เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาคิด เวลาหากันน่ะมันหากันคนละเรื่องนะ เวลาโลกเขาจะหาเป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุ ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ๆ วิทยาศาสตร์มันก็เคลื่อนไป เห็นไหม การสูญพันธุ์ของโลก ดูทางวิทยาศาสตร์สิ การสูญพันธุ์ของโลกมา ๕-๖ หนแล้วใช่ไหม การสูญพันธุ์ของมัน เวลาโลกเปลี่ยนแปลงหนหนึ่ง การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตไป แต่เดิมเลยสี่ร้อยกว่าล้านปีที่แล้ว สัตว์บกแทบไม่มี มีแต่สัตว์น้ำ แล้วมันสูญพันธุ์กันมาเป็นครั้งเป็นคราว การสูญพันธุ์ครั้งที่ ๕ นะ แล้วปัจจุบันนี้ต่อไปนี้ก็จะเป็นการสูญพันธุ์แบบสิ่งแวดล้อม มนุษย์ทำกับมนุษย์ สิ่งมีชีวิตทำสิ่งมีชีวิต แต่ก่อนการสูญพันธุ์ของโลกเกิดจากทางดวงดาว ทางอุกกาบาตมันชนโลก ความเปลี่ยนแปลงของอากาศ นี่จักรวาลเป็นอย่างนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก โลกนี้เป็นอจินไตย สิ่งนี้จะมีอยู่อย่างนี้แล้วแปรสภาพไปตลอดไป สสารทุกอย่างมีอยู่ รวมตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ รวมตัวเกาะกลุ่มกันก็เป็นดวงดาว เวลามันหมดชีวิตไป ดวงดาวมันยังมีชีวิตของมันนะ เวลาเราพิสูจน์กัน ดาวอังคารมีน้ำหรือไม่มีน้ำ มีสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีสิ่งมีชีวิต นี้การพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าการพิสูจน์ทางจิตล่ะ
เวลาจิตมันเกิดมันตาย สิ่งที่มันตายไป เวลาเราตายไป ตายจากมนุษย์ แต่ใจไม่เคยตาย สิ่งที่สภาวะไม่เคยตายมันก็จะไปเกิดของมันใหม่ สิ่งที่เกิดของมันใหม่ สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของหัวใจ มันเป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้นความรู้สึกมันถึงเป็นชีวิต มันถึงเกิดดับ เวลามีความสุข มีความสุขพอสมควร พอสมควร เพราะมันเป็นอามิส มันเป็นสิ่งที่ว่าต้องมีการสัมผัสกัน มีการตอบสนองกัน สิ่งตอบสนองคือความพอใจไง ตัณหาความทะยานอยากเราต้องการสิ่งใด
อย่างเช่นบุญกุศลนี้ก็เหมือนกัน เราอยากทำบุญมาก มีคนศรัทธา เราอยู่กับหลวงตา เราเห็นกับตาเลยนะ มาจากนครสวรรค์ หลวงตาเวลาท่านทำความสะอาด กระโถนท่าน ท่านทำความสะอาด ท่านบ้วนปากทุกอย่าง เขาศรัทธามากนะ เขาสามารถยกกระโถนนี้ขึ้นดื่มได้เลย กระโถนนั้นมีแต่เสลดนะ มีแต่สิ่งที่หลวงตาทำความสะอาด เขายกดื่มได้ ถ้าคนมีศรัทธาเขาทำได้ขนาดนั้น นี่ศรัทธาความเชื่อ
ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาแก้กิเลสได้ไหม? ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้ ต้องใช้ปัญญา แต่ปัญญาจะเกิดขึ้นมาถ้าเราไม่มีศรัทธาเลย เหมือนกับคนนอนหลับนะ เราสงสารมาก คนนี้คนนอนหลับ คนนี้เป็นคนมีความทุกข์ความยาก เราจะป้อนอาหารเขา เราป้อนอาหารคนนอนหลับได้ไหม คนนอนหลับ เราป้อนอาหารไปสำลักตายนะ
