เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o มิ.ย. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ.วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระนะ เกิดตรงวันพระ ถ้าเกิดตรงวันพระ เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วต้องเกิดในธรรมด้วย เวลาเราไปคุยกับพระนะ เวลาการประพฤติปฏิบัติเขาบอกว่าทำไมเราต้องทำกันขนาดนี้เชียวหรือ พระผู้ใหญ่ว่าการประพฤติปฏิบัติทำไมต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้เชียวหรือ เขาคิดของเขาไงว่าพระพุทธเจ้าสอนให้มัชฌิมาปฏิปทา เราก็มัชฌิมาปฏิปทา

แต่ก่อนโลกไม่เจริญ สมัยที่โลกยังไม่เจริญ การทำมาหากินต้องทุ่มกำลังนะ คนโบราณจะมีความขยันหมั่นเพียรมาก เพราะเครื่องอำนวยความสะดวกมันไม่มี เดี๋ยวนี้เครื่องอำนวยความสะดวกมันมากขึ้นมา คนเราก็ว่าสะดวกสบายมากขึ้น พอความสะดวกสบายมากขึ้นก็คิดว่ามัชฌิมาปฏิปทาจะเป็นอย่างนี้ไง คนเราจะอ่อนแอไปเรื่อยๆ อ่อนแอไปเรื่อยๆ อาศัยเทคโนโลยีไง

ความสุข ความเจริญ คนที่คิดได้ คนที่เขาคิดอย่างนี้ได้ เขาคิดของเขาได้ เพราะอะไร เพราะเขามีปัญญา แล้วเขาจะมีโอกาสเป็นประโยชน์ของเขามากเลย เป็นประโยชน์เพราะมันเป็นผลประโยชน์ใช่ไหม แล้วเราก็พึ่งพาอาศัยของเขาไป โลกเจริญ เจริญอย่างนี้ เจริญแบบเทคโนโลยีการพึ่งพาอาศัยกัน

แต่ถ้าหัวใจเจริญนะ สิ่งนี้เป็นเครื่องอยู่อาศัย ปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย แต่ใจนี้ ใจนี้ทุกข์ไหม ถ้าใจนี้ เกิดวันนี้เกิดได้เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา แล้วเราประพฤติปฏิบัติไหม การทำต้องทำอย่างนี้หรือ เพราะกิเลสมันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก สิ่งที่ละเอียดอ่อนมันอยู่ในหัวใจใช่ไหม

เราต้องทุ่มเทนะ ทุ่มเทเข้าไปเพราะอะไร เพราะว่าเราทำขนาดไหน คนเรามีการศึกษามากมีการศึกษาน้อยก็แล้วแต่ กิเลสมันอยู่หลังการศึกษา กิเลสมันอยู่หลังความคิดนั้น ศึกษามากมันก็ใช้ความคิดอันนี้เพื่อประโยชน์กับมัน ศึกษาน้อยมันก็ใช้ความคิดนี้เพื่อประโยชน์กับมัน จะคนฉลาดมากฉลาดน้อยก็เพื่อมันๆ เพราะเพื่อตัวตน เพื่อกิเลส เพื่อความอยู่รอดในสังคม เพื่อความอยู่รอดนะ แล้วถ้าจะเจือจานกัน มันก็เจือจานเป็นสภาวะของเขาไป

แต่ถ้าเราชำระกิเลสของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลาภมหาศาลขนาดไหน เจือจานโลกทั้งหมด สิ่งที่เจือจานโลก ให้โลกมีสิ่งนี้เพื่อเป็นเครื่องอยู่อาศัย เครื่องอยู่อาศัยนะ เขายิ้มแย้มแจ่มใส มีในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศน์สอนโยม ให้โยมกินข้าวก่อน ให้โยมมีความสุขสบายก่อนแล้วค่อยเทศน์สอนเขา นี่เวลาคนจะเอาพระไตรปิฎกมาอ้างนะ จะเอาจุดไหนมาอ้างล่ะ จุดที่ว่าคนเราต้องกินอิ่มนอนอุ่นก่อนแล้วค่อยประพฤติปฏิบัติ อย่างนี้ก็มี แต่ถ้าคนเรากินอิ่มนอนอุ่นแล้วค่อยมาประพฤติประปฏิบัติ คนที่มั่งมีศรีสุขมันก็ต้องมีการประพฤติปฏิบัติ คนเรามันอยู่ที่จริตอยู่ที่นิสัย อยู่ที่ความเป็นไปของกิเลสที่มันสะสมมาไง

