เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ ต.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นอย่างนั้นน่ะ เวลาเรื่องโลก เพราะเรื่องโลกนะ เวลามันบีบคั้น เวลานี่ไล่มาก เพราะเวลาคนมาหาเรา เขาพูดให้ฟัง คืนหนึ่งๆ วันหนึ่งนอนไม่ถึง ๒ ชั่วโมง ต้องทำมาหากินตลอด ปากกัดตีนถีบตลอดนะ จะไม่มีเวลานอนเลย แล้วเวลาง่วงมากก็หาพิงเอา พิงเพื่อพักผ่อน เพื่อพักผ่อน เห็นไหม เวลาโลกต้องการอย่างนั้น แสวงหาอย่างนั้น มันเลยเป็นสภาวะแบบนั้นไง

เวลากษัตริย์ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกเลยว่าท่านเป็นคนที่ไม่มีเวลา ถ้าต้องการธรรมะข้อที่กระชับแล้วทำได้เลย นี่เวลาพระเขาอยู่ป่าก็เหมือนกัน ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอคำแนะนำ ให้ตั้งโจทย์ไป แล้วไปวิเคราะห์เอาในป่าไง ไปวิเคราะห์ไปรื้อเอาในป่า สิ่งนี้มันเป็นความเห็นของต่างๆ ความเห็นของจริตนิสัยของสัตว์โลก เห็นไหม คนที่ต้องการที่พึ่งอาศัย ต้องการความสุขความสบาย เข้าใจว่าอย่างนั้นก็เป็นความสุขความสบายส่วนหนึ่ง แต่คนที่อยากให้ลึกไปกว่านั้นมันก็ทำ เห็นไหม

อย่างเช่นพระเวลาจะออกป่า ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ว่าเป็นคนบวชเมื่อแก่ เป็นผู้ที่ไม่มีเวลา ให้เอาสั้นๆ ไง เอาสั้นๆ เห็นไหม ดูอย่างที่ว่าลูบผ้าขาว ลูบผ้าขาวๆ ให้ลูบผ้าขาว มันต้องเป็นประสบการณ์ของใจ ใจเรามันไม่ต้องการความรู้สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกมากเกินไปหรอก ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยนี้เป็นเครื่องอยู่อาศัยได้ เราต้องอาศัยสิ่งนี้ไป ทีนี้เราใช้ชีวิตไง ชีวิตของเราต้องอยู่ในโลก เราก็ต้องอาศัยปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย สิ่งนี้เราหามัน เราแสวงหามัน แต่หาพออยู่อาศัยไป อย่าได้วิตกทุกข์ร้อนกับสิ่งนี้มากนัก พอเป็นไปๆ คนเราวิตกทุกข์ร้อนไป มันถึงเป็นไปตามสภาวกรรม มันเป็นไปตามสภาวะแบบนั้น

แล้วถ้าเรามีเวลา เวลาเราพยายามจะภาวนา สุดท้ายเราต้องมาภาวนา เน้นย้ำภาวนา เพราะถึงที่สุดแล้วมันต้องมาที่ภาวนา เพราะการภาวนามันจะปลดเปลื้องเราออกไปไง ปลดเปลื้องออกไปจากความพบความเห็นสิ่งสภาวะของเดิม สิ่งนี้เป็นของเดิมๆ นะ ชีวิตนี้เป็นของดั้งเดิม มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน แล้วทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์กัน เห็นไหม เมื่อก่อนมนุษย์เราอยู่ถ้ำ มนุษย์เราเป็นมนุษย์สมัยหิน สมัยอะไร มันเป็นสภาวะแบบนั้นมา นี่มันก็เป็นไป แล้วโลกนี้จะเจริญต่อไปขนาดไหน มันก็เจริญไป ดูสิ อย่างไฟดับหนหนึ่งๆ ในทางตะวันตก ไฟดับหนหนึ่ง ทำไมว่าทำให้ความเป็นอยู่มีความทุกข์มาก เพราะเราไปพึ่งพลังงานอันนั้น แล้วพลังงานอันนี้มันจะต้องหมดไป สิ่งที่มันหมดไป เป็นการทุกข์ร้อนว่าเราจะใช้อะไร มันก็จะมีสิ่งที่มาทดแทนตลอดไป

