เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ส.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ.วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาโลกเขาเจริญ เขาค้นคิดกัน เขาค้นคิดทางนิวเคลียร์ ถ้านิวเคลียร์เพื่อสันติ โลกนี้เจริญมาก เป็นประโยชน์กับพลังงานมาก แต่ถ้าเอาไประเบิด เอาไปทำลายกัน อย่างโทรศัพท์มือถือเขาคิดค้นขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อธุรกิจ เพื่อความเจริญของโลก แต่ถ้าเด็กมันไม่เข้าใจ มันก็ใช้สิ่งนั้น ตอนนี้เด็กไม่มี แล้วพยายามเอาสิ่งนี้มาเล่นกัน มันก็เป็นเรื่อง เรื่องที่ว่าเด็กมันไม่เข้าใจนะ แต่คนที่ทุจริต คนที่ต้มตุ๋น คนที่หลอกลวงกัน เขาใช้เครื่องมือสิ่งนี้หลอกล่อให้คนเห็นไป

ของเขาเป็นกลางๆ ธรรมะ สภาวะธรรมชาติเป็นธรรมชาติเป็นอันหนึ่ง แต่มีกิเลสตัณหา จริงๆ แล้วกิเลสตัณหาก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันเป็นอกุศล มันเป็นความคิดฝ่ายผูกมัด แต่ความคิดฝ่ายผูกมัดก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เป็นธรรมชาติที่ว่าให้สัตว์โลกนี้เกิด ให้สัตว์โลกนี้ตาย เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แล้วอันนี้ ตรงนี้คนมองไม่เห็น แปรสภาพไง แปรจากอกุศลเป็นกุศล

นี่บอกว่า “ตัณหาความทะยานอยาก ถ้ามีความอยากอยู่จะภาวนาได้อย่างไร จะทำไม่ได้”

แต่ความอยากที่เป็นมรรค สิ่งนี้มันมีอยู่ มันถึงว่าตกจากโลกียะ โลกียะมันมีอยู่ เราเกิดมาจากโลก เราเป็นสภาวะแบบนี้ เราต้องแปรตรงนี้ไป สิ่งที่เราแปรตรงนี้ไป แล้วเด็กเวลามันใช้โทรศัพท์มือถือ มันเล่นของมัน มันเป็นความสนุกสนานของมันใช่ไหม เป็นความพอใจของมันใช่ไหม แล้วคนที่จะชี้บอกมันเป็นใครล่ะ? ก็ต้องพ่อแม่มัน ต้องครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนมัน

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ไอ้ตัณหาความทะยานอยาก ไอ้ธรรมชาติของกิเลสมันมีอยู่ มันก็ต้องคาดหมายผิด ต้องตามแต่กิเลส ต้องตามแต่ตัณหาความทะยานอยากของมันไป ทีนี้ถ้ามันมีครูบาอาจารย์ใช่ไหม หนึ่ง หรือว่าจะอีกอันหนึ่งก็จริตนิสัยอันนี้คือว่ามีอำนาจวาสนา มันจะใคร่ครวญของมัน

เด็กมันก็ไม่เป็นอย่างนั้นทุกคนเพราะอะไร เพราะเด็กบางคนมันเห็นประโยชน์ไม่เห็นประโยชน์ พอเด็กมันเห็นประโยชน์ มันรู้ว่าสิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์กับมัน มันอดกลั้น อดเปรี้ยวไว้กินหวานไง ศึกษาเล่าเรียนของเราไปก่อน โตขึ้นมาสิ่งนี้เราจะใช้เป็นประโยชน์ เราใช้เป็นประโยชน์ มันจะได้ประโยชน์ตรงนั้น เพราะเขาสร้างจริต เขาสร้างอำนาจวาสนาของเขา นี่แข่งอำนาจวาสนา แข่งกันไม่ได้ตรงนี้ไง ดูสิ ตำแหน่งราชการ คนที่ว่าโนเนมมาจากไหนไม่รู้ พรวดพราดขึ้นมาเป็นผู้บริหารเลย มันมาได้อย่างไร เพราะของเขาสร้างบารมีของเขามาเป็นสภาวะแบบนั้น

