เทศน์เช้า

กฐินหัวหิน

๑๙ ต.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า กฐินหัวหิน วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสมสงัด ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

 

จะถวายกฐินนะ ต่อไปเราจะทำบุญทอดกฐิน ทอดกฐินนี้เป็นพุทธานุญาติ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ให้เราทอดกฐิน เพราะว่าเราทำบุญกุศลนะ เราทำทั้งปีก็ได้ ทำตลอดปีก็ได้ แต่บุญทอดกฐินมีได้ ๑ เดือนเท่านั้น ภายใน ๑ เดือนนี้ ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยไง

อาหารบิณฑบาต พระบิณฑบาตฉันอยู่เพื่อดำรงชีวิต ยารักษาโรค แต่เครื่องนุ่งห่ม กฐินคือเครื่องนุ่งห่ม คือผ้ากฐิน เวลากฐินนี้พระต้องครบสงฆ์ ถ้ามีพระครบสงฆ์แล้วเราถึงจะทอดกฐินได้ ถ้าเราทอดกฐินต้องมีพระครบสงฆ์ พระนี้อยู่ในความสมานสามัคคี ในกฐินนี้มีสิ่งที่ว่าเป็นกลอุบาย นิยามของพระพุทธเจ้ามีมหาศาลซ่อนไว้อยู่ในกฐินนี้ ถ้าพระเราไม่มีความสามัคคีกัน พระเราจะไม่สามารถกรานกฐินได้

การกรานกฐิน กฐินเกิดขึ้นจากพุทธานุญาติตั้งแต่ว่าพระต้องวัด ต้องกะ ตัดต้องเนา ต้องตัด ต้องเย็บ ต้องย้อมให้เสร็จภายในวันเดียว ถ้าภายในวันเดียว ในสมัยพุทธกาลต้องเย็บด้วยมือ เราต้องกะทุกอย่าง ไม่มีเครื่องทุ่นแรง จะต้องมีความสามัคคีกัน เพื่อให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ ไม่ฝากศาสนากับไว้ใคร แม้แต่พระ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา พระพุทธเจ้าก็ไม่ฝากศาสนาไว้

พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของเธอตลอดไป ธรรมและวินัยจะอยู่ได้เพราะพระเรามีความสามัคคีกัน ถ้ามีความสามัคคีกัน ความอยู่ในสงฆ์ ถ้าสงฆ์นั้นเจริญรุ่งเรืองตลอดมา ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลนะ จะไม่มีขาดสงฆ์เลย ถ้าขาดสงฆ์ เราจะบวชเป็นพระสงฆ์กันไม่ได้ พระสงฆ์ต้องมีครบสงฆ์ เราถึงจะทำกิจกรรมทำสังฆกรรมได้ นั่นน่ะอุบายวิธีการคือการให้สมานสามัคคี เห็นไหม ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา เราต้องทำตามธรรมตามวินัย ถ้าตามธรรมตามวินัย ความสามัคคีมันจะมีอยู่ในนั้น

คนป่าคนดง เขาอยู่ในป่าในดง เขาขาด พระเขาไม่ครบสงฆ์ เขาก็ไม่มีโอกาส คนอยู่ที่ว่าเจริญรุ่งเรือง ถ้าพูดถึงคฤหัสถ์ไม่พร้อม มันก็เป็นกฐินขึ้นมาไม่ได้ มันต้องพร้อมทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือเจตนาของเรา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เวลามารดลใจ อยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เพราะมีธรรมมีวินัย ธรรมและวินัยนี้จะเป็นอาหารของใจ ใจเราจะมีความสุขความทุกข์เป็นเรื่องของเรา ร่างกายนี้เราปนเปรอด้วยปัจจัย ๔ นะ ให้ร่างกายนี้ดำรงชีวิตไปได้ แต่หัวใจเวลามันทุกข์ มันทุกข์ร้อนมากเลย มันไม่มีสิ่งใดไปเจือจานความทุกข์นั้นได้ มารถึงได้ดลใจไง ดลใจให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “มารเอย เมื่อไหร่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวคำจาบจ้วง กล่าวคำโจมตีของศาสนาต่างๆ ได้ เมื่อนั้นเราจะปรินิพพาน เมื่อใด ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ถ้ายังไม่สามารถกล่าวแก้ ยังไม่สามารถเข้าใจเรื่องธรรมและวินัย เราจะไม่ปรินิพพาน”

