เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเราดูชนเผ่านะ ชนเผ่าเร่ร่อนเขาเร่ร่อนไปเขาใช้ชีวิตของเขาไป ชนเผ่าเร่ร่อนเขาใช้ชีวิตของเขา เขาก็มีการดำรงชีวิตของเขา เพราะเขาได้มีเต็นท์เขาได้มีกระโจมมีอะไรต่างๆ เขาใช้ชีวิตของเขาแบบเร่ร่อน แต่เขาก็ดำรงชีวิตของเขาได้
แต่หัวใจเราสิเร่ร่อนนะ ถ้าหัวใจเราเร่ร่อนเราไม่มีหลักเราไม่มีเกณฑ์ เร่ร่อนนะมันก็มีพ่อมีแม่มีหมู่มีคณะ ความเร่ร่อนไปนั้น ชนเผ่าเร่ร่อนเขาก็ดำรงชีวิตของเขาไป เพราะวัฒนธรรมเขาเป็นแบบนั้น แต่ชีวิตของเรา ถ้าเราเร่ร่อนของเราไปก็เป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเร่ร่อนแล้วนะถ้าอนาถาเข้าไปอีกชั้นหนึ่งนะ ถ้าเราไม่อนาถาเรามีพ่อเรามีแม่เรามีปู่เรามีย่ามีตามียาย เราไม่เป็นอนาถา เราเกิดขึ้นมานี่เราอบอุ่น
ถ้าเด็กมีความอบอุ่นการดำรงชีวิตของเด็กนั้น การศึกษาของเด็กนั้น การศึกษาของโลก โรงเรียนในประเทศไหนก็แล้วแต่ก็เหมือนกันทั้งหมด แต่เด็กที่เข้าโรงเรียนนั้นทำไมการศึกษาไม่เหมือนกันเพราะอะไร? เพราะภูมิหลังตรงนี้ ตรงที่เด็กอบอุ่นกับเด็กที่ว่ามีปัญหาในครอบครัวต่างๆ ถ้าชีวิตเราไม่อนาถา
จิตก็เหมือนกัน ถ้าเราปล่อยให้เร่ร่อนก็เป็นความเร่ร่อนไปตาม เห็นไหม เราเป็นชาวพุทธกัน เราว่าเราเป็นชาวพุทธกัน แต่เราก็ไม่รู้ว่าพุทธนี้สอนอะไร ถึงว่าน้ำใจกว้างขวางไง ชาวพุทธจะไปวัดก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางกันแล้ว คนที่ไปวัดนี่เป็นผู้ที่มีปัญหา ดูลัทธิศาสนาต่างๆ สิ อย่างพวกคริสต์วันอาทิตย์เขาต้องไปวัดใช่ไหม อย่างอิสลามนี่เขาต้องละมาดตลอดเวลา
แต่ชาวพุทธเราไม่มีนะ แม้แต่วันพระก็ไม่มีเวลา เสาร์อาทิตย์ก็ไม่มีเวลา พอจะให้ทำอะไรก็บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง นี่ก็ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางแบบอนาถาหนึ่ง ปล่อยวางแบบเร่ร่อนหนึ่ง ถึงทะเบียนบ้านบอกจะเป็นชาวพุทธ ไม่อนาถาหรอกเพราะมีหลักมีเกณฑ์ แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธจริงนะ เรามีศรัทธาความเชื่อ เราฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไหนแสดงธรรมก็แล้วแต่ไม่พ้นไปจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธวิสัยนี้กว้างขวางมาก นี่สาวกะสาวกนี่มันแค่จุดเดียวหรือกระพี้เดียวของความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
แต่ธรรมอันนี้มันสะเทือนใจ ถ้ามันสะเทือนใจเรามีสติ เราเริ่มมีสมาธิขึ้นมานี่หัวใจไม่อนาถา ถ้ามีสติขึ้นมานะอนาถาที่ไหน อนาถาเพราะมันควบคุมตัวเองไม่ได้ มันควบคุมตัวเองไม่ได้ มันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์มันก็ว้าเหว่ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมานี่ ในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ถ้าใครทำจิตของตัวเองสงบขึ้นมานี่เหมือนมีบ้านหลังหนึ่ง คนเรามีบ้านนะ ฝนตกแดดออกมันก็มีที่พักที่อาศัยนะ คนเราไม่มีบ้านเหมือนคนอนาถา คนอนาถาคนเร่ร่อนนะ คนเร่ร่อนเขายังมีกระโจมพัก