ถ้าเราต้องดัดแปลงตนต้องดัดแปลงตนนะ คนไหนเข้มแข็งต้องเข้มแข็ง มันอยู่ที่ว่าจังหวะและโอกาสไง อุบายวิธีการ ถ้าเราทำซ้ำๆ ซากๆ อย่างนี้ กิเลสมันก็รู้ทัน ดูสิ ขนาดเราศึกษามาว่าเรามีปัญญามาก เราคิดได้มากนะ เราจะบริหารประเทศขนาดไหนก็แล้วแต่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย อำนาจเป็นความเร่าร้อนมาก ใครเข้าไปกอดอำนาจก็เหมือนกอดแท่งเหล็ก แต่ทุกคนก็ต้องเข้าไปสถิตอยู่อย่างนั้น

ดูนักปราชญ์เราสิ นักปราชญ์เราอยู่ในป่าในเขา อยู่ในที่สงบสงัด อยู่ในที่สงบสงัดเพื่ออะไร? เพื่อจะเอาชนะตนเองไง เราจะอยู่ในที่คลุกเคล้า กิเลสมันอาศัยแอบอิงกัน มันพึ่งพาอาศัยกัน มันว่าสิ่งนี้มันมีที่พึ่งอาศัย มันจะนอนใจมาก แต่ถ้าเราเข้าป่าเข้าเขา มันจะมีความคิดของมันนะ มันจะสังเวชของมัน มันจะตกใจของมัน มันจะกลัวของมัน สิ่งที่กลัว เราต้องเอาสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์ไง ถึงว่าเราเข้าป่าก็เพื่อเข้าป่า

การเข้าป่า ถ้าเราเข้าป่า ว่าป่านี้เป็นประโยชน์ทั้งหมด สัตว์มันอยู่ในป่า มันก็เป็นสัตว์ของมัน มันเกิดมาเป็นสัตว์ของมัน แล้วมันก็ดำรงชีวิตในป่าของมัน มันก็ตายของมันไปอย่างนั้น ทำไมมันไม่เป็นพระอริยบุคคลขึ้นมาล่ะ? เพราะเขาไม่มีปัญญาอย่างเรา เราอาศัยสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์กับเราไง เราเข้าไปเพื่อดัดแปลงตน เข้าไปอาศัยสิ่งนี้เป็นที่ดัดแปลงตนให้ใจมันอยู่กับตัวเราเอง

เวลาเราปัจจุบันนี้ ใจมันครอบไปโลกธาตุหมด มันคิดไปหมดนะ มันเกาะเกี่ยวไปหมดเลย แต่เวลาเข้าป่านี่มันกลัว พอกลัวก็ต้องย้อนกลับมาตรงนี้ไง ย้อนกลับมาฐานความคิด ความคิดที่ออกไปติดที่โลกมันออกไปจากไหน? ออกไปจากใจนี้ ถ้าออกไปจากใจนี้ มันคิดออกไปเพราะมันประมาท มันลืมตัว แต่เวลาเข้าป่า มันมีความกลัว มีความสงัด มีความวิเวก อันนี้มันจะเริ่มกลับมาหาที่พึ่งของมัน เพราะมันพึ่งใครไม่ได้แล้ว โลกนี้เขาก็อยู่ของเขาในเมือง เราอยู่ในป่าของเราคนเดียว เราต้องอาศัยเรา เราต้องรักษาของเรา มันจะมีสัตว์ป่า มีภัยไปทุกอย่าง

คนที่มีภัย เห็นไหม คือคนที่ไม่ประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ก่อนจะปรินิพพาน “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด พิจารณาสังขารอยู่เป็นนิจ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย” นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเอาสิ่งนี้มาเป็นคติเตือนใจเรา เราจะเกิดขึ้นมาจากในธรรม ในธรรมคือหัวใจมันไม่ว้าเหว่ ดูสิ เวลาเราอบอุ่น ในบ้านเราอบอุ่น สุดท้ายแล้วหัวใจเราว้าเหว่ไหม? หัวใจเราก็ว้าเหว่ มันไม่มีที่พึ่งอาศัยใช่ไหม

