เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ ก.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต. คลองตาคต อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เวลาวันพระ เห็นไหม วันพระเป็นวันทำบุญ พระพุทธเจ้าตรัสไว้วันปกตินี้เป็นวันของเรา วันพระเป็นวันของใจ หาอาหารให้ใจไง ใจของเรามันต้องมีที่พึ่ง ถ้าใจของเรามันไม่มีที่พึ่งมันว้าเหว่นะ

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไง ในสโมสรสันนิบาต ในเวลารื่นเริงอยู่ทุกคนรื่นเริงอยู่ แต่จิตใต้สำนึกทุกคนว้าเหว่ ทุกคนทุกข์หมดนะ เราเกิดมามีต้นทุน ต้นทุนคือชีวิตไง ต้นทุนนี่เกิดขี้นมาแล้วเรามาใช้ต้นทุนนั้น ถ้าแสวงหากำไรเราได้กำไร ถ้าเราไม่แสวงหากำไรเราจะติดดอกเบี้ยนะ เราจะขาดทุน ขาดทุนนี้เป็นดอกเบี้ย แล้วจิตนี้ ต้นทุนนี้ก็ต้องเกิดต้องดับไป ตามแต่กำไรและขาดทุนอันนั้นไง เราเกิดมาเราถึงต้องหาความกำไรของเรา เราต้องทำบุญกุศล เขาจะว่าอย่างไรเรื่องของโลกเขานะ เรื่องของกิเลส

คนเราเกิดมานี่งานมากแสนมากอยู่แล้ว เกิดมาต้องทำมาหากิน ต้องแสวงหาของเรา จะมีเวลาที่ไหนไปทำบุญกุศล เวลาพูดอย่างนี้มันพูดได้ แต่เวลาทุกข์มันไม่เข้าใจว่าทุกข์เพราะเกิดอะไร เวลาเข้าใจตามกิเลส เห็นไหม เราเกิดมาเราต้องทำมาหากิน เราต้องแสวงหาของเรา นั้นเป็นงานของเรา มันมองด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อ เห็นไหม เราหลับตาเราก็ไม่เห็นแล้ว สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มีอยู่แล้วเราก็มองไม่เห็น เพราะเราหลับตาเราก็มองไม่เห็น แต่ถ้าหัวใจมันทุกข์ร้อนอยู่น่ะ มันเปิดตาขึ้นมามันจะเห็นนะ เห็นตามต้นทุน เห็นว่าจิตนี้มันมีอยู่ จิตนี้ต้องเกิดต้องตายตามกระแสของกรรมไป

นี่ต้นทุนของเรามี เห็นไหม เกิดมานี่ วันพระ พระต้องภิกขาจารบิณฑบาตดำรงชีวิตไปไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใคร พระนี้เหมือนนก เห็นไหม มีปีกและหาง บินไปหากิน แล้วไม่ติดในต้นไม้ด้วย กินผลไม้นั้นเสร็จแล้วก็บินไป พระต้องทำตัวอย่างนั้น เห็นไหม บิณฑบาตมาเพื่อดำรงชีวิตแล้วเพื่อการประพฤติปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติปฏิบัติมา

เราบวชนะ ถ้าเราบวช บวชขึ้นมาเป็นเพศ เห็นไหม เพศหญิง เพศชาย เพศบรรพชิต เพศบรรพชิตนี้เป็นนักต่อสู้ เป็นนักพยายามต่อสู้เอากิเลส เอาต้นทุนนี้ให้ได้กำไรมากๆ กำไรขาดทุนนี้เราต้องแสวงหาไปเป็นอามิส ถึงที่สุดแล้วกำไรขาดทุนนี้ ผลดีและผลชั่วทิ้งไว้ในโลก เรื่องของโลกเขา เรื่องของสมมุติ ใจนี้พ้นไปจากกิเลสด้วยการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราบวช เห็นไหม บวชมาได้แต่เพศมานี่ เรื่องของโลกเขา เป็นพระ เราเห็นพระเราก็ต้องกราบต้องไหว้ เพราะพระเป็นผู้ที่ไม่มีอาชีพ พระนี้ไม่แสวงหาไม่แข่งขันกับใคร พระนี้เป็นผู้ที่ว่าทำลายกิเลส ผู้ที่ว่าดำรงชีวิตด้วยภิกขาจาร เป็นเนื้อนาบุญของโลก

