ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

วันเกิดเป็นโลก

๑๔ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

วันเกิดเป็นโลก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรื่องของเทคโนโลยีมันละเอียดอ่อน เราจะใช้เขา เราก็ต้องดูแลเขา เมื่อก่อนไม่เอาอย่างนั้นเลยนะ อยู่กับหลวงตา เวลาท่านมาโพธาราม เห็นไหม เจออย่างนี้ปั๊บชี้เลยนะ พระกรรมฐานมีอย่างนี้ใช้ด้วยหรือ พระกรรมฐานเขาใช้นี่หรือ เรานี่ ท่านจะไม่ให้ใช้อะไรเลยนะ แล้วก็ตะเบ็งเสียง ตะเบ็งจนเสียงดับเลยเมื่อก่อนนะ จนสุดท้ายพอมีนี่มาแล้วค่อยยังชั่ว มันช่วยผ่อนเราไปได้เยอะ แต่ท่านเวลามาท่านก็จะแซวประจำ โอ้ พระกรรมฐานเขามีนี่ใช้กันด้วยหรือ โอ้ แค่นี้มันก็สะดุ้ง คนไหนดีท่านก็จะให้ดีขึ้นมากกว่านั้น คนไหนไม่ดีก็พยายามจะดึงเข้ามา นี่ไงความดีที่ดีกว่านี้ยังมีอีกเยอะแยะไปหมดเลย

ย้อนกลับไปหลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวท่านเล่าให้หลวงตาฟังเอง จัดบาตรไม่ถูกต้อง วางบาตรไม่ดี คืนนั้นภาวนาหลวงปู่มั่นมาเลย แล้วสังเกตได้ ทำไมหลวงปู่มั่นท่านจะไปเจาะจงเฉพาะพระองค์ที่มีศักยภาพ คำว่ามีศักยภาพหมายถึงว่า จะเป็นพระที่มีพระเด็กๆ เข้าไปศึกษา เพราะจะเป็นหลักไง ดูอย่างพระองค์อื่น ท่านก็ไม่ค่อยได้มีอย่างนั้น แต่หลวงปู่ขาวนี่มี

หลวงตาเองก็มี หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง ว่าตอนที่มาอยู่ที่น้ำตกพริ้ว แล้วท่านเป็นหัวหน้ามีพระไปอยู่ด้วยเป็น ๑๐ องค์ ธรรมดาของกรรมฐานเรา ลูกศิษย์ก็เคารพครูบาอาจารย์เป็นธรรมดา ครูบาอาจารย์ก็ให้บิณฑบาตใกล้ๆ ลูกศิษย์ก็ไปบิณฑบาตไกลหน่อย เพราะลูกศิษย์เป็นคนหนุ่ม ทีนี้วันหนึ่ง มีพระไปบิณฑบาตที่เมืองจันทน์ สวนที่เมืองจันทน์ แล้วเดินผ่านกระบอกไม้ ข้ามคลอง แล้วพระเดินกระบอกอันเดียว มันก็ตก ตกไปในคลองนั่น กลับมานี่เปียกหมดเลย เปียกหมดเลยนะ

คืนนั้นหลวงตาก็นั่งภาวนา หลวงปู่มั่นมาในนิมิตเลย เอาเปรียบเขา ให้พวกเด็กๆ มันไปลำบาก ผู้ใหญ่ไม่ทุกข์ไม่ยาก เป็นหัวหน้าคนต้อง.. เทศน์เลยล่ะ ตื่นเช้าขึ้นมาสายไหนไกล..ไป เราได้ยินคำนั้นมา เราธุดงค์ไปที่ไหนก็แล้วแต่ ไปพักวัดใดก็แล้วแต่ สายไหนไกลที่สุด สายไหนลำบากที่สุด เราไปอาศัยเขาอยู่ เราจะไปเอาสะดวกไม่ได้ เราจะไปสายไกลที่สุด ลำบากที่สุด ไปเอาสายนั้น เพราะอันเนี้ยมันฝังใจมา ฝังใจตั้งแต่หลวงปู่มั่นมาเข้านิมิตของหลวงตา

แล้วหลวงตาท่านเอามาพูดบ่อย เมื่อก่อนท่านจะเล่าบ่อยว่าเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านองค์ไหน หรือว่าคนไหนจะมีศักยภาพ ก็จะให้สิ่งที่ดีๆ คำว่าสิ่งที่ดีๆ นะ คืออาวุธ อาวุธนะเวลาเราภาวนากัน เราอยากมีสติ เราอยากจะมีสมาธิ อยากมีปัญญา นี่คืออาวุธ อาวุธที่เราเอาชนะตนเอง การจะมีสติ การจะเริ่มประพฤติปฏิบัติ มันก็ต้องฝึกมาจากการดำรงชีวิตเรานี่แหละ ความเป็นอยู่เรานี่แหละ ความเป็นอยู่ของเรา เราบอกว่าสิ่งนี้มันลำบากลำบน จะอยู่แบบสะดวกสบาย สะดวกสบายมันก็มักง่าย คนมักง่ายสติไม่มีหรอก

