เทศน์เช้า วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเราเกิดมา เวลาเด็กเกิดขึ้นมามันก็มีแต่ความพอใจของเด็ก ทุกคนผ่านจากชีวิตของความเป็นเด็กมาแล้วทั้งนั้น เราเป็นเด็ก เราเป็นผู้ใหญ่ แล้วเราต้องตายไป สิ่งที่ตายไป เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นความจริง จริงตามสมมุติ วิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์กันอย่างนี้ พิสูจน์ว่าคนเกิดมาจากไหน พยายามพิสูจน์คนเกิดมาจากไหน แล้วอย่างเทคโนชีวภาพพยายามจะคิดจะทำกันนะ ทำอย่างไรก็แล้วแต่มันต้องมีจิตมีวิญญาณมาเกิด ถ้าไม่มีจิตมีวิญญาณมาเกิดสิ่งนี้จะเกิดขึ้นมาอย่างไร สิ่งที่เล็กที่สุดต่อไปจะมีอำนาจที่สุด แล้วเวลาความรู้สึกของเราเล็กที่สุด ละเอียดอ่อนที่สุดนะ เครื่องมือที่จะใช้จะใช้กับอะไร
ถ้าเราเป็นชาวพุทธเราจะประพฤติปฏิบัติ เครื่องมือของเรานี่จากศรัทธาความเชื่อก่อน ถ้าเรามีความเชื่อนะ คนเรานี่เริ่มแต่ตาสีตาสาเขาก็กลัวนะ เกิดมาแล้วตายไปจะกินอะไร ก็ทำบุญทำทาน เห็นไหม ความเชื่อเขาได้แค่นั้นนะ เชื่อว่าเราสะสมบุญกุศลไว้เพื่อเราเกิดไปข้างหน้าเราจะได้มีความสุขบ้าง เกิดมาชาตินี่ทุกข์ยากมาก ถ้าเกิดไปชาติหน้าขอให้มีความสุข นี่ความคิดของเขาคือศรัทธา ศรัทธาความเชื่อ ทาน ศีล ภาวนา ถ้ามีศีลมันก็เริ่มบังคับตัวเองได้ สังคมจะมีความสงบสุขได้
ประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละชาติบางทีนี่รัฐธรรมนูญเขาไม่ต้องเขียนเป็นตัวอักษร แต่เป็นประเพณีของเขา เขาถือตามประเพณีของเขา เขารักษาของเขาได้ นี่ประเพณีถ้าเป็นในสังคมนั้นมีประเพณี เพราะอะไร? เพราะประเพณีนั้นบังคับอย่างนั้นโดยที่ว่าไม่เข้าใจว่าศีลเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราเข้าใจว่าศีลเป็นอย่างไร ประเพณีเป็นส่วนหนึ่ง ประเพณีนี้ทำตามประเพณี พื้นที่หนึ่งก็เป็นอย่างหนึ่งๆ แต่ถ้าเรามีศีลของเราศีล ๕ นี่จะเข้าพื้นที่ไหน เราก็สำรวมระวังของเรา ถ้าเราสำรวมของเรา ศีลเข้าได้ทุกพื้นที่ นี่ถึงว่าผู้มีศีลจะมีความองอาจกล้าหาญ เข้าได้ทุกสถานที่
ศีล สมาธิ การทำสมาธิ เห็นไหม เริ่มจากทาน ศีล ภาวนา ถ้าความสมาธินี่ บอกว่าเวลาเราจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ นี่เราจะเริ่มต้น... จาก ๑๐๐ กิโลเมตรนี่ เราจะเดินเริ่มต้นจากกิโลเมตรที่ ๑ ถ้าเราก้าวเดินจากกิโลเมตรที่ ๑ เราจะมีความผิดไหม? ไม่มีความผิด แต่ในเมื่อเราก้าวเดินกิโลเมตรที่ ๑ เราจะถึงกรุงเทพฯ ไหม? มันไม่ถึงโดยธรรมชาติใช่ไหม แต่เราก็ต้องก้าวเดินตาม แล้วเริ่มต้นจากกิโลเมตรที่ ๑ ไปแล้วมันจะเป็นกิโลเมตรที่ ๒ ที่ ๓ ไป จนจะถึงกรุงเทพฯ ได้
