เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ธ.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานมีโยมมาหานะ ว่าเพื่อนเขาบวช เวลาเพื่อนเขาบวช เขาอยู่ในวัดน่ะแล้วไปเห็นสภาพพระในวัด รับไม่ได้ รับไม่ได้ก็ย้ายวัดไปเรื่อย ๆ แล้วก็มาพูดให้ฟัง แล้วว่าเป็นอย่างไร นี่เห็นไหม เวลาเขาบวชเข้ามาแล้วเห็นสภาวะเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วดูหลวงตาทำงานสิ ถ้าพูดถึงโลกเขามองนะ ว่าหลวงตาทำงานนี่ ถ้าคนที่ไม่เห็นด้วยก็ว่ามีผลประโยชน์ มีเหตุต่าง ๆ มีผลประโยชน์ถึงไปทำอย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นลูกศิษย์นะ คนใกล้ชิดนะ จะรู้เลย เห็นไหม ท่านอายุ ๙๐ กว่า ท่านแบกโลกนะ เวลาในหนังสือหลวงปู่เจี๊ยะน่ะ ท่านบอกเลยว่า มีหลวงตากับหลวงปู่เจี๊ยะนี่เอาหัวค้ำฟ้าไว้นะ เอาหัวนี่ค้ำฟ้าไว้เลย เพื่ออะไร? เพื่อความเป็นสุขไง เราเวลาอยู่ในสังคม เราอยากมีความสุขของเรา นี่ในศาสนา เห็นไหม พูดถึงว่ามีธรรมในหัวใจ ๆ พวกเรานี่มีความเร่าร้อน ร้อนมาก ทุกข์มากในหัวใจ แต่ไม่รู้ไง

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ทุกคนถือคบไฟคนละดุ้น ถือไปแล้วก็บ่นว่าร้อน ๆ ๆ แต่ไม่มีใครสามารถทิ้งคบไฟได้เลย มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สามารถทิ้งคบไฟคบนั้นได้ แล้วก็เตือนพวกเราให้ทิ้งคบไฟคบนั้น แต่เราว่าคบไฟมันคืออะไร เราเคยเห็นคบไฟของเราไหม เราเคยเห็นความร้อนของเราไหม เราว่าเราร้อน ๆ ร้อนเฉพาะในหัวใจของเรา แต่เราก็อยากจะหาความสุข เห็นไหม ว่าเราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราไม่เห็นคบไฟ แล้วเราไปปล่อยวางอะไร เราก็คิดว่าเราปล่อยวางคบไฟ

แต่เวลามันทุกข์ขึ้นมานี่ไม่เห็นคบไฟมันหลุดไปจากใจเลย คบไฟมันก็เผาใจของเราตลอดไป เราคิดไง แล้วพอเราเปรียบเทียบเป็นทางวัตถุ เห็นไหม ว่าคบไฟเราถืออยู่ ถ้าเราทิ้งไปมันก็ต้องร่มเย็น แต่อันนี้ความทุกข์ในหัวใจของเรา ความบีบคั้นในหัวใจของเรานี่ มันก็บีบคั้นอยู่ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน จะทุกข์จนขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตายทั้งหมด

แต่ในชีวิตอยู่นี่ เราจะอยู่อย่างไรให้มีความสุข ให้มีความเป็นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปรารถนาว่าให้เราสิ้นสุดทุกข์ไปทั้งหมดหรอก มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดูอย่างตรัสรู้ขึ้นมาแล้วนี่ จะสอนโลกนี่ “ใครมันจะรู้ได้ ๆ” จนทอดอาลัย จนไม่อยากจะสอนนะ จนพรหมมานิมนต์หนึ่ง แล้วจนที่ว่าท่านรู้ได้อย่างไร ท่านถึงได้ออกมาสอนไง

พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาท่านพูดกันน่ะ เหมือนกับลูกจ้างรอวันหมดเวลาเท่านั้นเอง ลูกจ้าง เห็นไหม เราเป็นลูกจ้าง เราทำงานนี่ เราก็รอหมดเวลา เราก็ได้พักผ่อน เราก็ได้มีความสุขของเรา นี้ก็เหมือนกัน ถึงที่สุดแล้วนะ ผู้ที่ทิ้งคบไฟแล้วนี่ รอเวลาเหมือนลูกจ้างหมดเวลางานแล้วก็ไป เราว่าตายแล้วสูญ ๆ เหมือนลูกจ้างพ้นจากงานแล้วก็เป็นอิสระ เพราะพ้นจากลูกจ้างที่เป็นเจ้านายเป็นผู้ควบคุมเราแล้วเราเป็นอิสระ นี่จิตมีอย่างนั้น

