เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ พ.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในสมัยพุทธกาล สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ แล้วนางวิสาขาอายุ ๗ ขวบก็เป็นพระโสดาบัน สิ่งที่เป็นพระอรหันต์เพราะว่าอะไร? เพราะว่าเขาทำของเขา อย่างสามเณรเดินไปนะ ลูกศิษย์พระสารีบุตรเดินไปตามคันนา เห็นเขาชักน้ำเข้านา น้ำมันอยู่ในที่ต่ำ ทำไมสามารถชักเข้านาได้ นี่สิ่งที่มันไม่มีชีวิตมันยังสามารถเป็นประโยชน์ได้ ทำไมใจของเราเป็นสิ่งที่มีชีวิตนี่ เราสามารถบังคับเรา เราสามารถดัดแปลงเราได้ สามเณรนั้นกลับกุฏินะ แล้วไปดูจิตของตัวเอง สิ่งที่ดูจิตของตัวเองนี่ สามเณร ๗ ขวบ เด็ก ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร เวลาเราอ่านหนังสือกันเราก็สงสัย ทำไมเด็กตัวเล็ก ๆ ขนาดนั้นมีความรับผิดชอบขนาดนั้น

นี่เพราะอำนาจวาสนาของเขา เขาได้สร้างอำนาจวาสนาของเขาเข้ามา แล้วเขาเจอแรงกระทบ สิ่งที่กระทบนี่สภาวธรรมมีอยู่โดยธรรมชาติมีอยู่โดยทั่วไป แต่ใครคนไหนจะมีปัญญา คนไหนจะน้อมเข้ามา เห็นไหม อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา น้อมสัตว์ทั้งหลายเรียกมาดูธรรม นี่ย้อนกลับเข้ามาดูตัวเอง ถ้าเราย้อนกลับเข้ามาดูตัวเอง เรื่องของโลก ความเจริญของโลก สิ่งต่าง ๆ เรื่องของโลก...ถูกต้อง โลกเป็นความเจริญ สิ่งที่เจริญมีอยู่หรือไม่มีอยู่ เราจะมีอยู่ไม่มีอยู่สิ่งนั้นก็เป็นสภาวะแบบนั้น

ถ้าเราติดในสิ่งสภาวะแบบนั้น นี่เราถึงไม่น้อมเข้ามาไง ถ้าน้อมเข้ามาถึงใจของเรา เรื่องของเขากับเรื่องของเรา เรื่องของโลก ความรับผิดชอบ จริงอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าป่าเข้าเขา ๖ ปี แต่ออกจากป่าจากเขามาเป็นศาสดา เป็นอาจารย์ของเทวดา เป็นอาจารย์ของมนุษย์ เป็นอาจารย์ของทุก ๆ ศาสตร์ แม้แต่พระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปรบกับเขาก็ไปถามพระพุทธเจ้าว่า “ไปนี่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ?”

พระพุทธเจ้าบอก “ไม่สำเร็จ ถ้าสามัคคีธรรมในวัชชีพราหมณ์นั้นเขายังมีอยู่จะเป็นไปไม่ได้”

นี่ถึงส่งพราหมณ์ไปยุไปแหย่ สิ่งนี้มันเพราะว่าความรู้สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมานี่ เรื่องของโลกก็เข้าใจ แต่มันต้องวางไว้ตรงนั้น มันต้องเรื่องของเราเข้ามา ถ้าเราเป็นชาล้นถ้วย สิ่งที่เราเป็นชาล้นถ้วย ปัญญาความคิดของเรานี่ เราศึกษาเล่าเรียนมา จริงอยู่...เราเกิดขึ้นมาแล้วนี่ เราต้องพยายามศึกษาขึ้นมา ถ้าปัญญาอันนี้มันมีอยู่นี่ มันเติมเข้ามาไม่ได้ไง