เราคิดกัน เห็นไหม เวลาเราต้องการทำคุณงามความดี เราอยากทำคุณงามความดี โลกนี้เราใช้พลังงาน เวลาเราใช้เครื่องยนต์ มันมีมลภาวะ แล้วเราว่าเราจะไม่อยากให้มีมลภาวะ แล้วเราต้องใช้ไหม? เราก็ต้องใช้ เราใช้สิ่งที่ในโลกนี้มีอยู่ สิ่งนี้มีอยู่ แล้วเรามีความเข้าใจ ใช้แบบผู้ที่มีความเข้าใจอย่างหนึ่ง ใช้แบบคนที่ไม่มีความเข้าใจ ใช้แบบว่าเขาต้องการความสะดวกสบายของเขาอย่างหนึ่ง การใช้ชีวิตในโลกไง สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลก มันไม่มีชีวิต มันเป็นสิ่งที่ว่าเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วก็แปรสภาพตามสภาวะของมันไป เราเกิดมาเจอสภาวะแบบไหน แล้วแต่บุญกรรมของเราจะเกิดมา

คนเราเกิดมามีความสุขในชีวิตก็มี คนเราเกิดมาปากกัดตีนถีบก็มี คนเราเกิดมาพอสมควรแก่ชีวิตก็มี ทำไมมันเป็นสภาวะแบบนั้น หรือว่าคนทั้งโลกเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วแม้แต่ครอบครัวเดียวกัน เห็นไหม ในลูกของครอบครัวเดียวกัน ตั้งแต่คนหัวปี คนกลาง คนสุดท้องนี่ การเกิดมาของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน จังหวะชีวิต โอกาสไม่เหมือนกัน คนเกิดมาเป็นลูกหัวปีจะมีโชคมากเลย เพราะว่าพ่อแม่กำลังตื่นไง พ่อแม่ไม่เคยมี พอมีลูกคนแรกนี่จะรักมาก แต่มีคนต่อๆ ไป ความรัก รักเหมือนกัน แต่ไม่ตื่นเต้น ไม่คิดเหมือนกับคนแรก เห็นไหม ถ้าคนแรก พ่อแม่คนไหนก็เป็นคนนั้น เป็นสภาวะแบบนั้นหมด เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ มันเป็นเรื่องปัจจัตตัง

เวลาเขาเล่า เวลาเราอ่านหนังสือ เวลาเราศึกษา มันเป็นส่วนหนึ่ง แต่เวลามันเกิดขึ้นมากับเรา มันสะเทือนหัวใจ มันจะเป็นสภาวะแบบนั้น จะเป็นอย่างนั้นหมดเลย แล้วก็จะรักลูกมาก แล้วพยายามจะสอนลูกให้เป็นคนดี พยายามให้เป็นคนดีนะ เพื่อสังคม เพื่อตัวเขาเองด้วย เพื่อตัวเราด้วย เพื่อประสบความสำเร็จ

บางทีพ่อแม่ก็รักลูกจนที่ว่าไม่ให้ลูกเป็นอิสระ คิดตามความเห็นของตัวเอง ถ้าพ่อแม่เป็นประชาธิปไตย พ่อแม่ดีก็ดีไป มันก็อยู่ที่ว่ากรรมของแต่ละบุคคล เกิดมา มืดไปสว่าง เกิดมาสว่างไปมืด แล้วแต่จริตนิสัย แล้วแต่สภาวะแวดล้อม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ เห็นไหม คบมิตรดีที่สุดคือคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะชักให้คนคนนั้นเป็นคนดีได้ แล้วดี ดีจากภายใน ดีจากเรื่องเจตนานะ เรื่องความคิด ความดำริ ความคิดของใจ นี่เรื่องเจตนา

เราทำบุญกุศล คนที่ทำบุญกุศล เห็นไหม ถ้าเกิดว่าเราพึ่งอาศัยสิ่งนี้ ถ้าเจตนาเรา เราซาบซึ้งมาก บุญกุศลจะเข้าถึงหัวใจมาก ถ้าเจตนาของเราไม่ซาบซึ้ง มันจะไม่เข้าถึงมาก เนื้อนาบุญส่วนหนึ่ง ความเป็นหัวใจที่เราเจตนาส่วนหนึ่ง แต่ปฏิคาหก การให้ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ความซาบซึ้ง ความซึ้งของใจ ใจมันจะเป็นสภาวะแบบนั้น