แล้วเราเป็นคฤหัสถ์ เราเป็นผู้ที่ว่าต้องการเนื้อนาบุญของโลก เราจะหว่านพืช หว่านต้นข้าวไปในเนื้อนาของเรา ถ้าเราหว่านต้นข้าวไปในเนื้อนาของเรา ข้าวเรางอกงามขึ้นมา เห็นไหม เราต้องเก็บเกี่ยว เราเก็บเกี่ยวข้าวนั้นเป็นของเรา แต่ผลของต้นหญ้าต้นฟางนั้นเป็นของเนื้อนานั้น

นี้ก็เหมือนกัน การจะให้ เห็นไหม พระนี้ไม่ทำมาหากิน พระนี้มาแสวงหา พระนี้ได้เอาแต่สุขสบาย มันสุขสบายที่ไหน ในเมื่อถ้ากิเลสมันดิ้นรนอยู่ในหัวใจ มันไม่มีใครสุขสบายหรอก กิเลสของเรา เห็นไหม เราต้องการปรารถนา เราต้องการสิ่งใด พระก็มีความคิดเหมือนเรา พระก็มีกิเลสเหมือนเรา แต่ทำไมพระท่านพยายามข่มของท่านเอาไว้ ข่มของท่านไว้เพื่อที่จะเอาชนะมันไง ขึ้นขี่คอช้าง เห็นไหม ควาญช้างขึ้นขี่คอช้าง แล้วบัญชาช้างนั้นไปตามอำนาจของควาญช้างนั้น ฝึกฝนใจนั้น จนช้างนั้นอยู่ในอำนาจของควาญนั้น นี่ก็เหมือนกัน เวลาคิด เวลาจิตมันดิ้นรน เห็นไหม เปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน แล้วไม่มีใครสามารถจะเอาชนะมันได้เลย

พระเราต้องพยายามประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม บวชแล้วต้องประพฤติปฏิบัติ การบวชนี้ได้บุญกุศลมาก ลูกบวชนี่พ่อแม่ได้บุญ ๑๖ กัป ๑๖ กัปเพราะอะไร? เพราะเลือดเนื้อเชื้อไข เห็นไหม เลือดเนื้อเชื้อไข ไข่ของแม่ออกมาจากไหน เป็นวัตถุนี้ธาตุ ๔ เป็นของแม่กับของพ่อออกมาเป็นเรา เห็นไหม แล้วเลี้ยงมาเลือดในอก กินเลือดในอกมาตลอด แล้วอันนี้มาค้ำศาสนา

ค้ำศาสนา เหมือนค้ำทฤษฎีนั้น ถ้าใครมาเจอทฤษฎีนั้น เห็นไหม ศาสนธรรมคือคำสั่งสอน คือพระไตรปิฎกนี่เป็นธรรม แล้วบวชเข้ามาแล้วต้องมาศึกษา ถ้ามาศึกษาเวลาบวชขึ้นมา เวลาเราคลอด เห็นไหม ลูกคลอดออกมาจากแม่ ออกจากท้องของแม่นั้นเป็นลูกของเรา เวลาพระเราออกมาจากโบสถ์ เห็นไหม ญัตติจตุตถกรรม ญัตติออกมาจากพระ ออกมา นั่นน่ะ เกิดมาเป็นพระนั้นได้เพศของพระมา ตรงนั้นแม่ได้ ๑๖ กัป ๑๖ กัปเพราะอะไร? เพราะลูกนี้บวชออกมา นี่มาค้ำชูศาสนา ตัวศาสนานี้ เห็นไหม

เวลาพระผู้ที่ปฏิบัติแล้วนี่เทวดา อินทร์ พรหม ยังต้องมาฟังธรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องมาฟังธรรมกับอริยสาวกต่างๆ ที่รู้เรื่องของธรรม เพราะเขาได้บุญกุศลไปเขาก็มีความสุข มีความเพลิดเพลินไปของเขา ชีวิตของเขาก็เป็นแบบนั้นไป เขาไม่รู้เรื่องอริยสัจหรอก เขาไม่รู้เรื่องความทุกข์หรอก เขาจะมีแต่ความสุข เขาจะเพลินในความสุข เขาจะคิดนะ อย่างพวกที่อยู่บนพรหมนี่เขาจะคิดว่าชีวิตเขาจะไม่มีวันตาย เพราะมันเนิ่นนาน ชีวิตเขายาวไกลกว่าเรา เวลาของเขามากกว่าเรา เขาก็จะเพลินไปอย่างนั้น