ดูอย่างสามเณร ๗ ขวบสิ เขาเห็นสิ่งที่ว่าเป็นข้างนอกนี่ เขายังยกสิ่งนั้นขึ้นมาเป็นประโยชน์กับเรา ถนนหนทางนะ เวลาเขาสร้างถนน เวลากองดินกองทรายมันกองอยู่ เห็นไหม การจราจรติดขัด สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้เลย เพราะอะไร? เพราะมันขวางถนน ขวางทางเดินของรถ แต่ความคิดของเราเวลามันเกิดขึ้นมา เราไม่เห็นว่าเป็นการขวางตัวเราเอง สิ่งที่เกิดขึ้นมาในตัวเรานี่มันเป็นสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่น เราเป็นความเห็นว่าถูกต้อง

คนเราเกิดขึ้นมาทุกคนต้องการความสุข ต้องเกลียดทุกข์ตลอดไปเลย แล้วก็ปรารถนาความสุข แต่ทำไมคนเราปรารถนาความสุขหาความสุขแล้วไม่เจอความสุขตามความปรารถนา เพราะเราหาไปตามกระแสของโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้วปัจจัย ๔ ของที่อยู่ในโลกนี้เป็นปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย มันจะเป็นความจำเป็นเครื่องอยู่อาศัย

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นเรื่องสภาวะของหัวใจที่รับผิดชอบนั้นเหนือกว่าไง ถึงว่าสิ่งที่เป็นเครื่องอยู่อาศัยนี้เป็นของชั่วคราว สิ่งที่เป็นความจริงคือใจในหัวใจนี่ เวลาเป็นวัตถุ เห็นไหม สิ่งที่กีดขวางเขาสามารถทำให้มันออกจากทางได้ สามารถเก็บสามารถกวาดได้ แต่เวลาความติดข้องในหัวใจของเราเราไม่สามารถเก็บกวาดได้ เพราะเราเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นความจำเป็น เราเห็นว่าสิ่งนี้เป็นความถูกต้อง นี่วุฒิภาวะของใจมันถึงเป็นแบบนี้ไง

ถ้าวุฒิภาวะของใจหยาบ มันจะเห็นความสิ่งที่หยาบ ๆ เห็นสิ่งที่จับต้องได้ เห็นสิ่งที่เป็นวัตถุนี้เป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นสิ่งที่พึ่งอาศัย แต่สิ่งที่ว่าเป็นนามธรรมนี่คนมองไม่เห็น ทางวิทยาศาสตร์บอกเลย “จิตไม่มี จิตวิญญาณนี้ไม่มี โลกนี้เกิดจากปฏิกิริยาเคมี ความสัมผัสของเคมี เกิดปฏิกิริยาของร่างกาย ร่างกายสัมผัสกันแล้วจะเกิดปฏิกิริยาเท่านั้น เรื่องของจิตไม่มี” เพราะสิ่งที่พิสูจน์ได้นี่ปฏิกิริยาของเคมีในหัวใจมันมีความเครียด มันจะให้ผลต่อสิ่งใด ๆ

นี่สิ่งนี้มันให้ผลได้ ความเครียดมันถึงเป็นโรคโรคหนึ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถเห็นสภาวะของใจได้ เพราะว่ามันเป็นนามธรรม นี่สิ่งที่เป็นนามธรรม เราถึงว่าความคิดนี่มันเกิดมาจากไหน ความคิดเรามันเกิดจากสมอง ว่าสมองนี่เป็นเกิดจากความคิด แล้วคนเวลามันเบลอล่ะ คนเวลาที่สมองมันใช้งานไม่ได้ล่ะ เห็นไหม สมองนี้เป็นกองบัญชาการ เป็นออฟฟิศของหัวใจ เป็นออฟฟิศของร่างกาย มันควบคุมสภาวะของร่างกายได้