จิตที่มันปิด จิตที่ไม่ต้องการ มันปิดของมัน สิ่งที่มีชีวิตมันก็ปิดของมันได้ มันถึงจะต้องมีศรัทธาความเชื่อ ถ้าศรัทธาความเชื่อ มันจะเปิดมันจะหงายขึ้นมา สิ่งที่หงายขึ้นมาแล้ว หงายขึ้นมามันจะรองรับอะไรล่ะ ถ้ารองรับฝนพิษ รองรับฝนที่เป็นกรด ฝนนั้นใช้ไม่ได้ ถ้ารองรับน้ำฝนที่เป็นสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม เวลาความเชื่อ ถึงต้องมีปัญญาตรงนี้ ปัญญาที่ว่าถ้าธรรมนั้นแสดงออกมา มันเป็นฝนกรด มันเป็นธรรมที่ว่ามันมีตัวตนของมัน มันมีสิ่งที่ว่าเขาต้องการหาผลประโยชน์ของเขา สิ่งนั้นเป็นเรื่องของฝนเป็นกรด แต่ถ้าเป็นฝนที่มันเป็นน้ำสะอาด ฝนที่บริสุทธิ์ มันจะดำรงชีวิตได้ แต่มันต้องเกิดจากความหงายภาชนะของเราขึ้นมา ถ้าภาชนะเราหงายขึ้นมา แล้วเรารับสภาวธรรมอันนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์
ถ้าภาชนะนั้นหงายขึ้นมา ฝนตกขึ้นมา แล้วเราไม่ใช้น้ำฝนนั้น น้ำฝนนั้นก็ระเหยไป น้ำฝนนั้นก็แห้งไปโดยธรรมดาของเขา ธรรมนี้มีอยู่สภาวะแบบนี้ สิ่งที่เป็นฝนมันมีชีวิตไหม? มันไม่มีชีวิตเลย ไม่มีชีวิต แต่เราสามารถรองรับมันได้ แต่หัวใจมันสำคัญกว่านั้นนะ ถ้ามันมีศรัทธาความเชื่อขึ้นมา เรามีศรัทธา เราทำบุญกุศลนี่เป็นอามิส มันเกิดตายเพราะมันขับเคลื่อนนะ เพราะเราทำคุณงามความดี เรามีความสุขใช่ไหม คนที่มีความสุข คนที่มีความพอใจ อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุข คนที่อัตคัดขาดแคลน เขาเกิดมาอัตคัดขาดแคลนเหมือนกัน
คนเหมือนกัน เกิดมาเหมือนกัน แม้แต่เกิดมาในท้องพ่อท้องแม่เดียวกันก็ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันตั้งแต่โอกาส ไม่เหมือนกันตั้งแต่กาลเวลา ไม่เหมือนกัน เห็นไหม ลูกคนแรกเกิดมา พ่อแม่จะเห่อมาก พ่อแม่จะรักมาก ลูกคนแรกนี่จะเห่อมาก แล้วลูกคนต่อๆ ไปล่ะ ก็รักเหมือนกัน แต่ความผูกพันของพ่อแม่ต่างกันแล้ว ความต่างกันนี้ต่างกันนะ แล้วโอกาสวาสนาก็ต่างกัน จิตดวงตายเกิดๆ มันเป็นสภาวะแบบนั้น นี่อามิส สิ่งที่ทำบุญกุศลแล้วพาตรงนี้ไปเกิด นี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาล่ะ
ปัญญามันชำระการเกิด คือพลังงานที่ขับเคลื่อน พลังงานที่บริสุทธิ์ พลังงานที่สะอาด พลังงานที่ไม่เคลื่อนที่ พลังงานที่ไม่เคลื่อนที่คือใจดวงนี้ไง สสารคือธาตุรู้ ธาตุรู้นี้มีอยู่ เราจะปฏิเสธธาตุรู้ไม่ได้ เราจะเกิดจะตายก็แล้วแต่ ตายไปแล้วธาตุรู้ก็มีอยู่ เพราะมันเคลื่อนจากนี้ไปเป็นสถานะ เหมือนกับที่ว่าเราอยู่ในบ้านของเรา ถ้าเราอยู่ในบ้านของเรา เรามีบ้าน แล้วเราอยู่ในบ้านของเรา เราเจ็บไข้ได้ป่วย บ้านคือว่าบ้านมันผุมันพังขึ้นมา เราเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเราทุกข์เราร้อน เราต้องอาบน้ำ เราต้องอยู่ในห้องแอร์ เพื่อจะให้ร่างกายนี้มีความสุข บ้านเวลามันซ่อมแซม มันชำรุดทรุดโทรมไป เหมือนร่างกาย เวลาหัวใจของเรา หัวใจของเราคือตัวเรา เราต้องหาที่อยู่อาศัย หาที่ร่มเย็นเป็นสุข
