เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
กรรมของคนมันไม่เหมือนกัน เวลากรรมของเราเวลาเขาถามเรื่องกรรมสภาวะกรรมเห็นไหมพระพุทธเจ้าพูดโดยหลัก ถ้าโดยหลักแล้วสภาวะมันเป็นไปตามกรรมพระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อกรรม กรรมคือการกระทำของเราต่างๆ แล้วเราทำของเราไว้มหาศาลเลยเช่น ที่เขาลงหนังสือพิมพ์นะอย่างหมาเขาเอาไม้ไปแทงตามัน คนทำได้อย่างไร คนเราทำได้อย่างไรในสภาวะแบบนั้นคนที่ทำใจมันหยาบ พอใจมันหยาบมันได้ทำสภาวะแบบนั้น แล้วถ้าเวลามันโดนไปนะ
ในสมัยพุทธกาล มันมีคนหนึ่งเขาเป็นพราน เขาเป็นคนขายเนื้อสัตว์เวลาเขาทำอาหารไว้ให้คนอื่นหมดด้วยความเคยชินของเขา เพราะเคยทำของเขาทุกวัน อาหารเขาทำไว้แล้วเนื้อสัตว์ขายให้คนอื่นไป แล้วเขาเตรียมเอาไว้กิน แล้วเขาไปธุระ กลับมาเมียก็เอาอันนั้นขายไปก่อน พอเขากลับมาอาหารเขาไม่มีเขาไปในวัวเป็นๆ จับลิ้นมันดึงออกมาแล้วเอามีดเชือดเลย เพราะเขาจะกิน ด้วยความเขาเคยชินเขาทำของเขาเคย พอทำแล้วกรรมมันหนักนะ แล้วเขาก็ตายไปด้วยความทรมานมหาศาลเลย ไอ้อย่างนี้เราไม่รู้ว่าคนทำไว้มากทำไว้น้อย
พูดนี้เพื่อให้เห็นสภาวะใจของแต่ละบุคคลมันไม่เสมอกัน คนเราหยาบมันก็หยาบนะ แล้วเวลาเจอสภาวะแบบนี้มันก็กรรมของเราทำมานะ ถ้าของเราไม่ทำมามันจะไม่เป็นสภาวะแบบนั้นหรอก ของของเราทำมาเองแล้วมันเกิดมานี่สภาวะกรรม ถ้าเชื่ออย่างนั้นเป็นการลัทธิยอมจำนน ถ้าทางวิทยาศาสตร์บอกว่าทุกอย่างก็ยกให้กรรมหมดเลย แล้วเราก็เป็นการยอมจำนน เราจะไม่ก้าวเดินไปมืออ่อนเท้าอ่อนเป็นสารานุสรณ์อย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่
ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาแห่งปัญญา ใช้ปัญญาค้นคว้าเข้าไปจนรู้ตามความเป็นจริงทั้งหมด แต่สิ่งสภาวะกรรมมันเป็นการกระทำที่เกิดขึ้น เวลาพระอาทิตย์ขึ้นอากาศมันจะร้อน เวลาหน้าหนาวอากาศมันหนาว เวลาพระจันทร์ขึ้นมันจะมีความร่มเย็นพระอาทิตย์ขึ้นมันจะร้อน นี่เป็นสัจจะเป็นความจริง การกระทำอันนั้นก็เป็นความจริงอันหนึ่ง เพราะเราได้ทำไปแล้วแต่เราไม่รู้ว่าชาติใดชาติหนึ่งเราเคยทำสภาวะมาแบบนั้น ถึงไม่ใช่ลัทธิยอมจำนนมันเป็นความจริงส่วนหนึ่ง
พระอรหันต์แต่ละองค์ยังไม่เหมือนกันเลยดูอย่างพระกัสสปะ ที่ว่าสมัยพุทธกาลเป็นคนที่เลี้ยงช้างสมัยก่อนเป็นคนที่เลี้ยงช้างก่อนจะเกิดเป็นพระกัสสปะเป็นคนที่เลี้ยงช้าง แล้วช้างตัวนี้แสนรู้มากสอนอย่างไรก็ได้ แต่กษัตริย์เขาไม่เชื่อกษัตริย์เขาไม่เชื่อว่าเป็นไม่ได้เขาบอกว่าเขาเอาเหล็กแท่งแดงๆ นี่เผาไฟแดงหมดเลยแล้วบอกให้คนเลี้ยงช้างให้ช้างไปเกาะเสาไฟแดงนี่ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ทุกคนมันต้องกลัวตายใช่ไหม คนเลี้ยงช้างบอกว่าวันนี้เป็นวันตายของคนใดคนหนึ่ง ถ้าช้างนี้ถ้าเชื่อก็เข้าไปกอดเสาไฟนั้น ถ้าช้างนี้ไม่เชื่อก็ให้ช้างนี้เดินออกไปเขาก็ต้องโดนประหาร นี่สละกัน ต้องสละกันไปเพราะมันถึงคราว เพราะกษัตริย์ใจอย่างนั้นไง ทำว่าสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะเขาไม่เชื่อ
