เทศน์เช้า วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาพูดถึงเรื่องโลก เมื่อก่อนสมัยก่อนคนอยู่ถ้ำนะ สมัยโบราณคนอยู่ถ้ำ คนก็คือคน คนมันส่วนน้อยมันก็อยู่สภาวะแบบนั้น แต่ใครมีกำลังมากกว่า เห็นไหม เหมือนสัตว์ป่านะ ดูหนังสารคดีสิ เวลาเขาทำนี่ เวลาล่าสัตว์มาให้หัวหน้าได้กินก่อน หัวหน้าต้องเชือดสัตว์กินดิบๆ ก่อน เพราะสมัยนั้นยังไม่มีไฟไง เริ่มตั้งแต่โลกนี้พัฒนาขึ้นมา ตั้งแต่ค้นคว้าหาเจอไฟก่อน แล้วเจอมาสภาวะแบบนั้น
สภาวะอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ เห็นไหม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับไปในอดีตชาติ ย้อนกลับไปตลอดไป แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่ตรัสรู้มา แล้วนี่ข้างหน้าก็จะเป็นไป เพราะธรรมเกิดขึ้นมาในสัตว์โลก สัตว์โลกถึงอยู่ด้วยกันได้ ถ้าเป็นสภาวธรรม ใจที่เป็นธรรมจะมีความเมตตาจะไม่เบียดเบียนกันไง จะไม่เบียดเบียนกัน แต่จะสั่งสอนจะพูดตามถูกตามผิดว่าสิ่งที่ผิดก็คือผิด แต่เวลาเรื่องของโลก ผิดถูกขนาดไหนนี่เขาต้องพยายามรักษาไว้ เขาต้องมีเพื่อนไง สิ่งที่มีเพื่อน ถ้าทำอะไรต้องมีเพื่อนถึงจะทำได้ ถ้าไม่มีเพื่อนทำสิ่งนั้นไม่ได้
แต่ธรรมนี่ทำด้วยคนเดียว เวลาเราประพฤติปฏิบัติเข้าป่าเข้าเขา เอาใจของเราให้ได้ ถ้าเอาใจของเราไว้ได้ นี่ความสุขของธรรมนะ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอยู่ในป่ามันก็มีความสุข สุขเพราะอะไร เพราะเอาชนะตนเองได้แล้ว ถ้าเอาชนะตนเองได้ มันอยากรู้... เวลาคนเริ่มภาวนาขึ้นไป พอรู้สภาวธรรมมันอยากเทศน์ มันอยากสอนเขาไง เพราะเรารู้สภาวะแบบนั้น เหมือนเราไปเจอภาพ เห็นไหม เราไปเจอน้ำตก ไปเจอในป่านี่สวยมาก เราก็อยากให้ใครเห็นสภาวะแบบนั้น อยากให้ใครมีความร่มเย็นแบบนั้น มีวิวทิวทัศน์สวยอย่างนี้ อยากให้ใครได้เห็น นั้นเป็นทิวทัศน์ในป่าในเขานะ
แต่เวลามีธรรมในหัวใจขึ้นมา ถ้ามันยังเริ่มพัฒนาขึ้นมา มันปฏิบัติขึ้นมามันอยากจะเทศน์ไง ครูบาอาจารย์ถึงได้กดตรงนี้ไว้ก่อน นี่มันส่งออก สิ่งที่ส่งออกไปมันทำให้สิ่งนี้เสื่อมได้ มันถึงต้องกดอันนี้ไว้ให้เข้าถึงธรรม ผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วมันก็จะรู้สภาวะแบบนี้ ถ้ามันขยับเขยื้อน จิต ความรู้สึกคือธาตุรู้ แล้วมันออกไปรับรู้สิ่งที่ว่าเป็นความคิด ความคิดนี้มันหยาบนะ
