมชาติมันก็ต้องมีสสาร มีพลังงานของมันขับเคลื่อนไป ปรากฏการณ์ของหัวใจมันก็มีบุญกุศลขับเคลื่อนไป
ฉะนั้น เวลาปรากฏการณ์ของหัวใจ นิสัยของคนไม่เหมือนกัน นิสัยอันนี้เวลาปรากฏธรรมชาติแล้วมันทำปฏิกิริยากันไปแล้วมันก็พ้นไป มันก็ผ่านอันนั้นไป มันไม่มีสิ่งที่รับรู้ไง มันไม่มีสิ่งที่สะสม แต่มนุษย์นี่ไปทำสถิติ มนุษย์ทำสถิติว่าการโคจรของดวงดาวต่างๆ เป็นสถิติของมนุษย์เราไปจดของมัน แต่ดวงดาวมันไม่รู้ตัวตามความเป็นจริงว่ามันโคจรไปกี่รอบต่อความเป็นไปของอายุ ความเป็นไปของกาลเวลา นี่มันเองมันไม่รู้เรื่องของมัน แต่หัวใจเรามีสถิติของมันเอง คือว่ามันมีความสุข ความทุกข์ มันมีการสะสมของใจ
ความสะสม ความพอใจ ความชอบและไม่ชอบ ความชอบและไม่ชอบนี่มันแก้ไขยากมาก แก้ไขยากมากเพราะคนเล่น คนเราชอบสิ่งใด จะรักสิ่งใด สงวนสิ่งใด สิ่งนั้นพลัดพราก สิ่งนั้นทำลายไปจากใจดวงนั้น ตรงนั้นจะมีความรู้สึกมาก แต่คนที่เขาไม่ชอบ เขาไม่สนใจของเขา สิ่งนั้นเขาเห็นเป็นของธรรมดา สิ่งที่เป็นธรรมดาอันนี้เพราะมันไม่ชอบและไม่รัก
แต่เวลาเราจะชำระกิเลสของเรา มันต้องเข้าไปที่ความรักความชอบไง สิ่งที่ความรักความชอบคือความที่มันฝังใจ ความฝังใจ สิ่งที่ฝังใจมันสะเทือนใจมาก ใจเขา ใจเรา ถ้าใจเขา สิ่งที่ว่าเขาชอบ เขาปรารถนา เราไปทำสิ่งที่เขารักเขาสงวนมันก็ทำลายใจเขา แต่ถ้าสิ่งที่เขาไม่สงวน เขาทิ้งได้เลย
เวลาเราผิดศีล ปาณาติปาตา การเบียดเบียนกัน แม้แต่ของเล็กน้อย ถ้าเขาให้กันได้ เขายกให้กันได้ แต่ถ้าเขาให้กันไม่ได้ เราไปรุกล้ำของเขา สิ่งนี้มันสะเทือนหัวใจ สะเทือนหัวใจเพราะอะไร เพราะคนมีศักดิ์ศรี คนมีความยึดมั่นถือมั่นของหัวใจนั้น คนมันมีความลึก ความผูกพันของใจดวงนั้น แต่ถ้าคนเขามีธรรมของเขาในหัวใจนะ สิ่งนั้นเขาสละทานได้ เขาปล่อยให้เป็นเรื่องของโลกได้
โลกมันเป็นไป มันขับเคลื่อนเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ปรากฏการณ์ของมันเป็นสภาวะแบบนี้ แต่เพราะเรา เราอยู่ในชีวิตของเรา เรามีประสบการณ์ในชีวิตของเรา แต่ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ เป็นล้านๆ ปี เป็นพันๆ ล้านปี เขาย้อนกลับไปได้ เขาพิสูจน์กันสิ่งนั้นได้ แต่สิ่งนั้นพิสูจน์ไป พิสูจน์ไปทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นไปอย่างนั้น มันมีสถิติอย่างนั้น