ถ้าพูดอย่างนี้แล้ว ทางโลกเขาวิจัย ตอนนี้โลกจะบอกเลย “ธรรมะสอนขึ้นมาให้เป็นการยอมจำนน สังคมจะมีความสุข นี่สอนให้ยอมจำนน”

ไม่ใช่ยอมจำนน เราทำของเรา ถ้าศาสนานี้สอนให้ยอมจำนน ศาสนามักน้อยสันโดษไม่ทำอะไร มักน้อยสันโดษในตัณหาทะยานอยากที่มันสะสมทุกข์ให้กับใจ แต่ต้องมีความเพียร มีความมุมานะ ถ้าไม่มีความมุมานะ มันจะมีความเพียรชอบ มีมรรคได้อย่างไร มรรค ความเพียรชอบ งานชอบ สิ่งที่จะก้าวเดิน

พระจักขุบาลนะ ภาวนาจนขนาดว่า หมอบอกถ้าไม่นอนนี่ตาบอดนะ ไม่นอนนี่ตาบอดนะ อย่างนี้มันไม่ทำความเพียรได้อย่างไร มันไม่แสวงหาได้อย่างไร นี่มันทำความเพียรอยู่ แต่กิเลส ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันแปรสภาพให้เข้ากับมันหมด เหมือนกับเด็กที่เล่นโทรศัพท์มือถือนั่นล่ะ มันจะเอาแต่ประโยชน์ของมัน มันจะคิดแต่ประโยชน์ของมัน แล้วมันก็จะภาวนาโดยที่ว่ามันก็วนเวียนอยู่ในโลกนี้โดยที่ว่าไม่เป็นตามความจริง

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะมีอยู่ สิ่งนี้มีอยู่ สภาวธรรมนี้เป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติก็มีอยู่ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือธรรมชาติ ถ้าไม่เหนือธรรมชาติ ทิ้งธรรมชาติไม่ได้

สภาวะนี้เราเกิดมาเป็นธรรมชาติหนึ่ง มนุษย์ก็เกิดมาโดยธรรมชาติอันหนึ่งนะ มันมีเหตุมีผลขึ้นมา มันก็แปรสภาพมาเป็นส่วนอันหนึ่ง สิ่งนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เราก็ใช้สิ่งนี้มาเพื่อค้นคว้า ค้นคว้านะ ค้นคว้าสิ่งที่มันเกิดมาในสภาวธรรมชาติ แล้วอะไรไปติดมันล่ะ

มันมีความรู้เหนือธรรมชาติเพราะมันไปรู้ เห็นไหม รู้ เราเป็นคนคิด เราเป็นคนค้นคว้า เราเป็นคนทดลอง เราเป็นคนพิสูจน์ สิ่งนี้เป็นความเป็นจริงหมด แล้วก็วางไว้ จิตอันนี้มันเป็นความยึดมั่นถือมั่นของมันภายในหัวใจ ถ้ามันคิดเข้าไป ย้อนกลับเข้าไปสภาวะภายในหัวใจของมัน มันจะเกิดสภาวธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สภาวธรรมแบบนี้

ถ้าสภาวธรรมแบบนี้ สภาวธรรมที่เราเห็นว่าเป็นโลกียะ โลกียะที่มันเกิดขึ้นมาจากกุศลอกุศลที่เราแปรสภาพ เห็นไหม แปรมัน แปรมันคือว่าเอามรรค เอาความอยากนี้ให้เป็นมรรค ความอยากนี้บิดเบือน บิดมันมาให้เป็นมรรคให้ได้ เป็นมรรคตรงไหน? เป็นมรรคตรงมีสติ ตรงมีการบังคับ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีการบังคับ มันไปประสามัน มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

ธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมะนี่ธรรมชาติอันหนึ่งคือการเกิดดับ สภาวะมันเป็นความจริง

ความคิดเราเกิดมาจากไหน เวลาเราทุกข์ ทุกข์มาจากไหน? มันก็เกิดดับในหัวใจ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันเกิดดับ แต่เราไม่เห็นมัน เราไม่รู้ เราเข้าใจมัน เราเลยยึดมัน เรายึดเพราะมีรสชาติ เพราะมีความพอใจ เพราะมีตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาเป็นสมุทัย นี่เข้าไปยึดมัน ทั้งๆ ที่มันเป็นธรรมชาตินะ แต่ถ้าเราไม่มีสภาวธรรมเป็นธรรมะส่วนบุคคล เป็นปัญญา เป็นภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา เราจะเห็นสภาวะแบบนี้ไม่ได้ แล้วเราจะปล่อยความเห็นความเป็นจริงอันนี้ไม่ได้ แต่ถ้าเราเห็นสภาวะตามความเป็นจริงอันนี้ นี่เราจะปล่อย