เรานี่ไม่มีที่พัก เวลากระทบอารมณ์ต่างๆ เวลากระทบความสุขความทุกข์นี่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เข้ามาตรงนี้ ทาน ศีล ภาวนาจะชี้เข้ามาที่ใจ แต่ในเมื่อเรายังทำทานไม่ได้เลย เรายังสละสิ่งที่เป็นวัตถุไม่ได้ แล้วเราสละสิ่งที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นของใจ เวลามันกระทบกระเทือน เวลาโกรธ เวลาความคิดเกิดขึ้นมานี่มันจะผูกที่ใจนั้น แล้วเราสละได้ไหม? ถ้าเราไม่ฝึกหัดสละทานออกมาก่อน ความที่เป็นอารมณ์สะเทือนใจนั้นมันสละไม่ได้เลย
อย่างเช่นวัยรุ่นนะ ถ้าเขารักกันนะ เขาสามารถตายได้นะ สามารถสละชีวิตของเขาได้ นี่ความผูกพันอันนั้น พอเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่นะ เขาจะคิดเลยความคิดอันนั้นคิดได้อย่างไร เพราะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเห็นเลยความคิดอันนั้นมันเป็นความคิดที่ไม่รู้เท่า แต่ถ้าเป็นเด็กมันจะคิดของมันอย่างนั้น นี่สิ่งนี้เราไม่เคยฝึกหัด แม้แต่ความเป็นประสบการณ์ชีวิตพอเห็นสิ่งนั้น มันยังคิดเลยว่าทำไมเมื่อก่อนเราคิดอย่างนั้นได้ ทำไม ปัจจุบันนี้เราเห็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไร้ค่าเลย ทำไมเราเอาชีวิตแลกได้ล่ะ
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราวิปัสสนาเข้าไปในหัวใจ สิ่งที่เราวิปัสสนาเข้าไปนี่มันต้องมีสัมมาสมาธิ เพราะมันต้องไม่เร่ร่อนก่อน มันต้องไม่อนาถาก่อน แล้วมันจะมีความสุขของมัน มันจะมีหลักเกณฑ์ของมัน ถ้ามีหลักเกณฑ์ของมันนี่งานอันนี้จะเกิดขึ้นมา
พุทธศาสนาสำคัญที่สุดตรงนี้ไง เป้าหมายของพุทธศาสนา พระสารีบุตรไปสอนคฤหัสถ์คนหนึ่งในพระไตรปิฎก สอนจนเป็นพระอนาคามีนะ แล้วไปบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับจะไปเสนอผลงานไง ว่าวันนี้ได้ไปสอนคฤหัสถ์คนหนึ่งได้เป็นพระอนาคามี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ทำไมเธอสอนต่ำทรามขนาดนั้น ทำไมไม่สอนให้สิ้นสุดไป ทำไมไม่สอนให้วิมุตติไปล่ะ
แม้แต่อนาคามียังต่ำทรามขนาดนั้น ต่ำทรามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่เป็นสุดที่เอื้อมสุดปรารถนา เราพูดแค่โสดาบันเรายังไม่กล้าพูดเลย นี่เราจะสละทาน เราจะมีศีล เราจะภาวนา เรายังไม่กล้าพูดเลย เพราะถ้าพูดแล้วเราต้องทำ นี่กิเลสมันบอกให้ปล่อยวาง แม้แต่ความที่เป็นเป้าหมายเป็นอธิษฐานบารมี สิ่งที่เป็นเป้าหมายแล้วเราทำสร้างมรรคขึ้นมา เดินเข้าไปเป้าหมายนั้นมันก็ไม่กล้าพูด มันไม่กล้าเข้าไปสัมผัส เพราะสัมผัสแล้วจะทำให้เราลำบากไง