แต่ความสุขความทุกข์ของเราสำคัญมาก ใจที่มีความสุขความทุกข์ เราถึงต้องทำปรากฏการณ์ของเรา ถ้าปรากฏการณ์มีความเชื่อ ความเชื่อความศรัทธามันจะเริ่มสะสม สะสมสิ่งที่ดี
คนเราเวลาจะออกเที่ยวป่า มันต้องมีเสบียงอาหารเข้าไป จะไปที่ไหนก็แล้วแต่ต้องมีเสบียงของเขา แต่ถ้าไปอยู่ในเมือง เราไปไหนไม่ต้องมีเสบียงเลย เรามีเงินไปเราจะซื้อสิ่งใดก็ได้ โลกนี้ สิ่งที่มีตลาด ที่ไหนมีตลาด มีการเกื้อกูลกัน สิ่งนั้นเป็นไปได้ แต่เราเข้าไป ปรากฏการณ์ในป่า ในป่ามันไม่มีตลาดหรอก ไม่มีสิ่งใดที่เราจะไปซื้อหาได้ เราต้องเตรียมเสบียงกรังของเราเข้าไป
นี่ก็เหมือนกัน อาหารของแต่ละภพนะ อาหารของแต่ละภพไม่เหมือนกัน เวลาเราเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม อาหารไม่กินอย่างนี้หรอก อาหารอย่างนี้อาหารที่รักษาไว้เป็นของมนุษย์ ของสัตว์บางจำพวก แต่ถ้าสัตว์บางจำพวกเขาไม่กินอาหารแบบนั้น แต่ถ้าเรามีบุญกุศลไป มันไปสู่สถานะไหนมันก็อาหารของมัน มันแปรสภาพไปตามใจอันนั้นไง
เวลาว่าวิญญาณาหาร เทวดาเขากินทิพย์ อิ่มทิพย์ เราไม่ต้องการสิ่งนั้นเลย เพราะอะไร เพราะมันไม่มีรสชาติ แต่ความจริงเราไปอยู่สถานะนั้น รสชาติของเขาสภาวะแบบนั้น นี่มันเป็นไปอย่างนั้น มันถึงต้องมีเสบียงกรังอันนี้ไป ถ้ามีศรัทธา มีความเชื่อ ปรากฏอันนี้ปรากฏการณ์ขับเคลื่อน การขับเคลื่อนไป ปรากฏการณ์อันนี้ขับเคลื่อนมาจากบุญกุศล ขับเคลื่อนมาจากพลังงานของใจดวงนั้นที่ได้สะสมไว้ ใครได้สละออกเป็นพลังงานย้อนกลับเข้ามาถึงใจดวงนั้น มันสะสมอยู่ที่ใจดวงนั้น ไปตกในสถานะไหนมันก็เป็นสภาวะใจดวงนั้น
แต่ถึงที่สุดแล้ว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายพลังงานทั้งหมด ความขับเคลื่อนไม่มีทั้งหมด ความขับเคลื่อนนี่มันเป็นความขับเคลื่อนไป บุญและบาป สิ่งที่ขับเคลื่อนไป บุญและบาปนี้มันขับเคลื่อนไป ถึงที่สุดแล้วต้องทิ้งบุญและบาป แล้วจะทิ้งได้อย่างไรในเมื่อมีความรักสงวนมาก สิ่งที่รักสงวนของเรา ใครมาแตะต้องของเรา เราจะมีความสะเทือนใจมาก สิ่งนี้สะเทือนใจมาก แล้วเวลาเราไปถึงที่สุดของเรา เราไปถึงที่ความเป็นไปของมันคือข้อมูลของมัน เราจะทำลายลงได้ไหม
เหมือนกับเขาต้องทำลายเพชรนิลจินดาทิ้งออกไปจากมือของเขา เขาจะขว้างทิ้งออกไป คนเราเผลอมันขว้างทิ้งได้นะ กำเงินกำทองไว้ถ้าเผลอขว้างทิ้งไป พอรู้ว่าเงินทองนี่วิ่งไปหาว่าเราขว้างทิ้งไปที่ไหน หาไม่เจอ เวลาหาไม่เจอ แต่นี่มันรู้ๆ อยู่ เพชรนิลจินดาอยู่กับเราเพราะเรามีสติ สัมมาสมาธิ มีสติ มีสมาธิ มีมรรคตลอดเข้าไป แล้วจะไปทำลายสิ่งนี้