ว่าสิ่งนี้สภาวะของจิตมันเหนือกว่า มันเหนือกว่าสภาวะแบบนี้มันจะเห็นสภาวะตามความเป็นจริง สิ่งที่เป็นธรรมชาติแล้วทิ้งเศษเดนธรรมชาติไว้ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ สิ่งนี้เกิดจากธรรมชาติอันหนึ่ง

ชีวิตนี้สำคัญมาก ความตั้งใจ ความจงใจ การเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา แล้วมีศรัทธามีความเชื่อ อันนี้เป็นคุณสมบัติมหาศาลเลยนะ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศน์สอน เห็นไหม มีพระเอาลูกศิษย์ไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าได้มรรคได้ผล

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะถามว่า “ใครทรมานมา”

ใครทรมานไง ใครทรมานคือว่าใครจะหงายใจมันขึ้นมา เหมือนเราเลี้ยงลูก ลูกที่มันดื้อ มันไม่ฟัง เราจะทำอย่างไรให้มันเชื่อให้มันฟัง ถ้ามันเชื่อฟังนี่มันหงายภาชนะ แล้วมันต้องฝึกฝนของมัน หงายภาชนะเท่าไร แล้วบอกขนาดไหนมันก็ไม่รู้ ธรรมะนี่ศึกษาเล่าเรียนขนาดไหนก็ไม่รู้ มันเป็นสุตมยปัญญา มันเป็นขอบเขตของมัน มันเป็นขอบเขตความรู้ของโลก เป็นได้อย่างนี้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้อย่างนี้ แต่ปัจจัตตัง ภาวนามยปัญญา ธรรมที่เกิดจากภาวนามยปัญญา ธรรมที่เกิดจากการภาวนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปเรียนกับศาสดาต่างๆ ศาสดาต่างๆ สอนมหาศาลเลย บอกขนาดไหน ฟังขนาดไหน มันก็รู้อย่างเขา เพราะมันเป็นโลกียะ สมาบัติต่างๆ นี่รู้ ตอนเกิดมามีครูบาอาจารย์สอนเรื่องโลกก็รู้ เข้าใจหมดเลย แต่สิ่งนี้มันเป็นเรื่องวิชาชีพ สิ่งนี้เป็นการปกครอง เห็นไหม จะเป็นจักรพรรดิ จะปกครองโลก มันจะมีวิชาการ มีความเท่าทันคน จะมีวิชาการ มีต่างๆ ปกครองโลกได้ แต่ปกครองได้ ตัวเองน่ะหัวใจเป็นขี้ข้า เป็นกิเลสของโลก เป็นขี้ข้าของโลก เพราะมันต้องเกิดต้องตาย

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านเป็นสยัมภู โลกนี้ไม่มี โลกนี้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสมา ๓ องค์ก่อนหน้าล่ะ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ที่ ๔ ล่ะ แล้วองค์ต่อไปนี่พระศรีอริยเมตไตรยล่ะ สิ่งนี้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสิ่งนี้มา

ของธรรมะมันมีอยู่ เจ้าชายสิทธัตถะไปรู้สิ่งนี้ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา นี่ธรรมะมีอยู่ แล้วผู้ที่เข้าไปค้นคว้าที่เข้าไปเห็นอย่างนี้ มันละเอียดอ่อน เหมือนกับที่ว่าเราสอนลูกเรา หรือเราพยายามชี้แจงให้คนเข้าใจเรื่องสภาวะแบบนี้...จะชี้แจงขนาดไหนเขาก็รู้ไปไม่ได้ ถ้าเขาไม่หลับตา เขาไม่ทำสัมมาสมาธิเข้ามา แล้วเขาไม่ยกหัวใจขึ้นมาเป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณแล้วกลายเป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมา สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์

