เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ส.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานไปหัวหินนะ แล้วพระเวลาถามปัญหาน่ะ พระเขาถามปัญหา ฟังแล้วแบบว่ามันสะเทือนใจมาก สะเทือนใจว่า อาจารย์ของเขาเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาเหมือนกัน แล้วอาจารย์ของเขาเทศน์นะ บอกว่า หลวงปู่มั่นปฏิบัติธรรมจนได้เป็นพระอนาคามี แล้วเป็นพระอนาคามีแล้วไปอยู่บนพรหม แล้วไปสิ้นกิเลสที่บนพรหม

แสดงว่าเขาก็ยังดีอยู่นะ ยังดีอยู่ที่ว่า เขาเป็นลูกศิษย์หลวงตา แล้วเขายังเชื่ออยู่ว่าหลวงตาสิ้นกิเลส เขาบอกเลยนะ เทศน์ให้ลูกศิษย์ฟังว่าหลวงปู่มั่นประพฤติปฏิบัติแล้วเป็นพระอนาคามี แล้วไปอยู่บนพรหมนะ แล้วไปสำเร็จที่บนพรหม

นี่เรายังว่า ความเชื่อของเขายังยอมเชื่อว่ามรรคผลมีอยู่ อันนี้ก็ยังใช้ได้อยู่นะ แต่เราบอกว่า อาจารย์ของเอ็งเคยเรียนอภิธรรมมาใช่ไหม ถ้าอาจารย์ของเอ็งเรียนอภิธรรมมา เขาจะบอกว่ากึ่งพุทธกาลพระอรหันต์ไม่มี มีอย่างมากก็เป็นพระอนาคามี แล้วก็บอกเลยว่าเป็นพระอนาคามีแล้วขึ้นไปอยู่บนพรหม ไปสำเร็จบนพรหม จะให้มันเข้าตามทฤษฎีของอภิธรรม

ถึงบอกว่ามันไม่ใช่ มันขัดกับหลักความจริงไปทั้งหมดเลย สมมุติว่าถ้าหลวงปู่มั่นเป็นพระอนาคามีนะ แล้วหลวงปู่มั่นไป แล้วไปอยู่บนพรหม เวลาของพรหมเป็นแปดหมื่นปี แปดหมื่นปีหรือเป็นแสนๆ ปีกว่าจะไปสำเร็จบนพรหม ป่านนี้หลวงปู่มั่นยังไม่สำเร็จหรอก แต่หลวงปู่มั่นสำเร็จแล้วเพราะอะไร เพราะท่านนิพพานแล้ว ท่านมรณะแล้ว กระดูกท่านเผาแล้ว กระดูกท่านเป็นพระธาตุ นี่เวลาถ้ามันขัดกันนะ มันขัดกันไปตามความเห็นที่ขัดแย้งไปตลอด

แต่ถ้าเป็นหลักความจริง ในเมื่อกึ่งพุทธกาล หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติถึงสิ้นกิเลส ก็สิ้นกิเลสที่ปัจจุบันนี้ เพราะในอภิธรรมเขาว่าเขาโต้แย้งอย่างนั้นว่าเป็นอภิธรรม แต่ในอภิธรรมท่านเปรียบเทียบ เหมือนกับที่เขาบอกว่า ถ้านางภิกษุณีบวช ถ้าศาสนานี้มีผู้หญิงเข้ามาบวช ศาสนานี้จะมีอายุแค่ ๕๐๐ ปี เขาว่าของเขาอย่างนั้นนะ ถ้าศาสนานี้ไม่มีผู้หญิงมาบวช ศาสนานี้เป็น ๑,๐๐๐ ปี...อันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอุปมาอุปมัย ถ้าผู้หญิงมาบวชนี่มันหดสั้นเข้ามาครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ ๕๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ๕๐๐ ปี ท่านอุปมาอุปไมยว่าครึ่งส่วน ระหว่าง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ กับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันเป็นสภาวะแบบนั้น

อันนี้ก็เหมือนกัน ว่าในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าต่อไปมันจะหดสั้นเข้ามา ถ้าหดสั้นเข้ามา เหมือนกับใจคนมันเสื่อม ใจคนมันเสื่อม มันเข้าไม่ถึงธรรม ถ้าเข้าไม่ถึงธรรม เวลาผู้ประพฤติปฏิบัติเวลาหลงไป เวลาจิตมันว่าง ว่านี่นิพพาน นี่นิพพานเลยนะ มันหลงเพราะอะไรล่ะ เพราะมันไม่เข้าใจ มันถึงมีความหลงเป็นอย่างนั้น แล้วอย่างนี้ถ้าเข้าไม่ถึง คือใจดวงนั้นเข้าไม่ถึง แต่ไม่เกี่ยวกับกึ่งพุทธกาล ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้น