สิ่งนี้ทำลายได้อย่างไร มันไม่เข้าใจไง
เวลาความไม่เข้าใจ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เหมือนยักษ์เหมือนมารนะ มาร พญามารปกครองชีวิตของเราเหมือนกับยักษ์เหมือนมารเลยที่มันทำให้เราต้องขับเคลื่อนไป เราคิดว่าสิ่งนั้น แต่เวลาเข้าไปเจอสิ่งนั้น สิ่งที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นพญามาร เป็นยักษ์เป็นมาร เพราะมันเป็นโทษไง แต่หลักความจริงมันเป็นสิ่งที่ว่ามันสงวนรักษา มันเป็นสมบัติ เป็นของที่สงวน เป็นของที่รักที่สุดไง แล้วเราจะทำลายมันได้อย่างไร สิ่งที่ทำลายไม่ได้ มันถึงย้อนกลับมาไม่ได้ไง พลังงานอันนี้พลังงานส่งออก พลังงานธรรมชาติทั้งหมด มันต้องส่งออกทั้งหมด
สิ่งที่ส่งออกทั้งหมดไปมันก็ต้องส่งออกไปข้างนอก มันจะเป็นสิ่งที่ว่าไปกระทบกระเทือน เป็นสิ่งที่ว่าไปยึดมั่นถือมั่น เป็นสิ่งที่ว่าไปสะสมขึ้นมา พลังงานนี้มันถึงมีมากขึ้นๆ พลังงานอย่างหยาบมันก็แสดงตัวอย่างหยาบ แต่พลังงานต้นเหตุของพลังงาน ถิ่นกำเนิดของพลังงานนั้นมันละเอียดอ่อนมาก เวลาเข้าไปถึงอวิชชา มันถึงว่าเป็นความละเอียดอ่อน
หลวงตาบอก เวลาเข้าไปเจออวิชชามันเหมือนนางงามจักรวาล มันสวยงามมาก มันผ่องใส มันอ้อยอิ่ง มันมีความสุข มันมีความหลอกลวงในอันละเอียดนั้นให้เราไปอาลัยอาวรณ์ ให้มันควบคุมรักษาไว้ สิ่งนี้มันทำลายมันไม่ได้
ถ้าทำลายไม่ได้ พลังงานตัวนี้พลังงานต้นเหตุไง
จุดศูนย์กลางของของวัฏฏะ จิตนี้ตายเกิดๆ แล้วพลังงานของโลกนี้มันเป็นวัตถุ มันเป็นสสาร มันทำปฏิกิริยาไปแล้วมันก็ผ่านพ้นไปในกาลของมันๆ ถึงจะยังทำสถิติได้ ๖๐ ปี ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี มันจะมีปรากฏการณ์อย่างนี้หนหนึ่งๆ แต่เวลาพลังงานที่เกิดขึ้น แผ่นดินไหว เราทำสถิติกันไว้ แต่เราก็ไม่สามารถป้องกันได้ เวลาเราเกิดเราตาย เราก็ไม่สามารถป้องกันได้
เวลาใจมันเกิดมันตาย อารมณ์เกิดขึ้น เกิดดับๆ มันเกิดดับจากภายใน เวลามีความสุขเราก็ต้องการให้สิ่งนี้อยู่กับเรานานๆ เวลามีความทุกข์เราก็ผลักไส สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดจากภายในนะ สิ่งนี้เกิดจากภายใน แล้วเราก็แสวงหา แสวงหาต้องการสิ่งใดแล้วเราก็แสวงหาสิ่งนั้น โครงการต่างๆ เราตั้งขึ้นมาแล้วแสวงหาตามโครงการนั้น ถ้าประสบความสำเร็จตามโครงการนั้น มีอำนาจวาสนาก็ทำสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง มันแล้วแต่จังหวะและโอกาส
