เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ก.ย. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต. คลองตาคต อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

เวลาเราเกิดมานี่ทุกคนสงสัยเลยว่าชีวิตนี้มันมายังไง แล้วชีวิตนี้ไปยังไง ทำไมต้องเกิดมา แล้วมาเป็นเราทำไม แล้วเกิดแล้วตายไปจะไปไหนไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สงสัยเรื่องนี้นะ เพราะว่าเวลาท่านออกไปเที่ยวประพาสสวน เห็นไหม นี่ไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายนี่ “เอ๊อะ มีอย่างนี้ด้วยเหรอ มีอย่างนี้ด้วยเหรอ” ถ้ามีอย่างนี้มันต้องมีฝั่งตรงข้ามไง

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอตรัสรู้ธรรมนะ “ธรรม” เพราะเวลา กว่าท่านจะออกค้นคว้านี่ ทุกคนต้องคิดถึงความสุข ทุกคนต้องปรารถนาความสุข ความสุขของเรา ความพอใจของเรา แต่ถ้าเราสละออกอย่างนี้มันก็มีความสุข เพราะเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในพระราชวังก็มีความสุขนะ ความสุขของกษัตริย์ไม่สุขหรือ? สุข มีความสุขในเรื่องของโลกนะ แต่หัวใจทุกข์ทุกคนไง

คนที่มีกิเลสอยู่ ตั้งแต่พระราชามหากษัตริย์จนทุกคนเข็ญใจ จนสัตว์เดรัจฉานมันก็ทุกข์นะ ในหัวใจของสัตว์ทุกดวงมันมีความทุกข์ในหัวใจของมัน มีความทุกข์ ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แต่มันก็หาทางออกไม่ได้ไง เพราะไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกประพฤติปฏิบัติเห็นไหม พอเณรราหุล ราหุลเกิดนี่ไม่กล้าไปมองหน้า

ดูสิพ่อแม่ไม่กล้าเข้าไปมองหน้าลูกเลยไง เพราะถ้าไปเห็นหน้าลูกแล้วหัวใจมันจะติดพันกับลูกแล้วมันจะออกไม่ได้นะ นี่เวลาลูกเกิดแล้ว เขามาส่งข่าวว่าลูกเกิดแล้ว ออกประพฤติปฏิบัติโดยไม่กล้าเข้าไปมองหน้าลูกเลย ออกไปประพฤติปฏิบัติอีก ๖ ปีนี้ ความค้นคว้าอันนี้ พยายามค้นคว้านี้ขึ้นมาให้เห็นธรรมอันนี้ไง

แล้ววางธรรมวินัยไว้ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ศีล ๕ เห็นไหม ไม่ให้ลักไม่ให้ฉกของใครทั้งสิ้น นี่ของทุกอย่างมันมีเจ้าของ เห็นไหม แล้วเวลาพระเราบวชมาแล้ว เห็นไหม ของที่เขาไม่ได้ให้นะ ไม่ใช่ไปลักฉกชิง ไปลักของเขานะ ศีล ๕ คือว่าเราไปลักของเขา นี่ขาดศีล ๕ แต่พระเรานี่ของที่มีเจ้าของอยู่แม้แต่ใบไม้ใบหญ้า เห็นไหม ถ้าใบไม้นี้มีชีวิตอยู่ เราไปทำให้มันพรากหลุดออกจากต้นเป็นอาบัติปาจิตตีย์

แล้วของที่มีเจ้าของอยู่นี่เวลาพระเราไปอยู่ในป่าในเขานะ เวลาไม่มีใครใส่บาตรใส่อะไร มันเจอผลไม้อยู่นี่จะทำยังไงจะฉันผลไม้นั้น เห็นไหม “ให้บังสุกุลเอาไง” ของนี้มาจากธรรมชาติ ของนี้เป็นไปของโลก โลกมีอยู่ เห็นไหม ของทุกอย่างมีเจ้าของ ในเมื่อมีเจ้าของนี่ เจ้าของเขาไม่ได้ให้ พระเอาไม่ได้หรอก ถ้าพระจะเอานะ พระต้องถือบังสุกุลเอานะ เห็นสิ่งนั้นแล้วบังสุกุลสิ่งนั้น นี่ของนี้เป็นของประจำโลก ไม่มีของอะไรที่ไม่มีนะ