นี่ก็เหมือนกัน ทาน ศีล ภาวนา ถ้าเราไม่มีความศรัทธา เราไม่มีความเชื่อ นี่เราว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หยาบๆ สิ่งที่หยาบๆ มันก็ทำให้เกิดสิ่งที่ละเอียดขึ้นมาได้ ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราเริ่มทำความสงบ เราจะมีเครื่องมือสิ่งใด เครื่องมืออย่างหยาบก็ใช้กับสิ่งที่เป็นหยาบๆ เครื่องมืออย่างละเอียดก็ใช้สิ่งที่อย่างละเอียด ถ้าเราทำสมาธิของเราขึ้นมาได้ เราจะมีสิ่งเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราทำสมาธิของเราขึ้นมาไม่ได้ เราคิดขนาดไหน เราทำขนาดไหนมันก็เป็นอามิสไง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความคิดจากความต้องการ สิ่งที่เป็นความคิดความต้องการนี่ ในการปฏิบัติฝ่ายหนึ่งก็บอกถ้ามีความอยากปฏิบัติไม่ได้
แต่ครูบาอาจารย์ของเราบอกว่ามีความอยาก แต่อยากในเหตุไง ถ้าเราไม่มีความอยากเราจะมีความต้องการสิ่งใดล่ะ เรามีความอยากเพราะสิ่งนี้มันฝังมาอยู่กับหัวใจ มันมีอยู่โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ ถ้ามีอยู่โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ สิ่งนี้เราไม่สามารถจะหักห้ามมันได้ เราก็ต้องแปรสภาพของมัน เราเบี่ยงเบนให้มาเป็นฝ่ายเหตุ เบี่ยงเบนมาให้เป็นมรรค ถ้าเราเบี่ยงเบนมาเป็นมรรค เห็นไหม
เครื่องมือชั้นที่ ๑ เครื่องมืออย่างหยาบ กำหนดพุทโธๆ จิตมันสงบได้ จิตนี้สงบมันจะเป็นนิพพานได้ไหม? ไม่ได้ สิ่งที่จิตสงบเป็นนิพพานไม่ได้ แต่มันเป็นเครื่องมืออันหนึ่ง ถ้าเราไม่มีเครื่องมือเราจะไปทำสิ่งใด เราจะทำอาหาร ในครัวเราไม่มีเครื่องครัวเลย เราจะทำอาหารเป็นไปได้ไหม? ถ้าเราเข้าครัวของเรา เรามีเครื่องครัวในเครื่องครัวเรามากมายเลย นี่สมาธิ แล้วถ้ามันเกิดเป็นปัญญาขึ้นมาล่ะ เครื่องครัวนะเครื่องครัวเปล่าๆ มันทำอาหารได้ไหม? เครื่องครัวเปล่าๆ มันไม่มีอาหารมาปรุงเป็นอาหารมันก็เป็นอาหารไปไม่ได้ มันต้องมีสิ่งที่ว่าเครื่องมือเป็นอาหาร แล้วทำสิ่งที่เป็นอาหารขึ้นมา นี่ถ้าเราปรุงอาหารขึ้นมาสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา
ก่อนที่เราจะสร้างบ้านสร้างเรือน เขาจะหาไม้หาไร่มาทำบ้านทำเรือน เขาต้องไปโค่นป่าๆ เขาต้องเลื่อย เขาต้องทำสิ่งนั้นมาเป็นไม้ขึ้นมา เราก็ไปได้ไม้นั้นมา เราซื้อไม้นั้นมา นี่โค่นป่า เหมือนกับเราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีบุญกุศลมาก เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์เราก็มีไม้มา แต่มนุษย์นี่ได้มาจากไหน? ได้มาจากบุญ บุญเกิดเป็นมนุษย์ นี่ก็เหมือนกัน ไม้ที่มาจากป่าพ่อค้าเขาไปโค่นมาจากป่า เขาก็มาขายให้เรา เราหามาสิ่งนั้นเรามีเงินมีทองไปซื้อสิ่งนั้นมา
เราเป็นมนุษย์ขึ้นมา แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมา เราได้ไม้มาเราก็ไม่กล้านะ ไม่กล้าจะเลื่อยไม่กล้าจะบาก เพราะว่าไม้นั้นมันสมบูรณ์ของมัน ถ้าเราเลื่อยเราบาก ไม้นั้นจะแหว่งไม้นั้นจะเสียหาย เราไม่สามารถบากต้นเสา เราไม่สามารถบากไม้ได้ เราจะสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมาไม่ได้หรอก