จังหวะและโอกาสนี่คือการสะสมของใจ ใจมันสะสมสิ่งนี้มา มันมีโอกาสของคนต่างกัน สิ่งที่ต่างกันมันเป็นอำนาจวาสนา นี่คือโครงการจากภายนอก แล้วมันย่อยสลายเข้ามาเป็นภายในๆ นี่สะสมเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นความชอบ ใครประสบการณ์สิ่งใดที่ฝังใจ สิ่งใดที่ไม่พอใจ สิ่งใดจะขับจะพยายามผลักไสสิ่งนั้นไม่ให้เกิดขึ้นอีกๆ แต่สภาวะกรรมมันก็ซ้ำซ้อนเข้าไป ซ้ำๆ เข้าไป กดถ่วงเข้าไปให้ใจมีความสุขความทุกข์ ความพอใจนั้น สภาวะแบบนั้นต้องรับผิดชอบไป
สิ่งที่รับผิดชอบ เห็นไหม คนเราถ้าคนรับผิดชอบ คนจริง คนมีความรับผิดชอบ มีความรับผิดชอบของตัวเอง มันทำอะไรนี่มันทำได้ ถ้าคนไม่รับผิดชอบ มันผลักไสๆ ไม่ยอมรับผิดชอบสิ่งใด แต่มันก็ให้ผลๆ ไม่รับผิดชอบ ถ้ามีการกระทำ มันก็สะสมลงที่ใจเหมือนกัน จะรับผิดชอบไม่รับผิดชอบเหมือนกัน แต่อยู่ที่เจตนาไง
เจตนาทางโลก ถ้าไม่มีเจตนา ทำอะไรสิ่งใดไป โลกเขาไม่เอาความผิดได้นะ เพราะทำความผิดโดยพลั้งเผลอ ไม่มีเจตนา ยกโทษให้ได้ แต่ขณะที่ว่าเราไม่มีเจตนา ในเรื่องของกรรม เราไม่เข้าใจมัน เราทำได้เต็มที่เลยนะ อย่างเช่นฟืนไฟ ถ้าเราไม่เข้าใจว่าร้อน เราจะจับได้เต็มไม้เต็มมือเลย แต่ถ้าเราเข้าใจว่าฟืนไฟนั้นร้อน เราจะเอาสิ่งใด เราต้องจับมัน ต้องมีเครื่องมือเอาเข้าไปจับเขา เข้าไปทำให้เป็นประโยชน์
เห็นไหม ความเข้าใจ ถ้าความเข้าใจของกรรม มันเห็นสภาวะกรรมแบบนั้น มันรู้สิ่งใด สิ่งใดสิ่งที่โลกเขาว่ามีรสชาติ มีความต้องการของเขา เราสละออกๆ เป็นพรหมจรรย์ แล้วมันจืดๆ คำว่า จืด จืดไปทำไม มันมีจืด จืดชืด เราจะเอาอย่างนั้นเหรอ มันต้องมีรสมีชาติสิ มีรสชาติของเรา
ถ้าศีล ๕ ศีล ๘ พรหมจรรย์เริ่มเกิด เริ่มเข้ามาแล้ว เริ่มเข้ามาสิ่งนี้ให้เนกขัมมบารมี ให้แยกออกไปๆ สิ่งที่แยกออกไป พลังงานนั้นเป็นพลังงานของเขาโดดๆ เลย ไม่มีการสะสม ไม่มีการกระทบกระทั่งแล้ว นี่มันละเอียดเข้ามาๆ ไง ถ้าละเอียดเข้าไปจะไปเห็นสภาวะแบบนั้น ถ้าสภาวะแบบนั้นมันต้องมีสติเข้าไป
สติ มันถึงว่า มีสติ ปัญญา มหาสติ มหาปัญญา แล้วมีสติปัญญาอัตโนมัติ ปัญญาที่ละเอียดเข้าไป มันถึงเข้าไปจับสิ่งนี้ได้