เวลามันทุกข์มันร้อนในหัวใจ มันก็เหมือนกับร่างกายเรานี่ เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วย มันก็เหมือนกับบ้านนี้ เห็นไหม ธาตุ ๔ เป็นอย่างนั้น แล้วธาตุเวลามันเคลื่อนออกไป คนจะตาย เราก้าวออกจากบ้าน เหมือนจิตที่เคลื่อนออกไปจากใจ จิตนี้ใจนี้เคลื่อนออกไปจากกาย เวลามันเคลื่อนออกไปจากกาย ถ้ามีสติอยู่มันจะเห็นตลอด มันจะรู้ตลอด มันเห็นการเคลื่อนไป เห็นการเป็นไปของมัน
คนจะเกิดจะตายขนาดไหนเราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราจะเกิดจะตายขนาดไหน แต่ผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่มีสติเป็นอัตโนมัติ เห็นนะ เห็นจิตที่มันเคลื่อนออกไป เห็นความพอใจของมัน เวลามันกระเพื่อมออกไป เสวยอารมณ์ เวลาธรรมกระเพื่อม เวลาธรรมความรับรู้อารมณ์มันกระเพื่อมออกไปมันเสวยอารมณ์ แต่เวลามันจะตายล่ะ นี่มันหดตัวเข้ามา หดตัวเข้ามาแล้วมันจะเดินออกจากบ้านนี้ไป ถ้าจิตเดินออกจากบ้านนี้ไป ถ้าสติมันควบคุมอยู่นะ มันจะไปเกิดที่ไหน มันไม่เกิดที่ไหนเลย
แต่เวลาที่เขาเกิดเขาตายกันนี้ เวลาเราออกจากบ้านไปน่ะ มันออกไปด้วยความเผลอ ออกไปด้วยพลังขับเคลื่อนของบุญและบาปอกุศล ไม่รู้ว่าเกิดตายที่ไหน เวลาจะตายขึ้นมาก็กังวลไปหมดเลย สมบัติของเรา ลูกของเรา เมียของเรา สมบัติของเราต่างๆ มันไปกังวลคนอื่น มันไม่เห็นตัวมันเองหรอก มันไม่เคยเห็นตัวมันเองเลย มันไม่เคยเห็นสภาวะของมันเลย แล้วมันก็สงสัยทุกอย่างไปทั้งหมดเลย สงสัยไปว่ามีหรือไม่มี ทั้งๆ ที่ตัวมันเองเป็นนะ ตัวมันเองมีความทุกข์ ตัวมันเองขับเคลื่อนอยู่ แต่มันก็ไม่เห็นตัวมันเอง เพราะตัวสภาวะจิตนี้โดนขันธ์ครอบคลุมอยู่ ขันธ์คือความคิดมันครอบคลุมอยู่
ความคิดไม่ใช่เรา ความคิดจรมา ถ้าความคิดเป็นเรา ทำไมเวลาเราคิดได้ เราคิดได้ชัดเจนมากเลย แต่เวลาเราลืมมันไปไหนล่ะ แล้วเดี๋ยวก็คิดได้อีก เกิดได้อีก อันนี้มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นสภาวะอันนี้ของมนุษย์ ของใจดวงนี้ ใจดวงนี้มีโปรแกรม มีข้อมูลของมัน เพราะมันคิดกันได้ของมันอย่างนั้น นี่คือขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ กับจิต จิตดวงนี้ แล้วเวลาโปรแกรมอย่างนี้มันเคลื่อนไป เห็นไหม
พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ในป่า เขามีความสุขมาก เขามีความร่มเย็นเป็นสุข เขาไปเที่ยวกัน เขาไปมหรสพไง นี่ความคิดของโลก ว่าการไปดูมหรสพสมโภชนี้เป็นความสุข แต่ถ้าผู้มีธรรมนะ ถือพรหมจรรย์ เห็นไหม ศีลอันบริสุทธิ์ ไม่ดูการละเล่นการฟ้อนรำ เราไม่ต้องไปกับเขา การขับเคลื่อนไป การขับรถขับรา การไปดูมหรสพมันต้องใช้พลังงานทั้งหมดใช่ไหม พลังงานนี้เพราะเราเข้าใจว่าเป็นสุข เราถึงว่ามันเป็นสุข เราถึงมีความพอใจ นี่ของโลกเขาว่าเขาไปเที่ยวกันมีความสุข พระนาคิตะเขาคิดอย่างนั้น เพราะพระนาคิตะยังมีกิเลสอยู่ แต่เวลาคิดขึ้นไป เทวดามายับยั้งกลางอากาศ