ช้างนั้นเดินเข้าไปกอดแท่งเสาไฟแดงๆ จนร้อนตายไปเลย นั่นนะกรรมอย่างนั้นคนนะเป็นคนสร้าง ใครเป็นคนสร้างกษัตริย์นั้นเป็นคนสร้างตกนรกไป ช้างนั้นก็ตายไป คนบุรุษเลี้ยงช้างนั้นก็เวียนตายเวียนเกิดมาเป็นพระกัสสปะ เวลาปรินิพพานไปแล้วศพคนอื่นได้เผาหมดนะพระกัสสปะยังไม่ได้เผา รอไงรอช้างตัวนี้ที่จะมาเกิดแล้วมาตรัสรู้อยู่
กรรมของคนไม่เหมือนกัน พระอรหันต์แล้วถึงที่สุดกระทำมาก็ไม่เหมือนกัน ดูอย่างพระสารีบุตรสิ เวลาไปโปรดแม่เสร็จแล้วปรินิพพานเผาแล้ว พระจุนทะน้องชายเอามาไว้ที่มณฑปซุ้มประตูเอามาวางไว้ที่เชตวัน พระอรหันต์ก็ไม่เหมือนกัน สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าเราสร้างสมมากรรมของใครกรรมของมันสิ่งที่เป็นไปเป็นไป
ถึงว่าศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งเหตุผล แต่เหตุผลนี้มันบุพเพนิวาสานุสติญาณ เหตุผลจากในอดีต ถ้าเราไม่สร้างอดีตมาเราไม่เคยทำคุณงามความดีมา เราจะไม่เชื่อเรื่องศาสนาหรอกเวลาพระพูดมันเป็นคำพูดเฉยๆสัจธรรม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำพูดเฉยๆ เป็นคำพูดว่าให้เราเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ แล้วคนถ้าไม่มีศรัทธาไม่ได้สร้างสมมาจะไม่เชื่อสิ่งนี้เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ว่าไม่น่าเป็นไปได้เลยสิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร ไม่เชื่อนรกสวรรค์ก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อสิ่งต่างๆ แต่ไอ้คนที่ไม่เชื่อมันจะประสบมาทั้งหมดเลย สิ่งที่ประสบมามันถึงเป็นจริตมันถึงเป็นนิสัย สิ่งที่เป็นนิสัยคนเชื่อคนมีวาสนาก็ฟังไง สิ่งที่เป็นนามธรรม คำพูดนี่เราฟังแล้วเราก็สร้างสมของเรา เราทำของเราขึ้นมาได้
ถ้าคนไม่เชื่อมันปฏิเสธไปหมด แม้แต่ตัวเองไม่เชื่อนะเวลาประสบสิ่งใดนะก็ไม่เชื่อ มีนักวิทยาศาสตร์มากเลย เวลาหัดภาวนาขึ้นไปนี่เห็นสภาวะต่างๆ เห็นจิตวิญญาณ เห็นอะไรนี่ แต่ไม่กล้าพูดไง พูดออกมาไม่ได้เพราะอะไรเพราะว่ามันจะลบล้างกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของตัว มันจะลบล้างไปเลยนะ ลบล้างไปก็ไม่กล้าพูดออกมา สิ่งนั้นแม้แต่เห็นเองก็ยังเชื่อลงไม่ได้เพราะอะไรเพราะไม่ได้ทำความเป็นจริง แต่ถ้าทำความเป็นจริงเวลาจิตใจมันหมุนเข้าไปนี่จะเห็นซึ้งในศาสนา
สุตมยปัญญาการศึกษาเล่าเรียนการศึกษามานี่สุตมยปัญญาการบอกเล่าการศึกษามาจินตมยปัญญานักวิชาการพวกนักประพันธ์ จินตะไง เขาสร้างเรื่องมาเป็นเรื่องๆ สร้างได้มากมายมหาศาลเลยแต่ภาวนามยปัญญาไม่มีใครเคยเห็น เวลาเห็นขึ้นมานี่สิ่งที่เห็นขึ้นมาจากภายในอันนี้จะเป็นสมบัติสมบัติอย่างมาก แล้วมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันจะเกิดขึ้นมาจากสุตมยปัญญานั้นถูกต้อง
สุตมยปัญญาคือแผนที่เครื่องดำเนิน เราต้องศึกษา ศึกษาแล้วเราถึงจะทำของเราให้เกิดขึ้นมา แต่ศึกษาแล้วไม่ใช่เกาะไว้อย่างนั้นเพราะเวลาเราศึกษา พระอรหันต์ต้องเป็นแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมด พุทธวิสัยมีอยู่องค์เดียวที่เป็นอย่างนั้น พระสารีบุตรยังโดดข้ามคลอง เป็นอัครสาวกเบื้องขวาจริตนิสัยยังแก้ไม่ได้แต่แก้กิเลสได้ แก้กิเลสได้แก้จริตนิสัยไม่ได้ มันถึงไม่เหมือนกัน
