ความเห็นต่าง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เมื่อวานมีโยมมาเยอะ แล้วเขามาคุยกับเรา เขาถามว่าทำไมหลวงพ่อมีความเห็นแตกต่างกับคนอื่นมหาศาลเลย เขาถามอย่างนี้เลยนะ ว่าทำไมเรามีความเห็นแตกต่างจากคนอื่นมาก แล้วมีอะไรไม่เหมือนใครเลย เราบอกโยมเข้าใจผิด โยมนี่เข้าใจผิด เราไม่มีความเห็นแตกต่างจากคนอื่น เรามีความเห็นตามความเป็นจริง แต่สิ่งที่ออกมาข้างนอกนี่ ความเห็นที่แตกต่าง ความเห็นที่ทางโลกนี่มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นธรรมะของโลกๆ มันไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า
ธรรมะของพระพุทธเจ้า เราอยู่วงใน เวลาหลวงปู่มั่น ท่านเทศน์ ท่านบอก ท่านเทศน์แต่เหตุ ไปดูในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกไม่เคยอธิบายนิพพานไว้ตรงไหน พระไตรปิฎกไม่เคยเอานิพพาน โสดาบัน สกิทา อนาคา หรือผลของพระอรหันต์อยู่ตรงไหนเลย พระไตรปิฎกบอกแต่เหตุ การกระทำทั้งนั้น พระไตรปิฎกไม่เคยบอกผล เพราะผลของมัน ธรรมเหนือโลก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมเหนือโลก
ธรรมกับโลกไม่ใช่อันเดียวกัน เราอยู่กับโลกนี่มืดกับสว่าง แต่อยู่กับทางธรรม คืออายุที่ได้มา คือกาลเวลาที่เสียไป สิ่งที่มันเป็นอนิจจังในตัวของมันเอง มันกินตัวมันเองตลอดเวลา ในตัวมันเองกินตัวมันเอง แต่ในทางโลกคือสถิติ ใครมีอายุมาก ใครมีสมบัติมาก จดตัวเลขมาก คนนั้นเป็นคนร่ำรวย แต่ในทางธรรม หัวใจที่กว้างขวางมาก หัวใจที่เปิดกว้างมาก หัวใจที่มีคุณธรรมมาก อันนั้นเป็นธรรม
เราไม่เคยเห็นแตกต่างจากธรรม แต่เราเห็นแตกต่างจากโลก ดังนั้นสิ่งที่เขาแสดงออกกันอยู่นี้ มันจึงเป็นธรรมะทางโลกๆ ถ้าธรรมะทางโลกๆ มันเรื่องการขัดแย้ง มันขัดแย้งกันเด็ดขาด แล้วเวลาพูดถึงธรรมะทางโลกนี่ ทำไมจะต้องให้เห็นเหมือนกันล่ะ ต้องให้เห็นเหมือนกัน ไม่เหมือนกันมีความขัดแย้ง ถ้ามีความขัดแย้ง ธรรมะกลัวอะไร ธรรมะกลัวใคร ธรรมะต้องกล้าพิสูจน์ ธรรมะต้องพิสูจน์ได้ ทองคำทองแท้ไม่กลัวไฟ ยิ่งเผายิ่งดี เผาเข้ามา ขอให้เผาเข้ามา ยิ่งเผาทองมันยิ่งสุก ธรรมะแท้ๆ ก็เหมือนกัน เหตุผลมันแก้ไขได้ทั้งหมด
มีแต่ธรรมทางโลก ธรรมจอมปลอม ธรรมจอมปลอมนะต้องหาหมู่คณะ หาการ์ด เรดการ์ดไง กองทัพแดงไง คอยป้องกันไว้ ใครเข้ามาแตะต้องไม่ได้ หลวงปู่มั่นท่านเป็นอย่างนั้นไหม ท่านท้าทายด้วยนะเวลาอยู่วงการพระนี่ ขอให้ปฏิบัติมาๆ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ จิตนี่มันแก้ยาก ผู้เฒ่านี่จะแก้ ใครมีปัญหาให้บอกมา ใครมีปัญหาให้บอกมา
แต่นี่ไม่อย่างนั้น เวลาปัญหาเข้าไปนี่ชิ่งปัญหาหนีเลย อันนี้มันลองของ อันนี้มันไม่จริง ลองของไม่ลองของ อ้าปากพูดก็รู้แล้ว คนที่มาถามธรรมะ พอพูดขึ้นมานี่ธรรมะอะไร ไอ้นี่มันความเห็นของโลก ยิ่งเวลาเดี๋ยวนี้เก่งมากนะในเว็บไซต์นี่ไปดูสิ โอ้โฮ มีนักปราชญ์ทั้งนั้นเลย ทำไมจะไม่นักปราชญ์ล่ะ ก็ตำรามันเยอะแยะ อ่านตำราแล้วเอาตำรามาเถียงกัน มันจะมีประโยชน์อะไร มันไม่ได้ออกมาจากหัวใจเลย
ถ้ามันออกมาจากหัวใจนะ มันพูดออกมาจากความเห็นของตัว ดูสิ ดูธรรมะป่าสิ ดูธรรมะของครูบาอาจารย์เราสิ แล้วพูดออกมานี่ พูดออกมานี่มันเหมือนในตำราไหม ไม่เหมือนในตำราเลย ตำราเป็นตำรานะ ตำรามันเป็นเครื่องชี้ทางเหมือนทฤษฎีนี่ ทฤษฎีอย่างหนึ่งนะ เวลาเราไปทำงานขึ้นมาประสบความสำเร็จ มันคนละเรื่องเดียวกันเลย คนละเรื่องเดียวกันเลย แต่ถ้ามึงเดินตามตำรานะ เดินตามช่องทางนะ มึงไปไม่รอดหรอก กิเลสมันเสี้ยมตลอดเลย อย่างเช่นเราทำงานนี่ เราทำงานตามระบบ ไปไม่รอดหรอก ทำงานมันติดขัดหมดล่ะ ไม่ได้หยอดน้ำมัน ไม่ลงใต้โต๊ะ มึงไปไม่รอด มันจะมีการขัดขวาง กิเลสก็เหมือนกัน กิเลสของเรานี่แหละ อ้างธรรมะ แล้วทำลายเราเอง กิเลสเรานี่
ดูปัจจุบันนี้สิ ชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ทุกคนปล่อยวางหมดแล้ว ทุกคนเป็นคนดีหมดเลย อู้ เราก็เป็นคนดีทำไมต้องไปวัด ไอ้คนที่ไปวัดเป็นคนที่มีปัญหาทั้งนั้นล่ะ ไอ้เราอยู่บ้านสบายๆ เห็นไหม มันเอาธรรมะมาอ้าง บอกมันว่าง มันว่างเพราะ คำว่ามันว่าง มันคือเรา ว่างคือข้างนอก ตัวเองไม่ว่างนะ มันว่าง ความว่างอยู่บนอากาศนู้น ตัวกูทุกข์ฉิบหายเลย แต่เวลาจะไปวัดนะกูว่าง แต่เวลาไม่มีใครอยู่นะนั่งคอตก เวลาอยู่ด้วยตัวคนเดียวนั่งคอตกเลย แต่บอกจะไปวัด กูว่างแล้ว ความว่าง นี่ไงความว่างอันนั้นเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ในหัวใจเราทุกข์ร้อน เราทุกข์ร้อน
แล้วเวลาพูดขึ้นมานี่ ธรรมะเวลาพูดมานี่ โอ้โฮ แจ้วๆๆ เลยนะ เราพูดบ่อยเวลาเขามานี่มหาบัณฑิต วันนั้นมาด็อกเตอร์ทั้งนั้นเลย เขาบอกว่านี่เขารู้หมดล่ะ เขาบอกเขาด็อกเตอร์ เขาจบจากมหาจุฬาฯ ด็อกเตอร์ทั้งนั้นเลย เราบอกเลยนะ นกแก้วนกขุนทอง เวลาเขาให้กล้วยมัน เขาบอกให้มันเรียกแม่จ๋า แม่จ๋า เราบอกว่านกขุนทองนี่มันนึกว่าแม่จ๋าคือกล้วยนะ มันไม่นึกว่าแม่จ๋าคือเราหรอก เพราะมันแม่จ๋าแล้วมันได้กล้วย แม่จ๋าก็ได้กินกล้วย พอเอากล้วยมามันเรียกแม่จ๋าๆ เลย แต่แม่จ๋าคืออะไร นี่ก็เหมือนกันเราไปศึกษาทฤษฎี เราศึกษา กิเลสของเรา เราศึกษา กิเลสมันไม่ได้ศึกษาด้วย เราศึกษาเราศึกษาธรรมนั้นมา เรารู้หมด