แต่ถ้าเราใช้ชีวิตไปวันหนึ่งๆ เร่ร่อนไปวันหนึ่งๆ แล้วก็อนาถาด้วยนะ เป็นชาวพุทธทะเบียนบ้าน พุทธสอนว่าอะไรก็ไม่รู้ ศีลก็ไม่รู้ นี่มันอนาถาตรงนี้ มันไม่มีพ่อไม่มีแม่ไม่มีปู่ย่าตายาย ถ้ามันมีพ่อมีแม่มีปู่ย่าตายายขึ้นมานะ มีทาน มีศีล ศีล ๕ ทำอย่างไร สิ่งที่มันผิดศีล ๕ เราไม่ควรทำ เราก็ไม่ควรทำ แต่ถ้ามันพลั้งเผลอ เห็นไหม ดูพระมีศีล ๒๒๗ แล้วพระเดินไปบนถนน พระเดินไปบนทางเดินนี่พระจะเหยียบมดเหยียบแมลงบ้างไหม มันก็เหยียบ ถ้าเหยียบอย่างนี้ไม่มีเจตนา กรรมมีไหม? มี กรรมของพระก็ได้ กรรมของสัตว์นั้นก็ได้สิ่งที่มีกรรมต่อกัน สิ่งที่มีกรรมต่อกันกรรมมันขับเคลื่อนไปให้เป็นสภาวะแบบนั้น สิ่งนี้มันเป็นสภาวะกรรม แต่เราไม่ได้ตั้งใจ มันไม่เป็นอาบัติหรอก สิ่งที่เป็นอาบัติเพราะเราไม่มีสติ
พระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์นะ เวลาก่อนเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่เวลาภาวนาไปนี่ เป็นโรคเจ็บตา หมอบอกว่าถ้าเธอไม่พักผ่อน เธอไม่พักตาจะบอด บอดให้บอดไปขอให้ใจนี้สว่างพอ ถึงที่สุดแล้วตาบอดด้วยแล้วเป็นพระอรหันต์ด้วย กลับมาอยู่ที่วัด เดินจงกรมอยู่นี่เหยียบสัตว์ตาย พระไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระจักขุบาลเดินจงกรมอยู่ ตาบอดนะยังเดินจงกรมอยู่ เหยียบสัตว์ตายเป็นอาบัติปาจิตตีย์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่เป็นอาบัติ สิ่งที่ไม่เป็นอาบัติเพราะพระจักขุบาลนั้นเป็นพระอรหันต์ สิ่งที่เป็นพระอรหันต์มโนกรรมไม่มี สิ่งที่เป็นความคิดเจตนาไม่มี ใดๆ ก็ไม่มีในใจนั้น อันนั้นไม่มีไม่ครบองค์ประกอบอยู่แล้ว การเหยียบสัตว์ตายนั้นเพราะพระจักขุบาลเดินจงกรมอยู่บนทางนั้น สัตว์มันบินมาแมลงมันบินมาแล้วมาเกาะ มันเป็นกรรมของสัตว์นั้นเองก็ได้ มันเป็นสิ่งที่กรรมมันขับไสอย่างนั้นไป สิ่งที่กรรมขับไสสิ่งที่เป็นไป แต่เจตนามันไม่มี
ถ้าเจตนามันไม่มีเขาเรียกว่ามันเป็นผลของวัฏฏะ ทำไมเราต้องเกิดมา ทำไม สังคมมนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมโลกสภาวะถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมพายุพัดมาคนต้องตายเป็นร้อยเป็นพัน นี่เป็นผลของวัฏฏะ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นของวัฏฏะที่มันพัดไปตามอำนาจของมัน มันเหมือนกับธรรมชาติ ธรรมชาติเวียนไปเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก นี่ธรรมชาติของมัน วัฏฏะก็เป็นแบบนั้น นี่ก็สัตว์ สัตว์ในวัฏฏะก็เหมือนกัน มันถึงวัฏฏะของมันผลของมันเกิดไปเป็นสัตว์ แล้วมันบินมามันมาตกให้พระจักขุบาลเหยียบมันก็เป็นผลของวัฏฏะไง มันเป็นผลของวัฏฏะ วัฏฏะเป็นสภาวะแบบนั้น สิ่งที่มีอยู่ อย่างขยะนี่เราใช้ขยะแล้วเราทิ้งไปนี่ ผลของการเราบริโภคสิ่งต่างๆ มันเป็นผลของขยะ