ดูสิ แม้แต่สมัยพุทธกาล เห็นไหม นี่ “ปาราชิก” ข้อที่ว่าพระไปเอาไม้เขามา เห็นไหม เวลาราชาเขาจะปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ เห็นไหม นี่คนมีธรรมนะ นี่ของสิ่งต่างๆ หญ้าไม้นี้เราให้กับสมณะไง ให้กับผู้ที่มีศีล เห็นไหม หญ้าน้ำในป่าในเขานี่เป็นของราชา ประเทศไหน ราชาเขาปกครองประเทศไหน เห็นไหม หญ้าน้ำนี่เป็นของราชานั้น ราชานั้นบอกให้กับสมณะผู้ที่มีความละอาย เพราะผู้ที่มีความละอายนี่เขาจะไม่ต้องใช้สิ่งนั้น เพราะสิ่งนั้นมีเจ้าของอยู่ ถ้ามีเจ้าของอยู่นี้ เห็นไหม เขาไม่ได้ให้จะไปหยิบของเขาได้ยังไง ราชานั้นถึงบอกว่า “ถ้าไม้ในป่า น้ำในหนอง น้ำในแม่น้ำให้กับสมณะชีพราหมณ์ที่ประพฤติปฏิบัติ” เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขามีความละอาย เขาเกรงกลัวต่อบาป เขาจะไม่ใช้สิ่งนั้น นี่ราชาปราบดาภิเษก

นี่พระในสมัยพุทธกาลพูดอ้างเล่ห์ไง ไปหาพระเจ้าพิมพิสาร เห็นไหม บอกว่าขอไม้ที่ว่าเขาเก็บไว้ในราชวัง เขาจะมีโรงไม้ของเขาไว้ซ่อมแซมของเขา ไปขอเขามาไง ไปขอเขา คนเฝ้าบอกว่า “ขอไม่ได้หรอกของราชา ต้องขออนุญาตก่อน”

“เขาให้แล้ว” เห็นไหม เอาไปสร้างกุฏินะ พอสร้างกุฏินี่ พออำมาตย์เขาไปตรวจไม้ไง ไม้นั้นขาดไป พอไม้นั้นขาดไปก็เริ่มสืบสวน สืบสวนก็พระนั้นเอาไป จับพระนั้นมา พอพระนั้นมานี้ ถามพระว่าลักของเขาไง แต่พระบอกว่า “ไม่ได้ลัก ราชาเป็นคนให้” ถ้าราชาเป็นคนให้ ถามราชาว่า “ให้นั้นจริงหรือเปล่า” ราชาบอก งานมาก... เพราะการประพฤติปฏิบัติทางโลก เห็นไหม เป็นผู้ปกครองนี้มีธุรกิจมากเลย มีความเป็นไปต้องปกครองนี่ไม่มีเวลา เคยพูดไว้อาจจะลืมไป ถามพระองค์นั้นไง

พระองค์นั้นบอกว่า “ก็จำได้ไหม ตอนปราบดาภิเษกนั่นนะ บอกว่า สิ่งที่ว่าเป็นหญ้าน้ำนี้จะให้แก่สมณะ” นี่พระราชานั้นสะอึกเลยนะ บอกว่า “สิ่งที่พูดนี้พูดเพื่อแต่ผู้ที่มีความละอายไง ถ้าใครมีความละอายนี้ สิ่งนั้นเพื่อให้ผู้ที่มีศีลมีธรรมมีความละอายเขาจะได้กล้าใช้สิ่งนั้น” แต่ไม้แปรรูปแล้ว ไม้เก็บไว้ในโรงไม้นี่ไม่ได้บอกตรงนี้ไง เห็นไหม พระอ้างเล่ห์ไง

แล้วราชาบอกนี้ “ชีวิตนี้รอดพ้นเพราะผ้าเหลือง เพราะผ้ากาสาวพัตร์ ถ้าไม่มีผ้ากาสาวพัตร์ สั่งตัดศีรษะเลย แต่รอดพ้นเพราะผ้ากาสาวพัตร์” เห็นไหม นี่ข่าวนี้เล่าลือไป พอเล่าลือไปนี้ พระเขาไปถาม ไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงถามผู้ที่เป็นอำมาตย์เก่าว่า “ทางโลกเขาประหารชีวิตกันด้วยมูลค่าเท่าไหร่”