แต่ถ้าเราเกิดในธรรม มันจะว้าเหว่ไปไหน ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเจือจานกับความคิดอันนี้มา กิเลสเราทำลายมันหมดเลย แต่ทำลาย ทำลายอย่างไร ถึงว่า “จะต้องทำขนาดนี้หรือ” มันต้องมากกว่านี้เพราะอะไร เพราะขนาดที่ว่าถ้าเราทำมากเท่าไร กิเลสมันก็ขึ้นมาพร้อมกับความคิดเรา เห็นไหม กิเลสมันก็เหมือนสวะในน้ำ น้ำขึ้นก็ขึ้นตามน้ำ น้ำลงก็ลงตามน้ำ คนทุกข์คนยากก็ทุกข์ยากตามประสาน้ำลง น้ำแห้ง มันไม่มีความสะดวกสบาย คนมีความสุขมาก มีความเจริญ มีน้ำมาก สวะนั้นมันก็ลอยขึ้นมาในน้ำนั้น จะทุกข์ดีมีจนขนาดไหน สิ่งนี้มีอยู่ในหัวใจทุกคน มีอยู่ในหัวใจเพราะเราเกิดดีไง เราสร้างคุณงามความดีของเรา เรามีบุญกุศลขึ้นมาถึงเกิดมาเป็นแบบนี้ แม้แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ก็ประเสริฐแล้ว เพราะสิ่งที่ไม่ได้เกิดมาในโลกนี้ยังมีอีกมากมายเลย เพราะเขาเกิดในสถานะของเขา แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว สิ่งนี้ประเสริฐแล้ว แล้วเราจะลืมตาไหม เราจะประพฤติปฏิบัติไหม

ดูสิ ดูเรามาในวัด ผู้ที่สนใจในวัดมีขนาดไหน แล้วผู้ประพฤติปฏิบัติมันจะพ้นไปจากกิเลสได้มากขนาดไหน เพราะอะไร เพราะความจงใจของเราไง เชาวน์ปัญญานี้สำคัญมากนะ เชาวน์ปัญญามันจะใคร่ครวญของมัน สิ่งใดเป็นประโยชน์มันจะเก็บเป็นประโยชน์ ถ้าสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ ถ้ากิเลสมันเก็บสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์มาเป็นประโยชน์ ตัวอย่างอันเดียวกันนะ ผู้ที่มีปัญญามอง นี่จะสลดสังเวชมาก แต่ผู้ที่ไม่มีปัญญามอง มันต้องการสิ่งนั้น มันแสวงหาสิ่งนั้น

สิ่งนั้น ตัวอย่างที่เป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์กับคนที่มีปัญญา ตัวอย่างนั้น ถ้ามันเป็นโทษกับคนที่ไม่มีปัญญา แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์กับคนที่มีปัญญา อย่างที่ว่าข้อมูลข่าวสารต่างๆ ต้องรู้ทั้งหมด ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ใครคุมข้อมูลข่าวสาร คนนั้นจะคุมอำนาจของโลก นี่ข้อมูลข่าวสาร

แต่ถ้าข้อมูลข่าวสารเราไปรู้ขึ้นมาในการประพฤติปฏิบัติมันเป็นประโยชน์ไหมล่ะ เราต้องวางไว้ ข้อมูลข่าวสารวางไว้ก่อน วางอันนี้ วางไว้ แล้วมาดูตัวตนของเราให้ได้ก่อน ให้ทำสัมมาสมาธิ ให้เกิดจิตนี้สงบเข้ามาก่อน ถ้าจิตนี้มันสะอาดขึ้นมา ข้อมูลข่าวสารจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ แต่ถ้าข้อมูลข่าวสารเราสกปรกนะ ใจเรายังมีตัณหาความทะยานอยากอยู่ มันต้องการข้อมูลข่าวสารนั้น แล้วมันจะพลิกแพลงข้อมูลข่าวสารให้ตามความเห็นของมัน มันต้องการให้อยู่ในอำนาจของมัน แล้วมันควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าผู้ที่ใจสะอาด ข้อมูลข่าวสารนั้นจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นไม่ไปพลิกแพลง ไม่ต้องการอดีตอนาคตกับข้อมูลข่าวสารนั้น ดูข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นตามความเป็นจริง ข้อมูลข่าวสารเริ่มต้นมันจะเป็นโทษมาก แต่ถ้าเราทำใจของเราให้มีหลักฐานของเรา เราจะเป็นประโยชน์มาก