นี่ก็เหมือนกัน วัฏฏะสิ่งที่เหลืออยู่เป็นเศษส่วนมันเป็นขยะ มันเป็นขยะของพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน สภาวะที่เป็นสิ่งที่ร่างกายสิ่งที่ต่างๆ นี้มันเป็นขยะทั้งหมดเลย แต่มันต้องขับเคลื่อนกันไป เพราะจิตดวงนี้บริสุทธิ์อยู่ในท่ามกลางใจดวงนั้น อยู่ในท่ามกลางร่างกายนั้น ใจดวงนี้บริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางใจดวงนั้น
ใจดวงนั้นปฏิสนธิออกมาจากครรภ์ของมารดา สภาวะกรรมได้มนุษย์ขึ้นมา แล้วนี่ไม่ว้าเหว่ ไม่อนาถา แล้วก็ไม่เร่ร่อน ยึดครูยึดอาจารย์ ยึดมรรค ยึดแนวทางปฏิบัติ แล้วพยายามย้อนกลับเข้ามาที่ใจ เวลาเราปฏิบัติ ปฏิบัติมากเหมือนนักกีฬาเลย นักกีฬาเราฝึกซ้อมเหงื่อไหลไคลย้อยเลย เพื่อต้องการเทคนิค เพื่อต้องการกำลังของเขา นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัตินี่ทุกข์ยากมาก นี่อดนอนผ่อนอาหาร เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน นั่งสมาธิหลายๆ ชั่วโมง
แล้วไม่ได้ทำวันเดียวนะ ทำเป็นปีทำเป็นสิบๆ ปี ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ อย่างเช่น หลวงตา ๑๖ ปี พรรษา ๑๖ สิ้นไป พรรษา ๑๖ พรรษา ๘ พรรษา ๙ แล้วแต่กี่พรรษา ๑๐ ปี ๒๐ ปี หลวงปู่มั่นไปสำเร็จที่เชียงใหม่ เพราะไม่มีครูไม่มีอาจารย์ มีปัญญามาก แต่ถึงพรรษา ๓๘ พรรษาที่ ๓๘ ไปสำเร็จอยู่ที่เชียงใหม่ แล้วแต่อำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างวาสนามามาก เวลาออกประพฤติปฏิบัติ ๖ ปี ยสะคืนนั้นฟังเทศน์คืนเดียวสำเร็จเป็นพระอรหันต์เลย นี่แล้วใครยากใครง่ายกว่ากันล่ะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบารมีมหาศาลเลย แต่ความบริสุทธิ์ของใจเหมือนกัน
นี้ก็เหมือนกัน ถ้าใจเราไม่อนาถานะ เรามีหลักมีเกณฑ์ของเราขึ้นมามันจะย้อนกลับเข้ามา สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เวลานักกีฬาที่ซ้อมกันนะ เวลาซ้อมๆ ตลอดไป ๗ วัน ๘ วันซ้อมทีหนึ่ง ซ้อมตลอด ๗ วัน ๘ วันนะ แต่ลงแข่งหนเดียวๆ แล้วก็ต้องซ้อมตลอดไป นี่ก็เหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติเดินจงกรมภาวนาอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนี้ตลอดไป ทำเพื่ออะไร? เพื่อให้ย้อนกลับเข้ามา ถ้ามรรคข้างนอกเกิดขึ้นกิริยามันเกิดขึ้นมาส่งเสริมมันขึ้นไป ถึงที่สุดแล้วมรรครวมตัวปัญญามันเกิดสภาวะแบบนั้น นี่สิ่งที่ไม่เป็นอนาถาแล้วมันเข้าไปทำลายตัวมันเองนะ นี่สิ่งที่เป็นตัวมันเอง
พ่อแม่ปู่ย่าตายายมีบุญคุณกับเรามาก แต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ต้องตายไป ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายหมดเลย แต่ตายนี่มีบุญกุศลพาเกิดพาตาย สิ่งนี้มันก็เวียนไปในวัฏฏะ แต่เวลาไม่อนาถาไม่เร่ร่อนแล้วกลับมาทำลายดวงจิตดวงนี้ จะไม่มีการเกิดอีก ตายแน่นอนในชาตินี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องปรินิพพานไปแล้ว ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็ต้องตายในชาตินี้ ตายเพราะอะไร? เพราะเศษขยะหรือร่างกายมันมีอยู่ แต่หัวใจมันพ้นออกไปแล้ว หัวใจนี้จะไม่ไปเกิดอีก