“มูลค่า ๕ มาสก เท่ากับ ๑ บาท” เห็นไหม นี่ไม้นี้มีค่าขนาดไหน ถึงปรับอาบัติปาราชิกไง พระเอาของใครค่าเกิน ๑ บาท คือเหรียญ ๕ มาสกนั้น ปรับอาบัติปาราชิก เห็นไหม เพราะเขาประหารชีวิตด้วยสิ่งนั้น แต่นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประหารชีวิตจากพระเลย เห็นไหม ไม่ให้พระทำอย่างนั้น ต้องขาดจากพระเพราะปาราชิก ลักของเขาค่าเกินบาท เห็นไหม

นี่ธรรมวินัยวางไว้สำหรับพระ เข้มงวดสำหรับพระเพราะอะไร พระเป็นผู้มีภัยไง เหมือนคนเป็นโรค เห็นไหม ถ้าเราเป็นโรคเราต้องการยามากเลย ถ้าเราคนไม่เป็นโรคจะไม่สนใจเรื่องยาเลย ธรรมวินัยก็เหมือนกัน ในเมื่อวางไว้สำหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ประพฤติต้องพยายามค้นคว้าสิ่งนี้ไง ค้นคว้าสิ่งนี้เพื่อให้เข้ามาถึงใจของเรา แต่เราเป็นคฤหัสถ์ เราเป็นเรื่องของโลก เห็นไหม ถึงบอกว่าไม่ลักของเขา ศีล ๕ นี้ทำให้จิตใจปกตินะ

ถ้ามี ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม ชีวิตนี้เกิดมาจากไหน ชีวิตนี้เกิดมาเพราะคุณงามความดีของชีวิตนี้สร้างมา มนุษย์สมบัติ ถ้าใครไม่มีศีล ๕ ไม่ได้ทำบุญกุศลไว้พอสมควร จะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์เด็ดขาด ดูอย่างสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ต่างๆ ที่มันเกิดมามันก็มีชีวิต เห็นไหม เพราะมันไม่ได้สร้างคุณงามความดีมาเหมือนเรา หรือสร้างคุณงามความดีเหมือนเรา แต่วาระกรรมของเขาเป็นอย่างนั้น

พระโพธิสัตว์เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นมนุษย์ก็มี เกิดเป็นกษัตริย์ก็มี เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมก็มี เพราะขณะที่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นี้จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมารื้อไข้ของใจ รื้อกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่เป็นโรคที่ทำให้หัวใจทุกข์ร้อนอยู่นี่ไง จะมั่งมีศรีสุข จะมีเงินทองล้นฟ้าขนาดไหน ถ้าหัวใจมันทุกข์มันทุกข์นะ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน จะเงินทองมากขนาดไหน ถ้าใจเป็นธรรม เห็นไหม ถ้าใจเป็นธรรม ใจจะให้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ เห็นไหม

ดูสิ ผู้ปกครอง ถ้าผู้ปกครองเป็นธรรม ไพร่ฟ้าประชาชนจะมีความสุขมาก ถ้าผู้ปกครองไม่เป็นธรรม ประชาชนเขาถึงมารวมตัวกัน ถึงกับขับไล่ออกจากราชธานีก็มี ในพุทธกาลมีมาอย่างนี้ตลอด เพราะเวลาคนที่ว่าทำบุกุศลขึ้นมานี้ มันเกิดวาระ ถึงวาระที่เขาได้บุญกุศล เขาจะเกิดดีมาก แต่นิสัย นิสัยคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม จริตนิสัย การประพฤติปฏิบัติมา

ลูกของเราหลายคนทำไมนิสัยไม่เหมือนกัน นิสัยไม่เหมือนกัน เพราะจิตที่มาเกิด เห็นไหม ชีวิตนี้มาจากไหน? ชีวิตนี้มาจากจิตปฏิสนธิที่มันปฏิสนธิเป็นมนุษย์ขึ้นมา จิตปฏิสนธิเกิด เห็นไหม เกิด ๔ อย่าง เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดเป็นโอปปาติกะ โอปปาติกะคือเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนี่เกิดทันที เกิดเดี๋ยวนั้น ไม่ต้องไปผ่านการเกิดในครรภ์ เกิดในครรภ์นี้จิตนี้ต้องไปปฏิสนธิธรรมชาติอย่างนั้น จิตนี้มีพลังขับเคลื่อนอยู่ต้องไปธรรมชาติอย่างนั้น เห็นไหม นี่สิ่งนี้กรรมขับเคลื่อนไปเพราะสภาวะกรรม