นี่วางธรรมวางวินัยไว้ไง จนถึงวันสุดท้ายวันมาฆบูชา มารถึงมาดลใจอีกที พระพุทธเจ้าพูดกับมารไง “บัดนี้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จะมีความเข็มแข็ง มีความเข้าใจในศาสนา อีก ๓ เดือนข้างหน้า วันวิสาขบูชาจะปรินิพพาน” นี่ฝากไว้กับ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

บุญกฐินเป็นความสามัคคีทั้งสองฝ่าย สงฆ์นั้นต้องมีความสามัคคีกัน ถึงต้องอยู่ด้วยกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข การวิปัสสนา การกระทำของใจจะเกิดขึ้น ถ้ามีความทุกข์ยากของใจนะ ใจมีความเกาะเกี่ยวมีความกังวลต่างๆ มันจะทำความสงบของใจได้อย่างไร ถ้าทำความสงบของใจไม่ได้ อาหารของใจมันอยู่ที่ไหน

อุบาสก อุบาสิกาก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีเจตนา ไม่เข้าใจเรื่องศาสนา นี่เราก็ตักบาตรทุกวัน เราก็ทำบุญทุกวัน ทำไมเราต้องทอดกฐินด้วย ทำไมเราต้องไปทำในสิ่งที่ให้เรามีความทุกข์ยากของเราตลอดไป...นั่นมันคิดตามความคิดของเรา แต่ถ้าเราเข้าใจ นี่เป็นกลอุบายไง อุบายภายใน ๑ เดือนนี้ ๑ เดือนเท่านั้น

เวลาภิกษุจำพรรษาครบพรรษาแล้ว มีกฐินขึ้นมา มีกรานกฐินเรียบร้อยแล้ว บุญกุศลเกิดขึ้นมาจากธรรมวินัย ยกเว้น ๕ ข้อ จะไปไหนโดยไม่ต้องบอกลา คือว่ากฎหมายนั้นยกเว้นไง ธรรมและวินัยนี้คือศาสดาของเรา แล้วยกเว้นในวินัย แล้วก็เนื้อของพระพุทธเจ้าใช่ไหม เราทำบุญถึงเนื้อของพระพุทธเจ้า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทำกันตามธรรมตามวินัยที่พระพุทธเจ้าวางไว้ ถ้าพระพุทธเจ้าวางไว้สิ่งนั้น เราทำกันขึ้นมา มันเหมือนกับเรานะ

เดี๋ยวนี้มันมีโทรศัพท์มือถือนะ เวลาเราไปที่ไม่มีคลื่นนี่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เราใช้อะไรไม่ได้เลย ไม่มีคลื่น นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรามีร่างกายและมีหัวใจ แต่เราไม่สนใจเรื่องศาสนา เราไม่เปิดคลื่นในหัวใจของเรา ศาสนาจะเข้าไปได้อย่างไร ถ้าเรามีคลื่น คลื่นคือการกระทำแบบนี้ไง การกระทำ การสละออก กาสละออก การทำทานนี้ เพื่อจะสร้างคลื่น สร้างความเห็นของเรา สร้างศรัทธาความเชื่อของเรา ถ้าเรามีศรัทธาเรามีความเชื่อ เราเปิดใจของเรา มันจะเข้าถึงอาหารของใจ

ใจกินอะไรเป็นอาหาร? ใจกินคุณธรรม คุณงามความดีที่เราสร้างสมนี้เป็นอาหารของใจ ถ้าใจเรามันทุกข์มันยาก มันเดือดร้อน มันทุกข์ยากในหัวใจ แล้วเราจะสละออกไปอย่างไร เราไม่เคยฝึก เห็นไหม นี่อาหารของใจไม่เกิดขึ้น อาหารของใจ ทำให้ใจสงบใจร่มเย็น ถ้าใจสงบใจร่มเย็น มีความสุขเกิดขึ้น แล้วเกิดวิปัสสนาญาณ มรรคอริยสัจจัง

ในศาสนานี้ประเสริฐมาก เราทำกันอยู่นี้เป็นอามิส เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ ให้บอกเตือนบริษัท ๔ ให้ปฏิบัติบูชา แต่การปฏิบัติบูชา ถ้าใจมันฝืน มันไม่สนใจ แบบคลื่นนั่นน่ะ เรามีโทรศัพท์อยู่ มันก็เหมือนเศษเหล็กก้อนหนึ่งนะ เพราะมันไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเราเลย ถ้าเราไม่ใช้โทรศัพท์ เราพกไปหนักเปล่าๆ ไร้ประโยชน์