นี่ที่กว้างขวางๆ ขนาดนี้ เพราะกว้างขวางถึงเปิดกว้างไว้ให้กับจริตนิสัยของสัตว์โลก ต้องเปิดให้กว้างนะ ไม่มีรูปแบบ ไม่มีสูตรสำเร็จต่างๆ ถ้ามีรูปแบบมีสูตรสำเร็จต่างๆ นี่จิตมันไม่เหมือนกัน พี่น้องนิสัยก็ไม่เหมือนกัน คนเกิดมาในนี้ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันแล้วเราไปปิดโอกาสเขาได้อย่างไร เราเปิดกว้างเพื่อมรรคผลนิพพาน แต่ไม่ใช่เปิดกว้างเพื่อกิเลส นี่ถ้ามีกิเลสในใจมันเปิดกว้างเพื่อกิเลส เป็นการปล่อยวางแบบสวะไม่มีความหมายเลย ลอยไปตามสวะอย่างนั้น จิตดวงนี้ชีวิตอย่างนี้ทำอย่างนั้น ทวนกระแส ต้องทำให้สวะนั้นมีชีวิตมีความรู้สึก แล้วให้สวะนั้นทวนน้ำขึ้นไป ทวนกระแสว่ายทวนน้ำขึ้นไป
จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าปล่อยตามมันไป มันไปตามกิเลสมันจะลอยไปตามสภาวะแบบนั้น ถ้ามันทวนกระแสขึ้นไปมันไม่อนาถา มันมีหลักเกณฑ์ หลักเกณฑ์เพราะเรายึด ถ้าเราไม่ยึดหลักเกณฑ์นี้เราจะเป็นอนาถาตลอดไป เพราะเราไม่ยึดเอง เรายึดว่าอันนี้เป็นกิเลส สิ่งที่เป็นมรรคจะทำอะไรก็เป็นกิเลส ความอยากก็เป็นกิเลส สิ่งที่เป็นกิเลส กิเลสต่อเมื่อทำความชั่ว ถ้าทำคุณงามความดีนี้เป็นมรรคอริยสัจจัง สิ่งที่เป็นมรรคแล้วมรรคนี้มันเป็นเรื่องสิ่งหยาบๆ ก่อน มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มันจะละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงที่สุดแล้วมันจะชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป
ถึงที่สุดกว้างขวางอย่างนั้น ถึงกว้างขวางถึงวัฏฏะเข้าถึงใจดวงนั้นไม่ได้เลย จะรู้ว่ากว้างขวางมาก เวลาไปในอวกาศจะกว้างขวางมาก แต่ใจนี่ในวัฏฏะสามโลกธาตุใจดวงนี้ผ่านหมด แล้วใจดวงนี้รับหมด สรรพสิ่งตรงนี้เข้าไปถึงใจดวงนี้ได้หมด ใจดวงนี้กว้างขนาดไหน กว้างเพราะพ้นจากกิเลส ไม่ใช่กว้างเพราะในกิเลส กว้างเพราะในกิเลสมันกว้างแล้วทำลายตัวมันเอง เหมือนกับหนอนเหมือนกับเพลี้ยมันทำลายต้นไม้เหมือนกัน
นี้ก็เหมือนกัน ถ้ายึดกิเลสว่าความเห็นของตัวเองถูกต้อง มันจะทำลายต้นไม้ทำลายแก่นของธรรม แต่ถ้ากิเลสมันสิ้นออกไปจากใจ มันกว้างแล้วมันไม่ใช่เพลี้ยมันไม่ใช่กระพี้มันเป็นสิ่งที่เป็นคุณธรรม สิ่งที่เป็นคุณธรรมอย่างนี้ถึงกว้างขวางตามความเป็นจริง กว้างขวางแบบไม่มีตัวตนกับกว้างขวางแบบมีตัวตน กว้างขวางแบบฉันต้องเป็นใหญ่ ฉันต้องมีอำนาจ อันนี้กว้างขวางแบบกิเลส
แต่สิ้นสุดแล้วไม่มี สรรพสิ่งนี้ก็ไม่มี ความรู้ก็ไม่มี สิ่งนี้เป็นกิริยาเท่านั้น เป็นผลของวัฏฏะ วัฏฏะเป็นแบบนี้ นี่คือผลของวัฏฏะแล้วอาศัยกันไปถึงที่สุด ที่มันจะสลายไป กลับไปคืนสู่ธรรมชาติของมันในวัฏฏะ แต่จิตดวงนี้พ้นตั้งแต่บรรลุธรรมแล้ว จะไม่มีวัฏฏะ จะไม่มีสิ่งใดๆ จะไม่มีสิ่งใดๆ เข้าไปถึงหัวใจดวงนี้ไม่ได้เลย เห็นไหม นี่ศาสนาพุทธ เอวัง