ฉะนั้นในเว็บไซต์ที่โต้เถียงกัน เป็นอย่างนั้นหมดเลย โอ้ย เมื่อก่อนนะเป็นคนขี้โกรธ เมื่อก่อนเป็นคนที่โมโหร้าย เมื่อก่อนเป็นคนที่ติดเหล้าเมายา เดี๋ยวนี้หายหมดเลย ปฏิบัติธรรมดีมากเลย พูดกันแค่นี้ อ้าว เราพูดถึงเมื่อก่อน เราขี้โมโหมากเลย เดี๋ยวนี้ไม่โมโห อ้าว เดี๋ยวเราลองแหย่สิ เราไม่โมโหนะ เราเป็นคนดีมากเลย แหย่มาเราก็กดเราไม่โมโห แล้วทำไมเราไม่โมโห เพราะอะไร เพราะกูจะไม่โมโหไง แต่เผลอนะโมโหทันทีเลย อ้าวลองแหย่ดูสิเราจะไม่โมโหนะ ใครมาแหย่เราเอาปืนยิงยังไม่โมโหเลย เพราะเราตั้งใจว่าเราจะไม่โมโห แต่เผลอไม่ได้เผลอโมโห แล้วโมโหแล้วไม่รู้ตัวด้วย ขณะที่มันหลุดออกไปนี่ไม่รู้ตัว แต่พอตั้งสติได้นี่ โอ้โฮ รักษาอย่างดีเลย แต่พอหลุดไปแล้วเต็มที่เลย
แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ไอ้เรื่องกิริยาท่าทาง มันเรื่องของข้างนอก เรานี่พูดบ่อยมาก พวกเรานี่ไม่เคยเจอหลวงปู่มั่น แล้วเราก็อยากจะพบหลวงปู่มั่นมาก ว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ที่มีเมตตามาก แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านบอกเลยนะ อยู่กับหลวงปู่มั่นนี่ขยับไม่ได้เลย แม้แต่คิด หลวงปู่มั่นยังรู้ทันเลย หลวงปู่มั่นจิ้มเอาเลย ไปอยู่กับหลวงปู่มั่นนี่เกร็งไปหมดเลย นี่เห็นไหม นี่เหมือนกันบอกพระพุทธเจ้า นี่พระพุทธเจ้าต้องเรียบร้อย พระพุทธเจ้าต้องสุดยอดเลย พระพุทธเจ้านะ เวลาลูกศิษย์ของพระสารีบุตร ลูกศิษย์พระสารีบุตรจะมากราบพระพุทธเจ้า นี่มากลางคืน พอมาถึงก็ออกมาจัดที่ จัดที่กันเสียงมันดัง เสียงมันดังมาก ตอนนั้นพระนาคิตะเป็นคนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าถามว่า นาคิตะนั้นพวกใคร เข้ามาในวัดเสียงดังเหมือนชาวประมงเขาหาปลากัน พระนาคิตะบอกว่าเป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร จะมากราบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า นาคิตะไล่ออกไป ไล่ออกไป ไม่เหมือนสมณะ เหมือนกับชาวประมงเขามาหาปลากัน
นี่พระพุทธเจ้าไล่ออกจากวัดเลยนะ ไล่ออกไปเลย นี่ไง นี่เราเข้าใจกันเองไงว่าพระอรหันต์นะ โอ้โฮ ต้องเป็นผ้าพับไว้เลยนะ ขยับไม่ได้เลย ผ้าพับไว้ไม่ได้ใช้นะ เราจะใช้นะ เราต้องมานุ่งมาห่มนะ ผ้าไม่เรียบหรอก ไอ้ผ้าพับไว้คือผ้าที่ไม่ได้ใช้ ไอ้ผ้าที่เอาห่มมานุ่งกันยับหมดล่ะ กิริยาท่าทางที่ออกไปมันเป็นกิริยาเฉยๆ แต่กิริยาดีหรือกิริยาชั่ว ถ้ากิริยาที่มันดี มันเป็นประโยชน์ไง แต่เราคิดกันเองไงว่า พระอริยบุคคล พระอริยเจ้านี่ อู้ฮู ต้องเหมือนพระพุทธรูปเลยนะ ห้ามขยับไม่ได้เลย เอ็งก็ไหว้พระพุทธรูปสิ ทองเหลืองน่ะ คนเรามันวัดกันที่ความรู้สึก มันวัดกันที่ผลออกมาจากใจ
ครูบาอาจารย์ของเรานะ โธ่ หลวงปู่มั่นนะ เวลาเราศึกษาชีวิตของหลวงปู่ ศึกษาแล้วมันสะเทือนใจมาก คิดดูมนุษย์คนหนึ่ง ออกมาขวนขวายหาธรรมะ พยายามขวนขวาย ค้นคว้าศึกษาพยายาม มีการต่อต้านจากฝ่ายปกครอง มีการกระทำต่างๆ ทำกลับมาได้แล้ว ศึกษามาได้แล้ว เป็นห่วงเป็นใยมาก ว่าสมบัติอันนี้มันจะสืบต่อไปได้อย่างไร แล้วเวลาวางวัตรปฏิบัติไว้เห็นไหม เวลาสงสัยเรื่องห่มผ้าสีไหน เข้าเลยนะ เวลาเข้าสมาธิ พอจิตมันสงบระดับหนึ่งเห็นไหม
ถามเลยสมัยพุทธกาลนี่ผ้าห่มสีอะไร แล้วพยายามวางหลักไว้ แล้วเวลาลูกศิษย์ไปฝึกฝนมาเห็นไหม ฝึกฝนมาเนี่ย หลวงตาท่านเป็นหัวหน้าเอง ท่านพูดเอง มหา พรรษามากแล้วไม่ต้องขึ้นมา ให้คุมอยู่ห่างๆ ให้พระเด็กๆ มันขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวมันไป มันจะได้มีประสบการณ์ในชีวิต ที่การดำรงชีวิตแบบพระติดความรู้สึกที่เราเคยไปสัมผัสมา ได้มีข้อวัตรติดหัวมันไป เพื่ออนุชนรุ่นหลัง
เหมือนพระกัสสปะ พระกัสสปะเห็นไหม นี่มีพรรษาเท่าพระพุทธเจ้าอายุ ๘๐ เท่ากัน ถือธุดงควัตร ผ้าสังฆาฯนี่ปะถึง ๗ ชั้น กัสสปะเธอก็เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา พระพุทธเจ้าพูดเอง กัสสปะเธอก็เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา เธอสิ้นกิเลสแล้ว แล้วทำไมต้องถือธุดงค์อีก ข้าพเจ้าถือเพื่อให้อนุชนรุ่นหลัง เขาได้เป็นคติแบบอย่าง ได้มีแนวทางประพฤติปฏิบัติ ตัวเองเป็นพระอรหันต์นะ แต่มันห่วงอนุชนรุ่นหลัง ห่วงวางรากฐานไว้
เวลาศึกษาชีวิต แต่เวลาเข้าไปใกล้ๆ นะ เข้าไปใกล้ๆ นะ โดนทุกคน เข้าไปเพราะอะไร เราเข้าไปเพราะเราพลั้งเผลอ เวลาพลั้งเผลอนี่ ครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ เหมือนซากศพเดินได้ คนขาดสติ ร่างกายนี่เหมือนศพ มันไม่มีสติควบคุม เหมือนซากศพเดินไปเองโดยไม่มีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญาเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด ท่านจะเตือนตรงนี้ไง การย่าง การเหยียด การคู้ ต้องมีสติ การทำอะไรต้องมีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติ สติโลกๆ นะ สติ มหาสติ สติอัตโนมัติ สติเป็นสติ สติเป็นปัญญาญาณ มันจะละเอียดลึกซึ้งเข้ามา