แต่ความคิดนี่ในศาสนาเขาว่าเป็นสังขาร เป็นความคิด ความปรุง ความแต่ง ถ้าความคิดเป็นสมองนะ เวลาเราเกิดมาย้อนอดีตชาติไป สมองมันคนละสมองแล้ว คนนี่ตายจากสภาวะชาตินี้ไปเกิดในชาติใหม่ สมองมันคนละสมอง ทำไมมันส่งต่อความคิดกันได้ล่ะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาย้อนกลับเข้าไปในอดีตชาติ ทำไมมันส่งต่อกันได้ล่ะ

เห็นไหม จริตนิสัยของคน คนที่มีจริตนิสัย มีอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เห็นไหม พุทธภูมิ สร้างสมบุญญาธิการมามาก พยายามสะสมสิ่งนั้นมามาก ถ้าสมองส่วนหนึ่งที่มันเป็นความจำชาติหนึ่ง ๆ มันจะมาได้อย่างไร ทศชาติ เห็นไหม พระเวสสันดรสละหมดเลย สละสิ่งต่าง ๆ แล้วพระเวสสันดรก็เป็นสมองหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นสมองหนึ่ง เพราะคนละคน เป็นคนนี่คนละชาติ คนละคน ไม่ใช่คนคนเดียวกัน

แต่เบื้องหลังไง ตัวหัวใจที่พาเกิดพาตาย สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นดวงเดียวกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบอกอดีตชาตินะ “เราเคยเป็น” ไม่ใช่เราเป็นนะ เพราะปัจจุบันนี้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เราเคยเป็นชาตินั้น” สิ่งนี้เป็นอดีตที่มันสะสมมา ใจดวงนี้เคยเป็นสภาวะแบบนั้นแล้วแปรสภาพมา สิ่งนี้มันถึงจะย้อนกลับเข้าไปชำระกิเลสได้ไง กิเลสมันฝังมาจากใจ

สิ่งที่ฝังมาจากใจ เวลาใจไปวัฏฏะ ใจนี่ไม่เคยตาย มันถึงเปลี่ยนสภาพตลอดไป ข้างหน้ายังมีอยู่อีก ในพระไตรปิฎกบอกไว้ว่าชีวิตนี้เหมือนกับเราอยู่กลางทะเลทราย แล้วเราเดินไม่ไหวหมดแรงแล้วนอนอยู่ แต่ข้างหน้ายังยาวไกล ยังต้องเดินไปอีก นี่ชีวิตคือเป็นแบบนั้น พระสารีบุตรบอกชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้คือตัวพลังงาน แต่พลังงานในวิทยาศาสตร์ พลังงานคือว่าเป็นพลังงานไม่มีชีวิตไง

แต่พลังงานตัวนี้มันเป็นพลังงานมีชีวิต พลังงานด้วย เป็นสิ่งที่มีชีวิตด้วย เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสิ่งที่สืบต่อในไออุ่น ถ้าพลังงานตัวนี้มันสะอาดเข้ามา สิ่งที่สะอาดเข้ามานี่มันต้องทำให้เราพร่องก่อน ถ้าเราพร่องขึ้นมามันจะเติมปัญญาของเราขึ้นมาได้ ถ้าเราว่าเราเข้าใจ เรารู้อยู่ นี่โลกียะไง

สิ่งที่เป็นโลกียะเหมือนกับกองหินกองทรายที่ขวางทางอยู่ แล้วเราก็เดินไปไม่ได้ เพราะเราติดสภาวะแบบนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร มรรคผลนิพพานจะเป็นไปได้อย่างไร นรกสวรรค์มีได้อย่างไร นี่สิ่งที่พิสูจน์ได้ สวรรค์ในอก นรกในใจนี่ พิสูจน์ได้ในปัจจุบัน เวลาทุกข์ทุกข์มาก เวลาคนทุกข์แล้วตายขณะที่ทุกข์นี่มันจะไปไหน เพราะมันเครียด มันต้องเป็นสภาวะแบบนั้น มันไปตามอำนาจของมัน ใจดวงนี้ไม่มีใครเคยเห็น