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจของเราไม่เปิด ไม่ศรัทธาขึ้น ธรรมวินัยมีอยู่ มันไม่สนใจไม่ประพฤติปฏิบัติ ให้ปฏิบัติบูชา เอาอะไรปฏิบัติ ถ้าเอาหัวใจปฏิบัติ ร่างกายนั่ง เวลานั่งสมาธินี้เพื่อให้ใจสงบ เวลาเดินจงกรมเพื่อให้ใจสงบ ใจสงบขึ้นมา

เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับอาฬารดาบส ความสงบของใจมีอยู่แล้ว เขาทำความสงบของใจแล้วเขาว่าเขาเป็นศาสดากัน เขาไม่มีปัญญาไง ปัญญาในธรรมจักรจะเกิดขึ้นมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ก่อน เพราะต้องสร้างบุญญาธิการมามหาศาลเลย เพราะมันเป็นภาวนามยปัญญา มันเป็นปัญญาของใจ มันไม่ใช่ปัญญาของสมอง เราศึกษาเล่าเรียนนี่เราใช้สมอง เราใช้ความคิดของเราให้มันเป็นปัญญาขึ้นมา สมองจำไง จำแต่สิ่งต่างๆ

เขาว่า สมองก้อนเล็ก สมองก้อนใหญ่ ถ้าก้อนใหญ่จะใช้ความคิดได้มาก...ไอน์สไตน์ยังไม่สามารถชำละกิเลสได้ ไอน์สไตน์บอกไว้เลยว่า ถ้าเขาเกิดอีกชาติหนึ่ง ขอให้เป็นชาวพุทธ ขอให้ถือพระพุทธศาสนา เพราะอะไร เพราะภาวนามยปัญญาอันนี้มันเป็นธรรมจักร ธรรมจักรจะเกิดขึ้นมาด้วยความศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อทำใจให้สงบเข้ามา นั้นเป็นบาทเป็นฐาน เป็นบาทเป็นฐานเพราะตัวใจ ตัววิปัสสนา ตัวใจคือตัวสมุฏฐาน ตัวใจคือตัวตนทุน ตัวต้นทุนนี้มันจะเริ่มเวียนออก เวียนออกชำระตัวมันเองให้สะอาดขึ้นมาได้

ถ้าจิตใจสะอาด จากการทำบุญทำกุศล เราสร้างบุญกุศลขึ้นมาเพื่อจะให้เรามีคลื่นก่อน พอเรามีคลื่นขึ้นมานี่ คลื่นตัวนั้นมันทำตัวเองให้เป็นสัญญาณที่สะอาด ให้เป็นสัญญาณที่เขาไม่สามารถจับรหัสได้ รหัสนี้จะไม่สามารถจับรหัสได้เลย เพราะมันเป็นคลื่นของใจ คลื่นของใจมันสื่อของมันเอง แล้วมันทำลายตัวมันเองนะ สิ่งที่ใจทำลายตัวมันเองคือทำลายกิเลสในหัวใจ มันจะทำลายกิเลสในหัวใจด้วยคลื่นปัญญาอันนี้ แต่ต้องทำความสงบของใจขึ้นมาก่อน เกิดสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเกิดขึ้นมา เกิดการงานชอบ

เราทำการงานกันเราทำสัมมาอาชีวะกัน หน้าที่ของแต่ละบุคคลคนนั้นเป็นการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่งานของใจ ใจตัวนี้เลี้ยงสัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะคือใจมีความสุข ใจมีความทุกข์ ใจมีความคิดที่มันดิ้นรนกระวนกระวาย

เราลองเปรียบเทียบสิ เวลาเราอยู่ในบ้านในเมือง เราต้องการความสะดวก ต้องการความสบาย ต้องการความสุข แล้วพระไปอยู่ในป่านี่ต้องการอะไร เขาไปอยู่ในป่ากันเพื่อดัดแปลงตนไง เวลาพระเจ้าพิมพิสารนะ เจ้าชายสิทธัตถะจะออกมาประพฤติปฏิบัติ ออกมาจากบ้านจากเมือง พระเจ้าพิมพิสารคิดว่ามีปัญหากันมา ให้กองทัพนะ แต่งกองทัพให้ครึ่งหนึ่งให้เจ้าชายสิทธัตถะเข้าไปเอาเมืองคืน