แล้วเราอ่านพระไตรปิฎก สุตมยปัญญา พระอรหันต์ต้องเรียบร้อย พระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนั้นหมดเลย นี่ความคิดของเราความจินตนาการของเรา เราต้องสิ่งนั้นหมด แล้วผิดจากนั้นไปไม่ได้นะ ถ้าผิดจากพระไตรปิฎกไปสิ่งนั้นจะผิดไปหมดเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยพระไตรปิฎกนี้เหมือนกับใบไม้ในกำมือใบไม้ในป่ายังอีกมหาศาลเพราะอะไรเพราะความรู้ความเห็นของใจนี้มหัศจรรย์มาก มันจะรู้เห็นต่างๆ แล้วมันจะเป็นไปตามอำนาจของมัน
ดูอย่างเครื่องยนต์กลไกเกิดจากมนุษย์สร้างทั้งหมดเลย นี่ความคิดของมนุษย์สำคัญมาก มันคิดมันสร้างมันค้นคว้าไป มันจะเป็นไปได้มากแล้วมันจะเป็นไปได้เรื่อยๆ เมื่อก่อนนิวเคลียร์ก็เป็นสารที่ว่ามันละเอียดอ่อนมากแล้วนะเดี๋ยวนี้เป็นอะตอมต่างๆลึกเข้าไปอีกมันไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะสสารมันไม่มีที่สิ้นสุดเรายังไม่สามารถค้นคว้าแร่ธาตุต่างๆเอาขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้อีกมากมายมหาศาลเลยแล้วใครจะค้นคว้าได้ ใครจะทำได้ นั้นก็เกิดจากเรื่องความคิดของมนุษย์ แต่ความคิดของมนุษย์นี้ส่งออกไปเป็นวิทยาศาสตร์
แต่ความคิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาวนามยปัญญามันย้อนกลับทวนกระแสเข้ามาใช้ความคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ความคิดแบบนั้นด้วยสัมมาสมาธิด้วยความกดความเห็นของตนไง ความเห็นของตนคือความคิดดั้งเดิมนี่หลวงตาบอกว่า "ความคิดในกรงขัง" ความคิดของนักโทษนักโทษมันอยู่ในกำแพงมันมองเห็นเฉพาะกำแพง มันมองเห็นแค่นั้นมันก็จินตนาการแค่นั้น
แต่ถ้าเราเวลาทำความสงบของใจเข้ามานี่เราทำลายกำแพงหมดเลยทำลายกรอบของความคิดทั้งหมดเลย มันจะเป็นอิสระของมัน พอจิตสงบขึ้นมาแล้วยกขึ้นวิปัสสนานี่มันจะไม่มีขอบเขต มันจะเป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นไปตามจริตนิสัยของตัวมันจะรื้อค้นเข้าไปในความติดยึดมั่นของใจ ใจยึดมั่นสิ่งใดจะทำลายสิ่งนั้น
สิ่งที่เป็นขอบเขตสิ่งที่เป็นกำแพงขวางความคิดไว้คือขันธ์ ๕ คือสัญญา คือความจำเดิมคือจริตนิสัย คือสิ่งที่สะสมมากับใจทั้งหมดเราจะต้องทำลายสิ่งนี้ทั้งหมด ทำลายเพื่อให้พ้นจากสิ่งนี้ไป ทำลายแล้วมันก็จะปล่อยไปๆจนถึงที่สุดตัวมันเองก็ต้องทำลายตัวมันเอง ภาวนามยปัญญา ศาสนาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ แล้วคนที่จริตนิสัยมันเป็นนามธรรมย้อนกลับมาจากภายใน แล้วย้อนกลับทวนอดีตเข้าไป
แต่ความคิดภายนอกความคิดของคนถ้าใช้วิทยาศาสตร์จับเป็นแต่คลื่นไฟฟ้า เป็นคลื่นของไฟฟ้า เป็นความคิดออกไปสมองทำงานนี่มันจะออกไปนี่มันส่งออกเขายังจับคลื่นได้เลย แต่เวลาเราภาวนาเข้ามา โอ้โฮ มันจะมากกว่านั้นนะเห็นความแปลกประหลาดเห็นความมหัศจรรย์ เห็นสิ่งนี้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอรู้ขึ้นมาเห็นสภาวะแบบนี้มันจะสอนใครได้ ใครจะมีความรู้ได้ ใครมันจะเชื่อสิ่งนี้แล้วสิ่งนี้นะมันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ในกลางหัวใจของเราอยู่ที่ความรู้สึกของเรา