วัตถุสิ่งของต่างๆ ของหยาบก็ใช้วัตถุหยาบๆ เข้าไปจับ ของละเอียดต้องใช้ของละเอียดเข้าไปจับ ปัญญาก็เหมือนกัน ละเอียดเข้าไปเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป สิ่งที่เข้าไปจับ นี่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นธรรมชาติทั้งหมด แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างนี้ใครเป็นคนแสวงหาได้ ถ้าคนแสวงหาได้ต้องเริ่มจากว่ามีความเชื่อศรัทธา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพูดไว้ในกาลามสูตร อย่าให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูด อย่าเชื่ออะไรทั้งหมด ไม่ให้เชื่อทั้งหมด แต่มีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาคือเปิดกว้างในการพิสูจน์ไง ไม่ใช่ศรัทธาความเชื่อในทฤษฎีนั้น
แต่ถ้าเราพิสูจน์ของเราขึ้นมาในทฤษฎีนั้น มันจะเป็นปัจจัตตังของเราจากใจขึ้นมา นี่ปัญญามันเกิดอย่างนี้ไง เกิดจากการที่เราค้นคว้าเราขึ้นมา ถ้ามีศรัทธาความเชื่อมันก็ย้อนกลับไปที่จริตนิสัย ย้อนไปที่อำนาจวาสนา ความเชื่อของคนมันมีความเชื่ออย่างหยาบๆ ความเชื่ออย่างละเอียด ความเชื่ออย่างไร ความเชื่อวิทยาศาสตร์มันเชื่อทางวัตถุ ความเชื่อทางนามธรรมมันเป็นความเชื่อของจิต
ความเชื่อของจิตย้อนกลับเข้ามาถึงจิต จิตพิสูจน์ได้ไหม ถ้าพิสูจน์ได้ โอปนยิโก ย้อนกลับมา ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาดูความรู้สึกของเรา ถ้าเรารู้สึก เรารู้สึกของเราได้ เราจับความรู้สึกของเราได้ ความรู้สึกอันนี้มันมีอยู่ทุกๆ คน
โลก เกิดมาทุกคน ปรากฏการณ์ของธรรมชาติ เขามีของเขาเป็นโลกหนึ่ง จักรวาลอันหนึ่ง แต่ปรากฏการณ์ของสิ่งมีชีวิตเป็นพันๆ ล้านนะ จิตใจดวงหนึ่งก็ปรากฏการณ์อันหนึ่ง มันเป็นเจ้าวัฏจักร มันเป็นสิ่งที่เวียนตายเวียนเกิด ทุกดวงใจ ทุกชีวิตมีค่าเท่ากันทั้งหมด เพราะมีหัวใจนี้ ปรากฏการณ์อันนี้เกิดตลอดเวลา แต่ไม่มีใครสามารถไปค้นคว้าปรากฏการณ์อันนี้จากหัวใจอันนั้นได้ ถ้าปัญญานี้เกิดขึ้นมามันค้นคว้าปรากฏการณ์จากหัวใจได้ จักรวาลเกิดจากตรงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากตรงนี้ แล้วตรงนี้ดับลงไปแล้วจักรวาลมันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นวัตถุอันหนึ่ง