เจ้าชายสิทธัตถะบอกว่า “ไม่ใช่ ออกมาเพื่อแสวงหาโพธิญาณ ออกแสวงหาโมกขธรรม”

ดังนั้นถึงสัญญากันว่า ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะประพฤติปฏิบัติได้โมกขธรรมแล้วให้มาสอนเจ้าพิมพิสารด้วย เวลาประพฤติปฏิบัติ ๖ ปี อยู่ในป่า พยายามทำคลื่นของใจให้มันไม่มีรหัส ทำคลื่นของใจให้มันเป็นความสะดวกของมันตามอำนาจของใจนั้น ต้องวิปัสสนาเข้ามาถึงสัปปายะไง พระออกประพฤติปฏิบัติก็ต้องหาสัปปายะ หาที่ควรแก่งาน

งานเอาชนะนะ สงครามจะใหญ่ขนาดไหน เวลาแพ้ชนะกันนะ เขามีเวรเขามีกรรมต่อกันตลอดไป สงครามเอาชนะตนเองเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะเอาตนของตนเอาไว้ได้ ความคิดของเราที่มันดีดดิ้นอยู่ในหัวใจ เราสามารถเบรกมันได้หมดเลย เราสามารถทันมันได้หมดเลย แล้วสามารถฆ่ามันได้นะ แล้วมันจะกระดิกขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้เย้ยมารไง “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา” ความคิดที่มันดำริขึ้นมา มันมาพร้อมกับความคิดอันนั้น แล้วเวลาความคิดมันจะเกิดขึ้น คลื่นที่มันจะมีรหัส เรารู้ทันเลย ไม่ให้มีรหัสได้ เป็นคลื่นบริสุทธิ์ นี่มันเป็นความมหัศจรรย์มากที่ไม่มีใครเข้าถึงความวิมุตติอันนี้ได้ พระที่ออกประพฤติปฏิบัติออกเพื่อเหตุนี้ไง

ความสะดวกสบายทุกคนก็ต้องการ แต่ถ้าเรามีความสะดวกสบาย มันเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสนี้ มันไม่มีวันที่สิ้นสุด มันมีการเกิดและการตาย พระพุทธเจ้าสอนไว้นะ เราตายแล้วเราต้องเกิดใหม่ คนเกิดมาแล้วต้องตายหมดเลย ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เว้นไว้แต่พระอรหันต์เท่านั้น เว้นไว้แต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์จะไม่เกิดอีกเลย

ใจนี้มีอยู่เหมือนกัน เวลาคนเกิดคนตาย เอาอะไรไปเกิดไปตาย? จิตปฏิสนธิไปเกิดไปตาย เกิดในครรภ์ของมารดา เราสร้างบุญกุศลก็เพื่ออันนี้ เพื่อจะสร้างคลื่นเข้ามาให้เรามีคลื่นไปก่อน มีรหัสไปก่อน มีไง อาศัยสิ่งนั้นไป

โยมจะมาที่นี่ได้ต้องอาศัยรถยนต์มา รถยนต์กลไกนี้อาศัยมา ถ้าใครไม่มีก็ต้องอาศัยคนอื่นมาอีกทอดหนึ่ง ถ้าใครมีรถยนต์กลไกมาก็สะดวก คนทำบุญกุศลก็เหมือนกัน ถ้ามีบุญก็มีรถของเราเอง มีส่วนตัวของเราเอง ถ้าคนไม่มีบุญ บุญคืออะไร? คือความทันหัวใจไง ทันความคิด มันไม่เร่าร้อน มันมีความพอใจของมัน มันมีความสุขของมัน มันเข้าใจตัวมันเองตลอดว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เราไม่มีบารมี เราก็อาศัยคนอื่นไป เรามีบารมี เราก็ใช้บารมีของเราให้ถูกทาง เพื่อสร้างคลื่นของเราให้ชัดเจน ให้ศรัทธาเราคงที่ ศรัทธาเราเข้าที่