เพราะเราเคยอยู่กับครูบาอาจารย์มา คนมา คนที่ไม่เชื่อมาก็มาต่อว่าต่อขานนะ คนที่เขาเชื่อของเขานะ แม้แต่กระโถน ท่านทำความสะอาดของท่าน เขาสามารถยกกระโถนนั้นดื่มกินได้เลยนะ นี่เราเห็นมากับตาเลย เวลาเขาศรัทธา เขาศรัทธาขนาดนั้น เห็นไหม นี่เรื่องของหัวใจ ถ้าหัวใจศรัทธา หัวใจพอเป็นไป มันจะเปิดเรื่องของใจ

คนที่ตื่นนอน คนมีโอกาส คนที่ตื่นนอน ตื่นนอนคือเปิดหัวใจ ถ้าเปิดหัวใจ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดธรรมเทศนา เวลาญาติโยมเขาบอก เหมือนกับเปิดของคว่ำไว้ให้หงายขึ้นมา ของที่เราคว่ำไว้ มันจะรับอะไรสิ่งใดไม่ได้หรอก ถ้าเราหงายภาชนะขึ้นมา เราจะรับสิ่งใดได้ ฝนตกมาภาชนะนั้นมันก็จะได้ หัวใจถ้าเราเปิดขึ้นมา มันจะหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมัน

สิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจ ถึงที่สุดแล้วนะ เวลาคนเราเป็นไข้ เราเจ็บไข้ได้ป่วย เราอยากให้เราหายนะ คนเราต้องการสุขภาพที่แข็งแรง ต้องการร่างกายที่แข็งแรง ต้องการไม่ให้มันเจ็บไข้ได้ป่วย ให้ชีวิตนี้อยู่ได้ด้วยความสมบูรณ์ของร่างกาย หัวใจก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจแข็งแรงขึ้นมา ถ้าทำสัมมาสมาธิ นี่ยืนได้ มีความแข็งแรง เห็นไหม

ในพระไตรปิฎกบอกไว้ ถ้าใครทำความสงบของใจได้ เหมือนมีบ้านหลังหนึ่ง เราสร้างบ้านหลังหนึ่งไว้เป็นที่พึ่งพาอาศัย นี้เราก็สร้างหลักของใจ ถ้าเราสร้างหลักของใจได้ ใจเราจะมีที่พึ่งอาศัย ใจเราจะมีหลักมีเกณฑ์ของเรา เห็นไหม

ที่พึ่งที่อาศัย คนเราสดชื่น คนเรามีความสุขขึ้นมา คนเราจะทำการงานอย่างไรก็ได้ คนเราหิวกระหาย เห็นไหม เวลาทางโลกน่ะ หิวกระหาย ขอให้มีการดำรงชีวิตเท่านั้น แต่ถ้าเรามีฐานะขึ้นมา เราจะเลือกแล้ว อาหารไหนที่เป็นพิษ อาหารไหนไม่เป็นพิษ เราจะเลือกของเรา หัวใจก็เหมือนกัน ถ้ามันมีบ้านของมัน มันมีที่อาศัยของมัน มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา นี่เอกัคคตารมณ์ จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้ควรแก่การงาน งานในการรื้นค้นไง

แต่ก่อน งานในการดำรงชีวิต อยากสิ่งใด คิดสิ่งใดก็คิดตามอำนาจของมัน คิดตามอำนาจ คิดแสวงหา เราอยากได้สิ่งใดๆ เราก็คิดอยากได้สิ่งนั้น อยากได้สิ่งนั้น แต่เวลาจิตมันสงบขึ้นมา สิ่งนั้นทำให้ใจฟุ่งซ่าน สิ่งที่เราจะเกิดปัญญาขึ้นมา คือเกิดขึ้นมาย้อนกลับเข้าไปในกระแสไง ย้อนกลับเข้าไปในหัวใจที่มันยึดติดยึดมั่นไง

ความคิดเกาะเกี่ยวข้างนอกส่วนหนึ่ง แต่ความยึดมั่นถือมั่นของใจที่มันยึดมั่นถือมั่นตัวมันเองแล้วเกาะเกี่ยวกับสิ่งภายนอก อันนั้นน่ะมันจะเกิดปัญญาใคร่ครวญเข้ามา มันลึกลับมาก เพราะมันเป็นตัวเรา ดูสิ อย่างที่ว่าเขาทำลายเรา คนเราเวลาเขาทำลายตัวเอง เขากินยา ยานี้เข้าไปทำลายให้เขาเสียชีวิตไป นั้นเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ถ้าเวลาเราจะใช้ปัญญาขึ้นมา เราฆ่ากิเลสตาย ถ้าฆ่ากิเลสตาย มันก็เข้าไปทำลายในเรื่องของหัวใจเหมือนกัน