เราประพฤติปฏิบัติ เราพยายามจะค้นคว้าตัวเราเอง เราว่าความคิดมันมีอำนาจเหนือเราๆ แต่ความคิดนี้มันเกิดดับ แต่ตัวพลังงานคือตัวใจมันเสวยอารมณ์อย่างนี้ เสวยความคิด มันถึงออกมาเป็นอารมณ์ไง แล้วถ้ามันทิ้งสภาวะแบบนั้นมา เวลามันจะคิดมันรู้เลยว่าจิตนี้จะเสวยอารมณ์ จะเสวยสิ่งต่างๆ เสวยสุขเสวยทุกข์ เห็นไหม มันถึงไม่เสวยสุขไม่เสวยทุกข์ มันอยู่โดยธรรมชาติของมัน ถ้ามีสติ สภาวะนี่ผู้มีธรรม เห็นไหม แม้แต่ผู้มีธรรมเป็นบุคคลคนเดียวนะ เอโก ธัมโม เอกอันหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมองค์เดียว สามารถสอนเทวดา สอนสัตว์โลก สอนได้หมด นั้นเป็นสภาวธรรม มันเป็นเรื่องที่การเอาชนะตนเองให้ได้ แล้วจะรู้ความคิดของตนเอง รู้ต่างๆ เห็นไหม ถึงนิ่งอยู่ เงียบอยู่ แล้วมีความสุขไง แต่โลกต้องมีเพื่อนไง โลกนี้เป็นหมู่สัตว์
ในการประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกห้ามคลุกคลีกัน การคลุกคลีกัน การอยู่กันหมู่มาก มันภาวนาเป็นไปไม่ได้หรอก มันส่งออกไปข้างนอก มันเป็นไปข้างนอก แต่โลกเป็นแบบนั้น โลกถึงเป็นใหญ่ แล้วกฎหมายมาจากไหนล่ะ นี่เขาถึงว่าต้องเขียนตามกฎหมาย แล้วทำตามกฎหมาย
กฎหมายมันก็เป็นเรื่องของโลก กฎหมายเวลามันล้าสมัย ทำไมมันใช้ไม่ได้ล่ะ ทำไมเราต้องเขียนกฎหมายใหม่ตลอดไป เพราะโลกมันแปรสภาพไปตลอดไป แล้วเราก็ยึดกฎหมาย เราทำถูกต้องตามกฎหมาย มีกฎหมายรองรับไง ถ้ามีกฎหมายรองรับ เราทำถูกต้องสังคมจะร่มเย็นเป็นสุข มันจะร่มเย็นเป็นสุขเพราะคนไม่รู้ไง
มันจะร่มเย็นเป็นสุขไปได้อย่างไรในเมื่อสิ่งนั้นเป็นเชื้อโรค เวลาเรามีเชื้อโรค เราเป็นไข้ เรามีเชื้อโรค เราเอาเชื้อโรคขึ้นมานี่ เราจะรักษาของเราไหม ถ้ามันรักษาของมัน มันพัฒนาไป ดูอย่างเชื้ออหิวาต์อย่างเชื้อมาลาเรียสิ เชื้อมาลาเรียมันก็ดื้อยา มันก็พัฒนาตัวมันเองตลอดไป เชื้อโรคมันก็พัฒนาตัวมันเองตลอดไป แล้วว่าความร่มเย็นเป็นสุขของสังคมที่มีเชื้อโรค เอาเชื้อโรคมาเป็นตัวสมาน มันจะเป็นความร่มเย็นเป็นสุขไปที่ไหน แต่มันยังไม่แสดงตัวออกมา เชื้อโรคนี้มันยังฟักตัวอยู่ในร่างกายของเรา เชื้อโรคมันยังฟักตัวอยู่ในสังคม
เวลาเขาประชุมสงฆ์ สภาชาวพุทธทางโลกเขายังพูดถึงเลยว่า มหายานเมื่อก่อนคิดว่าเขามีอำนาจรัฐมากไง เขาเป็นมหายานนะ เป็นมหายานเพราะอะไร เพราะเขารื้อสัตว์ขนสัตว์ เขาเป็นชาวพุทธที่เปิดกว้าง หินยานเป็นชาวพุทธที่คับแคบ เป็นชาวพุทธที่เอาตัวรอดไง สิ่งที่เอาตัวรอด เพราะเอาตัวรอดไม่เห็นแก่สังคม ไม่ยอมรับสังคม เพราะสังคมนั้นมีเชื้อโรค กฎหมายนั้นเป็นกฎหมายที่เขาเขียนมาจากคนที่หวังผลประโยชน์จากกฎหมายนั้น ใช้กฎหมายนั้นบังคับเพื่อจะให้เป็นสภาวะแบบนั้น แล้วต่อไปมันก็จะเป็นเหมือนที่ว่ามหายานล้มไปๆ ไง หมดไปจากโลกนี้แล้ว หมดไปคือว่าเขาเสื่อมสภาวะไป