โลกเขาบอกว่า เดี๋ยวนี้เด็กต้องคิดเป็น คนเราต้องบริหารเป็น...จะบริหารเป็น บริหารด้วยกิเลสอันหนึ่ง ถ้าบริหารด้วยกิเลส เป็นอุปกิเลส ประพฤติปฏิบัติขนาดไหน สว่าง ว่างขนาดไหน โล่งขนาดไหน ถ้ามีตัวตนอยู่ เห็นไหม ความว่าง อัพโภกาสิกังคะ สิ่งต่างๆ มันเป็นความว่าง มันเป็นความสว่างไสว สิ่งที่สว่างไสว ใจนี้ติดหมดเลย ถ้าโลกียะเป็นแบบนั้น ทำขึ้นมาถึงที่สุดแล้วก็มาติดอุปกิเลสของตัวเอง ติดในความเห็นของตัวเอง ติดความสว่างของตัวเอง ติดความว่างของตัวเอง ความว่างอันนี้มันอยู่ใต้กฎของอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้มันแปรสภาพของมันตลอดไป สิ่งที่แปรสภาพอยู่มันจะคงที่ได้อย่างไร

ถ้าใจแปรสภาพอยู่ เราเกิดตายนี้ก็แปรสภาพอยู่ เกิดมาทุกคนต้องตายหมด สิ่งที่ตายไป แล้วต้องเกิดหมด เว้นไว้แต่พระอรหันต์เท่านั้น พระอรหันต์ตายแล้วจะไม่เกิดอีก แต่เกิดมาแล้วต้องชำระสิ่งนี้ให้ได้ สรรพสิ่งนี้เป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าใจเราหลุดพ้นสิ่งนี้ไปแล้วนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องของวัฏฏะไง เรื่องของวัฏฏะคือเรื่องของการเกิด เหมือนต้นไม้มันเกิดในแปลงของมัน เหมือนหญ้าเกิดมา เห็นไหม สิ่งนี้เกิดในวัฏฏะ คือเป็นไปตามธรรมชาติของเขา สิ่งที่เป็นวัฏฏะ เราถึงว่า โทษของวัฏฏะคือมันต้องเกิดอย่างนี้ มันต้องเป็นไปอย่างนี้ เราถึงวางไว้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ ไม่ไปสนใจกับมันไง อยู่กับเขาโดยไม่ติดเขา ถึงว่าเหมือนกับน้ำบนใบบัว อยู่กับใบบัว แต่ไม่ติดกับใบบัวนั้น เพราะโลกนี้เป็นอย่างนี้ วัฏฏะเป็นอย่างนี้ เข้าใจตามวัฏฏะเป็นอย่างนี้ ถ้าทำใจของเราได้อย่างนี้ นี่พ้นออกมาจากความเป็นจริงไง

ไม่ใช่ว่าเป็นความว่างอย่างนั้น เพราะเป็นความว่าง เราติดไง เราจะรู้สิ่งใดต่างๆ มันมีอัตตานุทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นของเรา เวลาพระปฏิบัติคุยกัน สนทนาธรรมกัน ความว่าง ใครจะว่างกว่ากัน ใครจะใสกว่ากัน ใครจะละเอียดกว่ากัน สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ติดหมดเลย เพราะมันมีความรู้ว่าว่าง รู้ว่าของเราเป็นสภาวะแบบใด แต่ถ้ามันพ้นออกไปจากนี้ มันเป็นน้ำบนใบบัว มันไม่ติดสิ่งต่างๆ มันเข้าใจตามความเป็นจริง แต่ก็สื่อความหมายได้

ธรรมนี้ต้องสื่อความหมายได้ ต้องเป็นประโยชน์กับโลกได้ ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับโลก ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างเป็นบารมีขึ้นมาเพื่อเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง การรื้อสัตว์ขนสัตว์ เอาอะไรไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้าไม่มีมัคคา ไม่มีทางอันเอก ถ้าไม่มีมัคโคเครื่องดำเนิน จะเอาอะไรไปรื้อสัตว์ขนสัตว์