จากศรัทธาเป็นอจลศรัทธา สิ่งที่เป็นอจลศรัทธาเข้ามา วิปัสสนาเข้าไปนะ จนเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องแปรสภาพเป็นธรรมดา เข้าใจตามความเป็นจริงแล้วสมุจเฉทปหานขับออกไป สิ่งนั้นเป็นอจลศรัทธา ผู้ที่เข้าถึงพระโสดาบันจะเป็นอจลศรัทธา จะไม่เชื่อศาสนาอื่น เพราะอะไร เพราะศาสนาอื่นนั้นเป็นแต่โวหาร เป็นแต่แผนที่ เป็นแต่ความพูดกันไป แต่เวลาความเกิดขึ้นจากหัวใจของผู้ที่เป็น ผู้ที่เป็นมันเป็นปัจจัตตัง ถ้าเราไม่เป็น เราชำระกิเลสของเราได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้ เราจะประหารกิเลสของเราได้อย่างไร ถ้าเรารู้เราเป็น แล้วที่รู้ที่เป็นนี้เป็นขึ้นมาจากไหน? เป็นขึ้นมาจากธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ แล้วเราประพฤติปฏิบัติสมควรแก่ธรรม แล้วได้ทำขึ้นมา

แล้วเราจะปฏิบัติ เราจะทอดกฐินต่อไปข้างหน้านี้เราทำอะไร? เราก็ทำตามธรรมตามวินัย ตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าวางเอาไว้ แล้วเราทำตามนั้นน่ะ เราพยายามสร้างคลื่นของเรา มันเป็นนามธรรมนะ ไม่มีใครเคยเห็นหรอกว่าเรามีอำนาจวาสนาต่างกันขนาดไหน เขาถึงห้ามแข่งอำนาจวาสนาไง แข่งอย่างอื่นแข่งได้ แข่งอำนาจวาสนาไม่ได้

คลื่นในหัวใจก็เหมือนกัน แข่งกันไม่ได้หรอก บางคนคลื่นชัดเจน คลื่นบางคนเจือจาง บางคนรับไม่ได้เลย เพราะเขาบอกว่าทำบุญก็ไม่ได้บุญ ทำไปทำไม เราเหนื่อยทุกข์ยากมา ของเราแสวงหามาต้องเป็นของเรา เราสละเพื่ออะไร เขาไม่มีคลื่นเลย เพราะเขาไม่เชื่อ แต่ถ้าคนเชื่อนะ สละสิ เพราะคนที่ได้จากเราไป เขาได้ความสุข เราหาความสุขของเรามา เรามีของเรา เราใช้ เราได้ประโยชน์ของเรา เราให้คนอื่นไป เขาได้ความสุข ได้เท่ากับ ๒ ดวงใจ ดวงใจหนึ่งคือดวงใจที่สละออกไป มีความพอใจ สละออกไป ดวงใจที่ได้รับ เขาก็ได้ความสุขของเขา

แล้วเราสละออกไป นี่เนื้อนาบุญของโลก ถ้าเนื้อนาบุญ เราหว่านพืชลงไปในเนื้อนาดี นานั้นเจริญงอกงามมาก คลื่นของเราชัดเจนมาก อันนี้เป็นคลื่นไปก่อน เพราะเราเริ่มต้น สุดท้ายแล้วเราก็ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติบูชาเพื่อเราไง เวลาปฏิบัติบูชา ปฏิบัติบูชาเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผลเกิดขึ้นมาจากใจดวงที่ปฏิบัติบูชา นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญกุศลถวายในหลวง แล้วใครเป็นคนได้? ประชาชนได้ความสะดวกสบาย แต่ทำบุญเพื่อถวายในหลวง แล้วคนที่ได้นั้นก็คือประชาชนนั้นน่ะได้

นี้ก็เหมือนกัน ใจเราถวายพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เราจะเป็นคนได้ ได้ของเรา พระพุทธเจ้าไม่เอาของใครหรอก พระอรหันต์ อิ่มเต็มในหัวใจ ไม่ต้องการสิ่งใดเลย เพราะสิ่งนั้นเป็นภาระรุงรัง ใจดวงนั้น คลื่นดวงนั้นไม่มีรหัส ไม่มีสิ่งต่างๆ ไปได้โดยสะดวกสบาย เข้าทุกกระแส ทุกอณูของสิ่งนั้น จิตนี้เข้าได้หมด จะทะลุปรุโปร่งไปหมดเลย ไม่มีสิ่งใดปิดบังจิตดวงนั้นได้

แต่จิตของเรามีรหัส พอเราติดรหัส เราเข้าไม่ได้ เข้าไม่ได้ก็ไปไหนไม่ได้ ก็ติดของมันตลอดไป นี้คืออำนาจวาสนา นี้คือบุญกุศลเกิดขึ้นจากเราพยายามสร้างนะ เราจะทอดกฐินนี้ก็เพื่อเราๆ เราตั้งใจของเรา ทำของเราให้ได้ เอวัง