เทวดา! เทวดามาจากอากาศ มายับยั้งกลางอากาศ สิ่งที่เขามีความสุขกัน เขาติดในโลกกัน สิ่งนั้นเขาเป็นคนที่ไม่มีสาระ ไม่มีคุณค่าอะไรหรอก มันเป็นเหมือนกับดอกไม้ เป็นเหมือนกับเกสรดอกไม้ที่มันปลิวไปตามลมนั้น มันจะเกิดผสมกันเมื่อไหร่ มันก็จะเกิด มนุษย์การขับเคลื่อนไปของครอบครัวของต่างๆ มันก็เป็นเหมือนอย่างนั้น มันก็ขับเคลื่อนไปอย่างนั้น ท่านต่างหากถือพรหมจรรย์ต่างหาก ท่านต่างหากที่จะเป็นคนมีสารคุณ ผู้ที่ไม่ขับเคลื่อนไปตามลมพัด ไม่ขับเคลื่อนไปตามกระแส ไม่ขับเคลื่อน เกสรนั้นไม่ขับเคลื่อนไป แล้วท่านเดินจงกรมอยู่ ท่านต่างหากเป็นสารคุณ เทวดาองค์นั้นกับพระนาคิตะเป็นเครือญาติกัน สิ่งที่เป็นอย่างนี้ พระไตรปิฎกบอกว่าเป็นเครือญาติกัน เป็นสิ่งที่เกื้อกูลกันมา ถึงมาเตือนสติกันไง
เวลาจิตมันขับเคลื่อนไป มันเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันมีสภาวะแบบนั้น มันสื่อกับมนุษย์ได้ ความเห็นสื่อกับมนุษย์ได้ แต่มนุษย์นี้มีสภาวะจะสื่อกับเขาไหม มนุษย์มีสภาวะจะสื่อกับวิทยาศาสตร์ สื่อกับสิ่งที่จับต้องได้ แต่มนุษย์ไม่สามารถทำใจให้สงบได้ ไม่สามารถทำสภาวะที่จิตมันสงบเข้ามาถึงภายในได้
ถ้าจิตสงบเข้ามาเป็นเอกัคคตารมณ์ สภาวะที่จิตมันปล่อยขันธ์เข้ามา มันจะสื่อกับเทวดาได้ มันสื่อกับสิ่งต่างๆ ได้เพราะอะไร เพราะมันไม่มีมิติ มิติของมนุษย์นี้ ๒๔ ชั่วโมง มิติของเทวดา ของเราเป็น ๑๐๐ ปี เท่ากับเขา ๑ วัน มิติมันต่างกัน มิติของพรหมต่างกัน สิ่งต่างๆ มันต่างกัน มิติต่างกันมันเลยเข้าหากันไม่ได้
แต่เวลาถ้าทำความสงบ มิติของใจ สภาวะที่ว่ามันเป็นสถานะของวัฏฏะ สิ่งนี้สงบตัวลง นี่ใจมันเป็นสภาวะแบบนั้น ขับเคลื่อนไปอย่างนั้น ถึงว่าสิ่งนี้ไม่เคยตาย สิ่งนี้มีอยู่ แต่มันไม่เคยเห็น นี่สำคัญมาก แล้วกิเลสมันปกคลุม ความคิดฝ่ายดีเป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรค เริ่มต้นจากความคิดของเรา ถ้าเรามีความคิด มีความพอใจ เราจะทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดี โลกเขาไม่เห็นรู้เรื่องอะไรกับเราเลย เราทำไปทำไม นี่กิเลสมันแทรกเข้ามา
เราทำคุณงามความดีเพื่อเรา ไม่ใช่เพื่อโลกหรอก หน่วยของสังคมทุกคน ทุกๆ หน่วยดีขึ้น สังคมนั้นดีไปเอง ถ้าเราอยู่กับใจของเรา ถ้าใจของเราดีขึ้นมา ดีของเรา ใจของเรา เขามีความทุกข์ เวลาเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เราไปแบกทุกข์กับเขาไหม มันหน้าที่ของเขาไม่ใช่หน้าที่ของเรา เวลาเราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราก็หนักของเรา แต่เรามีความสุข เราก็เป็นความสุขของเรา ถ้าเราทำความดีของเรา มันก็คือผลงานของเรา สิ่งที่ของเรา ดูใจของเรา ถ้าดูใจของเรา หน่วยของสังคมคือตัวของเรา