คนที่ปฏิบัติมามันเห็นอย่างนั้น เหมือนเรานี่ทำงานๆ เห็นไหม แบงก์บาท แบงก์สิบ แบงก์ร้อยเห็นไหม แบงก์พัน แบงก์เหมือนกันแต่คุณค่ามันต่างกันนะ สติก็เหมือนกัน สติแบบเด็กๆ ดูมันเล่นกันสิ มันเล่นกันนี่มันมีสติมันฉลาดกว่าเขา ดูเด็กมันเล่นกันนะ เด็กบางคนมันสอนเพื่อนมัน มันทำ ดูเชาว์ปัญญา ดูสติของเด็ก ดูปัญญาของเด็ก
แล้วปัญญาของผู้ใหญ่ล่ะ ปัญญาของพวกเราล่ะ ปัญญาของพวกเรา มีที่บอกว่าเราเห็นผิด เขาถามเมื่อวาน ถามแล้ว แหม มาคิดเลยนะ เราบอกว่าไม่หรอก เราจะบอกว่าพวกโยมนะ มันเข้าไม่ถึงวงในของพระหรอก วงในของพระนี่นะ ถ้ามุมมองที่เห็นกันอย่างเช่น หลวงปู่มั่นนะ เจ้าคุณจูมธรรมเจดีย์เห็นไหม เอาหลวงตากับหลวงปู่ขาวคุยกัน หลวงตาขึ้นไปหาหลวงปู่แหวนนี่ วงในเราคุยกัน พอคุยกันแล้วมันจะรู้ว่า วุฒิภาวะของคนมันแค่ไหน ถ้าวุฒิภาวะของคน มันไม่ถึง มันไม่รู้หรอก มันไม่รู้ถึงความรู้สึกอันนั้น มันพูดถึงเทคนิคอันนั้นผิด เทคนิคอันนั้นนะพูดไม่ถูกหรอก
แต่ปัจจุบันนี้ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการไว้เยอะ พวกนี้มันได้ยินมา พอได้ยินมานี่เชาว์ปัญญามันมี พอปัญญามีมันพูดถูกต้องนะ นี้มันพูดถูกต้อง เราก็ว่ามันถูกใช่ไหม พูดถูกก็เหมือนเราซื้อเทคโนโลยีเข้ามา เหมือนกันล่ะ แต่เราซ่อมไม่เป็น เราใช้ไม่เป็นนะ นี่ก็เหมือนกัน มันพูดถูกนะ แต่ลองถามวิธีปฏิบัติมันสิ ถามวิธีปฏิบัติ เหตุที่จะมาเป็นผลอย่างนี้ นี่มาจากไหน เหตุอันนั้นพูดไม่เป็น เมื่อก่อนนะพูดถูกต้อง เขาไม่รู้เขาจะพูดไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้จำคำพูดมาพูด พอจำคำพูดมาพูด มันจินตมยปัญญานะเห็นไหม จำคำพูดนั้นมา จำผลอันนั้นมา เหตุเราก็หากันเอาเอง เราหาเหตุของเราเอง แล้วนี่พอหาเหตุเอง นี่เราหาเหตุกันเอง เราก็หาเหตุได้เพราะเราหากันเอง
แต่ถ้าหาเองนี่นะ คำว่าหาเองเห็นไหม เราถึงบอกว่ามรรคผลของเขา ที่ไม่เห็นความจริง มรรคผลเขาไม่เหมือนกัน ถ้ามรรคผลไม่เหมือนกันนะ เดี๋ยวเวลามีปัญหาเขาจะขัดแย้งกัน แต่ถ้าเป็นธรรมนะ โสดาบันคือโสดาบัน สกิทาคือสกิทา อนาคาคืออนาคา อันเดียวกัน สังโยชน์ขาดอย่างไร สักกายทิฏฐินี่ละอย่างไร ละสักกายทิฏฐินะ ละอย่างไร ไม่ต้อง มันละเอง มันอัตโนมัติ มันปล่อยเอง มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ถ้ามันเป้นสิ่งที่เป็นไปได้เห็นไหม นี่ที่เราพูดเรื่องสติปัฏฐาน ๔ นี่ เราถึงว่ามันปลอมๆ เพราะอะไร นี่ที่ว่าพูดเหมือนกัน แต่มันปลอมๆ เพราะกิเลสไง ปลอมเพราะใจเราปลอมไง ปลอมเพราะจิตเราไม่บริสุทธิ์ไง จิตเราไม่เป็นกลาง จิตเราไม่เป็นสัมมาสมาธิ คิดอย่างไรทำอย่างไร มันไม่ใช่สติปัฏฐาน ๔ ค่าของสติปัฏฐาน ๔ คือถ้ามันเป็นสติปัฏฐาน ๔ จริงนี่มันจะปล่อยวางได้จริง
ถ้าปล่อยวางได้จริง ดูสิ ดูอย่างที่เขาพูดนะอย่างเทวดานี่ เขาถามว่าเทวดาทำไมไม่ศึกษากับมนุษย์ล่ะ มนุษย์มันอยู่ในหลุมขี้ หลุมขี้ ความโลภ ความโกรธ ความหลงไง อ้าว ในส้วมเห็นไหม มันมีหนอน เราจะเอามือไปคว้าไหม เราก็ต้องใช้วัสดุอะไรเข้าไปตักเอาใช่ไหม เราจะเอาหนอนขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน คนที่เขาจะมาสื่อกับเรานี่ เขาจะมาอย่างไร นี่พูดถึงพวกเทวดา พวกเทวดาเห็นไหม เขาไม่ลงมาเกลือกกลั้วไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันเป็นโสดาบัน มันเป็นอย่างไร ความต่างมันต่างอย่างไร ไอ้นี่บอกว่ามันเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาเห็นไหม มันเป็นธรรมดา หรือว่ามันเป็นโดยธรรมชาติของมัน อ้าวก็เป็นสิ คนเราพอเกิดตายนี่ เราจะเป็นเทวดา เราเป็นคนทำความดีไว้มากเลย แล้วเราคุมใจเราดีมาก พอเราตายตูมนี่เป็นเทวดาทันทีเลย เป็นเทวดาเพราะอะไร เพราะเหตุมันมีใช่ไหม เหตุนี่มันขับเคลื่อนไป เหตุผลมันมี เหมือนเขาเรียกอิทัปปัจจยตาเห็นไหม เหตุนี้มีมันถึงมีเหตุนี้ ถ้าธรรมมันเป็นธรรมชาติของมัน แล้วพอมันบอกว่าจิตนี้เวลาธรรมมันเป็นโสดาบัน สกิทา นี่มันเป็นไปเอง มันเป็นตามธรรมชาติ มันเป็นโดยอัตโนมัติ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ขณะจิตมันไม่เป็น มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
เพราะในเทวดานี่มันมีเทวดาปุถุชนกับเทวดาพระอริยเจ้า แล้วในพรหมก็เหมือนกัน มันมีพรหมธรรมดา กับพรหมพระอริยเจ้า ขนาดเป็นพรหมนะ ไอ้เรื่องเกิดตายนี่มันเป็นผลของวัฏฏะ แต่ไอ้เรื่องอริยสัจ ไอ้เรื่องการกระทำนี่ ไม่ใช่ผลของวัฏฏะ ถ้ามันเป็นผลของวัฏฏะเรานั่งอยู่เฉยๆ นี่ เราเป็นพระอรหันต์หมดล่ะ เรานั่งอยู่เฉยๆนี่ ปล่อยเฉยๆ ปล่อยว่างๆๆ นี้เราเป็นพระอรหันต์หมดล่ะ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้นะ ฤาษีชีไพรก็เป็นไปแล้วใช่ไหม ฤาษีเขาก็ทำความว่างเหมือนกัน นี่ทุกอย่างมีความว่างเหมือนกัน ความว่างสิ่งต่างๆ มันไม่ใช่ผลหรอก แต่ความว่างของเขามันเป็นว่างแบบ...
ดูสิพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอดอาหารเห็นไหม อดอาหาร ๔๙ วันพระพุทธเจ้าอดอาหารแล้วได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้อะไรเลย เพราะตอนนั้นมันยังไม่มีธรรมะ เพราะยังไม่มีธรรมะปั๊บก็นึกว่าการอดนั้นคือการต่อสู้ การอดอาหารคือการกด การอดอาหารเห็นไหม คนเราเกิดมาเพราะมีเราถึงมีทุกข์ กลั้นลมหายใจ ไม่หายใจเลยนะ จะแก้ความทุกข์เห็นไหม เพราะยังไม่มีธรรมะ นี่ไงมันเป็นไปโดยสิ่งนี้มีถึงมีสิ่งนั้น เหตุมันสืบต่อกันไป
แต่ขณะที่มันเป็นโสดาบัน ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนั้น นี่ไงที่ความเห็นต่าง ความเห็นต่างนี่ แล้วมาบอกว่าเรามีความเห็นต่าง เราจะบอกเลยว่า เราไม่มีความเห็นต่างเลยกับธรรมะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเวลาครูบาอาจารย์ หลวงตานี่ เวลาท่านไปฟังมหาเขียน หลวงปู่เขียน ท่านไปฟังท่านรู้เลยเป็น ไม่เป็น เป็นหรือไม่เป็น นี่ตอนพูดมันบอกหมด ตอนพูดมันบอกเอง มันมีขั้นตอนของมัน เราบอกว่าถ้าคนไม่เป็นพูด พูดอย่างไรก็ไม่เป็น จำพูดขนาดไหนพูดก็ผิดหมด ถ้าคนเป็นนะแกล้งพูดให้ผิดนะ มันก็ถูก คนเป็นนี่แกล้งพูดให้ผิดๆ ไปนี่มันก็ถูก ไอ้คนไม่เป็นนะ มันพยายามพูดให้ถูกอย่างไรมันก็ผิด มันผิดเพราะมันไม่รู้ตรงนี้ มันไม่รู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นมาบอกว่าเราเห็นต่าง ถ้ามันผิดเราเห็นต่างแน่นอน
เราเห็นต่าง ความเห็นต่างของเรานี่ เพราะเราไม่ต้องการให้พวกเรานี่ ปฏิบัติแล้วสูญเปล่า การปฏิบัติของเรานี่ เวลาปฏิบัติเพื่อความว่างๆๆๆ แล้วมันสูญเปล่า สูญเปล่าเพราะอะไร เพราะมันไม่ได้สิ่งใดเป็นผลมา แต่ถ้าเราปฏิบัตินะ อย่างเช่น โยมปฏิบัตินะที่ว่าปฏิบัติไปแล้วจิตมันสงบไปเห็นกายเห็นต่างๆ แล้วน้ำตาไหลพราก นี่อารมณ์อย่างนั้นมันเห็นต่างไหม อารมณ์อย่างนั้น อารมณ์ที่เรารู้เราเห็น กับอารมณ์ธรรมดา ความรู้สึก มันต่างกันไหม นั้นไง นั่นล่ะธรรมะ ไม่อย่างนั้นครูบาอาจารย์ของเราจะไม่บอกว่าธรรมกับโลกไม่ใช่อันเดียวกัน ธรรมะเหนือโลก ธรรมของเรานี่โลกุตรธรรม
โลกียธรรม ธรรมของพวกเรานี่ ธรรมใต้โลก ใต้โลกคือใต้ทิฏฐิมานะ ใต้โลกทัศน์ ใต้ความเห็น ใต้ของเรา ความเห็นเราคือมาร คือทิฏฐิมานะของเรา แล้วตรึกในธรรม ธรรมะเลยยอมจำนนกับโลก ยอมจำนนกับทิฏฐิมานะของเรา แต่พอจิตเราสงบขึ้นมาเห็นไหม ทิฏฐิมานะมันจะเบาลง มานะตัวตนนี่แหละทำให้จิตลงสมาธิไม่ได้ ทุกคนว่าตัวเองดี ตัวเองเก่ง ตัวเองมีความสามารถมาก ไอ้ด้วยความสามารถของเรานี่เองแท้ๆ นี่แหล่ะ มันไพล่ไปปิดกลั้นให้ตัวมันเองสงบได้ แล้วก็พุทโธๆๆๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่ โดยปัญญาของมัน ทำให้ตรงนี้ ไอ้ตัวตนของเรานี่ สมาธิคือตัวตนของเรานี่ ไม่มีนะ เพราะเป็นสมาธินี่ ใครเป็นสมาธินะ เอ๊อะ คนเป็นสมาธิจะถาม เอ๊อะ เอ๊อะ มันพูดแทบไม่ได้เลย แต่รู้จริง
แต่ไอ้ที่ว่าแจ้วๆ ว่างๆ ว่างๆ นะ ความว่าง อารมณ์ความรู้สึกเราให้คิดมันว่าง แล้วตัวจิตมันอยู่นี่ พอตัวจิตนี่มันสร้างความว่างได้ ตัวจิตนี่มันจะอธิบายความว่างได้มหาศาลเลย แล้วไอ้คนฟังนะ แหม ทึ่งมากเลย สำหรับเราฟังนะเราจะอ้วก มันไม่ใช่ เพราะอะไรเพราะอธิบายความว่าง ความว่างอย่างนี้ ไม่ใช่ความว่าง ความว่างคือตัวตนว่าง ตัวเราเองว่าง ตัวเราเองว่าง เราจะรู้จักความว่างไหม จริงๆ มันคือว่าง แต่เราว่าง เอ๊อะ เอ๊อะ เลย สมาธิเป็นอย่างนี้ ใครเข้าถึงสมาธินี่ๆ รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง แต่ถ้าว่างๆๆๆ นั้นจินตมยปัญญา ปัญญาใต้โลก คือความว่างเกิดจากตัวตนของเรา แล้วตัวตนอธิบายได้ชัดเจนมากนะ แล้วอธิบายชัดเจนแล้ว มันยังไปศึกษาจากธรรมของพระพุทธเจ้าด้วย
ปัจจุบันนี้ที่ถามปัญหาเข้ามาในเว็บไซต์นี่ เราฟังดูนี่ เวลาเขาเขียนมานี่มันไม่มีใครซัก เขาจะเขียนอย่างไรก็ได้ ฟังแล้วมันน่าทึ่งเพราะอะไร เพราะมันเหมือนธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ลองถามสิ มันเป็นเพราะเหตุใด มันทำอย่างไร ตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้หรอก ก็มันเป็นอย่างนี้แหละ ก็มันเป็นอย่างนี้ แล้วมันเป็นอย่างไร ก็มันเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นอย่างไร ก็มันเป็นอย่างนี้ มันไปสร้างอารมณ์อย่างนี้ มันไม่มีที่มาที่ไป
ถ้ามีที่มาที่ไปนะ ตั้งสติอย่างไร พอมีสติแล้วนี่ ธรรมดานี่เวลาลมพายุมันเกิดขึ้นมานี่ ลมพายุมันปั่นป่วนขึ้นมา ลมพายุมันจะหอบต้นไม้ไปเลย ตึกรามบ้านช่องนี่ มันจะกวาดไปหมดเลย ลมพายุนี่ เวลาความฟุ้งซ่านความทุกข์มันเกิดขึ้น มันกวาดตัวเราไปหมดเลย มันหมุนไปหมดเลย เราตั้งสติอย่างไร เราตั้งสติอย่างไร ให้กำหนดว่าในลมพายุนั้น เราจะยืนอยู่ในลมพายุนั้น จะไม่ให้พายุนั้นพัดเราไป