สิ่งที่สภาวะกรรมแต่เวลาเราเกิดมาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พบศาสนา ธรรมและวินัยเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราปรารถนาความสุข เราสละออกมา เห็นไหม ว่าเราคนทุกข์คนเข็ญใจ เราไม่มีอำนาจวาสนาสละเหมือนคนอื่น ไม่ต้องมีเงินก็สละได้ สละกิริยาเป็นบุญกุศล เห็นไหม นั่งสมาธิภาวนานี่สละกิริยาของเรา เราทำบุญกุศลได้ทั้งหมดเลย ถ้าคนรู้จัก คนเห็นธรรมคนเข้าใจเรื่องของธรรม ธรรมนี้ไม่ใช่ต้องมีเงินมากต้องสละ สละสิ่งที่ว่าอวดมั่งมีศรีสุขกัน อย่างนั้นไม่ใช่ แต่ถ้าคนใจเขาเป็นธรรม เขามั่งมีศรีสุขขนาดไหน มันก็เป็นประโยชน์โลก ประโยชน์โลกนะ

ประโยชน์โลกอันนี้มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของสัตว์โลกที่สร้างสมมา เราถึงไม่ต้องไปทุกข์ ไม่ต้องไปเสียใจกับว่าเราไม่มีโอกาสไม่มีวาสนาเหมือนคนอื่น คนอื่นเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราเพราะเราทำของเราได้ไง เราทำของเราได้ เพราะเรามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ถ้ามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกนี้เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่นี้เรามีโอกาส เห็นไหม สิ่งที่มีชีวิตอยู่นี้ดัดแปลงได้ นี่ความคิดของเรานี่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ทิฏฐิมานะของกิเลสตัณหานี้มันไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เพราะมันยึดมั่นถือมั่นของมันไง มันถึงต้องฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ในระหว่างว่าศาสนานี่ใครจะแสดงธรรมขนาดไหน นี่คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น ทั้งนั้นนะ! ทั้งนั้นเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้พุทธวิสัยจะกว้างขวางมาก แสดงขนาดไหนก็ไม่พ้นกว่าปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้หมดหรอก นี่การแสดงธรรมอย่างนี้เพื่อเข้าไปถึง เตือนหัวใจไง ให้เราตื่นนะ คนหลับนี่อาหารกินไม่ได้หรอก ใจหลับ ใจไม่ต้องการ ใจปฏิเสธนะ ถ้าใจปฏิเสธสิ่งนี้เราจะไม่พบความสุขในหัวใจของเราเลย

มันเป็นเรื่องของบุญเรื่องของกุศล เรื่องของสภาวะกรรม มันให้ผลตลอด เราจะปฏิเสธขนาดไหน นรกสวรรค์ไม่มี มีไม่มีใจมันตายไปมันจะไปประสบเอง จะต้องประสบเอง วันนี้ พรุ่งนี้ มีหรือไม่มี ถึงเวลาแล้วมันก็เป็นของมันเอง สภาวะโลกของวัฏฏะมันมีโดยธรรมชาติของมัน แต่จิตนี่สำคัญมหัศจรรย์ มันเกิดมันตายในวัฏฏะสถานะไหน สถานะของมนุษย์นี้มีอำนาจมาก

ดูสิ ดูอย่างบวชนาค บวชนาค เห็นไหม พญานาคยังอยากบวชพระ อยากจะประพฤติปฏิบัติเลย นี่เทวดา อินทร์ พรหม ก็อยากๆ ทั้งนั้นเลย แต่โอกาสขณะที่ว่าเขาเป็นสภาวะแบบนั้น แต่เวลามนุษย์เราเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาด้วย เพราะมีโอกาสประพฤติปฏิบัติด้วย มีโอกาสตักตวงเอาความสุขใส่หัวใจของตัว

ความสุขใส่หัวใจของตัวคือ การสละการทำเป็นไป เห็นไหม บ้านเรือนเราไฟไหม้ ถ้าเราเอาสมบัติของเราออก เห็นไหม ความคิดก็เหมือนกัน ทิฏฐิมานะนี่มันยึดของมันเอง ถ้ามันมีทิฏฐิมานะอะไรมันยึดของมัน เห็นไหม ทำไมไม่สละออกล่ะ เราสละทิฏฐิมานะ สละความเห็นจากภายใน สละสิ่งนี้ออกมันก็สละทานเหมือนกัน