ถ้าเกี่ยวกับกึ่งพุทธกาลนะ พระศรีอริยเมตไตรยที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ข้างหน้านั่นน่ะ ถ้ามันกึ่งพุทธกาลแล้วพระอรหันต์เกิดไม่ได้ ๕,๐๐๐ ปีแล้วพระอรหันต์เกิดไม่ได้ แล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะมาเกิดได้อย่างไรล่ะ นี่มันขัดกับหลักความจริง

ถ้ามันขัดกับหลักความจริงอย่างนั้น ในพระไตรปิฎก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์ “ผู้ใดประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม”

พระอานนท์ถามว่า “พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วมรรคผลมันจะสิ้นเขตสิ้นแดนเมื่อไหร่”

“มันไม่สิ้นเขตสิ้นแดนเลย ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย” ไม่ว่างจากพระอรหันต์นะ แล้วต่อไปพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไปก็จะมาตรัสรู้ ทำไมเราสร้างบารมีกัน เราทำบุญกุศลกันก็เพื่อชาติปัจจุบันนี้ เพื่อพุทธศาสนานี้ แล้วพุทธศาสนาคราวหน้าล่ะ ทำไมเราอธิษฐานกันว่าขอให้เกิดพบพระศรีอารย์ล่ะ ทำไมเราอธิษฐานว่าเราจะปฏิบัติสะดวกสบายล่ะ

เวลาทฤษฎีของเขาขึ้นมามันเหมือนกับที่ในลัทธิของเขานะ เขาบอกว่าโลกนี้แบน โลกนี้แบน ถ้าใครเห็นว่าโลกนี้กลม เขาไม่ยอมรับเด็ดขาด ถือว่าทำลายศาสนาของเขา นี่ว่าโลกนี้แบน แต่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว พิสูจน์แล้วว่าโลกนี้กลม แล้ววิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ พิสูจน์ทางทฤษฎี แต่ถ้าพิสูจน์ได้โดยการไปอวกาศ ขึ้นไปบนอวกาศมองมาโลกนี้จะกลมมาก แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงสิ้นกิเลส ใจดวงนี้มันจะเข้าถึงสิ้นกิเลส มันจะเข้าใจตามความเป็นจริงอันนี้ แล้วมันจะไปขัดแย้งกับสิ่งนี้ได้อย่างไร นี่ทฤษฎีเป็นทฤษฎี แต่ผู้ที่ปฏิบัติไม่มี ถึงเชื่อตามสภาวะของเขา

ยังดีอยู่นะ ยังเชื่อว่าองค์หลวงปู่มั่นสิ้นกิเลส ถ้าถือตามทฤษฎีของเขาแล้วเขาจะว่าหลวงปู่มั่นก็ไม่ใช่พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ของเราไม่ใช่พระอรหันต์ แล้วเอาความเห็นของตัวเข้าไปคัดค้านได้อย่างไร คัดค้านสิ่งที่ว่าเป็นใจดวงนั้นพ้นจากกิเลส

ในสมัยพุทธกาลนะ พระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์นะ แล้วเป็นพระอรหันต์พร้อมกับตาท่านบอด ท่านประพฤติปฏิบัติ เวลาท่านอธิษฐานไม่นอน ๓ เดือน ไม่นอนตลอดเลย แล้วถึงเวลาใกล้ออกพรรษา เจ็บตา ชาวบ้านไปหาหมอมารักษาให้ หมอบอกว่าถ้าไม่พักผ่อน ตาจะบอดนะ พระจักขุบาลไม่ยอม บอดก็ให้มันบอดไป อันนี้เป็นกรรมที่ว่าท่านเคยทำกรรมของท่านมา เวลาประพฤติปฏิบัติไปถึงที่สุดแล้วตาบอด แต่หัวใจสว่างขึ้นมา เห็นไหม นี่พระอรหันต์