คบไฟก็เหมือนกัน เราว่าจิตนี้เป็นคบไฟนะ ใจนี้เป็นคบไฟทั้งหมด แล้วเวลามันคิดความดีล่ะ นี่มันถึงต้องมีตรงนี้ไง มีว่ามรรค เห็นไหม ความดีนี่ กุศลอกุศล เราว่าความคิดนี่เป็นอกุศล เป็นความชั่วทั้งหมด เป็นความทุกข์ทั้งหมด เพราะเราคิดอย่างนั้นเราถึงจะปล่อยวาง ถ้าเราปล่อยวางอย่างนั้น เราไม่ทำอะไรเลยแล้วปล่อยวาง ตอนนี้เราคิดกันแบบนั้น คิดว่าเราต้องปล่อยวาง แล้วเราก็วางแล้ว เราก็สบายแล้ว ทำไมเราต้องไปประพฤติปฏิบัติ ทำไมเราต้องไปหาความทุกข์ยากมาใส่ตัวเราเอง...เราหาความทุกข์ยากใส่ตัวเองเพราะเราจะทิ้งคบไฟดุ้นนั้นไง

เราต้องเห็นคบไฟดุ้นนั้น เราต้องทำความเข้าใจว่าคบไฟอันนั้นคือกิเลส นี่คบไฟ เห็นไหม ไฟ...หลวงตาบอกไฟนี่เราใช้ในครัวเรือน เห็นไหม ใช้ในครัวเรือน ใช้ในเครื่องกำเนิดไฟฟ้านี่มันจะเป็นประโยชน์มากเลย แต่เวลาไฟมันเผาผลาญป่า ไฟเผาผลาญบ้านเรือน เวลาไฟไหม้นี่ มันจะเผาผลาญไปทั้งหมดเลย นี่ไฟมันเป็นประโยชน์และมันเป็นโทษ

ถ้าเป็นประโยชน์ เห็นไหม นี้คือมรรคาไง มรรคาคือการที่ว่าเราจะสนใจเข้ามาตรงนี้ เวลาพระประพฤติปฏิบัติ เวลาเขาบวชเข้าไปในวัด เห็นไหม วัดที่เขาไม่คิดอะไรเลย คิดแบบโลกไง บวชมาเพื่อจะมีความสุข บวชมาเพื่อจะใช้ชีวิตแบบพระ กินแล้วก็นอน ใช้ชีวิตของเรามีความสุข อย่างนั้นน่ะมันจะเพิ่มให้ไฟนี่ไหม้ตัวเอง เพราะอะไร? เพราะคนเรามีความคิดมาก มีความสมบูรณ์มาก มันต้องคิดหาสิ่งต่าง ๆ กิเลสมันไม่มีทางเป็นขี้ข้าเราหรอก กิเลสมันต้องเหนือคนคนนั้นตลอดไป

แล้วสิ่งที่มันต้องการน่ะ สิ่งที่ต้องการก็คือว่า นี่ตัณหาความทะยานอยากมันคิดได้ มันทำได้ร้อยแปด คนคิดเห็นไหม ว่ามีผู้บริหารน่ะ ถ้าเป็นคนดีนี่ดีมาก ๆ ทำให้ประเทศชาตินี้ร่มเย็นเป็นสุข แล้วจะเผื่อแผ่ เห็นไหม ปกครองประเทศนี่ทำให้มีความสุขมาก แต่ถ้าผู้นำเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัว ผู้นำเป็นผู้ที่เบียดเบียนนี่ มันจะทำความทุกข์ยากให้กับประชาชนขนาดไหน