แต่ถึงเวลาแล้วชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้ถึงที่สุดต้องพลัดพรากออกไป นี่ ใจมันต้องพลัดออกไป มันเป็นกาลเวลา เราเกิดมามีตั้งแต่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ตั้งแต่เกิดต้องหายใจตลอดไป จนกว่าลมหายใจขาดออกไปจากใจ อันนั้นน่ะดอกเบี้ยหรือกำไรของเรา มันจะให้ผลกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นสร้างสมมาตั้งแต่ตกคลอดออกมา

เด็กเกิดขึ้นมา เด็กมันมีวาสนา ในครั้งพุทธกาล เห็นไหม คนยากจน คนเข็ญใจเป็นขอทาน แล้วเขาท้องขึ้นมา ขอทานขึ้นมานี่มันก็หาอยู่หากินพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่พอท้องเด็กขึ้นมาไปขอทานก็ไม่ได้ ใครก็ไม่ให้หรอก เพราะกรรมของเด็กนั้น จนคลอดออกมานะถ้าเอาเด็กไว้บ้าน แล้วออกไปหาขอทานจะได้พออยู่พอกิน แต่ถ้าเอาเด็กนั้นไปด้วยจะไม่พออยู่พอกิน นั่นน่ะมันทุกข์ยากอย่างนั้น เพราะกรรมสิ่งนั้นให้มา

นี่เด็กเกิดขึ้นมาก็บุญกุศลของเขา บางคนเด็กเกิดขึ้นมา เห็นไหม ตั้งแต่ท้องเด็กลูกคนนี้จะมีบุญกุศลจะว่ามีอำนาจวาสนาของเรา มันราบรื่นไป นั้นแหละกรรมของเด็กก็มี กรรมของเราก็มี กรรมนี้พระพุทธเจ้าถึงให้เชื่อกรรมไง กรรมนี้เป็นอจินไตย เป็นเรื่องแปลกประหลาด เป็นความลึกลับมหัศจรรย์มาก ซับซ้อนไปที่ใจ เช่น เราจะทำคุณงามความดี เราทำคุณงามความดีไป แต่เวลาเราจะตาย เห็นไหม เราคิดถึงสิ่งที่เป็นความชั่ว

พระ..สมัยพุทธกาลไปทางเรือ พระเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม แต่เวลาไปทางน้ำเอามือราน้ำไป ไปเกี่ยวเอาตะไคร่น้ำมันขาดไป นี่มันมีความกังวลใจกับตรงนั้น แล้วตกนั้นตายไป ตายไปพอดี ไปเกิดเป็นจระเข้ เห็นไหม นั่นน่ะ เพราะเวลาออกไป พระเป็นผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไหม? แต่เวลาจะตายไปคิดถึงสิ่งใด คิดถึงสิ่งนั้นมันก็ไปเกิดสิ่งนั้น นี่อำนาจของกรรม

ถ้าเราทำคุณงามความดี เราศึกษาธรรม เห็นไหม เราศึกษาธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้คิดถึงความดี ให้คิดถึงบุญกุศลของเรา ถ้าเราตายในบุญกุศลของเราเราจะไปเกิดดีไง เกิดในสิ่งที่ดี นี่กำไรขาดทุนอยู่ที่ตรงนี้ แล้วถึงตรงนี้ มันเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา มันเป็นอนัตตา เห็นไหม มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ แล้วดับไป แต่อำนาจของกรรมแล้วแต่มันสนองตรงไหน ถ้ามันสนองแล้วเราก็เกิดภพชาตินั้น

สิ่งที่เกิดภพชาตินั้น เห็นไหม นี่ถ้าเราเกิด เราเกิดมาเป็นพระ เราเกิดมานี่เราสึกไป เราก็ตายจากพระไปเป็นคฤหัสถ์ ตายจากคฤหัสถ์มาเกิดเป็นพระ ธรรมและวินัยนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้พวกเราชาวพุทธนะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ดำรงไว้ เป็นผู้ตรวจสอบกัน พระไตรปิฎกเดี๋ยวนี้ใครก็เปิดอ่านได้ ธรรมและวินัยนี้ใครก็รู้ได้ สิ่งที่ผิดที่ถูกทุกคนก็ต้องรู้ แต่สิ่งที่ว่าเป็นธรรมมันอ่านแล้วมันตีความแล้วมันไม่เข้าใจ เห็นไหม มันไม่เข้าใจเพราะสิ่งนี้มันเป็นความลึกลับมาก มันเป็นวิมุตติ