เวลาเขาประชุม เขาถึงยกย่องไง สงฆ์ชาวญี่ปุ่นนะ พูดกับพระ ป. ปยุตฺโตมา แล้วพระปยุตฺโตให้สัมภาษณ์ไง บอกสงฆ์ชาวญี่ปุ่นที่เขาเป็นมหายานเขาให้สัมภาษณ์เลยว่า ถ้าเขามีอำนาจ เขามีความเป็นไปได้ เขาเปลี่ยนแปลงได้ เขาจะเปลี่ยนแปลงว่า คำว่ามหายานควรจะเป็นหินยาน แล้วหินยานควรจะเป็นมหายาน เพราะอะไร เพราะจรรโลงศาสนาได้จริง มันยืนยงศาสนาได้จนบัดนี้
มหายานนี่สมัยก่อน เห็นไหม พอคอมมิวนิสต์เข้ามานี่มันหมดไป แต่มันเป็นการฟื้นฟูขึ้นมาของเขาใหม่ แต่ของหินยานเรามันสืบต่อมาจากสงฆ์ ต้องสงฆ์ยกขึ้นมา เวลาฝ่ายลังกาเขาโดนอังกฤษปกครอง เวลาสงฆ์เขาขาดไปเขาก็มาขอจากสยามไป เวลาสยามของเราก็ขอจากลังกามา มันจะมีสงฆ์สืบต่อมาตลอดไป เรายึดหลักอันนี้มาไง ว่าความบริสุทธิ์ในการประพฤติปฏิบัติย้อนกลับไปแล้วจะถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่มหายานเขาบอกว่าแล้วแต่อาจารย์ แล้วแต่ความคิดไป
นี้ก็เหมือนกัน ว่าเป็นมหาประเทศ ๔ ถ้ามหาประเทศ ๔ มันเป็นไป มหาประเทศ ๔ มันเป็นไปต่อเมื่อมันมีความจำเป็น อย่างนี้มันไม่ใช่ความจำเป็น เพราะสิ่งที่มันเป็นความจริงมันมีอยู่ลึกๆ ไง ความจริงที่มีอยู่ที่เป็นไปได้ไง แต่อันนี้มันเหมือนกับเป็นการยึดกัน เป็นการบีบคั้นกัน แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นสุข เพราะอะไร เพราะเขามีเพื่อนไง เพราะเขามีหมู่คณะไง เพราะเขาสะสมสิ่งนี้มาไง ถึงว่าเป็นโลกไง เหรียญมีสองด้านนะ เหรียญนี้มีสองด้าน ด้านทั้งดีและชั่ว แต่ดีและชั่ว คนที่ทำคุณงามความดีอย่างกับครูบาอาจารย์เรา เห็นไหม อยู่ในป่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ในป่า เกิดในป่า แล้วก็ตายในป่า แต่พูดในป่า เห็นไหม เวลาเทศน์ธัมมจักฯ เทศน์อยู่ในป่านะ มีพระปัญจวัคคีย์อยู่ ๕ องค์เท่านั้นนะ เวลาท่านเทศน์ขึ้นมา เทวดาส่งขึ้นไปเป็นชั้นๆ ขึ้นไป นี่จักรของธรรมได้เคลื่อนแล้ว ศาสนธรรมไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า จะเป็นพระพุทธเจ้าได้เพราะตรัสรู้ธรรม แต่แสดงธรรมครั้งแรกธัมมจักฯ นี่ เทวดาส่งขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป สะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นไปจนถึงที่สุดนะ แล้วอยู่มาจนปัจจุบันนี้ แล้วก็จะอยู่จนตลอดไป เพราะจักรได้เคลื่อนไปแล้ว สิ่งที่เคลื่อนไปแล้วไม่มีใครสามารถจะยับยั้งจักรสิ่งนี้ได้ แต่ความเสื่อมของ ๒ ศาสนานี้ สิ่งนี้จะไม่เสื่อมไป เพราะธรรมนี้จะมีตลอดไป ธรรมเป็นอกาลิโก