แล้วเวลากลับมาอยู่ที่วัดของท่าน ท่านตาบอด ท่านก็ทำราวสะพานไว้ เวลาท่านเดินจงกรม เดินจงกรมไปเดินจงกรมมา เพราะพระอรหันต์ แล้วหน้าฝนแมลงมันอยู่ในป่า แมลงมันก็บินมา ท่านเหยียบแมลงตาย เห็นไหม ท่านเหยียบแมลงตายนะ แล้วทำไมพระเห็นว่าเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระจักขุบาลเมื่อก่อนตาดีก็ไม่ประพฤติปฏิบัติ พอตาบอดแล้วก็มาอวดประพฤติปฏิบัติ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก นั่นพระอรหันต์นะ พระอรหันต์ อาบัติของท่านไม่มีเลย

นี่ปาปมุต ที่ว่าพระอรหันต์ไม่ทำความผิด ไม่ทำความผิดจากใจดวงนั้น แต่ในเมื่อมีร่างกายอยู่ ในเมื่อมีการกระทบกระเทือนอยู่ มีการขยับเขยื้อนออกไปอยู่ สิ่งที่ผิดพลาดอันนี้มันเป็นสภาวะกรรม สิ่งที่เป็นสภาวะกรรมอย่างนั้นมันมีสภาวะของมัน

ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปปรินิพพาน เวลาหิวน้ำ ให้พระอานนท์ไปตักน้ำ ทำไมร่างกายมันยังต้องการน้ำล่ะ ต้องการสิ่งต่างๆ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ทำไมไปให้หมอชีวกรักษาล่ะ สิ่งนี้รักษาไว้นะ พระอรหันต์กับเรื่องเข้าใจเรื่องของร่างกาย

เราเข้าใจเรื่องของร่างกายตามกระแสของโลกนะ เราพยายามทะนุถนอมร่างกายของเราเพื่อจะให้คงทน อยากให้ชีวิตยืนยาว เรามีความกังวลวิตกสภาวะแบบนั้น นี่เราเป็นทุกข์เป็นร้อนกับเรื่องร่างกายของเรา แต่พระโสดาบัน พระโสดาบันพิจารณา เวลาจิตสงบไปแล้วพิจารณาเห็นสภาวะกายตามความเป็นจริง กายสักแต่ว่ากาย กายไม่ใช่เรา กายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่กาย กายไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่กาย มันแยกสภาวะออกไปอย่างนี้ แม้แต่พระโสดาบันก็เห็นสภาวะกายตามความเป็นจริงแล้ว ตามความเป็นจริงคืออยู่ของเขา ไม่เกี่ยวกับหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้นมันจะแยกออกจากกัน สภาวะต่างๆ มันจะแยกขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ละเอียดขึ้นเป็นชั้นๆ จนถึงที่สุดตัวตนความยึดมั่นถือมั่น

ความเข้าใจของปริยัตินะ บอกว่าพระโสดาบันไม่มีตัวตน เพราะเห็นสักกายทิฏฐิในเรื่องของกายไม่มี แต่หลักความจริง ตัวตนของจิตมันมี ถ้าอย่างนั้นตัวตนของจิตมันมี ความเห็นความยึดมั่นถือมั่นของใจมันมี สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นของใจ เวลาพระผู้ประพฤติปฏิบัตินะ ความโลภ โลกนี้เรื่องกามราคะ คือความสัมพันธ์กัน นี่เรื่องของโลกเขา แต่พระอริยบุคคลเขาเห็นความเป็นไปของจิตนะ จิตมันมีความคิด จิตมันมีความต้องการ จิตมันมีความรู้สึกนั้นน่ะ มันขยับเขยื้อนมาตั้งแต่ตรงนั้นนะ

หลวงตาเคยถามหลวงปู่มั่นนะว่า เวลาโลกเขาคิดกันถึงเรื่องต่างๆ คิดถึงเรื่องอะไร มันยังต้องใช้ความคิดนะ แต่ถ้าคิดถึงเรื่องกามทำไมมันรุนแรงขนาดนี้ล่ะ แม้แต่แบกเสาอยู่น่ะ คิดเรื่องกามมันคิดไปได้เลยนะ ไปถามหลวงปู่มั่นว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น

หลวงปู่มั่นบอกว่า เหมือนกับเราเห็นเสือกับเห็นหมา ถ้าเราเห็นหมา เรารู้สึกว่าเฉยๆ ปกติ แต่ถ้าเราเห็นเสือ เราจะมีความกลัวเสือ เราจะมีความตื่นเต้นในหัวใจ

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นเรื่องของใจ เรื่องของกามราคะ เป็นเรื่องของจิต จิตมันมีกามราคะ จิตมันมีความต้องการอย่างนั้นอยู่ ในเมื่อมันมีความระลึกรู้อยู่ มันถึงได้มีความปรารถนาออกมาจากจิต มีความต้องการออกมาจากจิต ไม่ใช่เรื่องของร่างกายหรอก เป็นเรื่องของความคิดภายใน จะว่าเห็นสภาวะกายตามความเป็นจริงแล้วมันก็ปล่อยสภาวะกายตามความเป็นจริง