วิมุตติจนกว่าสามารถไม่เป็นสมมุติได้ วิมุตตินี้ไม่มีใครสามารถสื่อออกมาได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่สามารถสื่อได้ แต่.. แต่ผู้รู้กันเข้าใจถึงกัน สิ่งที่เข้าใจถึงกันเพราะอะไร เพราะมันสุขเหมือนกัน มันมีเหมือนกัน มันจับต้องได้ มันสัมผัสได้ มันเป็นปัจจัตตัง จิตนี้เข้าไปสัมผัส พ้นจากกำไรและขาดทุน เกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถประพฤติปฏิบัติได้ทั้งหมด

มรรค ผล นิพพานไม่ปิดกั้นจากใคร พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพ่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคฤหัสถ์ เพราะเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน พาหิยะยังไม่ทันบวชก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ในครั้งพุทธกาลผู้ที่ไม่ได้บวชถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็มี แต่การกระทำอย่างนั้นมันมีโอกาสน้อย

เวลาเราบวชเข้ามาแล้วนี่กิเลสมันดิ้นรนมาก ดิ้นรนขึ้นมานี่เราพยายามดัดแปลงมัน พยายามต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับกิเลสของตัวเอง ดัดแปลงตน แล้วเวลาของเรามีตั้งแต่บวชมา เห็นไหม ๒๔ ชั่วโมง เช้าขึ้นมาก็บิณฑบาตเพื่อดำรงชีวิต แล้วจากนั้นไปก็เป็นเวลาของเรา เว้นไว้แต่เรื่องความเป็นอยู่ นกมันยังมีรวงรังของมัน พระเราต้องมีกุฏิมีที่อยู่อาศัย ก็ต้องทำความสะอาดที่อยู่อาศัยของเรา ข้อวัตรปฏิบัติถึงเป็นเครื่องดำเนินไง สิ่งที่จะเป็นเครื่องดำเนินนั้นเป็นข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาเพื่อควบคุมจิตใจ จิตใจมันจะไม่ยอมทำหรอก มันไม่ยอมทำสิ่งใด เวลาประพฤติปฏิบัติก็ไม่อยากติดตาม แต่ทำสิ่งนั้นแล้วมันมาเสริมกัน เสริมกัน เห็นไหม

คนเรานี่ นักกีฬาเขาเล่นกันเขาต้องมีเวลาพักผ่อน นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติมันมีข้อวัตรขึ้นมา ให้เวลามันสมดุลไง สมดุลกับเรา ผ่อนคลายกับความที่ว่าความตรึงเครียดในการกดกิเลสไว้ ผ่อนคลายสิ่งนั้นออกมา ผ่อนคลายมาเพื่อความสมดุลของมัน แล้วเดี๋ยวเราประพฤติปฏิบัติใหม่

เหมือนกัน ขณะที่เราทำข้อวัตรอยู่นั้นเราก็กำหนดพุทโธของเราไปด้วย กำหนดพุทโธของเราไป คำบริกรรม เห็นไหม อาหารของใจ ใจนี้มันเหมือนกับสิ่งที่ว่ามันแสวงหา มันทุกข์ยากมาก อารมณ์ความคิด เห็นไหม เราจะคิดสิ่งที่ฝังใจ สิ่งใดฝังใจจะคิดสิ่งนั้นบ่อยๆ อันนี้ที่สุดแล้วมันก็กวนใจ เห็นไหม ถ้าพอใจมันก็มีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว นี่เหมือนฟ้าแลบ แต่เวลามันทุกข์ขึ้นมา เห็นไหม เหมือนกับเข็ม เสาเข็มแทงเข้าไปที่หัวใจ ตรอกเข้าไปที่หัวใจนะ ความทุกข์เกิดขึ้น เหมือนเสาเข็มตรอกเข้าไปที่หัวใจ แล้วก็มีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น แต่ไม่เข้าใจวิธีแก้ไข เห็นไหม จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ทำความสงบในกรรมฐานสี่สิบห้อง”