ในสมัยพุทธกาลกษัตริย์เขาไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว ขนาดว่าเอานักโทษมาขังไว้ แล้วเอาแก้วครอบไว้ แล้วคอยดูวิญญาณออกจากร่าง มันก็มองไม่เห็นใช่ไหม แล้วพระอรหันต์มาแก้ เวลาเรานอนหลับ เวลาเราฝัน มีคนเคยเห็นใจนี่ออกไปจากร่างกายไหม? ก็ไม่มีใครเคยเห็น เวลาเขาจับคนนะ นักโทษนี่เวลามาฆ่า ฆ่าเลยนะ เวลาตายไปถ้าไปนรกไปสวรรค์ให้กลับมาบอก นี่ในสมัยพุทธกาลก็ไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้

ถ้าวุฒิภาวะของใจเวลาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ มันเป็นความไม่เชื่อของเขา แล้วเขาจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลนี่ให้ย้อนกลับมาเป็นความรู้สึก สวรรค์ในอก นรกในใจ อันนี้เป็นปัจจุบัน เป็นหัวใจนี้ไง เพราะเวลาเราตายไป หัวใจดวงนี้มันต้องไปสภาวะแบบนั้น สวรรค์ในอกมันก็มีความสุขถ้ามันเบานะ

เราสร้างบุญกุศลไว้ คนเรานะเพียบพร้อมไปทุกอย่างเลย จะคิดสิ่งใดมีแต่บุญกุศลของเรา เราเคยสละสร้างสิ่งต่าง ๆ ไว้ในศาสนา เราเคยประพฤติปฏิบัติ จิตของเราเคยสงบขนาดไหนนี่มันพร้อมที่จะไปนะ จะไปไหนก็ได้ แต่ผู้ที่ปฏิบัติละเอียดเข้าไปนี่ ยังไม่พร้อมจะไปถ้ากิเลสยังมีอยู่ในหัวใจ ขอให้ชำระกิเลสสิ้นจากใจไปก่อน เพราะไม่อยากต้องการเจอภาวะใหม่ ต้องเจอสถานะใหม่อีกภพชาติหนึ่ง

ถ้าคนเราปฏิบัติจนถึงจุดของเขาเป็นอกุปปธรรมแล้วนี่ ต้องเกิดอีกตายอีกถึงที่สุด เห็นไหม แต่ถ้าทำลายกามภพ ไม่เกิดในกามภพ มันจะเห็นสภาวะไง ที่ว่าสวรรค์ในอก นรกในใจนี่เหมือนกัน สิ่งที่ข้องอยู่ในหัวใจ สิ่งที่ความลังเลสงสัย สิ่งที่ว่าเกิดความพอใจของใจนี่ มันเกิดในกามภพนี้แน่นอน แต่ถ้าเราทำลายเรื่องของกาม สัญญาความจำได้หมายรู้ ปฏิฆะ กามราคะ ปฏิฆะคือความฝังของใจ เหมือนรอยของน้ำที่ว่ากรีดไปในน้ำแล้วไม่มีรอย

แต่นี้ก็เหมือนกัน รอยของใจที่เคยสะสมมานี่ ถ้าทำลายสิ่งนี้ออก รอยอันนี้ไม่มี ถ้ารอยอันนี้นี่สวรรค์ในอก นรกในใจ ความรู้สึกของใจมันไม่มี ถ้าความรู้สึกในใจนี่ปัจจุบันนี้ไม่มี แล้วมันจะไปเกิดในกามภพที่ไหน มันไม่เกิดในกามภพแต่มันยังมีอยู่ มันเกิดบนพรหม ย้อนกลับเข้ามาที่ทำลายตัวใน นี่ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นเพราะเราทำสัมมาสมาธิ