สิ่งต่างๆ ที่คิดค้นกันขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์โลก เพื่อประโยชน์โลก แต่กิเลสตัณหาถ้าเป็นฝ่ายบาปอกุศล มันก็เอาสิ่งนั้นใช้เพื่อเบียดเบียนกัน เพื่อทำลายกัน แต่ถ้าพูดถึง ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ก็ใช้สิ่งนั้นมาเพื่อเป็นประโยชน์ เพื่อโลกเป็นประโยชน์ นี่สิ่งที่ได้ประโยชน์ ชีวิตนี้สะดวกสบายขึ้นมา นี่ถึงเจริญมาก เจริญมาก

เจริญมากขนาดไหนนะ สิ่งที่เจริญก็ต้องเจริญควบคู่ไปกับหัวใจที่มีหลักมีเกณฑ์ ถ้าหัวใจควบคู่ไปกับหัวใจที่มีหลักมีเกณฑ์มันจะใช้สิ่งนี้เป็นประโยชน์ แล้วไม่เป็นเหยื่อ ไม่เป็นขี้ข้า ไม่เป็นสิ่งที่ต้องแสวงหามัน เป็นเหยื่อมัน แต่โลกเป็นแบบนั้น โลกความเป็นไปความเจริญอย่างนั้นต้องให้เขาเป็นอย่างนั้นไป

เราต้องลืมตาทางโลกด้วย แล้วลืมตาทางธรรมด้วยเพราะอะไร เพราะการเกิดมานี่เรามีโอกาสแค่ ๑๐๐ ปีเท่านั้น เราต้องตายไปแน่นอน สิ่งที่ตายไปแล้วมีอะไรติดมือไป ออกจากบ้านมา เดี๋ยวนี้มีบัตรเครดิตไปใบเดียวพอ แต่เมื่อก่อนออกจากบ้านมาต้องมีเสบียง ต้องมีเงินทองออกมาจากบ้านเรา เราออกไปจากบ้าน เราจะไปไหน เรามีของเราพร้อม เราจะอุ่นใจมาก ออกมาจากบ้าน ค่ารถก็ไม่มี ค่าอะไรก็ไม่มี ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย นี่คนมันทุกข์ร้อนไหม

เวลาเราจะตายเหมือนกัน ถ้าเราทำบุญกุศลไว้ เวลาตายอิ่มอกอิ่มใจนะ พร้อมที่จะตาย เพราะเรารู้ว่าเราทำอะไรของเราไว้ แต่ถ้ามีบาปอกุศล เราตายไปมีแต่ความแห้งแล้ง มีแต่ความแห้งแล้ง มีแต่ความกังวลนะ แล้วเราประพฤติปฏิบัติจนใจของเรานี่กิเลสมันตาย มันเห็นเลยว่า สิ่งที่ตายนี้เป็นสมมุติ ไม่มีอะไรตาย โลกนี้ไม่มีอะไรตาย เปลี่ยนสภาวะเท่านั้น ไม่มีอะไรตาย จิตนี้มันปล่อยวางแล้ว มันก็ต้องไปเกิดใหม่ๆ จนถึงที่สุด เห็นว่าจิตนี้ไม่เกิดอีกเลย

สิ่งที่ไม่เกิดมาอีกเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ เหมือนกับที่ว่าเขาคิดค้นเรื่องโทรศัพท์ไว้ วางไว้ แล้วเราใช้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ถ้าเราใช้ประโยชน์ขึ้นมา จนเราใช้เป็น เราทำเป็น เราเห็นเป็น เราทำของเราได้หมด แล้วเราคิดทำสิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ เป็นความสะอาดขึ้นมาในหัวใจ จนมันเหนือสิ่งนี้ แล้วมันวางสิ่งนี้ไว้ ไม่สนใจมัน นี่ใช้ประโยชน์มัน แต่ไม่เป็นขี้ข้ามัน

ใช้ประโยชน์มัน เห็นไหม ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน หัวใจนี้ก็เหมือนกัน เรามีแล้วเราเอามาวิปัสสนา เอามาทำประโยชน์ของเรา เราได้ประโยชน์แล้ว เราทิ้ง ทิ้งนี้ไว้ สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วน ขันธ์เป็นภาระอย่างยิ่ง ขันธ์ ขันธ์นี้มันเป็นสมมุติทั้งหมด จิตที่วิมุตติ จิตที่เป็นไป