ให้กำหนดพุทโธๆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ กำหนดขึ้นมา กำหนดคือคำบริกรรมไง คิดถึงตลอดเวลา นั้นคืออาหารของใจ เราเปลี่ยนอาหารของใจ จากที่มันเคยคิดเคยแสวงหาของมันโดยธรรมชาติของมัน เราบังคับของมันขึ้นมา เริ่มต้นต้องบังคับ เด็ก ถ้าเรารักลูกของเรานะ เกิดขึ้นมาแล้วเราไม่ให้ศึกษาเล่าเรียนอยู่กับเรา อยู่ข้างตัวเราตลอดไป เราไม่ส่งเข้าโรงเรียน เด็กนั้นจะไม่มีวิชาชีพ

อันนี้ก็เหมือนกัน ใจของเรากำลังจะมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เราต้องบังคับมัน บังคับให้มันกำหนดพุทโธๆ มันไม่กำหนดเราก็ต้องพยายามบังคับกำหนด กำหนดพุทโธๆ จนกว่ามันเป็นความเคยชิน ทำบ่อยครั้งเข้าๆ จะเป็นความเคยชิน ความเคยชินมันเห็นผลขึ้นมา เหมือนกินอาหาร มันต้องอิ่มเข้าสักวันหนึ่ง ถ้ามันอิ่มเข้าสักวันหนึ่ง ผลมันเกิดขึ้นมาจากใจ เราก็ทำได้

จิตนี้ก็สงบได้ จิตนี้สงบได้คือธรรมชาติของมัน สิ่งนี้มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน ธรรมะนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ที่ ๔ ในกัปนี้ เห็นไหม องค์ที่ ๔ องค์ที่ ๕ ต่อไปพระศรีอริยเมตไตรย ธรรมนี้มีอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ก็จะมารื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนี้ตลอดไป

แล้วสิ่งนี้มีอยู่แล้วทำไมไม่เป็นความจริงได้ ในเมื่อจิตมันฟุ้งซ่านได้มันต้องสงบได้โดยธรรมชาติของมัน แต่เพราะว่าเราไม่จริงจัง เป็นเพราะเราไม่จริงจัง เราไม่จริงของเราเอง อาหารที่ว่าป้อนให้ใจกินเราไม่จริงจัง เห็นไหม อาหารของกาย อาหารตักเข้าปากกินมันง่ายแสนง่าย แต่อาหารของใจ เวลามันกินเข้ามามันผลักไส เพราะกิเลสมันเคยตัวของมัน มันเคยมีอำนาจวาสนา มันเคยเป็นเจ้าใหญ่นายโตในหัวใจของเรา มันคิดมันแสวงหาของมัน มันเป็นอิสระของมันขึ้นมา จนมันฝืนของมันตลอดไป จนเราเอาธรรมนี้เข้าไปแทรก ถ้าเรามีความเชื่อ อำนาจวาสนาของเขาอยู่ตรงนี้นะ

นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าลึกซึ้งๆ อย่างนี้ ลึกซึ้งเพราะว่ามันคาดหมายไม่ได้ แล้วมันไม่เห็นความสำคัญไง คนไม่เห็นความสำคัญ คนนั้นจะไม่สนใจเลย อาหารถ้าไม่มีความสำคัญร่างกายนี้อยู่ได้อย่างไร อาหารของใจ คนก็ไม่เห็นความสำคัญของมัน ถ้าไม่เห็นความสำคัญของสิ่งที่เป็นธรรมนั้นคือใจหยาบ ใจจะละเอียดใจจะหยาบอยู่ตรงนี้ คนที่ว่าคนที่มีใจละเอียดขึ้นมานี่จะมีความศรัทธา มีความอยากประพฤติปฏิบัติ ถ้าอยากประพฤติปฏิบัติก็อยากพ้นจากทุกข์ ถ้าอยากจะพ้นจากทุกข์ก็ต้องพยายามดัดแปลงตน ต้องพยายามฝืนตน ฝืนตนก็พอใจกับคำภาวนา เห็นไหม พอใจกับคำบริกรรมต้องกำหนดพุทโธๆๆ จนมันสงบขึ้นมา จิตนี้สงบ พอจิตสงบเข้ามา มันจะมีความสุขของมัน ตั้งแต่เล็กน้อยเข้าไปนะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันจะมีความสุขของมันไป จนติดได้ คนได้สมาธิก็ติดในสมาธิ ติดในความสุขของตัว