การที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์โลกคือสัตตะ คือคือสัตว์ที่ข้องอยู่ ใจนี้มันข้องอยู่ ความว่างก็ข้องอยู่ สิ่งต่างๆ ที่รู้อยู่มันก็ข้องอยู่ ใจนี้ข้องอยู่ แล้วเอาอะไรรื้อค้นอันนี้ นี่สัตว์โลกคือความรู้สึกคือตัวใจนี้ สัตตะความเกิด เกิดเป็นสัตว์โลกในวัฏฏะนี้เป็นสัตว์ทั้งหมด ติดทั้งหมด สัตตะคือความติดในหัวใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเอาธรรมอันนี้มา แต่ธรรมอันนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าธรรมของเราล่ะ ถ้าธรรมของเรานะ เราศึกษาเล่าเรียนขนาดไหนนี่ยืมมา กู้ยืมมา มันต้องไม่เป็นไป นี่กู้ยืมมา เห็นไหม ของเราเวลาทำบุญกุศล สร้างบุญกุศล เราทำอยู่ในสภาวธรรม สิ่งที่เป็นสภาวธรรมมันก็เป็นไป หมุนไป

กู้ยืมมามันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นความเป็นไปในวัฏฏะนี้ แต่ถึงที่สุดแล้ว ธรรมของเราเกิดขึ้นมา เราไม่ได้กู้ยืม มันเป็นไปจากสัจจะความจริงอันนี้ ปัญญามันเกิดขึ้นมาจากอันนี้ ปัญญาจะเกิดขึ้นมาได้มันต้องมีความชำนาญ เห็นไหม เริ่มต้นการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีอำนาจวาสนา มันจะว่าง มันจะปล่อยวางเป็นครั้งเป็นคราวไป สิ่งที่เป็นครั้งเป็นคราวไปมันเป็นการยืนยันกับใจดวงนี้ว่าใจดวงนี้ นี่ธรรมะมีจริง ความสงบมีจริง ความว่างมีจริง ความว่างที่เกิดขึ้นมาจากที่มันเป็นไป สภาวธรรมอันหนึ่ง ความว่างจากที่เราบริหารมันอันหนึ่ง คือเราควบคุมมัน เราใช้ประโยชน์อันนี้ เราใช้กำหนดขึ้นมา เราควบคุมมัน เห็นไหม มีสติ ความมีสติความตั้งมั่นขึ้นมา ถ้าใจตั้งมั่นขึ้นมายกขึ้นวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาได้ มันจะเป็นอย่างนั้น

ความช่ำชองของใจ ใจจะวิปัสสนา จะใคร่ครวญสภาวะกายกับจิตปล่อยวางขนาดไหน ใคร่ครวญไป มันจะเห็น เราทำกับมือ เราควบคุมกับมือ เราทำอย่างนั้น แล้วถ้ามันปล่อยวาง มันปล่อยวาง มันมีเหตุผลไหม ถ้าไม่ปล่อยวาง ไม่มีเหตุผล มันก็ตกอยู่ในใต้กฎของกุปปธรรม คือเป็นอนิจจังตลอดไป

แต่ถึงที่สุดถ้ามันพิจารณาไป ปล่อยวางไป ปล่อยวางไป ถึงที่สุดมันขาดนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันปล่อยวางไปเป็นอกุปปธรรมนะ จากสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอกุปปธรรมนะ มันถึงจะเป็นสิ่งที่ว่าคงที่ตลอดไป ถ้าสิ่งนี้คงที่ขึ้นมา ความว่างอันนี้ใครเป็นคนรู้ล่ะ ความว่างอันนี้มันว่างอย่างไร? ว่างมันมีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่างเฉยๆ แต่พูดแต่ว่าว่างเฉยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่มีความเป็นไปไง ถ้าไม่มีเหตุไม่มีผล มันก็ไม่มีมรรคเครื่องดำเนิน ความเป็นไปอันนี้มันไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่ธรรมส่วนบุคคลไง

ธรรมะเป็นธรรมส่วนบุคคล มัคโคอันนี้จะชำระให้สัตตะที่ข้องในหัวใจนั้นพ้นออกไป จิตปฏิสนธินะ เสียงกระทบหูโสตวิญญาณเกิดขึ้น วิญญาณหยาบๆ สิ่งที่โลกเขาเสพกันอยู่มันเป็นเรื่องของหยาบๆ มาก มันเป็นเรื่องกระทบกับอนัตตาไง เรื่องกระทบของจิตไง สิ่งนี้เป็นเรื่องของหยาบๆ แล้วจิตปฏิสนธิมันย่อยสลายความหยาบเข้าไปสะสมในจิตปฏิสนธิอันนี้ แล้วจิตปฏิสนธิอันนี้มันก็ไปเกิดในครรภ์ของมารดา ไปเกิดในวัฏสงสาร ไปเกิดในโอปปาติกะ ไปเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นอินทร์ เป็นพรหม แล้วถ้าเราวิปัสสนาเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามาถึงที่สุด ถึงตัวมันเอง แล้วมันเกิดในธรรมไง