แล้วเราตั้งสติจนกว่าพายุนั้นจะสงบตัวลง พายุนั้นสงบตัวลง พายุนั้นไง พายุคือความฟุ้งซ่าน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ในหัวใจที่มันพัดพาหัวใจเราเนี่ย พุทโธๆๆ ให้พายุมันสงบตัวลง พอพายุมันสงบตัวลงต่อหน้าเรา เรายืนอยู่ท่ามกลางพายุ แล้วพายุมันสงบตัวลงต่อหน้าเรานะ เรารู้เราเห็นของเรา เราเข้าใจของเราหมดล่ะ แล้วถ้าเรารู้เราเข้าใจของเราแล้ว พายุอารมณ์ ความฟุ้งซ่าน ความรู้สึกของหัวใจ มันจะเกิดอีกดับอีกอย่างไร เราก็รู้ เราก็ทันมันใช่ไหม
แต่นี้เราไม่เคยรู้อะไรเลย เราไม่เคยเห็นว่า พายุมันเกิดขึ้นมานี่ ความคิดที่มันรุนแรงมันเกิดขึ้นมา มันทำลายเรามากแค่ไหน แล้วเอาพายุนี้ไปศึกษาธรรมะไง อู๋ ธรรมะเป็นอย่างนั้นนะ ทั้งๆที่มันเป็นพายุ มันเป็นสัญญา สัญญาอารมณ์คือพายุ ขันธ์ ๕ ความพัดไปของอารมณ์ความรู้สึก มันพัดหัวใจนี้ให้หมุนกลิ้งไปตลอดเวลาไง เราก็ไม่รู้ นี่มันถึงไม่เห็นคุณค่าของความสงบของใจ ครูบาอาจารย์เราทุกองค์เลย ตั้งแต่หลวงปู่มั่นลงมาเลย นี่ต้องทำความสงบของใจขึ้นมาก่อน ถ้าใจไม่สงบ ความคิดเป็นความคิดของกิเลสทั้งหมด
ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ มหาจุฬาฯ มาหาเราเป็นห้องๆ เลย เราบอกว่าไร้สาระ ความรู้ของพวกมึงนี่นะ มึงเรียนมาจากไหน ความรู้ของพวกมึงนี่ ก็มึงเรียนกันขึ้นมาเอง ถ้าปัญญาอย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ต้องการหรอก พระพุทธเจ้าต้องการโลกุตรปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากจิตของเรา ปัจจุบันธรรม พอมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะทำลายตัวมันเอง ทำลายกิเลสตัวมันเอง เพราะมันเกิดขึ้นมาจากจิต
ในปัจจุบันนี้เราไปศึกษามาขนาดไหน มันเป็นปัญญาของสมอง จิต ๆ ความรู้สึกพลังงานนี่ พลังงานออกไปที่สมอง สมองนี่ออกไปสื่อความหมาย สมองนี่ออกไปจำมา มันเป็นปัญญาจากข้างนอก เห็นไหมมันเป็นเปลือกส้ม ส้ม เนื้อส้มคือตัวจิต เปลือกส้มคือความคิด ปัญญาเกิดจากเปลือกส้มเกิดจากความคิด ปัญญาจากเปลือกส้มนี่ มันจะทำลายเนื้อส้มได้ไหม มันทำลายเนื้อส้มไม่ได้ เพราะมันอยู่คนละส่วนกัน อยู่เปลือกนอกของเนื้อส้ม
มันต้องสงบเข้ามาเห็นไหม สงบเข้ามาที่ตัวเนี้อส้ม ตัวเนื้อส้มจะทำลายตัวมันเอง ตัวเปลือกส้มมันอยู่คนละส่วนกัน ถ้ามันปอกเปลือกไป เปลือกมันหลุดออกไป โดนเนื้อส้มมันจะเป็นเนื้อส้ม นี่ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาจากโลกียปัญญาเห็นไหม ปัญญาจากภายนอก นี่ปัญญาจากภายนอก นี่มันศึกษามาขนาดไหน ศึกษามาจากไหน นี่ปัญญาของกิเลส ที่ว่าปัญญาของกิเลสยิ่งศึกษานะ ถ้าเราจบด็อกเตอร์มานะ ไปคุยกับใครก็แล้วแต่ ด็อกเตอร์มันจะค้ำคอไว้นี่ มันจะว่ามันรู้ตลอดเลย ปัญญาฆ่ากิเลสหรือปัญญาเสริมกิเลส ปัญญาจะฆ่ากิเลสหรือจะเสริมกิเลส
ปัญญาของพระพุทธเจ้า ปัญญาคือการรอบรู้ในกองสังขาร สังขาร ความคิดความปรุงความแต่ง แล้วปัญญามันรู้เท่า ปัญญามันทำลาย ปัญญามันทำลายความคิด ปัญญามันทำลายความมานะทิฏฐิ มันทำลายตัวตนของเรา นี่ปัญญาพระพุทธเจ้า ฉะนั้นธรรมะเหนือโลก ธรรมะที่เขาพูดกัน ที่โลกเอามาใช้กัน มันเป็นโลกๆ เป็นความคิดของพวกเราเป็นตรรกะ เราเห็นแล้วมันเศร้าใจไง ธรรมะของครูบาอาจารย์เรา ท่านบอกว่าธรรมะไม่เคยเสื่อม ธรรมะไม่เคยเสื่อม แต่สังคมเสื่อม สังคมมันเสื่อม สังคมมันอ่อนแอ เวลาเขาพูดธรรมะพระพุทธเจ้าแค่ตรรกะ หูตาพอง เวลาครูบาอาจารย์ของเราพูดธรรมะ ให้เราศึกษาให้เราค้นคว้า บอกว่ามันเป็นของยากของลำบาก เป็นอัตตกิลมถานุโยค เป็นการทรมานตน ถ้าไม่ทรมานตน จะทรมานกิเลสได้อย่างไร
พระอรหันต์สมัยพุทธกาลไปเฝ้าพระพุทธเจ้านะ ท่านจะถามว่าใครทรมานมา คำว่าทรมานมาเห็นไหม อย่างเช่นพระสารีบุตรนี่ เวลาพระอัสสชิเทศน์ให้พระสารีบุตรฟัง ไปเฝ้าพระพุทธเจ้านี่ใครทรมานมาๆ พระอรหันต์แต่ละองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถามว่าใครทรมานมา ใครทรมานคือเทศน์ไง ทรมานด้วยธรรมะให้เข้าสู่ธรรม คำว่าทรมานๆ กิเลส การทรมานต้องทำ แต่พวกเราบอกทรมานเห็นไหม การต่อสู้ พวกเราไม่กล้าทำ ไม่กล้าทำ แล้วพอทำไปเป็นอัตตกิลมถานุโยค ถ้าใครบอกอัตตกิลมถานุโยค คนนั้นอ่อนแอ เราอ่อนแอทันทีเลย แต่เราบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้
เพราะสิ่งที่เรากระทำกัน พระป่าเราปฏิบัตินี่ มันอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ถ้าอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนี่ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของทฤษฎีมัชฌิมาปฏิปทาซะเอง พระพุทธเจ้าเป็นคนรื้อค้นมัชฌิมาปฏิปทานะ แล้วพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในพระธรรมวินัย คนที่เป็นเจ้าของทฤษฎี เจ้าของความรู้ แล้วจะบัญญัติสิ่งที่เหนือความรู้ตัวเอง ที่ตัวเองต่อต้านได้ไหม ถ้ามันไม่ได้ การกระทำตามธรรมวินัยนั้นถึงจะเป็นมัชฌิมาปฏิปทาไง