ถ้าเราทำความสงบของใจ ใจมันว่าง พอใจมันว่าง เห็นไหม ชาไม่ล้นถ้วย ถ้าชาล้นถ้วยนี่เรายึดติดความเห็นของเรา เราทำไมไม่ปล่อยวางความเห็นของเราก่อน ความเห็นของเราเราจับตั้งสิ สุภัททะเป็นนักปราชญ์ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่อายุน้อยกว่า แล้วจะไปถามเขาได้อย่างไร เราเป็นพราหมณ์ ไตรเวทเราท่องได้หมด เราจำได้หมด เรามีปัญญามาก

แต่วันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ความคิดเกิดขึ้นมา “ถ้าเราไม่ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันนี้ เราจะไม่มีโอกาสแล้ว ถ้าเรายังติดความเห็นของเรา เรายังติดว่าเราเป็นนักปราชญ์อยู่ เราจะไม่มีโอกาสเลย” ถึงต้องบากหน้ามาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันปรินิพพานไง ถามว่า “ในลัทธิศาสนาต่าง ๆ ทุกศาสนาว่ายอดเยี่ยม ทุกศาสนาว่าดีทุกอย่าง” ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เราไม่มีเวลา จะอธิบายตรงนั้นมันไม่มีเวลาหรอก ไม่มีรอยเท้าในอากาศ รอยเท้าของมนุษย์ต้องอยู่บนดิน สิ่งที่ศาสนาไหนไม่มีมรรค มรรคาคือภาวนามยปัญญาจากภายใน ศาสนานั้นผลไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่มีเหตุผลไม่ต้องเลย แล้วอ้อนวอนขอร้องขนาดไหนนั้นเป็นความคิดของใจ”

ความคิดอันนั้น นี่สุภัททะยังเอาความเห็นของตัวมาใคร่ครวญ ถ้าจับความคิดเรา เราว่าเป็นนักปราชญ์ เรารู้ทุกอย่าง เราเข้าใจทุกอย่าง แล้วความรู้อันนั้นมันปลดเปลื้องความลังเลสงสัยของเราได้ไหม ถ้ามันปลดเปลื้องความลังเลสงสัยของเราไม่ได้ ทำไมเราไม่ย้อนลง นี่ทำใจให้พร่องไง ถ้าทำใจให้พร่องนี่ ทำใจให้ว่าง ถ้าทำใจให้ว่างนี่เกิดสัมมาสมาธิ ถ้าเกิดสัมมาสมาธินี่มันก็เข้ามรรคาแล้ว ในมรรคาคือสัมมาสมาธิ ในมรรค ๘ ไง นี่ให้มันพร่องอย่างนี้

ถ้าจิตมันพร่องอย่างนี้มันเป็นความว่างเข้ามา ปัญญามันจะเกิด ถ้าปัญญามันเกิดภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นมา สิ่งที่เป็นภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นจากการเราใคร่ครวญ เราดัดแปลงของเรา ปัญญาอันนี้ต่างหากในโลกนี้ไม่มี ถ้าในโลกนี้ใครเห็นปัญญาอย่างนี้ต้องเป็นพระโสดาบันอย่างต่ำ พระโสดาบันจะเห็นภาวนามยปัญญาการเคลื่อนไปของธรรมจักร จักรของใจมันเคลื่อนมา ล้อของจักรเคลื่อนแล้ว พระพุทธเจ้าประกาศธัมมจักฯ จักรนี้เคลื่อนแล้ว โลกนี้จะย้อนกลับอีกไม่ได้เลย จะเคลื่อนไป