ดูสิ อย่างเทวดา อินทร์ พรหม เวลาเขาเสพกามกัน พรหมเสพไม่ได้ พรหมเป็นผัสสะ พรหมนี้ไม่มีกาม แต่ว่าในเทวดา มันเรื่องของหัวใจล้วนๆ เรื่องของความต้องการล้วนๆ เรื่องของใจล้วนๆ เห็นไหม นี่เขาเสพกามราคะ กามภพ เสพสภาวะอย่างนั้น นี่พิจารณาเข้าไปเห็นถึงสภาวะแบบนั้น แล้วไปแก้ไขกันตรงนั้น เห็นไหม นี่ตัวตนของใจ

ความเห็นของปริยัติว่าพระโสดาบันนี้ไม่มีตัวตน แต่ไม่มีตัวตน ทำไมมันมีมานะ ๙ ล่ะ ทำไมมันมีความยึดมั่นถือมั่นจากภายในล่ะ...นี่มันขัดแย้งกันไง มันเหมือนกับโลกแบน พยายามบังคับให้โลกแบน ทฤษฎีว่าเป็นโลกแบน แล้วตัวเองชี้ว่าโลกแบนแล้วจะยอมรับตัวเองไม่ได้ จะปฏิเสธต่างๆ

นี่ก็เหมือนกัน ว่ากึ่งพุทธกาลแล้วพระอรหันต์ไม่มี ไม่มี แต่ความเชื่อ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ก็ยังเชื่ออยู่ว่าหลวงปู่มั่นนี้เป็นพระอรหันต์ ก็ยังบอกว่าหลวงปู่มั่นตายตั้งแต่มนุษย์นี้แล้วไปเกิดบนพรหม แล้วไปสำเร็จบนพรหม

สำเร็จบนพรหมป่านนี้ยังไม่สำเร็จแน่นอน ถ้าเป็นพระอนาคามีตายไป ป่านนี้ยังไม่สำเร็จ เพราะอะไร เพราะจะต้องไปสุกอยู่ที่นั่น ต้องเคลื่อนไป ถึงบอกว่าถ้าการเวลาอย่างนั้นมันจะใช้เวลามาก ถึงว่าถ้ามีครูบาอาจารย์จะชี้กลับมาปัจจุบันนี้

ในปัจจุบันนี้นะ พระอานนท์ตั้งแต่เป็นพระโสดาบันขึ้นมา เวลาพระโสดาบันนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปปรินิพพาน เพราะอะไร เพราะหัวใจยังมีกิเลสอยู่ เราเป็นอเสขบุคคล เราเป็นเสขบุคคล ยังต้องศึกษาอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะปรินิพพานไปแล้ว มีความทุกข์ร้อน จนเกาะประตูอยู่ ร้องไห้นะ พระโสดาบันร้องไห้เพราะจะไม่มีครูอาจารย์สอน

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกมา “อานนท์ เธอเศร้าโศกไปทำไม เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องปกติการเกิดและการตายเป็นเรื่องของมนุษย์ เป็นเรื่องของสภาวะต่างๆ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เราก็สอนเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แม้แต่ร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะปรินิพพานในคืนนี้ เธออย่าเสียใจไปเลย เธอหมั่นประพฤติปฏิบัติ แล้วต่อไปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระอานนท์จะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา”

ในการประพฤติปฏิบัติเป็นพระโสดาบัน มันมีความยึดอย่างนี้ มันยังมีความทุกข์โศกอย่างนี้ แล้วในปริยัติบอกว่าพระโสดาบันไม่มีตัวตน นี่ความคาดความหมาย คาดหมายผลก็ผิด คาดหมายในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ประพฤติมามีผลในหัวใจก็คาดหมายผิด สิ่งที่การคาดการหมาย การด้นการเดาจะผิดหมดเลย ผู้ใดจะปฏิบัติธรรมด้นเดาธรรม จะเข้าถึงธรรมนั้นไม่ได้ ผู้ใดปฏิบัติธรรมแบบปัจจุบันธรรม แบบให้มันเกิดขึ้นเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจุบัน เป็นปัจจัตตังของมันขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น