ถ้าสละทานสละความคิดเห็นที่มันผิดไป เห็นไหม แล้วเปิดให้มีความคิดใหม่เข้ามา มีความคิดเข้ามา เห็นไหม ถ้ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ปัญญาจากความดำริชอบ ความเพียรชอบ สิ่งที่เป็นความชอบมันจะเข้ามาตรงนี้ไง ถ้าสิ่งที่เป็นความชอบเข้ามา เห็นไหม มันเข้าไปแก้กับจริตนิสัย ไปแก้กับจิตดวงนั้นนะ ถ้าจิตดวงนั้นใครไม่วิปัสสนามันจะเข้าไปแก้จิตดวงนั้นไม่ได้ นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีมากมายขนาดไหน ถ้าเราปฏิเสธมันเข้ามาไม่ได้ เห็นไหม

เวลาเราไปโรงพยาบาลนี่ถ้าเราปฏิเสธ เห็นไหม ปฏิเสธยาของเขา มันก็รักษาเราไม่ได้ แต่ถ้าเอายานั้นมากินมารักษา ยาของโรงพยาบาลนั้นเป็นส่วนของรักษาร่างกาย ยาที่จะรักษาใจ ธรรมโอสถต้องเกิดขึ้นมาจากเรา สมาธิหาซื้อไม่มี สติหาซื้อไม่ได้ ปัญญายิ่งซื้อไม่ได้ใหญ่เลย เห็นไหม ทางโลกเขาเรียนกันนะ ปัญญาทำไมมันซื้อไม่ได้ เวลาศึกษาวิชาการทำไมซื้อไม่ได้ สิ่งที่ซื้อได้นะเป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาเป็นวิชาชีพของโลกเขา

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติต้องเข้ามาแก้ภายใน แก้ภายในเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนั้นเกิดขึ้นมา เห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา สิ่งที่เป็นปัญญาภายในนี่เราต้องการตัวนี้กัน เราถึงพยายามฝึกตัวนี้กัน แล้ววุฒิภาวะของใจมันจะสูงมันจะต่ำมันอยู่ที่ตรงนี้ไง ตรงนี้จริตนิสัยมันจะต่างกันไป แล้วคนเห็นภัย คนเห็นภัยเขาต้องขวนขวาย ต้องพยายามแสวงหาสิ่งนั้น คนนอนเนื่องคนไม่เห็นภัยมันก็อยู่ตามประสา เห็นไหม ต้องเรียบง่าย ต้องสะดวก ต้องสบาย ตามประสาของใจ คิดว่าอันนั้นเป็นบุญไง

เป็นบุญ! เป็นบุญโดยอามิส สิ่งที่เป็นอามิส คือสถานะของภพของชาติ ของอย่างนี้เป็นอามิสทั้งหมด สิ่งที่เป็นปรมัตถ์ สิ่งที่เป็นบุญกุศลโดยเนื้อหาสาระของมันเอง คือใจที่เป็นนามธรรมมีความสุขตลอดไป สิ่งนั้นมีตลอดไป จะไม่กลับมาอย่างนี้อีกเลย ด้วยการชำระไง

นี่เริ่มจากศีล เห็นไหม โลกนี้ไม่มีอะไร ไม่มีเจ้าของ เราก็เป็นเจ้าของชีวิตของเรา เราเป็นเจ้าของชีวิตนะ คนเรานะเป็นเจ้าของชีวิต แล้วเราพยายามเอาชีวิตของเรานี่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาเพื่อทำชีวิตเราให้สะอาด ทำชีวิตของเราให้บริสุทธิ์ ความสะอาดความบริสุทธิ์เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติของเรา

อกาลิโกไม่มีกาล ไม่มีเวลา ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูความทุกข์ในหัวใจของเรา เวลาเราทุกข์นี่เราต้องเรียกร้องความเป็นธรรม เห็นไหม เวลามีความสุขทำไมเราไม่เรียกร้องเขามาดูความสุขของเราล่ะ อกาลิโก เห็นไหม ไม่มีกาล ไม่มีเวลา แล้วก็โอปนยิโกเรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เราก็เรียกร้องความคิดของเรานี้ให้รักตัวเอง ถ้าเราเรียกร้องความคิดของเราให้รักตัวเอง เราจะควบคุมตัวเราเองได้ ถ้าเราควบคุมตัวเราเองได้ เราจะประพฤติปฏิบัติ ไม่น้อยเนื้อต่ำใจว่าเราเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจเราทำอะไรก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้