สิ่งที่ความเป็นจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ธรรมมีอยู่ ธรรมนี้มีอยู่ของเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราพยายามศึกษา พยายามค้นคว้าแล้วเข้าไปตรัสรู้ธรรม สยัมภูตรัสรู้ด้วยตนเอง เพราะมีเชื้อของใจตัวนั้นเป็นตัวหลัก แล้วสิ่งนี้สืบต่อมาๆ จนเสื่อมสภาพมาตลอดไป เพราะเรายึดแต่ความเห็นไง ยึดแต่พระไตรปิฎก ยึดแต่ทฤษฎีอันนั้น เพราะเราเข้าไม่ถึง ใจเราเข้าไม่ถึง เพราะอำนาจวาสนาเราเข้าไม่ถึง มันก็เป็นไปไม่ได้ เสื่อมมานี่ จนปัจจุบันนี้ครูบาอาจารย์เรามารื้อค้นขึ้นมาใหม่
แต่เดิมนะ เวลาปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ไม่มีใครสามารถปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะไม่มีความมั่นใจไง เวลาพระปฏิบัติ เห็นไหม เวลาหลงไปว่าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่ประวัติหลวงปู่มั่นมี พระองค์หนึ่งอยู่ทางภาคอีสาน จิตสงบขึ้นมาว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์) ให้พระปริยัติเปรียญ ๙ ประโยค ๔-๕ องค์นะ ไปตรวจสอบอย่างนั้น ตรวจสอบเท่าไหร่ก็ตรวจสอบไม่ได้ เพราะอะไร เพราะจำจากพระไตรปิฎกมานะ เป็นมหา ๙ ประโยคถึง ๔ องค์ แต่เวลาพระปฏิบัติองค์เดียวแต่หลงด้วยนะ หลงว่าเป็นพระอรหันต์ พยายามใช้พระไตรปิฎกจับผิดๆ คือตรวจสอบกัน ตรวจสอบไม่ได้ จนหลวงปู่มั่นลงมาจากเชียงใหม่ ลงมาพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส ถึงเอาพระองค์นั้นมาหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นกำหนดจิตดูทีเดียวเท่านั้นล่ะ ท่านติดในสมาธิ ความว่างอันนี้ สมาธิมันก็เป็นแค่สมาธิเอง พระองค์นั้นก้มลงกราบหลวงปู่มั่นเลย แล้วขอเลยว่า สิ่งที่ว่าเป็นพระอรหันต์มันเป็นความผิดพลาด มันเป็นความหลง แต่ไม่มีใครจับได้ ไม่มีใครสามารถรู้ได้
นี่สภาวธรรมอันนี้มันเป็นความลึกซึ้ง ครูบาอาจารย์เราถึงมาค้นคว้าสิ่งนี้ขึ้นมา แล้วมันเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่ความจริงมันไม่เหมือนพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเป็นแผนที่ เราจะยึดแผนที่ขึ้นมานี่ แต่สิ่งที่เหนือแผนที่มีอีกมหาศาลเลย พระไตรปิฎกนี่เป็นธรรมและวินัย เวลาเรากราบตัวแทน เห็นไหม กราบพระพุทธรูปนี้กราบถึงพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระไตรปิฎกนี่กราบพระธรรม จริง ธรรมวินัยนี้เป็นของจริง ถ้าไม่มีแผนที่เครื่องดำเนินไม่มีทฤษฎีเราจะเข้าได้อย่างไร
แต่ทฤษฎีนั้น นี่กิริยาของธรรม หลวงตาบอกว่าเป็นกิริยาของธรรม ธรรมจริงๆ คือความรู้สึก คือใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วบอกวิธีการบอกทฤษฎีออกมา นี่มันเคลื่อนออกมาชั้นหนึ่ง นี้เราเคลื่อนออกชั้นหนึ่งนี่เราศึกษาแล้ว เราศึกษาสิ่งนี้เป็นแผนที่ เราก็ต้องชี้เข้าไปที่ใจของเราสิ ไม่ใช่ว่าเราอ่านแผนที่แล้วเราก็เอาแผนที่ เอาความรู้นั้นมาเถียงกันนะ ว่าพิกัดของเราเท่านี้ พิกัดของอีกองค์หนึ่งต่างกันไป ก็เถียงกันนะ ในการเถียงกันใครจะถูกใครจะผิด นี่มันเหมือนว่ามันก็เป็นโลก เห็นไหม แล้วเราก็ว่ามันเป็นมหาประเทศอีก มันยังเคลื่อนไปได้อีก มันก็จะเป็นไป