แต่มันเป็นหินทับหญ้าไว้ มันไม่ชำระกิเลส จนกว่าจะเริ่มวิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม สิ่งนี้เป็นติด ติดเพราะเราติดเราเอง มันมีพื้นฐานเราติด เรามีเงินเราถึงซื้อสิ่งต่างๆ ได้ ถ้าเราไม่มีเงินเราซื้ออะไรไม่ได้เลย เราจะอยากได้อะไรเราเอาเงินแลกเอาได้ มันมีใจอยู่ ใจตัวนี้มีพื้นฐาน ใจตัวนี้เกาะเขาหมดเลย ถ้าจะทำลายใจตัวนี้จะทำลายตรงไหน? แล้วทำลายไปเป็นนามธรรมจะทำไปได้อย่างไร ทำลายได้ด้วยวิปัสสนาญาณ เห็นไหม ด้วยปัญญาที่เห็น ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นมาได้ต้องมีสัมมาสมาธิก่อน

ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ คนที่มีปัญญามาก ปัญญาของโลก โลกียะ เห็นไหม คนที่มีปัญญามาก ถ้ามันเป็นคนดี มันก็เป็นประโยชน์กับโลก คนที่มีปัญญามากมีความคดโกงมันก็โกงทั้งโลกเลยล่ะ มันเอาโลกนี้เป็นของมันได้ มันพยายามโกงของมัน นั่นน่ะปัญญาอย่างนั้นมันเป็นปัญญาของโลกียะ มันเป็นปัญญาของขันธ์ ๕ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกประจำโลกอยู่แล้ว ใครจะมีดีมีชั่วก็เป็นเรื่องของมัน

แต่ภาวนามยปัญญานี้อาศัยความบริสุทธิ์ จิตนี้สะอาดบริสุทธิ์เพราะเป็นสัมมาสมาธิ จิตนี้บริสุทธิ์ไม่มีตัวตน มันอาศัยความบริสุทธิ์ของมันขึ้นมา มันถึงความดำริชอบ ถ้าดำริชอบมันเป็นโลกุตตรปัญญา สิ่งที่โลกุตตรปัญญา เป็นสิ่งที่ว่าเพราะเข้าไปกำจัดในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม กำจัดสิ่งที่จิตไปเกาะเกี่ยวกับมัน เห็นสภาวะสิ่งนี้เป็นอนิจจัง สิ่งนี้เป็นอนัตตา ไม่เป็นความจริง แล้วมันจะปล่อยๆๆ ปล่อยจนถึงที่สุดมันจะขาด เห็นไหม

นั่นน่ะคือการบวชใจ ใจนี่บวชขึ้นมาเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา บวชแล้วต้องบวชใจอีกชั้นหนึ่ง ถ้าบวชกายขึ้นมาเฉยๆ นี่นะมันบวชแต่รูปเป็นสมมุติ ไม่มีสมมุติไม่มีต้นทุน มันก็เป็นไปไม่ได้ ต้นทุนอย่างหยาบๆ เห็นไหม ต้นทุนอย่างละเอียดคือหัวใจ ต้นทุนละเอียดคือหัวใจนะ คนมีหัวใจคือมีลมหายเข้าออกยังมีชีวิตอยู่ นี้คือต้นทุนใหญ่ ถ้าลมหายใจขาดแล้วหมดไปเลย

คนบวชขึ้นมานี้ก็ต้นทุนหนึ่ง ต้นทุนที่ว่ามันมีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติไม่เหมือนฆราวาสเขา ฆราวาสเขาต้องหาอยู่หากินเลี้ยงชีวิตไป พระนี้บิณฑบาตขึ้นมาภิกขาจารก็เป็นสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ นี่มันเป็นต้นทุนอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดเข้าไป คนมันจะเห็นประโยชน์ของมันขึ้นมา แล้วจะพยายามปฏิบัติของเราขึ้นไป พ้นจากทุกข์ได้

ศาสนานี้พ้นจากทุกข์ สอนให้พ้นจากทุกข์ได้ ทุกข์นี้มีอยู่ ทุกข์นี้ควรกำหนด ทุกข์นี้ต้องทำลายไปด้วยศาสนธรรม ด้วยภาวนมยปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เอวัง