มีหัวใจเท่ากัน คนรวยมหาศาลก็มีหัวใจดวงเดียว คนจนคนทุกข์จนเข็ญใจก็มีหัวใจดวงเดียว หัวใจดวงเดียวหัวใจดวงนี้มหัศจรรย์มาก หัวใจดวงนี้เป็นที่รับความสุขและความทุกข์ แล้วหัวใจดวงนี้มันสร้างปัญญาของมันเอง มันสร้างสมาธิสร้างปัญญาของมัน แล้วมันเข้าไปชำระให้เป็นธรรมโอสถเข้าไปชำระใจของมันเอง แล้วใจดวงนี้สะอาดบริสุทธิ์ได้ทุกดวงใจ ถ้ามีดวงใจนี่คือเสมอภาคไง

คนเราเกิดมาเสมอภาคด้วยชีวิต มีดวงใจมีร่างกายเหมือนกัน แต่อามิสสิ่งที่ประดับร่างกายจะมีมากมีน้อยนั้นเป็นเรื่องของโลกเขา ถ้าเราจับประเด็นตรงนี้ได้เราจะไม่ทุกข์ทนเสียใจเลย เราจะไม่เสียใจชีวิตของเราเลย ชีวิตเรามีคุณค่ามากเลยเพราะเรามีหัวใจ หัวใจนี้เป็นสมบัติกับธรรม หัวใจนี้พยายามพลิกกลับมาแล้วจะได้บุญกุศลของเราพ้นจากความทุกข์ได้ เห็นไหม นี่ไม่มีสิ่งใดฟรี เห็นไหม

ศีล สมาธิ ปัญญา เรานี่ฆ่า เห็นไหม เขาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกัน ปาณาติปาตา ศีลขาด เห็นไหม เราฆ่าโอกาสของเรา เราฆ่าเวลาของเรา เวลาที่เป็นประโยชน์นี้เราปล่อยผัดวันประกันพรุ่งไปนี่ นี่เราฆ่าโอกาสของเรา ฆ่าเวลาของเรา นี้คืออาบัติอะไร ถามตัวเองว่า “นี้คืออาบัติอะไร?” อาบัติที่ทำให้สัตว์มันตายไปมันยังเป็นอาบัติเลย แล้วเราทำลายโอกาสเป็นอาบัติอะไร นี่เตือนใจเข้ามา แล้วมันจะย้อนกลับเข้ามา ให้ว่าเราเป็นเจ้าของชีวิต มีคุณค่าชีวิต เอาชีวิตนี้ให้พ้นให้ได้

เกิดมาเจอสภาวธรรม นี่ธรรมวินัยเป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นเข็มทิศชี้ดำเนิน เราพยายามก้าวเดินตามนั้น ให้แต่หัวใจที่แต่ละดวงในหัวใจนี้ให้สัมผัสกับธรรม เห็นไหม เป็นปัตจัตตัง สัมผัส ๆ ๆ เลย สัมผัสสมาธิ สัมผัสสติ สัมผัสปัญญา แล้วสัมผัสการปล่อยวาง เห็นสภาวะปล่อยวาง สัมผัส ๆ ๆ ตลอดไป จนถึงที่สุด เห็นไหม เป็นธรรมส่วนบุคคล

อกาลิโก เห็นไหม อกาไม่มีกาล ไม่มีเวลา แล้วก็เป็น อกุปป คือ ไม่เสื่อมอีกต่างหาก ถ้าใจถึงจุดหมายปลายทางมันจะเป็นอย่างนั้น นี่ความมหัศจรรย์ของใจมีเจ้าของ สัตว์ที่มีเจ้าของ เราเป็นเจ้าของตัวเองทำไมไม่รักตัวเอง เวลาบอกรักใครก็รักเรา ๆ ๆ เราจนรักเราไหม ถ้ารักเรานี่เราจะมีโอกาสอย่างนี้ไหม

เจ้าชายสิทธัตถะค้นคว้ามาจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ววางไว้ แล้วเป็นอำนาจวาสนาของเรามากเลยที่เรามาชน แล้วเรามาเจออย่างนี้ แล้วเราปฏิเสธ เราไม่รับนี้ โอ้โห อำนาจของเราเอง เราปฏิเสธอำนาจวาสนาของเราเอง ต้องคิดถึงตัวเราเองนะ ถ้าเราเป็นตัวเองนะ รักตัวเองต้องรักตรงนี้ แล้วจะเป็นประโยชน์กับตัวเราเองทุกๆ คน เอวัง