หัวใจของเราก็เหมือนกัน สัตว์โลกนะ สัตว์โลกคือผู้ข้อง คือใจของเรา ถ้าเราเบียดเบียนเรา เรามีกิเลสของเรานี่ มันต้องทำให้เราเร่าร้อนแน่นอน ต้องทำให้เราทุกข์ยากแน่นอน เรานี่ต้องทุกข์ยาก จะยิ้มแย้มแจ่มใสขนาดไหน ภายนอกมันเรื่องของภายนอก แต่ในหัวใจนี่ทุกข์ตรมตลอดไป เป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาทำความชั่วแล้วเขาจะมีความสุขน่ะ ในหัวใจของเขาคิดอย่างนี้ เขาเป็นบาปอกุศล เขาคิดเป็นฝ่ายมาร เขาคิดของเขาไป

แต่ผลมันต้องให้แน่นอน คนทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วทำไมเขาทำชั่วขนาดนั้น ทำไมผลไม่ให้เขาล่ะ เราเปรียบเหมือนกับเศษวัสดุ เห็นไหม มันลอยไปในน้ำน่ะ ถ้ามันยังเบาอยู่นี่ มันลอยไปในน้ำได้ เห็นไหม อย่างเศษไม้นี่มันลอยไปในน้ำ มันลอยไปธรรมชาติของมัน แต่ถ้ามันอิ่มน้ำขึ้นมาถึงจุดหนึ่งแล้วมันต้องจมน้ำโดยธรรมชาติของเขา

นี้ก็เหมือนกัน คนทำบาปอกุศล เขายังอยู่ของเขาได้นั้น เพราะเขาเคยทำคุณงามความดีมาแต่ชาติใดชาติหนึ่งเหมือนกัน ดูอย่างพระเทวทัต เห็นไหม เกิดมาเป็นพระอนุชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน แต่ทำไมเขาคิดไพล่ออกไป คิดจะทำลายถึงกับฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ล่ะ นี่เป็นพระเหมือนกัน พระอนุรุทธะ พระนันทะนี่ เป็นน้องของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ทำไมเอาใจรอดออกไปได้ล่ะ

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราบวชมาเป็นพระ เราเข้าใจว่าบวชเป็นพระเข้าไปแล้วนี่ ปฏิเสธสิ่งนั้น ๆ ปฏิเสธเพราะสิ่งนั้นเขาคิดของเขาอย่างนั้น เขาไม่ควบคุมใจของเขาอย่างนั้น เขาคิดเพื่อเป็นสุขไง บวชมาเพื่อมีความสุขของเขา มันจะสุขได้อย่างไรในเมื่อ... เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎกนะ เวลากลืนข้าวของเขานี่ ถ้าเราทำชั่วนะ เหมือนกับกลืนถ่านแดง ๆ ลงคอนะ ถ่านแดง ๆ นี่กลืนลงคอ นี่มันจะมีโทษขนาดไหน นี่เปรียบเทียบขนาดนั้น

แต่เวลาเราทำของเรานี่ ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราต้องการชำระกิเลส เวลาบวชแล้วเราต้องมีเป้าหมาย อธิษฐานบารมี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านี่ก็ต้องสร้างสมบารมีมาตลอดไป สร้างสมสละทานมานะ ขนาดว่าเป็นกระต่ายอยู่ในป่า พรานหลงทางไปนี่ โดดเข้ากองไฟนะ เขาสุมไฟเพื่อกันหนาวของเขา เพราะเขาไม่มีอาหารจะกิน พอรู้นี่ สัตว์ตัวนั้นรู้นี่ โดดเข้ากองไฟสละชีวิต นี่สละทั้งชีวิตเลยเพื่อให้เขาได้ดำรงชีวิตไป

เวลาสร้างสมมาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละขนาดนั้นนะ ทำทุกอย่างเพื่อเป็นบุญกุศล ทำทุกอย่างเพื่อเป็นความดีมาตลอดไป แล้วดูอย่างในพระไตรปิฎก เห็นไหม เขาไปถามว่า “สวรรค์มีจริงหรือ? นรกมีจริงหรือ?” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ต้องถามว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่มีจริงหรอก เหตุที่จะไปสวรรค์ก็มี”

เหตุที่จะไปสวรรค์ เหตุที่ทำให้ผลอันนั้นเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่เราสร้างถนนหนทาง เราสร้างแหล่งน้ำ สิ่งนี้ทำให้เกิดเป็นพระอินทร์ ธรรมศาลา ๆ อยู่บนดุสิตนี่ สิ่งนี้รอเพราะทำบุญกุศลนี่ มันไปเกิดตรงนั้น นี่เราสร้างวิมาน สร้างอะไรก็แล้วแต่ เราสร้างอันนั้น สร้างอันนั้นเป็นสร้างแบบบุญกุศล