ถ้าว่าจิตเป็นอัตตา จิต สิ่งที่มีอยู่ แต่มันถึงที่สุดแล้วสิ่งนี้สิ้นไป อาสเวหิ อาสวะสิ้นไป จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ

“แล้วนิพพานคืออะไร”

“นิพพานคือไม่มี ไม่รู้ ไม่เป็น ไม่ไป”

แต่ถ้ามันมีอยู่โดยสภาวะจิตอันนั้น แต่ถ้าบอก “จิตเป็นอย่างนี้ จิตเป็นอย่างนี้” นี่จิตนี้เป็นอัตตา เพราะมีตัวตนขึ้นมา ภวาสวะเกิดตรงนี้ อวิชชาเกิดตรงนี้ ตรงนี้เป็นฐานของความคิดออกไป ถ้าทำลายเข้ามาจะเห็นสภาวะแบบนี้ทั้งหมดเลย นี้คือสภาวธรรม

โลกเกิดมา ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจะเป็นประโยชน์ ถ้าคนเป็นประโยชน์นะ แล้วถ้าใจมันเป็นประโยชน์ เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี่ประเสริฐมาก มีศรัทธามีความเชื่ออันนี้ สิ่งนี้มีคุณค่ามากนะ

โยมกลับไปคิดว่า สิ่งที่ศรัทธาแล้วเชื่อในศาสนาจะมีคุณค่าขนาดไหน แล้วถ้าคนเขาไม่เชื่อ เขาไม่อะไร เขาจะไม่ได้ทำสิ่งนี้เลย...เชื่อ ต้องมีปัญญาด้วย ปัญญาใคร่ครวญว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด แล้วมันจะขยับขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป...เชื่อ ไม่มีศรัทธานะ...เชื่อ ไม่มีปัญญา มันก็เป็นไป สิ่งที่เขาลากไป เขาลากไป...เชื่อ ต้องมีศรัทธาด้วย ต้องมีปัญญาด้วย แล้วปัญญาใคร่ครวญมา

เห็นไหม ปัญญาสำคัญตลอด แต่ปัญญามันมีเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา แล้วจะเห็นตามความเป็นจริง แล้วมันจะลึกลับซับซ้อน มันจะเห็นว่ามันมหัศจรรย์มาก จะคุยกันต่อเมื่อผู้ที่ผ่านจะเข้าใจ ผู้ที่ไม่ผ่านพูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดให้คนที่ไม่เคยเห็นเข้าใจ เป็นไปไม่ได้เลย ถึงต้องค้นคว้าจากใจของเรานะ

สิ่งนี้มีอยู่ นี่มีหัวใจสำคัญ แล้วหัวใจเราก็มีอยู่ แล้วเราจะปล่อย เราจะอยู่เฉพาะโลก เกิดมาในสภาวะบุญมาก เกิดมาเป็นมนุษย์สมบัติแล้วก็ตายไป แล้วมีสิ่งใดติดไม้ติดมือไป เห็นไหม นี่วัฏฏะ นรกสวรรค์มีไม่มี จะรู้ รู้จากการประพฤติปฏิบัติ นี่เห็นหมด เห็นจากเหตุด้วย เห็นจากผลด้วย เห็นจากการทำลายด้วย เห็นจากการรื้อภพถอนชาติ เห็นในหัวใจทั้งหมด แล้วมันจะไปสงสัยสิ่งใดล่ะ แต่ถ้าเราอ่านตำรา เราก็จะสงสัยอย่างนี้ไปตลอดไป

นี้คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครทำได้ปฏิบัติได้จะเป็นธรรมของบุคคลนั้น สาวกะสาวกใจเหมือนกัน พระอรหันต์ครั้งพุทธกาลสิ้นกิเลสเหมือนกัน ในปัจจุบันถ้าสิ้นกิเลสก็ต้องเหมือนกัน แต่สภาวะโลกเปลี่ยนไป สภาวะต่างๆ เปลี่ยนไป เราถึงเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมีวิทยาศาสตร์ใคร่ครวญ มีปัญญาแล้วต้องใคร่ครวญใจของเราให้ได้ สร้างสมธรรมของเราขึ้นมาให้ได้ แล้วเราจะสมความปรารถนา เอวัง