แต่มันขัดแย้งกับกิเลสเราเองต่างหากล่ะ มันขัดแย้งกับความสะดวกสบาย ขัดแย้งกับความต้องการของเรา ในเมื่อมันขัดแย้งกับความต้องการของเรา เราก็ไพล่ไปเอามัชฌิมาปฏิปทาของกิเลส คือนอนจมไง ว่างๆ ว่างๆ อย่าขยับ ถ้าขยับเป็นอัตตกิลมนุถาโยค ถ้านอนจมกิเลส อันนั้นมัชฌิมาปฏิปทาเห็นไหม กิเลสมันหลอกกิเลสนะ กิเลสมันหลอกกิเลสไง เพราะเราก็มีกิเลสใช่ไหม เรามีกิเลสอยู่แล้ว แล้วเอากิเลสมาหลอก เราถึงบอกว่าไม่ใช่ธรรมะเลย ไม่ใช่ธรรมะเลย กิเลสล้วนๆ
ถ้าธรรมะไม่พูดอย่างนั้น นี่เรายืนยันว่าผิด ผิดเพราะคำพูดมันผิด เวลาเราพูดเห็นไหม เวลาเราพูด เราบอกว่าเวลาดูจิตๆ เราบอกว่ามันก็เหมือนเราดูเสาไฟฟ้า ดูเสาไฟฟ้าเห็นไหม ไฟฟ้ามันเกิดดับ ดูจิตเห็นไหม แล้วเขาก็โต้แย้งมา บอกยังงั้นปอเต็กตึ๊งมันไปเก็บศพ มันก็เหมือนกัน ดูกาย ปอเต็กตึ๊งไปเก็บศพมันก็ไปเห็นศพ มันก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แหม บอกมันพูดเข้าทางเราหมดเลย เพราะเราจะบอกให้เห็นว่าการดูจิต จิตนี้เป็นนามธรรม เราจะให้เห็นว่าเป็นรูปธรรมก็เหมือนกับดูแสง แสงเกิดดับ ดูแสงมันจะต่างอะไร มันจะได้อะไรขึ้นมา เพราะมันก็เหมือนวัตถุใช่ไหม ก็บอกว่าไปเก็บศพมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ ใช่ ไปเก็บศพมันก็เหมือนกัน เพราะอะไร เพราะคนเก็บศพมันไม่มีสมาธิ คนเก็บศพมันไม่ได้ไปภาวนา
แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะกำหนดพุทโธๆ จิตมันสงบก่อนนะ ไม่ใช่เอามือไปเก็บศพนะ เอาใจไปเก็บ ใจมันไปเห็นซากศพ ไม่ใช่เอามือไปเก็บศพ มือ เนื้อไปเก็บศพมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่จิตๆ มันเห็นซากศพ ถ้าจิตเห็นซากศพ มันจะแทงกิเลส มันจะแทงหัวใจเลย เพราะการเห็นของเรานี่ ดูสิ เราเปรียบเหมือนตำรวจทางหลวงเห็นไหม เขาเอาซากรถยนต์ไปวางไว้ตามที่อันตราย ให้คนเห็นแล้วมันจะได้ระวังตัวของมัน แม้แต่เศษซากรถยนต์มันยังมีประโยชน์อย่างนั้น แล้วเศษซากศพของคน คนไปเห็นมันสะเทือนใจไหม สะเทือนใจอย่างนี้มันโลกๆไง แต่ถ้าจิตนะ จิตมันสงบ มันไม่เห็นสภาพแบบนั้นหรอก
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ดูจิตๆ มันก็เหมือนซากศพนั่น เห็นซากศพเพราะอะไร เพราะอาการของจิตไม่ใช่ตัวจิต ไปเห็นพลังงานเกิดดับ เห็นเกิดดับมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา ถ้าจิตมันไม่สงบขึ้นมา แล้วปฏิเสธว่าจิตมันไม่สงบขึ้นมา จิตมันเป็นปัญญาไม่ได้ เมื่อก่อนบอกจิตไม่ต้องทำสมาธิ เดี๋ยวนี้เริ่มยอมรับแล้ว เรื่องสติปัฏฐาน ๔ ก็เหมือนกัน สติปัฏฐาน ๔ ไม่ ๔ ก็ผิดทั้งนั้น ผิดเพราะเริ่มต้นมันผิด ผิดหมดล่ะ
เพราะสติปัญญามันสำคัญ สติ ปัญญา จิตมันสำคัญ ตัวจิตนี่สำคัญ เพราะตัวจิตเป็นตัวปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมาเกิดในไข่ มันถึงเป็นเรา เป็นเราเกิดมาถึงมีร่างกาย ร่างกายถึงมีสมอง มีสมองมันถึงมีความคิดความรู้สึก แล้วความรู้สึกนี่ มันไปปฏิเสธพื้นฐานเริ่มต้นไง ถ้าพื้นฐานเริ่มต้นมันมีใช่ไหม กรรมพันธุ คนเกิดมาโดยกรรม กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมไปบังคับจิตเรามา แล้วเราจะฝืนมันไปอย่างไร เราเพียงแต่จะแก้ไขดัดแปลงมัน ให้เข้ากับช่องทางของเรา
ทีนี้การเข้ามากับช่องทางของเรานี่ พระพุทธเจ้าถึงสร้างกรรมฐานไว้ ๔๐ ห้องเห็นไหม ครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่นนี่ เปิดช่องทางไว้มหาศาลเลย เพราะมันจริตนิสัยของคนไง ไม่ใช่ว่าต้องเฉพาะอย่าง เป็นไปไม่ได้ ถ้าเฉพาะนี่แสดงว่าคนนั้นไม่เป็น ไม่เป็นแล้ว ถ้าเป็นนะ เด็กเราทุกคน ดูสิ คนมีลูกมากๆ นี่ เด็กจะเรียนช่องทางเดียวกันได้ไหม เด็กมันต้องเรียนแล้วแต่ความถนัดของมัน แล้วแต่ความชอบของมัน แล้วแต่ภูมิปัญญาของมัน มันถึงเอาตัวมันรอดได้
จิตก็เหมือนกัน จิตมันต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แล้วมีครูบาอาจารย์คอยจะฟื้นฟูขึ้นมา มันถึงจะเป็นความจริงของมัน เห็นไหม นี่พูดถึงความเห็นต่างนะ เมื่อวานเขาบอก โอ้โฮ หลวงพ่อมีความเห็นต่าง แต่เราไม่อธิบายมากไปกว่านี้ เพราะเราขี้เกียจ ถ้าคนน้อยๆ ความเห็นของเขา เราจะบอกว่า เราจะคิดว่ากรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์นะ ลูกเราทุกคน เราปรารถนาดีกับลูกเราทุกคน แต่ลูกมันมีมุมมองของมัน ไอ้นี่ก็เหมือนกัน กรรมของสัตว์หมายถึงว่า คนเรานี่มันมีลุ่มๆ ดอนๆ มีสติปัญญามันก็คิดได้ เดี๋ยวโดนกระแสลากไป มันก็ไป เราจะไม่มุ่งมั่น ไม่หวังใครทั้งสิ้น มันเป็นธรรมชาติของเขา