ความยึดมั่นถือมั่นของใจมันเกาะเกี่ยวไปกับสิ่งข้างนอก สิ่งนี้มันยึดตัวมันเองก่อน ความไม่รู้ เห็นไหม พลังงานตัวนี้แปลกมาก เพราะอวิชชาคือตัวพลังงาน แต่มันเป็นพลังงาน มันไม่รู้ตัวมันเอง มันก็เหมือนกับพลังงานทั่วไปมันเผาผลาญตัวมันเอง มันเผาผลาญทุกอย่างเพื่อให้เกิดพลังงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับมัน แต่ถ้ามันเป็นวิชชาขึ้นมา พลังงานนี้มันจะเผาผลาญขึ้นมา มันรู้ด้วยว่าสิ่งที่เผาผลาญเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ ถ้าเป็นโทษ มันก็เป็นเรื่องความคิดของมัน ความพอใจของมัน

ถ้าเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ พลังงานที่เป็นประโยชน์มันเป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรคขึ้นมา มันจะเริ่มย้อนกลับเข้ามา สิ่งต่างๆ ที่เกาะเกี่ยวมันยึดไม่ได้ มันเป็นอนิจจัง แล้วตัวมันเอง ตัวความคิดก็เป็นอนิจจัง ถึงตัวความคิดที่เกิดขึ้นก็เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจังนี้มันเป็นเรื่องของกิเลส กิเลสเกิดอยู่ในใจ เกิดดับนี้เป็นอนิจจัง แต่ตัวใจไม่เป็นอนิจจัง ตัวใจไม่เคยตาย ใจนี้เกิดตายๆ ในสถานะต่างๆ เกิดตายมาตลอด สิ่งที่เกิดตายตัวนี้มันมีอยู่ มันถึงเข้ากับสิ่งที่ว่า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ที่ว่าเป็นนิพพานเที่ยงไง

สิ่งที่เที่ยงคือมันมีอยู่ เที่ยงภาษามัน เที่ยงคือว่ามันมีของมันสภาวะแบบนั้น แต่ไม่ได้เที่ยงแบบเราคิด ถ้าเรามีกิเลส คำว่า “เที่ยง” คือมันมีอยู่ สิ่งที่มีอยู่เป็นภวาสวะ สิ่งที่มีอยู่คือฐาน ถ้ามีฐานมีที่กระทบ สิ่งนั้นเป็นที่กระทบออกไป ยึดออกไปทั้งหมดเลย นี่วิชชาจะเกิดสภาวะแบบนี้ย้อนกลับเข้ามาไง นี่สิ่งที่เป็นย้อนกลับเข้ามา ถึงเป็นมรรค มรรคญาณจะเกิดขึ้นจากในหัวใจของเรา ต้องทำความสงบของใจ เกิดจากเจตนานี่แหละ เจตนาขึ้นมามันจะละเอียดขึ้นไปนะ

เจตนาเรื่องหยาบๆ ก็อยากสร้างโลก อยากสร้างความประสบความสำเร็จของชีวิต นั้นเจตนาของเรา แต่ประสบความสำเร็จชีวิตขนาดไหนมันก็ว้าเหว่ มันก็หงอยเหงานะ คนเราว้าเหว่ คนเราหงอยเหงา คนเราไม่มีหลักใจ ไม่มีที่พึ่ง สิ่งนั้นเป็นเครื่องอาศัย สิ่งที่เป็นเครื่องอาศัยนี้พึ่งไม่ได้ อาศัยชั่วคราวเท่านั้น พึ่งพาอาศัยกัน