เอาชนะตนนี่สำคัญที่สุดเลย มนุษย์เราเกิดมาต้องการมีอำนาจ ต้องการมีความอยากใหญ่ทั้งหมด ความอยากใหญ่มันก็ต้องแผ่อำนาจออกไป สังคมมีปัญหาเพราะต่างคนต่างจะข่มขี่กัน แต่ถ้ามนุษย์ทุกดวงใจเอาชนะตนเองได้ สังคมนั้นไม่ต้องการสิ่งใดเลย จิตดวงนั้นไม่ต้องการข้องแวะกับใคร แต่มันเป็นสภาวธรรมที่ว่ามันเห็นตัวตนของมัน มันเห็นสถานะของมัน เหมือนหมอ หมอเขารู้ถึงวิธีการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ทุกคนจะไปหาหมอให้หมอรักษานั้น ใจนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเห็นสภาวะของการขับเคลื่อนไปของใจ เห็นแขกจรมา คือเห็นในความคิดเกิดดับ เห็นวิธีการจำกัดความคิด เห็นวิธีการทำให้ใจสงบเข้ามาให้เห็นตัวตนของมัน เห็นปัญญาเข้ามาใคร่ครวญในใจดวงนั้น นี่เหมือนหมอ ในเมื่อเขาสามารถทำอย่างนี้ได้ จิตทุกดวงก็ต้องการไปหาหมอใช่ไหม คนไข้ทุกคนต้องการไปหาหมอ คนไข้ทุกคนที่มีความทุกข์ยากก็ต้องไปหาผู้ที่มีอำนาจวาสนาที่จะพึ่งพาอาศัยได้
ผู้ที่เอาชนะตนเองได้ ผู้ที่เอาชนะตนเองได้ ผู้ที่เห็นสภาวะของใจที่มันขับเคลื่อนไปนี่รักษาสิ่งนี้ได้ สิ่งที่ไม่ต้องการมีอำนาจ ไม่ต้องการเบียดเบียนใคร เพราะมันเบียดเบียนใครไม่ได้ เพราะความคิดนี้มันเบียดเบียนตัวเองไม่ได้ ความคิดที่เบียนเบียนตัวเองไม่ได้คือมันคิดสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากไม่ได้ เพราะมันเสวยอารมณ์มันกระเพื่อมในหัวใจ มันรู้ตัวมันเองตลอดเวลา จิตที่กระเพื่อมขึ้นมามันจะเห็นเลยว่าสิ่งนี้เป็นขาวหรือดำ ถ้าสิ่งที่เป็นดำ มันเห็นว่าสิ่งนี้เป็นอกุศล มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะเคลื่อนไปอย่างนั้น ความคิดอย่างนี้มันถึงไม่เบียดเบียนตน สิ่งที่ไม่เบียดเบียนตนแล้วมันจะไปเบียดเบียนใครล่ะ มันจะเบียดเบียนใครไม่ได้ แต่ผู้ที่จะพึ่งอาศัย เขาจะอาศัยสิ่งนี้เข้ามา เพราะมันเป็นสิ่งที่ลึกลับมหัศจรรย์มาก ธรรมนี้ถึงลึกลับไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วไม่สามารถจะสอนใครได้เลย ใครจะรู้สิ่งนี้ได้ สิ่งที่เขารู้กัน เขาต้องสัมผัสกัน เขาต้องเอาสิ่งที่เป็นวัตถุมาให้เห็นกันต่อหน้า แต่อันนี้มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ มันเหมือนนิวเคลียร์ สิ่งที่เป็นนิวเคลียร์ เขาต้องอยู่ในที่ปลอดภัยของเขา จิตนี้ก็เหมือนกัน มันอยู่ในร่างกายนี้ มันอยู่ในความรู้สึกอันนี้ แล้วมันไม่สามารถจะออกมาเป็นรูปธรรมที่ให้ใครเห็นได้ มันถึงเป็นปัจจัตตัง แต่มันพิสูจน์ได้ ไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้นะ
ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ได้ว่าองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ องค์นี้เป็นพระอรหันต์ ทำไมพระพุทธเจ้าพยากรณ์ได้ล่ะ สิ่งนี้พิสูจน์ได้จากผู้ที่รู้จริงเห็นจริง ผู้รู้จริงเห็นจริงจะพิสูจน์ได้ จะไม่มีการขัดแย้งกัน ถ้าขัดแย้งกันต้องมีคนหนึ่งผิด ถ้ามีการโต้แย้งกัน ต้องมีคนหนึ่งเห็นข้อมูลนั้นผิดไป แต่ถ้ามีความลงตัวกันพอดีๆ เป็นปัจจัตตัง นี่ถึงเป็นการพิสูจน์ได้ สิ่งที่พิสูจน์ได้คือหัวใจอันนี้ ถ้าพิสูจน์อันนี้ได้ มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ มันถึงเป็นสิ่งที่มีชีวิต มันถึงต้องสงวนรักษานะ เพชรนิลจินดาเราต้องเก็บไว้ในตู้เซฟ ในสิ่งที่ปลอดภัยนะ แต่หัวใจที่เป็นธรรมอย่างนี้ มันควรจะต้องอยู่ในสถานที่ของมัน มันกระทบ มันเห็นความกระทบกระเทือนไป เหมือนกับของสะอาด แล้วไปวางไว้ นี่ของสกปรก เหมือนกับสิ่งนี้ แล้วมันเห็นแล้วมันสลดสังเวชนะ แล้วมันจะหดตัวไปๆ จนกว่ามันจะไม่ขับเคลื่อนนะ แล้วเราจะไม่มีโอกาสสิ่งนี้เลย
ถึงว่าสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีความเป็นไป สิ่งที่สงวนรักษาต้องสงวนรักษา การสงวนรักษา เราไปสถานที่ไหน ถ้าทางวิทยาศาสตร์ สรรพสิ่งนี้มีค่าเสมอกันทั้งหมด แต่ถ้าเป็นสภาวธรรมนะ มันมีความเคารพ ความให้เกียรติ สิ่งที่การให้เกียรติ
ธรรม คือว่าเราเดินขึ้นไปบนสะพาน สะพานหนึ่งที่ว่าไม่สามารถจะหลีกกันได้ เราสามารถหลบให้เขา อันนี้เป็นบุญแล้ว เป็นบุญคือการให้ทาง การให้ทาง การให้โอกาส ให้ต่างๆ นี้มันเป็นบุญจากเริ่มต้น แล้วถ้าสิ่งที่ว่าควรไม่ควร สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าถ้าใจประเสริฐมันจะเห็นคุณค่าขึ้นมา แต่ถ้าเป็นทางโลกนะ ไม่มีสิ่งใดต่างกัน อะไรก็เสมอกัน เสมอกันจนไม่มีเหตุมีผล เสมอกันจนไร้หลักการ แต่ภราดรภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ใจมันเสมอกันต่างหากล่ะ มันยิ่งเคารพกัน
เวลาครูบาอาจารย์ที่มีธรรมในหัวใจจะเคารพจะบูชากันมาก จะบูชาเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นความละเอียดอ่อน สิ่งที่หาได้ยากมาก แล้วท่านเป็นคนที่ยื่นมือให้เรา ท่านเป็นคนยกให้เรา ท่านเป็นคนชี้ทางให้เรา ทำไมมันจะไม่ซึ้งในหัวใจล่ะ พ่อแม่เราเลี้ยงเรามา เรายังเคารพพ่อแม่เราเลย พ่อแม่เราเคารพมาก ปู่ย่าตายายเคารพมาก ตระกูลของเราเคารพมาก นี้คือศากยบุตรพุทธชิโนรส ทำไมไม่สามารถเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ทำไมไม่สามารถเคารพครูบาอาจารย์ที่ส่งต่อสิ่งนี้มาได้ สิ่งนี้จะเป็นสมบัติของโลกไป แล้วมันจะถึงคราวหนึ่ง เพราะคนเรามันจะเสื่อมไป คือใจมันไม่เชื่อแล้วมันคลายออกไป นี่ศาสนาเสื่อม เสื่อมตรงนี้ แต่สัจจะความจริงอันนี้มีตลอดไป เพราะพระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้อันหน้าต่อไป นี้คือสภาวธรรม นี่สิ่งมีชีวิตที่ควรจะเคารพ เอวัง