แต่อย่างเราเหมือนกัปตันเดินเรือนี่ เราเดินเรือใช่ไหม เราต้องเอาเรือใหญ่นี่เข้าฝั่ง นี้ผู้โดยสารนี่ มันจะโดดลงน้ำก็ช่างมัน มันจะปีนจากน้ำขึ้นเรือนี่ ก็อยู่ที่ความสามารถของมัน เราไม่สามารถจะไปบังคับสิ่งต่างๆ ให้เป็นตามเป้าหมายของเราได้ เราบังคับได้แต่จิตของเรา บังคับได้แต่หัวใจของเรา หัวใจของเรานี่ ถ้าเราบังคับได้แล้ว มันตรงกับธรรม ตรงกับจริตนิสัย ตรงกับความเป็นจริง ดูอันนี้ไง หลวงตาท่านสอนว่า ให้ดูใจเรา เวลาที่มีปัญหานะ ให้ดูใจเรา เรื่องของเขากับเรื่องของเรา เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องอะไรของเราเลยนะ เรื่องของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย ท่านเตือนเราบ่อยมาก ให้ดูใจของเรา คือให้รักษาเฉพาะเรื่องของเรา เรื่องของคนอื่นไม่เกี่ยว คนอื่นไม่เกี่ยว
แต่นี้เราเป็นพระ เราอยู่ในพุทธศาสนา เวลาลูกศิษย์มาถามธรรมะไง เราแสดงทัศนคติ เราแสดงมุมมองของเราเท่านั้นนะ เรื่องทัศนคติของคนอื่นเป็นเรื่องของเขา แล้วใครจะเชื่อ ใครจะไม่เชื่อมันเรื่องของเขานะ มันเรื่องของเขา แต่เราเป็นสุภาพบุรุษเรามีจุดยืนไง เรามีจุดยืนของเรานะ พอมีจุดยืนนี่ ถูกผิดเราพูดตามนั้น สุภาพบุรุษ ผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ใครจะมีมุมมองอย่างไรเรื่องของเขา แต่เราผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไป ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรม การกระทบกระเทือน แต่ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ถ้าไม่งั้นมันไม่มีไง
อย่างที่พูดตอนเช้านี่ หลวงปู่มั่นบอก ต้อง!อย่างนั้นเลย ต้อง!อย่างนั้นเลย เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ต้อง!อย่างนั้นเลย นี่ถ้าภาวนาไม่เป็น หรือไม่มีหลักนี่ ไม่กล้าพูดว่าต้อง!อย่างนั้นเลย ต้องอย่างนั้นคืออะไรล่ะ ต้องอย่างนั้นทำอย่างไรล่ะ ที่ทำแล้วต้องเป็นอย่างนั้นทำอย่างไร แต่สำหรับถ้าคนเป็นนะ ต้องทำอย่างนี้ นั่งนับตังค์ มันต้องได้จำนวน ให้นั่งนับตังค์นี่ เอาตังค์มานับ มันต้องได้จำนวน ว่าเรานับได้เท่าไหร่ นับเงินนี่ ต้องเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด แต่นี่ไม่ได้นับเงิน จะปั๊มเงิน ไม่มีหรอก ต้องนับเงิน นี่เหมือนกัน ต้อง!อย่างนั้นเลย ต้อง!อย่างนั้นเลย
นี่พูดถึงความเห็นต่างนะ ใครมาก็แปลกใจ แปลกใจว่า แล้วเขาพูดเราก็คิดอยู่ บอกมันไม่มีใครพูดแบบเรา แต่เราสาธุนะ เราว่ามี ครูบาอาจารย์ เพราะเราเคยคุยกับครูบาอาจารย์มาเยอะ แล้วครูบาอาจารย์นี่ ถ้าอะไรสำคัญๆ ท่านจะเก็บไว้ข้างใน ท่านไม่เอาออกมา อย่างเช่นหลวงปู่มั่นท่านพูดเลยนะ ถ้าออกมาแล้ว ถ้าคนมีเชาว์ปัญญา มันจะจำ แล้วมันแสดงออก พอแสดงออกแล้ว คนไม่เป็นก็คิดว่านี่ใช่เลย ครูบาอาจารย์ท่านฉลาดท่านจะเก็บ ไอ้แบบว่าเทคนิคนี้เอาไว้ แต่พอหลวงตานี่ หลวงตาท่านบอก ท่านเปิดหมดไส้หมดพุง ขนาดหมดไส้หมดพุงนะ ท่านยังมีเคล็ดของท่านเลย
แต่นี่เราจะบอกว่าเวลาแสดงธรรมะนี่ ธรรมะนี่ พระพุทธเจ้านี่บอกว่า ไม่มีกำมือในเรา ธรรมะคือแบตลอด ไม่มีกำหรอกแบตลอดเลย ถ้าปฏิบัติไปแล้ว มันแบหมด เหมือนกันหมดเลย แต่ขณะที่จะแบนี่ คนมันจำไปได้ ฉะนั้นถึงบอกว่าวงใน คือว่าครูบาอาจารย์เหมือนกันหมด ดูอย่างเช่นหลวงตานี่ท่านพูดถึง ท่านกำหนดของท่านเห็นไหม เสือมันมีขน เราก็มีขน เสือมีเล็บ เราก็มีเล็บ เสือมีหนัง เราก็มีหนัง มีเหมือนกันหมดเลย แล้วหลวงตานี่ก็ไปคุยกับหลวงปู่คำดี หลวงปู่คำดีก็ใช้เทคนิคอย่างนี้เหมือนกัน แต่หลวงปู่คำดีท่านใช้ก่อนอยู่ในป่า มันเหมือนกันแต่คนละกาลเวลา เทคนิคไงเทคนิควิธีการนี่ ดูสิ อย่างเช่นการพิจารณากายนี่ พิจารณากายเหมือนกัน ก็ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นหลวงปู่ชอบ หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่คำดี หลวงปู่ตื้อนี่พิจารณากายหมดนะ แต่เทคนิคก็ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรอก
เราเปรียบการประพฤติปฏิบัติเหมือนวิทยานิพนธ์ วิทยานิพนธ์ซ้อนกันไม่ได้ ถ้าซ้อนกันนะอันหนึ่งผิด ขณะจิตนี่จะไม่มีเหมือนกัน ของครูบาอาจารย์ ของลูกศิษย์ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน ของพระพุทธเจ้ากับของพระสารีบุตรไม่เหมือนกัน แต่เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เทคนิคไม่เหมือนกัน ไม่มีเหมือนกัน ไม่มี ถ้าเหมือนกันต้องผิดคนหนึ่ง ไม่มี พระอรหันต์แต่ละองค์ ไม่เหมือนกันสักองค์เลย แต่เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แล้วนี่ถ้าไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี่นะ ผิดหมด พูดไปผิดหมด แล้วตอนนี้ลูกศิษย์ก็ก๊อบปี้เอาเลยเหมือนกับแม่พิมพ์เลย พิมพ์พระอรหันต์ออกมาเลย พระอรหันต์ๆๆๆ เอามาเรียงกันเลยนะ แล้วเดี๋ยวคอยดูพระอรหันต์มันจะทะเลาะกันเอง แล้วพระอรหันต์มันจะล้มไปเอง