โลกเขาว่ากันนะ เงินเป็นพระเจ้า เงินนี้สามารถบันดาลได้ทุกอย่างเลย เป็นพระเจ้า แต่เงินซื้อใจของคนไม่ได้หรอก คนบางคนเขามีศักดิ์ศรีของเขา เงินซื้อไม่ได้ แล้วเงินก็ซื้อมรรคผลนิพพานไม่ได้ เงินก็ซื้อความสงบของใจไม่ได้ มันเป็นอามิสไง เวลาเราปรารถนาเงิน ตัวเลขของเงินขนาดไหน แล้วเราสมความปรารถนาน่ะ มันเป็นอามิสไง อามิสคือว่าสิ่งนั้นเป็นเครื่องทำให้เกิดความสุข อามิสอันนั้นเป็นชั่วคราว สิ่งที่เป็นอามิสมันต้องตอบสนองกัน สิ่งที่ตอบสนองกัน เราก็ต้องแสวงหา

ตอนแสวงหาที่มันทุกข์ยาก ตอนแสวงหาที่การกระทำ เราไม่เห็นว่าสิ่งนี้เป็นความทุกข์หรอก เพราะมันมีความต้องการ สิ่งที่มีความต้องการ มันปิดไว้ กิเลสมันปิดไว้ ถึงสิ่งนั้นเป็นเครื่องที่ว่ามันเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้จริง สิ่งที่เป็นที่พึ่งอาศัยได้จริง เห็นไหม ความคิดของเรามันก็เกาะเกี่ยวสิ่งนั้น ทำลายมัน ใช้ปัญญาเข้ามา ทำลายที่ว่ามันยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด ให้ทำลายมัน ให้มันปล่อยวาง

การว่าปล่อยวางนะ คนเรานี่ไม่ใช่ว่าเราไม่สนใจโลก เราไม่สนใจกับปัจจัย ๔ เราก็ทำตามหน้าที่ของเรา ของของเราก็คือของของเรา เวลากรรมมันเกิดขึ้นมากับเรา ความทุกข์ทำไมเราผลักไส เราปฏิเสธมันไม่ได้ล่ะ ในเมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็คือมันมีอยู่ นี่ก็เหมือนกัน ปัจจัย ๔ มันก็มีอยู่ เพียงแต่ว่าเราไม่ไปยึดมันด้วยตัณหาความทะยานอยาก เราก็บริหารมันไป เพราะมันมีกับเราเป็นสมบัติกับเรา เราก็บริหารของเราไป

แล้วบริหาร เห็นไหม ในแง่บวกบริหารเป็นความดี เงิน ถ้าเป็นโทษ ให้เด็กมันใช้สิ มันใช้ตามประสามันสุรุ่ยสุร่าย แล้วจะเสียนิสัย เสียต่างๆ เงินทำให้คนเสียก็ได้ เงินทำให้คนเป็นคนดีก็ได้ เงินนี้มันเป็นกลาง มันจะดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่ใจของคน ใจของคนที่พยายามศึกษาเข้ามานี่ ธรรมะเป็นอย่างนี้

เงินมันไม่มีชีวิตหรอก มันสอนคนไม่ได้ แต่ธรรมะนี้สอนใจเขาได้ ธรรมะ เวลาจิตมันกระทบ เวลามันทุกข์ขึ้นมา มันกระทบ มันรู้ตัวมันเอง นี่มันเป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้น แล้วเราสนใจไหม เราใคร่ครวญไหม เราจับต้องสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์กับเราไหม นี่มันมีอยู่ตลอดเวลา ธรรมะนี้มีอยู่ตลอด เวลาเพียงแต่มันละเอียดเกินไปจนเราไม่สามารถแยกแยะได้ ไม่สามารถจับต้องสิ่งนี้เป็นประโยชน์ได้ เราถึงอาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ท่านตั้งขึ้นมา บัญญัติขึ้นมา เห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนามธรรมทั้งหมดนะ รูป เวลาคิดขึ้นมาเป็นความรู้สึก เป็นรูปเลย รูปความรู้สึกขึ้นมา เวทนา คือความพอใจและไม่พอใจ สัญญา นี่บัญญัติขึ้นมา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ สังขารคือความคิด ความปรุงความแต่ง วิญญาณ คือรับรู้ สิ่งนี้มันเกิดดับๆ แล้วถ้าไม่มีบัญญัติขึ้นมา เราจะสื่อความหมายกันได้อย่างไร ถ้าเรามีขึ้นมา เราสื่อขึ้นมา เราจะสื่อกันไม่ได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่เราย้อนกลับเข้ามา