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ให้ปฏิบัติบูชา” เห็นไหม ให้ย้อนกลับมา พระเราบวชมาถึงปรารถนาตรงนั้น ปรารถนาสิ้นกิเลส ปรารถนาจะไม่อยู่ในโลกนี้ ในเมื่อปรารถนาสิ่งนั้น ไอ้ความดำรงชีวิตนี่มันเป็นเรื่องปลีกย่อย ปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย เห็นไหม โลกนี่ทุกข์กันเรื่องปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย ปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยนี่ แล้วโฆษณากันไป

สิ่งนี้เป็นการโฆษณาไป เป็นว่าการสร้างตลาด แล้วเราก็ตื่นไปกับเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย บอกว่า “ผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่มีศีลมีธรรมนะ จะไม่ตื่นไปกับกระแสโลก จะมีจุดยืนของตัวเอง” ถ้ามีจุดยืนของตัวเองนะ ไม่ตื่นไปกับโลก โลกนี้เป็นกระแสตื่นไป คนนะตื่นไปตามกระแส เหมือนสัตว์เวลามันตื่นน่ะ มันตื่นไป โลกก็ตื่นไปสภาวะแบบนั้น

แล้วผู้ที่มีสติ เห็นไหม เราปฏิบัติเพื่อจะพ้นจากทุกข์นี่ ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย ยังต้องมักน้อย ยังต้องสันโดษ ได้มาแล้ว เห็นไหม ได้มาขนาดไหนยังมักน้อยสันโดษ พอแต่ความเป็นไป แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เวลานั่งสมาธิภาวนานี่ เพื่อจะหาไฟกองนั้นไง หากิเลสกองนั้น ถ้าเราสละไฟกองนั้นไป ใจมันก็อยู่เหมือนเดิมนี่แหละ พระอรหันต์ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วก็ยังมีผู้ที่รับรู้ แต่ไม่ใช่อยู่อัตตา เห็นไหม โมฆราชไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอก “ปล่อยวางหมด ว่างหมดเลย”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ถ้าปล่อยวางความว่างแล้วต้องปล่อยวางอัตตานุทิฏฐิ ใครเป็นคนรู้ว่าว่างนั้น”

นี่สิ่งที่เป็นวัตถุเขาไม่มีชีวิต เขาจะไม่รู้สิ่งใด ๆ ต่าง ๆ เลย เขาไปตามสภาวะของเขา เป็นสสารต่าง ๆ หมุนเวียนไปตามธรรมชาติของเขา แต่ใจดวงนี้ก็เป็นสสารธาตุรู้อันหนึ่ง แต่มันมีดุ้นไฟดุ้นนั้นอยู่ด้วย ดุ้นไฟดุ้นนั้นคือยางเหนียว มันอยู่ในหัวใจนี่ มันต้องทำให้จิตดวงนี้ปฏิสนธิแน่นอน คนเราเวลาตายไปนะ ความรู้สึกไม่ตายไปหรอก มันเปลี่ยนสถานะไปตลอดไป

นี่ใจนี้ไม่เคยตาย สิ่งที่ไม่เคยตายนี่มันแปรสภาพไป แล้วเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ถ้ามีศีลขึ้นมานี่มันควบคุมใจได้ ไฟนะ เวลาอยู่ที่ลับมันก็ร้อน อยู่ในที่แจ้งมันก็ร้อน ถ้าเราผิดศีลขึ้นมา เราก็รู้ของเราเองนี่ เพราะเราผิดศีล นี่เราหลอกตัวเอง เห็นไหม

เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราไปนั่งอยู่นี่ มันขึ้นมาในหัวใจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “บารมีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน” เวลาประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม ระลึกอดีตชาติได้มากก็ได้ ได้น้อยก็ได้ แล้วแต่ใจดวงนั้นจะนึกได้เพราะการสร้างสมมา อันนี้ก็เหมือนกัน ในชีวิตของเรานี่ ผ่านอะไรมาบ้าง เวลามานั่งสมาธิ เวลาเราทำความสงบนี่ สิ่งนั้นจะกวนใจมาก ถ้าเป็นบาปอกุศลมันยิ่งกวนใจ เพราะมันหลอกตัวเองไง