ย้อนกลับอีกไม่ได้ เพราะจักรนี้มันเคลื่อนไปบดกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก ถ้าหัวใจของสัตว์โลกกิเลสมันบดออกไป กิเลสมันขาดออกไปจากใจ มันจะกลับมาได้อย่างไร มันไม่มีทางเคลื่อนกลับมาเลย มันต้องเป็นไปธรรมชาติของมัน จะเคลื่อนกลับมาอีกไม่ได้ ถ้าธรรมจักรนี้ได้เคลื่อนในหัวใจของสัตว์โลกแล้วจะไม่มีการย้อนกลับ จักรนี้เกิดขึ้นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ววางไว้ นี่เป็นสัมมาสมาธิ เป็นภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมานี่อกุปปธรรมเกิดขึ้นมา มรรคสามัคคี เห็นความเป็นไปของธัมมจักฯที่เกิดขึ้น ถึงว่า “อ๋อ...ภาวนามยปัญญาเป็นแบบนี้” คนที่เห็นคนที่รู้ต้องเป็นพระโสดาบันอย่างต่ำ พระสกิทา พระอนาคา จนถึงที่สุดของใจนี่มันจะละเอียดอ่อนลึกซึ้งมาก จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นพุทธวิสัย ปัญญานี่เลิศโลกเลย แล้วจะสอนใคร จนท้อใจ ขนาดคนที่มีปัญญาขนาดนั้นยังว่า “แล้วจะสอนใครได้” มันลึกซึ้งขนาดนั้น

แต่ไม่พ้นวิสัยไง นี่อำนาจวาสนาบารมีมาถึงตรงนี้ เราชาวพุทธ เห็นไหม นี่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปตามสัญชัย บอกกับสัญชัยว่า

“เจอพระพุทธเจ้าแล้ว จะมาอยู่กับพระพุทธเจ้า”

สัญชัยบอกเลย “โลกนี้คนโง่มาก หรือคนฉลาดมาก”

“มีคนฉลาดน้อย คนโง่มากกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นให้ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าเถิด”

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปอยู่กับผู้ที่ฉลาด นี่มันมีส่วนน้อย เหมือนเขาโค สัญชัยจะขออยู่กับคนโง่ไง คนโง่ก็อ้อนวอนเอา ขอเอา พยายามเอา แล้วมันไม่ได้ดังใจหรอก การอ้อนวอนเอาเกิดมาได้อย่างไร มันต้องการประพฤติปฏิบัติ ต้องการความเข้ามา

แล้วเราเป็นส่วนหนึ่ง ชาวพุทธในโลกนี้เทียบออกมาแล้วมันก็ส่วนน้อย เพราะชาวพุทธเป็นเรื่องของผู้ที่มีปัญญา ปัญญาใคร่ครวญนี่ปัญญาอันนี้ลึกซึ้งมาก ปัญญาอย่างนั้น แต่เพราะเราชาวพุทธ พุทธทะเบียนบ้านกัน เราก็เป็นการอ้อนวอน เราเป็นพราหมณ์กันไป ไม่ใช่เป็นพุทธแท้ไง พุทธถึงบอกว่า “การประพฤติปฏิบัติ การทำดีดีกว่าการขอพร” แต่เราก็ขอกัน ขอครูบาอาจารย์ ขอบารมี เผื่อให้เรามีความอุ่นใจ ถึงว่าคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ประเสริฐที่สุด

ทีนี้เราไม่เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็คบธรรมวินัย แล้วย้อนกลับเข้ามา นี่ถึงบอกว่าไม่ให้ปัญญาทางโลกเราปิดกั้นปัญญาของเรา สุภัททะเป็นนักปราชญ์นะ เป็นพราหมณ์นะ ยังต้องย้อนกลับลงมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่ามันเป็นมรรคจากภายใน ความเห็นจากภายนอกมันเป็นกองอิฐกองทรายที่ขวางทางเดินของใจของเรา

ถ้ามันขวางทางเดินของใจของเรา เราจะไม่เข้าถึงใจเราเอง ถ้าเราเปิดใจของเราออก แล้วเราจะเข้าถึงใจของเราเอง แล้วเราแก้นะ ใจดวงนี้พ้นจากกิเลส นี่ธรรมจักรมันเคลื่อนไปในหัวใจ บดกิเลสในใจของเราสิ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ถึงที่สุดสามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วเรากี่ขวบ เราเป็นนักปราชญ์ ทำไมเราจะสิ้นไม่ได้ เอวัง