จากดวงใจดวงหนึ่งนะ ดวงใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดวงใจของครูบาอาจารย์ แล้วยื่นมานะ สิ่งนี้ยื่นมา ธรรมะเป็นของจืดสนิท เป็นสิ่งที่ว่าเหมือนอาหารที่ไม่เป็นพิษเลย เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับร่างกายทั้งหมด เป็นประโยชน์กับหัวใจทั้งหมด สิ่งที่เป็นเรื่องของโลก เห็นไหม อภิญญา เรื่องความเห็นเรื่องสิ่งต่างๆ นั่นน่ะ สิ่งนั้นให้ความฟูกับใจ ถ้าเห็นสิ่งใด พอใจสิ่งใด มันจะฟูใจ มันจะเป็นไปได้ สิ่งที่รู้ต่างๆ ความรู้นั้นเป็นอนิจจังทั้งหมดเลย มันเป็นอนิจจังเพราะอะไร เพราะจิตตัวนี้มันเกิดดับตลอดไป แต่ถ้าเราทำความสงบเข้าไปให้หมด แล้วถึงตัวมัน สิ่งนั้นจะไม่เป็นตัวอนิจจัง มันจะเกิดไป เห็นไหม

พระอนุรุทธะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน นี่นั่งพูดอยู่ จนพระถามว่า “ปัจจุบันนี้พระพุทธเจ้าไม่ใช่ปรินิพพานไปแล้วหรือ”

“ไม่ ตอนนี้เข้าสมาบัติอยู่ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ”

หมุนขึ้นไป จิต เห็นไหม มันเป็น ของมันมันมีอยู่ ขอให้จิตเราสะอาดเถิด สิ่งที่สะอาดขึ้นมาแล้ว สิ่งนั้นมันจะอยู่กับเราตลอดไป ถ้าจิตของเราเป็นกิเลส มีตัณหาความทะยานอยาก มันขับไสกัน มันขบกัน พอมันขบกัน สิ่งนั้นอนิจจังทั้งหมดเลย ถึงว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เราพอใจมันจะไม่เป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เรารักษากิเลส เราทำลายกิเลสออกไป สิ่งต่างๆ จะเป็นประโยชน์หมดเลย แล้วเป็นประโยชน์ เห็นไหม สิ่งนี้มีอยู่

หลวงปู่มั่น เวลาปฏิบัติขึ้นมา สงสัยสิ่งใด ทำจิตเข้าไปในสมาธิ แล้วพระอรหันต์สมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสั่งสอนในสมาธินั้นน่ะ ในสมาธินั้น เห็นไหม สิ่งนั้นถึงมีอยู่ไง ความสุขอันนี้มีอยู่ เราไม่ต้องห่วงหรอกว่าความว่างปล่อยวางจนไม่มีอะไรเลย แล้วอะไรเป็นความสุข

วิมุตติสุข สุขที่เหนือโลก โลกนี้ไม่มี แล้วเรามีคนเดียวหัวใจ มันจะแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขนาดไหน นี่ถึงไม่ต้องไปวิตกกังวล เราทำใจของเราเข้ามาให้ได้ อยู่ที่เจตนา ทำบุญก็เป็นบุญ เจตนามากก็ได้มาก เจตนาน้อยก็ได้น้อย เจตนาเรื่องของบุญกุศลก็เครื่องอาศัย เห็นไหม ขับไสไปในวัฏฏะ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราทำไม่ได้ มันก็เป็นอำนาจวาสนาเป็นบารมี สะสมบารมีต่อไป ถ้าเราได้สร้างฐานไว้ ต่อไปเราได้ทำมากขึ้น เพราะเราได้สะสมสิ่งนี้เข้าไปในหัวใจ มันตกผลึกในหัวใจไม่ไปไหน คุณงามความดีตกผลึกใจหัวใจ ไม่ไปไหนเด็ดขาด มันซับลงที่ใจ ใจดวงไหนเป็นคนกระทำ ใจดวงนั้นจะเป็นคนรับรู้ ใจดวงนั้นจะรับสิ่งนั้น แล้วตกผลึกไป ถ้ามันยังทำไม่ได้ผล ตกผลึกไปก็เป็นอำนาจวาสนาบารมี แล้วมันจะถึงที่สุด มันจะทำของมันได้ ถ้าเราทำของเราได้

เราเป็นคนลืมตา เราเป็นคนตื่นนอน เราพยายามขวนขวายหาสมบัติให้ใจของเรา แล้วเราจะประสบความสุขของเราตลอดไป เอวัง