เราจะหลอกตัวเราเองได้อย่างไร ในเมื่อเรานั่งนี่เจ็บปวดมาก เวลาทุกข์มากนี่เจ็บปวดมาก แล้วศีลเราก็ไม่บริสุทธิ์ มันกังวลไป มันเกิดนิวรณ์ นิวรณธรรมทำให้ใจนี่ไม่ลงความสงบได้ มันทำให้ใจฟุ้งซ่านไป มันคิดไป ไม่มีใครหลอกเราเลย เรานี่จะหลอกตัวเราเอง นี่ไฟมันจะรุ่มร้อนมาก ดุ้นไฟดุ้นนั้นจะร้อนมากเพราะเราทุศีล

แต่ถ้าเราศีลบริสุทธิ์นะ นี่มีความร่มเย็นของเรา เราพยายามหาของเรา ทำไมเป็นสภาวะแบบนั้น ใจทำไมไม่สงบเพราะเหตุใด ย้อนกลับมาเลย มีสติตั้งแต่ออกบิณฑบาต เช้านี้เราตื่นขึ้นมานั่งสมาธิตอนเช้าไหม เราได้ทำวัตรเช้าไหม แล้วเราประพฤติปฏิบัติน่ะ ออกบิณฑบาตนี่เราพลาดตรงไหน นี่เวลาออกบิณฑบาตเราก็เดินจงกรมไปตลอด ฉันข้าวตั้งแต่เช้ามานี่เราฉันสิ่งใด วันนี้เราฉันอาหารที่ว่ามันเบา เป็นพวกผักพวกข้าวนี่แล้วเรานั่งเป็นอย่างไร ถ้าเราฉันสิ่งที่เป็นเนื้อสัตว์นี่ อาหารที่หนักนี่ แล้วเรานั่งเป็นอย่างไร

นี่มันจะย้อนกลับนะ สติมันจะย้อนกลับมาตลอด นี่มันตรวจสอบศีลของตัวเอง ว่าศีลนะ คือการผิดศีล อันนี้ตรวจสอบกิเลสของตัวเอง ใจตอนเช้านี่ไปเห็นภาพสิ่งใดแล้วมันฝังใจ สิ่งใดที่กวนใจ เห็นไหม เวลาไปบิณฑบาตในหมู่บ้านนี่ เกิดที่ว่าในครอบครัวเขามีปัญหากัน เขาทะเลาะเบาะแว้งกันนี่ มันสะเทือนใจนะ ใจที่มีธรรมอยู่ในหัวใจนี่ โลกเป็นแบบนี้ โลกร้อนแบบนี้ ทุกคนว่าโลกร้อน แล้วทำไมเราต้องไปสู่สภาวะแบบนั้น

ถึงว่าต้องหาทางออกไง เนกขัมมบารมี คือว่าถือพรหมจรรย์ เห็นไหม ออกมาพรหมจรรย์นี่ตรวจสอบใจตลอด ย้อนกลับมา ถ้ามันสภาวะอย่างนั้นนี่มันจะย้อนกลับมาให้เกิดความสงบได้ เกิดความสงบเพราะเราตรวจสอบแล้วเราไม่มีความผิด ภาพประทับใจ ภาพสิ่งต่าง ๆ ที่ประทับใจ เห็นไหม แล้วชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมานี่ เราทำสิ่งใด สิ่งใดที่ฝังใจอยู่มันจะกวนใจตลอดเวลาประพฤติปฏิบัติ อันนี้ต้องสงบไว้ก่อน กดเอาไว้ก่อน เห็นไหม ให้เกิดสัมมาสมาธิ

ถ้าเกิดสัมมาสมาธิขึ้นมานี่ สิ่งนี้จะว่างลง ๆ แล้วมันจะเกิดปัญญาไง มันจะเกิดปัญญาไปเห็นสภาวะของโทษของไฟ ถ้าเห็นโทษของไฟมันจะทิ้งไฟดุ้นนั้นได้ ถ้าไม่เห็นโทษของไฟ มันต้องเกิดการประพฤติปฏิบัติ มันต้องเห็นแจ้งไง มันต้องแทงทะลุด้วยมรรคอริยสัจจัง มันถึงจะทิ้งดุ้นไฟได้ ไม่ใช่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถือไฟอยู่ แล้วเราก็ทิ้ง เราก็อุปมาว่าเราทิ้งแล้ว ๆ ทิ้งแล้วมันไม่มีเหตุไม่มีผลนะ