ในเมื่อมันมีอยู่ ธรรมโอสถมีอยู่ ธรรมโอสถคืออะไรล่ะ? ธรรมโอสถ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลมีอยู่ เราวิรัติขึ้นมาก็มี เวลาเราขอศีลกันๆ ไปหาพระก็ขอศีลๆ...ศีลมันเกิดขึ้นมาจากเจตนา ศีลเกิดขึ้นจากเราจงใจ ถ้าเราจงใจ เราจะภูมิใจเรามาก เราไม่เคยทำความผิดในหัวใจเราเลย ศีล ๕ เราก็ไม่มีความผิด เราไม่มีความผิด เราไม่เคยคิดคดโกงใคร เราไม่คิดเบียดเบียนใคร นี่มันเป็นอธิศีลอีกต่างหากนะ เป็นวิรัติศีลเกิดขึ้น ศีลเกิดจากการขอ การอาราธนาศีล ศีลเกิดจากการวิรัติเอา ศีลเกิดได้ ๓ วิธีการในปริยัติ ในเมื่อเรามีอยู่แล้ว ศีลเรามีอยู่แล้ว ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา ศีลธรรมเกิดตรงนี้ เครื่องมือเกิดตรงนี้ ถ้าเรามีการวิรัติ เรามีการตั้งใจขึ้น มันจะเกิดขึ้นมาเป็นอุปกรณ์เป็นเครื่องมือ เครื่องมือนี้เป็นนามธรรม

พิมพ์เขียวอยู่ที่ไหน เขาสร้างกันเขาต้องอ่านพิมพ์เขียว เขาต้องหาอุปกรณ์ มันถึงสร้างตึกรามบ้านช่องได้ แต่พิมพ์เขียวของธรรม พิมพ์เขียวของธรรมต้องมีศีล มีสมาธิ ต้องมีปัญญา ถ้ามีสมาธิขึ้นมา จิตมันสงบขึ้นมา จิตมันสงบเข้ามาอย่างนั้น นี่การคาดการหมายไม่คาดไม่หมายเลย มันจะเกิดขึ้นมาเป็นปัจจัตตังทั้งหมดเลย เวลาปัญญามันเกิด มันหมุนเข้าไปอย่างไร มันทำลายกิเลสอย่างไร แล้วมันบอกกาลเวลาจะมาเกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้มันเป็นไปได้อย่างไร

สิ่งที่เกิดขึ้นกับในหัวใจของเรา สิ่งที่เราเห็นขึ้นมา เห็นขึ้นมาโดยเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบนะ แต่ถ้าเห็นขึ้นมาเป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดนะ มันเกิดขึ้นมามันจะยึดเลย เวลาจิตสงบนิดๆ หน่อยๆ มันก็ว่านี้เป็นธรรมนะ นี้เป็นธรรมอะไร เพราะจิตนี้มันเกิดดับโดยธรรมชาติของมัน เราไม่ปฏิบัติมันก็มีความสบายใจ คนเวลามีความร่มเย็นเป็นสุข นั่งอยู่มีความสบายใจบ้าง วันนี้สบายใจมาก นี่นั่งอยู่ มันก็เป็นไปได้ สมาธิมีอยู่แล้วในมนุษย์เราเป็นปุถุชน สมาธิของปุถุชน ถ้าไม่มีสมาธิ เราจะเป็นคนไม่มีสติ เราจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก เราต้องเข้าโรงพยาบาลไปแล้วแหละ แต่นี้มันมีอยู่ในปุถุชน

การประพฤติปฏิบัติโดยมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด การประพฤติปฏิบัติก็จะผิดไป ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ มันจะก้าวเดินเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วครูบาอาจารย์ชี้นำตลอดไป ใจมันจะพัฒนาขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอน มันเกิดจากภายใน มันเป็นสิ่งที่เป็นปัจจัตตัง เป็นสิ่งที่ว่าไม่มีใครจะมายื้อแย่ง เพราะมันเป็นเรื่องความรู้สึกจากภายใน