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วเข้าใจสิ่งนี้ ถึงสงวนรักษาไง ถึงสงวนรักษาสิ่งนี้เพื่อจะให้คนเข้าถึง การเข้าถึงนะ แม้แต่หลวงปู่มั่น เวลาประพฤติปฏิบัติเวลาติดขัดขึ้นมาไปหาหลวงปู่เสาร์ นี่มันก็เป็นความกังวลนะ มันเป็นความไม่รู้ แต่เพราะคนมีจริตนิสัย มีความเป็นไป เห็นไหม นี่เทียบเข้ามาถึงใจตลอดไป เวลาหลงหลวงปู่มั่นก็หลง พระปฏิบัติก็หลง เจ้าชายสิทธัตถะ ๖ ปี ศึกษาเข้ามาก็หลง เพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสอยู่ กิเลสมันมีอยู่ เราไปในน้ำที่มีจอกแหนอยู่ จอกแหนมันปิดน้ำอยู่ ทุกคนต้องผ่านจอกแหนไป อันนี้ก็เหมือนกัน เราเกิดมามีกิเลสอยู่ กิเลสนี้เหมือนจอกแหนที่มันปกคลุมจิตอยู่ ทุกคนมันต้องมีการผิดพลาดไง แต่เวลาผิดพลาดขึ้นมา ถ้าเวลามันส่งออกมันเป็นสภาวะแบบนั้น อันนี้ไม่ใช่
หลวงปู่มั่นเล่าให้หลวงตาฟัง เวลาที่มันหลงไป เวลามันเป็นไปนี่ อันนี้ไม่ใช่ อันนี้ไม่ใช่ แต่พอมันเข้ามา อันนี้มันเริ่มแล้ว อันนี้น่าจะใช่ อันนี้เริ่มจะเข้ามา เห็นไหม นี่ต้องพิสูจน์ตัวเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องค้นคว้าตัวเอง ค้นคว้าขึ้นมาเพราะไปถามใคร เพราะเขาส่งออกมาเหมือนกับเขายึดพระไตรปิฎก มันเป็นทฤษฎีอันนั้น แล้วไม่มีใครเคยเห็นจริง มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนไม่เคยเห็น
ดูสิ ดูอย่างในพระไตรปิฎก ฤๅษีเขาบูชาไฟอยู่ แล้วเขาให้เด็กเฝ้าไฟนั้นไว้ เขาออกไปธุระ ออกจากป่านั้นมา เด็กนั้นปล่อยให้ไฟดับไปไง แล้วถึงจะจุดไฟ เห็นไหม สมัยก่อนเขาใช้ไม้สีกัน สีขึ้นมา อันนี้สีไฟมันก็ไม่เกิด ไม่เกิดก็เอามีดผ่าไม้นั้นๆ เพื่อจะหาไฟไง มันหาไฟไม่เจอ นี่ก็เหมือนกัน พระไตรปิฎกนี่เราค้นคว้าเราศึกษากัน มันเป็นแผนที่ เราคิดเข้าไปมันก็วนอยู่นั่น แต่ถ้าย้อนกลับมา เห็นไหม ไม้นั้นสีอยู่นั้น สีไปตลอดไป สีอยู่อย่างนั้น ถึงที่สุดไฟมันเกิดได้
นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติ การศึกษาพระไตรปิฎกมาเหมือนกับเราได้ไม้มา ๒ อัน แล้วเราจะมาสีของเรา สีให้ใจของเราเกิดเป็นธรรมขึ้นมาให้ได้ ถ้ามันเกิดธรรมขึ้นมาได้ แล้วมหาประเทศ ๔ เห็นไหม เอาเหล็กมาสีกันสิ เอาตะกั่วมาสีกันสิ เอาไม้ที่ชุ่มๆ มาสีกันสิ นี่เปลี่ยนสภาวะอย่างนั้นตลอดไป เป็นเรื่องของโลกไง