นี่แม้แต่ในวัฏฏะมันก็เป็นจักรวาล เป็นวัฏวนอันหนึ่ง แล้วปรากฏการณ์อันนี้จิตสัมผัสเข้าไปแล้วมันไปเกิดไปตายในสภาวะแบบนั้น แล้วมันทำลายปรากฏการณ์ของศูนย์กลางของจักรวาล ทำลายจักรวาลอันนี้หมด แล้วว่าสิ่งนี้มีอยู่ ความละเอียดอ่อนนี้มีอยู่ ปรากฏการณ์อันนี้สำคัญมาก ปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นเรื่องของเขานะ แล้วเราก็ตื่นไปทางโลก ถ้าปรากฏการณ์เราศึกษา เราใคร่ครวญ แล้วเราพิสูจน์ของเรา มันจะเป็นการรับรู้ทางจักรวาล นี่คือปัญญาของโลกเขา เราต้องต่อสู้กันด้วยปัญญา เพราะโลกนี้ต้องเอาปัญญาสู้กัน แต่ปัญญาทางโลกมันก็ทำให้ชีวิตนี้เวียนตายเวียนเกิด
แต่ปัญญาภายใน มันจะย้อน มันจะควักออกมาให้ใครเห็นได้ มันเป็นปัญญาของปัจจัตตัง มันเป็นปัญญาจากภายใน มันจะออกมาเป็นสมมุติไม่ได้ มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์มันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต พิสูจน์ทางจิตแล้วใจดวงนั้นรู้จากใจดวงนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอก วางไว้ที่นี่ พระไตรปิฎกนี้เป็นเหตุทั้งหมดเลย เป็นทฤษฏีเครื่องดำเนินทั้งหมด แต่ผลของใจดวงนั้นไม่สามารถเอามาได้เพราะมันเป็นสมมุติ ถ้าตั้งขึ้นมาว่าต้องเป็นอย่างนี้แล้วมันจะมีประเด็นเดียว แล้วมีการโต้เถียงกัน เพราะสิ่งที่เข้าถึงมันมีทางเข้าไปถึงได้หลายทาง แต่ว่าถึงตรงนั้นแล้วต้องเหมือนกัน ต้องเหมือนกันคือต้องไปดับจุดกลางของจักรวาลนั้น จุดกลางของปรากฏการณ์นั้น ปรากฏการณ์นั้นไม่มีสิ่งใดที่จะขับเคลื่อนมันไปได้จนหมดเลย แต่มีพลังงานเย็น พลังงานที่มีอยู่ แล้วพลังงานนี้ไม่ขับเคลื่อนไป นี้คือสิ้นสุดของกระบวนการของธรรมชาติอันนี้ไง นี่ปรากฏการณ์ธรรมชาติในหัวใจสำคัญมาก
มองจากปรากฏการณ์ภายนอกเขามีความเคลื่อนไหวไป มันก็เห็นอันหนึ่ง มันก็เป็นสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์อันหนึ่ง แต่ถ้าปรากฏการณ์ของหัวใจ ใครเจอขึ้นมานะ มันจะมหัศจรรย์กว่านั้น ทำให้เราคลายสิ่งยึดมั่นถือมั่นในหัวใจทั้งหมด พลังงานขับเคลื่อนที่ใจต้องเกิดต้องตายที่ต้องไปอีก มันคลายออกทั้งหมด พลังงานนี้เป็นพลังงานบริสุทธิ์ พลังงานที่มีชีวิต
พลังงานใดๆ ก็แล้วแต่ ใช้แล้วต้องหมดไป พลังงานนี้ใช้ไม่มีวันหมด มันมีชีวิต มันจะสืบต่อของมันตลอดไป มันจะเป็นอนันตกาลตลอดไป จากใจดวงที่ว่าต้องเกิดต้องตายดวงนี้ ทำแล้วต้องเกิดต้องตาย ต้องมีสถานะของมัน แต่อันนี้มันไม่มีสถานะของมัน มันต้องเกิดต้องตายในตัวมันเอง เห็นไหม มันถึงไม่เกิดไม่ตายอีกเลย เอวัง