เวลาเขามีทิฏฐิมีมานะกัน ทำความเห็น เขาขู่บังคับกัน เขาฆ่าตาย เขาก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนความคิดของเขาเลย เพราะความคิดของเขาเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิก็เหมือนกัน เราคิดถูกต้องของเราขึ้นมา เขาจะทำขนาดไหนมันเรื่องของเขา มันเรื่องของเขา เขาจะวิตกวิจารณ์ไปนั่นเรื่องของเขา แต่อันนี้มันเป็นทฤษฎีไง นี่โลกแบน เชื่อตามทฤษฎี เชื่อตามความเห็น กึ่งพุทธกาลพระอรหันต์ไม่มี ทั้งๆ ที่เขาก็เชื่อว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ แต่ก็พยายามจะบิดเบือน จะสร้างการณ์ขึ้นมาว่าให้เป็นอย่างนั้นๆ มันเป็นไปตามความคิดเป็นไปตามจินตนาการ แล้วมันก็ขัดแย้ง ขัดแย้งกันไปตลอด เริ่มต้นผิดมันจะผิดไปตลอดเลย ถ้าเริ่มต้นถูกนะ ก้าวเดินจะไปถูกหมด จะถึงที่ว่าเราจะเข้าถึงเป้าหมายได้หรือไม่ถึงเป้าหมายได้เท่านั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านวางธรรมไว้แล้วชี้ทางให้เราเดินกัน เราจะเดินกันไปเป้าหมายไหน เราจะเดินไปอย่างไร ถ้าเราเดินไปของเรา กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอีกหนหนึ่ง แล้วมีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติอีกหนหนึ่ง ทำไมเราทำของเราไม่ได้

ทฤษฎีผิด ให้มันผิดไป แต่เราไม่ไปตามทฤษฎีผิดอันนั้น เราจะเชื่อธรรมเป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่เชื่อมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิทำให้เราติดข้อง แล้วเราก็ลังเลสงสัย แล้วเราก็ก้าวเดินไม่ได้ ถ้าสัมมาทิฏฐินะ อธิษฐานบารมี อธิษฐานเลย เราต้องการนิพพาน ตักข้าวทัพพีหนึ่งก็ปรารถนานิพพาน

เขาบอก “ปรารถนานิพพานไม่ได้ ค้ากำไรเกินควร”

มันเป็นเรื่องของนามธรรม มันเป็นเรื่องของความรู้สึก แล้วที่ไม่ได้ตักบาตรเลย พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ตักบาตรเลย ทำไมเขาทำได้ล่ะ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติมา ทำไมไปได้ล่ะ? ไปได้เพราะท่านสร้างมาตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว แต่ในการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนั้น ท่านได้ทำอะไรขึ้นมา ถึงได้ตักบาตรขึ้นมาไหม เราตักบาตรทัพพีหนึ่งทำไมเราจะปรารถนาไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นความปรารถนา มันเป็นเป้าหมายของเรา เป้าหมายในศาสนาพุทธไง อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ อันนี้เป็นความเห็นถูกต้อง ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ ทำอะไรก็ว่าเป็นการค้ากำไรเกินควรๆ จะไม่ตั้งเป้าหมายเลย จะไม่ทำคุณงามความดีเลย จะไม่ปรารถนาจะดัดแปลงตนเลย จะไม่ปรารถนาจะขืนกิเลส ฝืนกิเลส ฝืนใจตัวเอง ฝืนทุกอย่างให้มันเป็นธรรมขึ้นมา แล้วใจนี้จะเป็นธรรม

ถ้าเป้าหมายของเราถูกต้อง ทฤษฎีเราถูกต้อง แล้วเราจะก้าวเดินไปถูกต้อง ธรรมวินัย สิ่งที่เป็นธรรมวินัยเป็นความถูกต้อง สิ่งที่เป็นสิ่งที่โมเมโมชั่นขึ้นมา นี่มืดบอดจากหัวใจแล้วก็เขียนมามืดบอด แล้วก็ทำความมืดบอด ได้ศึกษามาอย่างนั้น ถึงน่าสลดนะ ศึกษามาเป็นสิ่งที่ฝังใจ แต่ในเมื่อมาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็ยังเชื่อหลวงปู่มั่นอยู่ แต่สิ่งที่ฝืนขึ้นมามันก็คาใจอยู่ ถึงบอกว่าเป็นวาสนา ถ้าเราเข้าไป พื้นฐานเราดี พื้นฐานเราถูกต้อง เราจะไปถูกต้องมาก ถ้าพื้นฐานเราขัดแย้งนะ ทั้งๆ ที่เชื่อว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ก็ยังขัดแย้งไป ตายตั้งแต่นี้แล้วไปเกิดบนพรหม แล้วไปสิ้นบนพรหม

แล้วจะไปสิ้นได้อย่างไร หลวงปู่มั่นท่านเสียปี ๒๔๙๒ แล้วนี่มันกี่ปี แล้วอายุของพรหมมันเท่าไร แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรน่ะ มันขัดแย้งไปตลอดเลย แต่เขาก็ยังมีความเชื่ออันนี้ เอวัง