โลก ความเห็นของโลก เวลาปรัชญานะ เวลาประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นปรัชญานะ โอ้โฮ เวลาพูดธรรมนะ นี่เป็นความว่างนะ สิ่งนั้นเป็นความว่างนะ เราก็ซึ้งกันๆ เพราะเราตามไป เห็นไหม นี่อารมณ์โลกไง นี่โลกียธรรม ธรรมที่เป็นโลกียะ เพราะมันเป็นอารมณ์เป็นความรู้สึก นี่หลอกลวงกัน หลอกลวงตัวเองนะ ไม่ใช่หลอกลวงใครเลย หลอกลวงตัวเองว่ามีอารมณ์อย่างนี้ ปล่อยวางมา เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันไปปล่อยวางสิ่งที่มันไปยึดมั่นถือมั่นในความเจ็บปวดของมัน ยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่เป็นเชื้อโรคของมัน มันปล่อยวางอารมณ์สิ่งนี้ ยึดมั่นน้ำสะอาดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือยึดมั่นธรรมไง นี่สิ่งนี้เป็นธรรม นี่เป็นปรัชญา
ปรัชญาแก้กิเลสไม่ได้หรอก มันไม่ใช่ภาวนามยปัญญา มันไม่สมุจเฉทปหาน มันไม่ฆ่ากิเลส สิ่งที่ฆ่ากิเลสไง คือเอาตัวมัน เอาตัวจิตฆ่าจิตไง เอาความเห็นของมันฆ่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ต้องเอาวิชาชำระสิ่งนั้นไป อรหัตตมรรค อรหัตตผล อรหัตตมรรคคือมรรคฝ่ายเหตุ อรหัตตผลก็เกิดขึ้นมา มรรค ๔ ผล ๔ ทำไมนิพพาน ๑ อรหัตตผลทำไมไม่เป็นนิพพานล่ะ อรหัตตผลเป็นอรหัตตผลสิ่งที่มันก้าวดำเนินอยู่ จิตนี้มันกำลังดำเนินกันไปอยู่ สิ่งที่มันดำเนินไป ถึงที่สุดแล้วนิพพานเงียบ ดับโดยรอบ สิ่งนี้ดับหมดในนั้น
ศาสนาพุทธเรามีอย่างนี้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก พระผู้ที่ปฏิบัติพยายามมุ่งมั่นถึงตรงนี้ มุ่งมั่นถึงใจของตนเองให้หลุดพ้นให้ได้ แต่ถึงผลอันนั้นหรือไม่ถึงผลอันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนา แต่อำนาจวาสนามีอยู่อย่างนั้นเราก็ต้องจรรโลงสิ่งนี้วางไว้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้มีทางเดินนะ ครูบาอาจารย์สงวนรักษาสิ่งนี้ ถ้าเรารักษาสิ่งนี้ เหมือนกับว่าเขาค้นคว้าหายากัน ค้นคว้าหายามาเพื่อรักษาโรค แล้วเราเป็นคนส่วนหนึ่งหาส่วนผสมนั้น เราเป็นผู้ทดลองอย่างนั้น เราจะได้บุญกุศลอันนั้นไหม
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราช่วยเหลือ เราค้ำจุน ค้ำศาสนานี้ไว้ เราต้องเกิดตายไปข้างหน้านะ เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ไม่มีความลับ เทวดาฟ้าดินรับรู้ทั้งหมด ใครจรรโลงศาสนา ใครทำลายศาสนา เทวดาฟ้าดินรับรู้หมด กรรมของสัตว์โลกที่ทำไปต้องเป็นทำไป ใครทำอย่างใดต้องได้อย่างนั้น ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วธรรมย่อมชนะอธรรม เอวัง