นี่บุญกุศล เราทำความสงบของใจ ใจมันแปลกประหลาดอย่างนั้น คือว่าเวลามีบุญมีกุศลมันอิ่มเต็มของมัน เวลาตายขึ้นไปนี่มันเกิดสวรรค์แน่นอน คนสละทานมาก ๆ ในสมัยพุทธกาล ก่อนตายนี่เทวดาเปิดนะ ฟ้านี่เปิดหมดเลย เทวดาทุกชั้นนี่บอกจะไปชั้นไหนก็ได้ นี่วัฏฏะมันเป็นแบบนั้น สิ่งนี้มีอยู่โดยธรรมชาติของมัน สิ่งนี้มีอยู่แล้วเราจะปฏิเสธไม่ปฏิเสธมันเรื่องของเรา ถ้าเราปฏิเสธเราจะไม่ได้ผลอันนั้น

ถ้าเราไม่ปฏิเสธ เราทำของเรา เห็นไหม หยาบ กลาง ละเอียด นี่ใจของคนมันพัฒนาขึ้นมา ถ้ามันเห็นสภาวะนี่ เรื่องของสัตว์โลกมันเป็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเรื่องใจของเรา เราทุกข์ยากของเรานี่ เราย้อนกลับมาที่ใจของเรา เราแก้ไขใจของเรา นี่เกิดเกิดตรงนี้ ใจนี่พาเกิด เกิดอารมณ์ เกิดความรู้สึกก็เกิด เวลาเกิดเป็นชีวิตมันก็เกิด แล้วเกิดเป็นสัตว์ เห็นไหม เวลาสัตว์น่ะ สัตว์บางตัวอย่างสุนัขนี่ บางตัวนิสัยดีมาก บางตัวนี่พาลมาก บางตัวเกเรมาก

นี่ของเขา บุญกุศลของเขาสภาวะแบบนั้น คนก็เหมือนกัน มนุษย์นี่เหมือนกัน เกิดมาก็เหมือนกัน แล้วสะสมมาในชีวิต มันผ่านมานี่ เห็นไหม บอกว่าคนที่มีอายุมาก คนที่มีอายุมีวุฒิภาวะมาก คนนั้นเป็นว่าคนที่มีความสุข...ไม่จริงหรอก คนที่มีวุฒิภาวะมากนะ ถ้าผ่านคุณงามความดีมามาก ใจนั้นสละได้ ใจดวงนั้นจะมีความสุขจริง ๆ

ถ้าใจดวงนั้นผ่านมาด้วยบาปอกุศลนะ สิ่งนี้มันสะสมไว้ที่ใจ ใจดวงนั้นน่ะเป็นคนทุกข์คนยาก ใจดวงนั้นน่ะมันจะเร่าร้อนในหัวใจของเขา นี่มันถึงว่าไม่จำเป็นว่ามีวุฒิภาวะ เรื่องของอายุขัยนี้มันจะเป็นสิ่งที่ตัดสินหรอก มันยังมีถูกหรือผิดอีกต่างหาก ถ้าถูกนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่ตัดสินว่าถูกได้ ถูกนี้เป็นถูกของโลก เห็นไหม โลกกับธรรม โลกนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์กันได้ด้วยวิทยาศาสตร์

แต่วิทยาศาสตร์ทางจิต เห็นไหม วิทยาศาสตร์ภายในนี่ ถ้าใครเห็นดุ้นไฟ คือเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าใครไม่เห็นดุ้นไฟมันก็สงบเฉย ๆ ดุ้นไฟนั้นมันก็กลายเป็นไฟเย็น ไฟเย็นที่เรามองไม่เห็นไง มันจะเผาไปตลอดเพราะจิตเราสงบมันก็สงบตัวลง พอจิตมันเสื่อมขึ้นมา เร่าร้อนอีกแล้ว ๆ จนเราเห็นดุ้นไฟคือเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แล้วแยกแยะสภาวะของโทษของมัน