นี่เราเห็นต่างอย่างนี้ เราเห็นต่าง เราเห็นต่างเพื่อไม่ให้พวกผู้ปฏิบัติหนึ่งเสียเวลา เสียเวลานะ ชีวิตของเรา เวลาของเราที่จะมาทำความดีนี่ มันมีเท่านี้ล่ะ เดี๋ยวเราจะตายกันหมด เราจะตายกันหมด แล้วถ้าใครหลงผิดไปนะ กาลเวลาพิสูจน์ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน กาลเวลาพิสูจน์ เราท้ามาก กาลเวลาพิสูจน์ แล้วมั่นใจมากว่าสอนผิด มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่เมื่อก่อนไม่พูด บอกว่าทำไมไม่พูด ไม่พูดล่ะ เพราะเราพูดปั๊บมันจะถลำลึกไปมากกว่านี้ เหมือนกับเราชี้จุดบอดของเขา การชี้จุดบอดเพื่อให้คนตาสว่าง ไม่ใช่ชี้จุดบอดเพื่อจะให้เขาเอาไปแก้ไข หลอกให้เขาลึกซึ้งไปอีก เมื่อก่อนไม่พูดแต่นี่จะพูดทุกข้อเลย มันพูดได้ทั้งนั้น
เขามาถามนี่ในเว็บไซต์นั่น
ประเด็น : สิ่งนี้สมบูรณ์แล้ว ทำไมคุณถึงต้องทำอะไรบางอย่างเพิ่มเติมจากที่พระพุทธเจ้าสอนอีกล่ะ
หลวงพ่อ : สิ่งที่ทำอยู่นี่ก็ถูกต้องแล้วเขาว่า แล้วนี่ใครพูดล่ะ อ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนไง สิ่งที่ทำอยู่นี้ก็ถูกต้อง ที่เขาดูกันนี่ว่าถูกต้องแล้ว แล้วคุณทำไมต้องคิดว่า มีบางสิ่งเพิ่มเติมจากที่พระพุทธเจ้าสอน เราจะถามกลับว่า แล้วที่เอ็งทำอยู่นี่เอ็งคิดว่าถูกหรือเปล่า พอเราบอกว่าพระพุทธเจ้าสอน พวกเราก็จบไง ที่พระพุทธเจ้าสอนแล้วเราก็จบไง แล้วที่เอ็งว่าพระพุทธเจ้าสอนนี่ พระพุทธเจ้าเอ็งกับพระพุทธเจ้าข้าองค์เดียวกันหรือเปล่า กูคิดว่าพระพุทธเจ้ามึงกับพระพุทธเจ้ากูคนละองค์โว้ย แต่พระพุทธเจ้ากู ก็สอนศีล สมาธิ ปัญญา อ้างว่าสิ่งทำอยู่ก็พระพุทธเจ้าสอนอยู่นี่ แล้วจะมีอะไรต่างกว่านี้อีกล่ะ ก็ถูกแล้วไง แล้วพระพุทธเจ้าเอ็ง พระพุทธเจ้าข้าองค์ไหนล่ะ ของเราสมณโคดมนะโว้ย ของเอ็งองค์ไหนกูก็ไม่รู้
เวลาเขาเขียนมาในเว็บไซต์นี่ แล้วเราก็ตอบไม่ได้ล่ะ มันพิสูจน์ได้นะ มันพิสูจน์ได้ นี่เพียงแต่คำพูดนี่มันเป็นของมหายาน เขาพูดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเว่ยหลาง ฮวงโปเราอ่านมาหมดแล้วล่ะ เขาพูดอย่างนี้ แต่เขาพูดอย่างนี้ก็เหมือนเราพูดเห็นไหม ครูบาอาจารย์สอนว่าให้ละชั่วทำดี ละความชั่วทำความดีเท่านั้น ธรรมะสอนแค่นี้จริงๆ นะ ละความชั่วทั้งหมด ทำแต่คุณงามความดี แล้วทำได้ไหม ง่ายๆ แค่นี้แหละ ละชั่วทำดี แต่ตรงไหนมันชั่ว ตรงไหนมันดีล่ะ แล้วก็มีศีลมีการกระทำอะไรขึ้นมา เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันหยาบละเอียดขึ้นไปเป็นชั้นๆ
แต่เราก็ว่าจะลัดสั้นจะง่าย เพราะคำว่าลัดสั้นนี่ มันเป็นโจทย์ข้อหนึ่งที่รัดคอตัวเอง เพราะมันลัด เพราะมันสั้น ถึงต้องมีผล ฉะนั้นมีผลนี่ ก็เลยจับผลยัดให้คนนู้น จับผลยัดให้คนนี้ เพราะมันลัดมันสั้น มันถึงต้องมีผลไง เพราะคำว่าลัดสั้นนี่มันรัดคอตัว เพราะมันลัดใช่ไหม มันสั้นใช่ไหม มันลัดมันสั้นแล้วนี่ทำแล้วมันต้องมีผลสิ ก็เลยเอามรรคผลนี่ยัดให้คนนู้น ยัดให้คนนี้ แล้วมันเป็นผลไม่เป็นผล เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็รู้
นี่พูดถึงความเห็นต่างนะ เขาพูดถึงว่าทำไมเราเห็นต่าง วันนี้เราอธิบายความเห็นต่างของเรา ยังเห็นต่างตลอดไป แต่ถ้ามันเข้ามาทางเดียวกันนะ เขาพูดอย่างไงนะมันก็ถูก ครูบาอาจารย์ของเรานี่ อย่างหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตา ครูบาอาจารย์เราฟังเทศน์ในวิทยุสียงธรรม นี่ฟังทีไรมันก็ แหม ก็ถูกทุกทีเลยนะ แต่ถ้าบางกัณฑ์บางคนมาพูดนะ ฟังอย่างไรมันก็ผิด ผิดทุกที พูดอย่างไรก็ผิด แต่หลวงปู่เจี๊ยะนะ มันต้องอย่างนั้นๆ แล้วขาดอย่างนั้นๆ เออฟังอย่างไรมันก็ถูก แล้วมันประสาเรานะมันซึ้งมันกินใจ มันเอ้อ.. มันแบบว่าโล่งโปร่งสบาย มันไม่อึดอัด แต่ไปฟังคนอื่นนะ พระพุทธเจ้าสอนๆ ไม่รู้พระพุทธเจ้าองค์ไหนล่ะ พระพุทธเจ้าไหนกูก็ไม่รู้ แต่ฟังแล้วมันขัดแย้ง มันขัดแย้ง ไอ้นี่พูดถึงว่าเขาจะอ้างพระพุทธเจ้านะ เราไม่ต้อง
มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ของเรายังไม่เข้มแข็งกล่าวแก้คำจาบจ้วงต่างๆ เราจะไม่ปรินิพพาน ตอนวันสุดท้ายนะ มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ของเราเข้มแข็งสามารถกล่าวแก้ สามารถกล่าวคำกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน เห็นไหม ให้เหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา กล่าวแก้ความผิดพลาด กล่าวแก้ธรรมะที่มันผิด เรากล่าวแก้ เราแก้ไขมันเป็นบาปเป็นกรรมตรงไหน พระพุทธเจ้าฝากไว้ที่เราหมดแล้วนะ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องนี่เรากล่าวแก้ได้ เรากล่าวแก้เราแก้ไขให้มันถูกต้อง เราทำได้ไม่ผิดหรอก ได้บุญด้วย ได้บุญ พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับพวกเรานะ
แต่นี่เพียงแต่ว่าศาสนานี่ เราจะใช้ศาสนาเรื่องอะไร เรื่องแค่ทาน แค่ไปวัดไปวา แค่มีพระไว้ใส่บาตร หรือว่าแค่จะภาวนา แค่จะเอาโสดาบัน เอาสกิทา นั่นแล้วแต่ เป้าหมายจิตใจของเราจะเข้าถึงมรรคผลหรือเข้าถึงธรรมได้มากน้อยขนาดไหน นี่พูดถึงว่าความเห็นต่าง และหลักของศาสนานะ ถ้าใครไม่มีอะไรเราขอแค่นี่นะ เอวัง