นี้ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเรานี่เราจะให้เรียบง่ายนะ เราจะไม่มียอมความทุกข์เลย เราทำไมทำด้วยความสะดวกสบาย มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราจะสร้างบ้านสร้างเรือน เราต้องบาก ต้องทำสิ่งต่างๆ จนกว่ามันจะก่อขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเรือนได้ ในการทำความสงบของใจ ถ้าเราไม่ทำลายกิเลสของเราเลย เราประพฤติปฏิบัติ จะมีศีลก็เป็นความลำบาก จะนั่งสมาธิก็เป็นความลำบาก เราจะไม่กล้าบากไม่กล้าทำอะไรกับหัวใจของเราเลย
เราจะต้องการให้หัวใจของเราสมบูรณ์อย่างนี้ แล้วก็นิพพานไปเดี๋ยวนี้ไง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่มีการก่อสร้าง มันไม่มีการเลื่อยไม่มีการถากถางต่างๆ มันจะเป็นประโยชน์ไปได้อย่างไร มันจะก่อสร้างบ้านสร้างเรือนก็เป็นไปไม่ได้ นี่อิฐ หิน ปูน มาดีๆ เห็นไหม ช่างเขาจะแกะ เขาจะเทออกมาเป็นกอง เขาจะทำอะไร เขาจะผสมกันขึ้นมาให้มันเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมาได้
ไอ้เราถ้าเขามาส่งปูนขึ้นมาก็เป็นถุง เห็นไหม เราก็ไม่กล้าแกะปูนถุงนั้น แกะไม่ได้นะ เพราะมันแกะแล้วชำรุดทรุดโทรม ถ้าเราไว้อย่างนี้มันจะเป็นปูนอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะประกอบเป็นบ้านขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ ช่างที่เป็นเขาจะประกอบขึ้นมาเป็นบ้าน เขาจะแกะถุงนั้นออกมา เขาจะเทปูนออกมาผสมกับทรายกับหินกับปูนกับน้ำต่างๆ แล้วประกอบขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเรือน ต้นเสาก็บากก็ถากอย่างนั้นขึ้นมา
การประพฤติปฏิบัติมันต้องดัดแปลงใจของเรา เราต้องการความสะดวกสบายทุกคน ทุกคนต้องการความสะดวกสบาย แต่มันสะดวกสบายอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าไม่ทำอะไรเลยแล้วเราจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ เราไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่เราคิดของเรา นี่โลกียะ สิ่งที่เป็นโลกียะคิดจากความคิดของเรา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกกับพระไว้นะ เวลาสอนพระ นวดดิน ดินเราจะขยำ เราจะนวด เราจะขยำดิน เราจะนวดดินนั้นจนกว่ามันจะควรแก่การงาน จะไม่ถนอมหรอก จะตีจะนวดสิ่งนั้นให้มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังพูดคติธรรมไว้อย่างนี้นะ ต้องทำอย่างนี้ขึ้นมามันถึงจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้าไม่ทำอย่างนี้ขึ้นมา ดินขึ้นมานี่เป็นก้อนเลยผสมน้ำขึ้นไปแล้วจะปั้นเป็นโอ่งเป็นไห มันก็รั่วมันก็เป็นไปไม่ได้ เราก็จะมากึ่งๆ กันอยู่อย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติของเราจะไม่เห็นผลก็เพราะว่าเราทำไม่จริง แล้วเราไม่กล้ากระทำกับเรา สิ่งที่จะเป็นประโยชน์เราก็กลัวสิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับเห็นว่าเป็นประโยชน์นะ เห็นว่าเป็นประโยชน์ เห็นว่าสิ่งที่เราปรารถนาเราต้องการสิ่งนี้เป็นประโยชน์ เราอยากมีความทุกข์ นี่เหมือนเด็กๆ เวลาเด็กๆ มันคิดประสาของมัน ประสาเด็กๆ แต่มีพ่อแม่เลี้ยงดูมันก็สบายของมัน ตอนเราโตขึ้นมาสิ เราต้องมาหาเลี้ยงชีพของเราเอง
นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ เราอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์คอยชี้นำมันก็คอยชี้นำ แต่เวลาเราออกป่าอยู่คนเดียวล่ะ หลวงตาถึงบอก ในตำราบอกว่าห้ามติดบุคคลนะ ต้องติดธรรม เราต้องเชื่อธรรมอย่าไปติดบุคคล แต่ครูบาอาจารย์บอกว่า ถ้าถึงเวลาติดบุคคลต้องติดบุคคลไปก่อน เหมือนเด็กต้องอาศัยพ่อแม่ไปก่อน พออาศัยพ่อแม่ขึ้นไป พอเราสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เรามีครอบครัวเราอยากจะเป็นอิสระ เราไม่อยากอยู่กับพ่อแม่หรอก
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันพ้นจากนั้นไป มันจะเป็นอิสระของมันนะ ถ้าปัญญามันก้าวเดินออกไปได้ มันต้องการเวลาของมัน มันไม่ต้องการความคลุกคลี สิ่งที่คลุกคลีมันเบียดเบียนมันกินเวลาของเราไป เราต้องการเวลานั้นเพื่อจะย้อนกลับมาพิจารณาใจของเรา นี่ถึงเวลาจังหวะหนึ่งโอกาสหนึ่งเราต้องพึ่งพาอาศัย เราก็ต้องพึ่งพาอาศัยไปก่อน เราจะว่าเป็นเด็กขึ้นมาไม่ต้องศึกษาไม่ต้องเล่าเรียนเลย ทำงานเป็นไปเลยนี่ มันก็เป็นไปได้ไหมล่ะ มันจะเป็นไปได้ต่อเมื่อเด็กนั้นมีความจำเป็น เช่น เขาเกิดมาเขากำพร้าขึ้นมา เขาก็ต้องแสวงหาชีวิตของเขาไปอย่างนั้น จะว่าไม่ได้เลยมันก็ได้อยู่ แต่ถ้ามันมีพ่อแม่เลี้ยงดูเขาก็จะมีโอกาสได้มากกว่าใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีครูบาอาจารย์ชี้นำ มันก็จะได้มากกว่าอย่างนั้น ได้โอกาสมากกว่าอย่างนั้น ถ้าบุกเบิกเองเห็นไหม หนึ่ง เนิ่นช้า สอง ทำให้หลงทางได้ แต่ครูบาอาจารย์เคยผ่านสิ่งนี้มา ใจดวงหนึ่งใจดวงที่มีกิเลสในหัวใจมันเร่าร้อนขนาดไหน แล้วมันชำระกิเลสออกไปจากใจนะ มันจะซึ้งจากใจดวงนั้นมาก ทุกยากขนาดไหน มันจะรู้ว่าเหมือนพ่อแม่ที่ทำงานมาห่วงลูกห่วงหลานมากนะ เพราะเราอยู่ในสังคมเรารู้ว่าสังคมมันมีความพลิกแพลงขนาดไหน แล้วลูกเราก็ต้องไปยืนกับสังคมนั้น ทุกคนจะเป็นห่วงลูกของตัวเองมาก
ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมานี่ กิเลสในหัวใจมันพลิกแพลงมันหลอกเราขนาดไหน มันซึ้งใจมาก แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมามันต้องผ่านเส้นทางนี้มา มันจะโดนกิเลสของมันหลอก แล้วมันก็ไม่รู้ว่ากิเลสของมันหลอกนะ มันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม จนกว่ามันเสื่อมไป จนกว่ามันล้มลุกคลุกคลาน มันก็นั่งหน้าแห้งมีแต่ความทุกข์ นี่ก็นั่งมองตากัน ครูบาอาจารย์ก็สงสารไม่รู้จะทำอย่างไร
แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ถ้าเชื่อ มันจะแก้ไขสิ่งนี้ไป นี่คือการพึ่งพากันไง สิ่งที่พึ่งพากันในศาสนาเรา ถึงว่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เกี่ยวเนื่องกัน พึ่งพาอาศัยกัน พึ่งพาอาศัยกันเพื่อจะให้เราพ้นจากกิเลสให้ได้ พึ่งพากันจนกว่า... ถ้าเราจริตนิสัยเราไม่ได้เราก็สร้างสมให้อินทรีย์เราแก่กล้า ให้เรามีโอกาสไปข้างหน้า ถ้าเรามีโอกาสไปข้างหน้านะ
เกิดมาแล้วไม่ทำสิ่งใดไว้เลย ทำแต่เรื่องของโลก มันก็เป็นโลกียะอย่างนั้น ถ้าเกิดมาสร้างสมแต่สิ่งนี้ไว้ ทำไมคนนั้นเกิดมามีปัญญามีเชาวน์ปัญญามาก เชาวน์ปัญญาของเขาเพราะเขาสร้างของเขามา เวลาเขาพูดอะไรก็แล้วแต่เด็กคนนั้นจะจับสิ่งนั้นแล้วคิด นี่คืออำนาจวาสนาของเขา เขาจะเก็บทุกอย่างเขาจะรู้ทุกอย่าง แล้วเขาจะเข้ามาเปรียบเทียบในหัวใจของเขา แล้วเขาจะพ้นได้
เณรในสมัยพุทธกาล ๗ ขวบเท่านั้น ออกไปบิณฑบาตเห็นชาวนาเขาชักน้ำเข้านา นี่ความคิดมันเกิดนะ แม้แต่น้ำไม่มีชีวิตยังเป็นประโยชน์กับไร่กับนาของเขา แล้วความรู้สึกของเราเป็นจิต ทำไมเราไม่สามารถวิดให้มันเข้ามาในหัวใจ สามเณรคิดอย่างนี้แล้วกลับมาวิปัสสนานะ นี่สามเณร ๗ ขวบในสมัยพุทธกาลเป็นพระอรหันต์ เราแทบไม่เชื่อเลยว่าเด็กๆ มันมีความคิดอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ทำไมมีความคิดอย่างนี้ล่ะ เพราะอะไร เพราะเขาสร้างบุญกุศลของเขามา เขามีปฏิภาณไหวพริบของเขา เขาเก็บทุกอย่างเป็นประโยชน์ของเขา
เราเกิดมาเราก็สร้างบุญกุศลเพื่อเหตุนี้ ถ้าไม่ถึงที่สุด เราก็เก็บให้เป็นอำนาจวาสนา ให้เป็นบารมีของเรา ให้เรามีเชาวน์มีปัญญา เชาวน์ปัญญาซื้อหาไม่ได้นะ เราจะหาของเรา แล้วเกิดขึ้นมาจากไหน? เกิดจากการสละทาน เกิดจากมีศีล เกิดจากทำสมาธิปัญญาให้หัวใจดวงนี้มันเพิ่มพูนขึ้นมา เหมือนกับชีวภาพที่เขาว่า นาโนเทคโนโลยีนั้นเลย สิ่งที่เล็กที่สุดเห็นไหม เราสะสมสิ่งนี้แล้วมันก็เกิดตายๆ มันปรับตัวมันตลอด ชาติหนึ่งก็ปรับตัวขึ้น จะปรับตัวขึ้นหรือปรับตัวลงล่ะ
ถ้าเราทำบาปอกุศลมันก็ปรับตัวลง ถ้าเราทำคุณงามความดีมันก็ปรับตัวขึ้น มันปรับตัวโดยสภาวธรรม ปรับตัวโดยความเป็นจริงนะ นี่สิ่งนี้มันเป็นจริง แล้วมันสะสมมันเป็นอำนาจวาสนาของใจดวงนั้น มันมหัศจรรย์ขนาดไหน แต่เราไปมองแต่ชีวิตเราแต่ภายนอกแล้วเราจะต้องการอำนาจ ต้องการมีอำนาจ ต้องการมีสิ่งวัตถุต่างๆ ต้องการอยู่เหนือคน แต่เราไม่ต้องการดูชีวิตของเราเอง
ถ้าเราเห็นชีวิตของเราเอง เห็นใจของเราเองนี่ สิ่งที่ละเอียดมากแล้วมันจะมีเครื่องมือที่ละเอียดมาก คือมรรคอริยสัจจัง มรรคโคทางอันเอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจับสิ่งนี้ไง แล้วสร้างสมสิ่งนี้มาเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมาจากหัวใจของเรา จนถึงวิมุตติสุขพ้นจากกิเลสโดยความเป็นจริง เอวัง