วันนี้วันเกิดนะ เกิดพบพระพุทธศาสนา เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นอริยทรัพย์ เพราะมีสมบัติอันนี้ แล้วมีใจอันนี้ ได้ฟังธรรมขณะนี้ ธรรมขณะนี้ให้มันสะเทือนใจ แล้วประพฤติปฏิบัติให้เกิดในธรรมไง ถ้าใจเกิดในธรรมนี่เป็นสมบัติส่วนตน ใจดวงนี้เป็นธรรม ครูบาอาจารย์บอกนว่า เอโก ธัมโม ใจเป็นเอก ใจเป็นหนึ่งเดียว ใจนี้ ปฏิสนธิอันนี้ไม่ไปอีกแล้วเพราะอะไร เพราะมันไม่มียางเหนียวไง มันไม่มี อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันเป็นอวิชชา คือมันไม่รู้ตัวมันเอง รู้เหมือนรู้ ไม่รู้เหมือนรู้อยู่อย่างนั้น แล้วมันก็กลิ้งไปตามวัฏฏะอย่างนี้ แล้วพอมันเปิดตาอันนี้ขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นวิชชา มันเป็นความรู้แจ้ง

มันรู้แจ้ง มันไม่ใช่ว่าว่างหรือสว่างขนาดไหน มันรู้ว่าความว่างด้วย รู้ผู้ติดความว่างด้วย รู้การปล่อยความว่างอันนั้นด้วย แล้วตัวมันเองเป็นอิสระจากตัวมันเอง มันถึงพ้นออกไปจากสมมุติบัญญัติทั้งหมด มันไปกล่าวสื่อออกมาไม่ได้ เพียงแค่ว่าจิตนี้จิตเสวยไง เสวยอารมณ์ จิตนี้เสวยขันธ์ แล้วก็สื่อออกมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจที่สิ้นไปแล้วนิ่มนวลมาก ละเอียดอ่อนมาก จนไม่สามารถสื่อกับโลกนี้ได้

แต่ถ้าจะสื่อออกมา ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนหลวงปู่มั่นในประวัติหลวงปู่มั่นล่ะ สิ่งนี้มันก่อตัวได้โดยเจตนา มโนสัญเจตนาหาร สิ่งที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นมโน เป็นตัวของจิต เสวยอารมณ์ไง มโน ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นสถานะ แล้วก็มีเจตนาที่ออกมาสื่อความหมายอันนี้ แม้แต่ดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ยังมีอยู่ สิ่งนี้มีอยู่แล้วสื่อกับความหมายอันนี้ได้

แต่ถ้าใจของเราในปัจจุบันที่มันปล่อยหมด มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นเนื้ออันละเอียดอ่อนอันนี้ที่ไม่สามารถสื่อออกมาได้ แต่ก็เข้ามาในสมมุตินี้ บัญญัตินี้ แล้วสื่อออกมาเป็นบัญญัติ แล้วใจเราเกิดในธรรมอย่างนี้ ทำไมจะไม่มีความสุขมาก

นี่เกิด เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เทวดาเขาอวยพรกัน ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์เถิด เวลาจะหมดอายุขัย แล้วให้พบพระพุทธศาสนาด้วย เพื่อจะบำเพ็ญประโยชน์ขึ้นไปให้เกิดเป็นเทวดาอีก เพราะเทวดามีปัญญาเท่านั้น ปัญญาเขารู้ว่าเขาเกิดเป็นเทวดา เขามีตัวตนของเขา แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ด้วย พบพระพุทธศาสนาด้วย แล้วพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย พบครูบาอาจารย์ด้วย บอกว่าเกิดอีก แล้วไม่ใช่สร้างสมบารมีไปเกิดเป็นเทวดา เกิดอีกแล้วพยายามทำใจดวงนี้ให้เกิดในธรรม ถ้าเกิดในธรรม ใจนี้เป็นธรรมทั้งแท่งแล้วจะไม่เกิดอีกเลย เอวัง