ความรู้สึกความเห็นของเรานี่ เราใช้ของเราไปตามธรรมชาติของมัน แต่เราย้อนกลับด้วยสภาวธรรม สภาวธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมาด้วยมรรค นี่มรรค ความดำริชอบ ความเพียรชอบย้อนทวนอดีตกลับไป ทวนกระแสเข้าไป ทวนเข้าไปในกระแส สุดท้ายแล้วมันปล่อยวางทั้งอดีตอนาคตเป็นปัจจุบัน ทำสิ่งนั้นได้
สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาสิ่งนั้นสิ่งที่เขาเป็นไปเรื่องของเขามันเป็นไปได้เป็นกาลเป็นเวลานะ มันหายได้ไง บางอย่างมันก็หายได้บางอย่างมันก็เป็นสภาวะกรรมอย่างนั้นมันหายไปถึงจุดหนึ่ง จุดหนึ่งเวลากรรมมันให้ผล เหมือนเรานั่งรถ เราขับรถไปนี่เวลารถมันขึ้นภูเขาถนนสร้างขึ้นบนภูเขารถมันจะสูงมากเลยเวลารถลงต่ำมันจะต่ำ
สภาวะของชีวิตเรามันก็มีลุ่มๆ ดอนๆสภาวะแบบนั้นสภาวะลุ่มๆดอนๆ เพราะสภาวะกรรมกรรมอันนี้มันเกิดแล้วมันมีแล้วไปตามธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเราทำลายความยึดมั่นถือมั่นทำลายความรู้สึกอันนี้พ้นจากความรู้สึกพ้นจากต่างๆ นี่สภาวะกรรมมันก็มีอยู่ มีอยู่โดยเข้ามาเรื่องของร่างกาย แต่ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะของใจได้ เพราะใจนั้นพ้นจากกิเลสก่อน ใจนั้นทำความถูกต้องของมันแล้วมันชำระประหารกันเข้ามาจากภายในมันถึงชำระกิเลสอันนี้ไง
นี่วันนี้วันพระ เราตั้งใจนะ วันพระเป็นวันทำคุณงามความดีวันพระเป็นวันหาอาหารของใจ วันปกติเราก็ทำประกอบอาชีพไปธรรมดาของมันประกอบอาชีพไป เพราะหาเลี้ยงร่างกายแต่เลี้ยงจิตใจเราไม่ได้หา ถ้าวันพระพระพุทธเจ้าวางไว้ให้เราวันพระคิดถึงพระคิดถึงเจ้าพระเจ้าไง พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทโธคือหัวใจของเรา วันพระคือวันที่เราสร้างใจของเรา ถ้าใจของเราเป็นพระเราย้อนกลับเข้ามาข้างในแล้วมันจะเป็นผลของเรา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรานะ สิ่งอื่นๆ นั้นอาศัยกัน ลูกก็เลี้ยงดูพ่อแม่ พ่อแม่ก็เลี้ยงลูกมาผลัดกันเลี้ยงดูแล้วแต่กาลเวลา ลูกเกิดขึ้นมาเล็กน้อยเด็กๆ อยู่เราก็ต้องเลี้ยงทะนุถนอมขึ้นมา จนถึงที่สุดเขาก็โตขึ้นมาจนเลี้ยงตัวเองได้ แล้วเขาก็ดูแลพ่อแม่ไปสิ่งนี้อาศัยพึ่งพากัน สิ่งที่พึ่งพานี่ปัจจัย ๔
แต่เรื่องจากภายใน ถ้าใครเปิดอันนี้ได้เปิดอันนี้ความเห็นจากภายในขึ้นมานี่มันจะเป็นประโยชน์มาก แล้วสิ่งนี้ต้องไม่เชื่ออารมณ์ความรู้สึก เพราะอารมณ์ความรู้สึกคนเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่สัจธรรมนี้ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึก มันเป็นความรู้จริงอันหนึ่ง ไม่ใช่อารมณ์ที่แปรสภาพไปอารมณ์ความรู้สึกนั้นคือกรอบกำแพงของนักโทษ สิ่งนี้มันเกิดดับๆ นี่อารมณ์ความรู้สึก แต่ถ้าความเป็นจริงเขาบอกว่าเชื่อความรู้สึกของเราไม่ได้ ต้องเชื่อวิชาการต้องเชื่อตำรับตำรานั้นก็เกาะติด สิ่งที่เกาะติดเกาะติดไปหมด ต้องเชื่อความจริงของปัจจัตตังต่างหาก สิ่งนี้เป็นปัจจัตตังเกิดขึ้นมาจากใจ เอวัง