นี่โทษของมันคือว่า เห็นไหม เหมือนกับเราลูกจ้างรอเวลาหมดงาน คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องบ่ายไปสู่ความพลัดพราก มันต้องบ่ายไปสู่ถึงที่สุดของมัน ชีวิตนี้คือโอกาสเท่านั้น โอกาสที่เราทำคุณงามความดี โอกาสเราได้สร้างกระแสของโลก เราได้สร้างวัตถุทางโลกไว้ มันก็เป็นเรื่องของโลก

แต่ถ้าเราสร้างทางธรรมคือสร้างหัวใจของเรา เราก็จะได้โอกาสของเรา โอกาสเกิดมานี่มนุษย์สมบัตินี้เป็นอริยทรัพย์สำคัญมาก เกิดมาแล้วมีการประพฤติปฏิบัติ แต่จะเอาสมบัติทางโลกหรือเอาสมบัติทางธรรมล่ะ ถ้าเอาสมบัติทางธรรมนี่ เราต้องสละสิ่งนั้นเข้ามา แล้วย้อนกลับเข้ามาภายใน แล้วจะเห็นดุ้นไฟดุ้นนั้น เห็นโทษของมันคือ กาย เวทนา จิต ธรรมนี้ มันเป็นอนัตตา มันเป็นสิ่งที่ชั่วคราวเท่านั้น รอเวลาที่มันจะสลายไป

แต่เราทำเสียก่อน ให้ดุ้นไฟนั้นสละออกไป มันตายตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นะ กิเลสตายคือสละดุ้นไฟ เย็นหมด เห็นไหม พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลถึงรอเวลาไง รอเหมือนลูกจ้างรอให้หมดเวลา แล้วก็ตายไป ถึงไม่มีตื่นเต้นกับการตายเลย เพราะกิเลสมันตายแล้วสภาวะโลกเป็นสภาวะแบบนั้น เรารู้จริงตามสภาวะแบบนั้น แล้วเราจะไม่ตื่นเต้นไปกับเขา จะมีความสุขกับเขา

นี่ศาสนาพุทธสอนอย่างนั้น นี่เวลาเกิดก็เกิด เกิดในวัฏฏะส่วนหนึ่ง เกิดในธรรมส่วนหนึ่ง ถ้ามีธรรมในหัวใจนะ ใจดวงนั้นจะประเสริฐมาก รู้สิ่งต่าง ๆ ของโลกเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วไม่ตื่นเต้นไปกับเขา ใช้ชีวิตไปไม่เบียดเบียนตน ตนนี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เบียดเบียนตนเลย แล้วจะไม่เบียดเบียนผู้อื่น แต่ถ้าคนมันเบียดเบียนตนนะ มีกิเลสมีตัณหามาก แต่ปกปิดไว้ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง เห็นไหม เบียดเบียนตน แล้วก็เบียดเบียนคนอื่น

แต่ถ้าไม่เบียดเบียนตน เห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า “ให้ดูใจของเรา พยายามรักษาใจของเรา อย่าเบียดเบียนเรา” ถ้าเราไม่เบียดเบียนเรานะ เราจะไม่เบียดเบียนใครเลย เราไม่ได้เบียดเบียนใครเราจะเป็นประโยชน์กับโลกด้วย เพียงแต่เขาเห็นหรือไม่เห็น เพชร เห็นไหม ไปให้ไก่ไก่ไม่รู้เรื่องหรอก ไก่ได้พลอยจะไม่รู้เรื่องสิ่งใด ๆ เลย ไก่ได้ข้าวของเขาจะว่ามีคุณค่ามาก

แต่คนที่มีหูมีตา เห็นไหม เพชรพลอยเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก แล้วหัวใจมีคุณค่ายิ่งกว่าเพชรพลอยอีก เพราะหัวใจนี่มันขุดยากยิ่งกว่าเพชรพลอย เพชรพลอยทำเหมืองนี่มันยังหาได้นะ หัวใจของเรา อยู่ในร่างกายของเรา เราควบคุมไม่ได้ น่าคิดไหม? ถ้าหัวใจของเราอยู่ในร่างกายของเรา เราควบคุมได้ เราถึงจะเป็นคนดีไง พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ แล้วเราย้อนกลับเข้ามา เราจะได้สมบัติของเรา เอวัง