เวลาพระปฏิบัติกันเขาดูตั้งแต่การเคลื่อนไหว การดำรงชีวิตเก็บของวางของ การเคลื่อนไหว การเดิน การนั่ง ดูกันตรงนี้แหละ มันก็เหมือนพระเนี่ย เวลาหลวงปู่มั่นเห็นไหม ท่านจะดูนิสัยพระว่าละเอียดหรือหยาบ ท่านตัดสบง สบง ๕ ขันฑ์ แล้วให้แจกพระ ๕ องค์ แจกพระที่ท่านจะดูว่าหยาบละเอียดไง หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าพอได้รับแจกผ้า ท่านรู้แล้วว่าหลวงปู่มั่นจะดูความละเอียด

ท่านบอกว่ามีฝีมือเท่าไรปล่อยเต็มที่เลย พอปล่อยเต็มที่ปั๊บ ไอ้ผ้า ๕ ขันฑ์ ๕ ชิ้นก็ต้องไปเย็บรวมกัน เพื่อเป็นสบงของหลวงปู่มั่น แล้วบอกว่า ๕ ชิ้นเอามาดูฝีมือแล้ว ท่านบอกว่าของท่านอันดับหนึ่ง ของหลวงตาอันดับหนึ่ง คือว่าตั้งสติเต็มที่เลย เย็บทีละฝีเข็มเลย หลวงปู่มั่นท่านจะดูความละเอียดของลูกศิษย์ ความละเอียด ความหยาบมันอยู่ที่การเคลื่อนไหวของเรานี่แหละ

นี่เวลาเรามาปฏิบัติเห็นไหม เวลาใครมาปฏิบัติ หลวงพ่อ หนูปฏิบัติใหม่จะทำอย่างไร นึกว่าการปฏิบัติคือมันไปอีกเรื่องหนึ่งไง อย่างพูดตอนเช้า ตอนเช้ามาเราพูดเรื่องสมมุติเห็นไหม เราเข้าใจกันว่าสมมุติไม่มี สมมุตินี่ไม่ดี สมมุตินี่ต้องทิ้ง แต่ความจริงสมมุติก็คือเรานี่แหละ เพราะตัวเรานี่คือสมมุติ จิตเราก็เป็นของสมมุติ เพราะเราเกิดมาใช่ไหม มันของชั่วคราว ไอ้สมมุติก็คือความรู้สึกของเรานี่แหละ

แต่เราเข้าใจว่าสมมุติคือสิ่งที่เราสมมุติกันขึ้นมา ไอ้ความรู้สึกเราเป็นความจริง ไอ้ความรู้สึกเรานั่นคือสมมุติ เพราะอารมณ์ความเคลื่อนไหวมันสมมุติ เพราะธรรมะนี่มีอยู่จริง จิตเรานี่เป็นของจริงแต่มันโดนครอบงำด้วยความคิดเพราะมันยังเป็นสมมุติอยู่ สมมุติคือสถานะการเกิด ตอนนี้โลกเข้าใจผิด โลกเข้าใจว่าสมมุตินี่มันเป็นอีกชิ้นหนึ่ง ไอ้ตัวเราเป็นอีกชิ้นหนึ่ง แต่ความจริงมันคืออันเดียวกัน อันเดียวกันใจเราเป็นสมมุติ ใจเราเป็นสมมุติเพราะอะไร เพราะมันมีความคิดไง มีความคิด มีอวิชชา สมมุติคือว่ามันต้องตายไป

แต่หลวงตาบอกว่าใจนี่ไม่เคยตาย ใจนี่เป็นความจริง มันจะเกิดตายเกิดตาย แต่มันไม่เคยตาย ไม่เคยตายคือตัวพลังงาน คือตัวสสาร คือตัวจิต แต่ไอ้ความคิดนี่มันอยู่กับจิต แต่เราไม่เคยเห็นจิตแล้วเราก็พูดกันไปว่าเรารู้เราเห็น เรารู้เราเห็น ไม่ใช่หรอก สมบัติพ่อแม่ เราเกิดมาอยู่ในบ้าน นี่บ้านใคร พ่อแม่สร้างไว้ เงินทองก็พ่อแม่หาไว้

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสร้างไว้ ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า เราเกิดมาในบ้านของพ่อแม่ เด็กๆ ถามกันนี่บ้านใคร บ้านกู มันบอกว่าบ้านมัน บ้านมันอะไร มึงเกิดในบ้านนี้ พ่อแม่เขาสร้างบ้านนี้ขึ้นมา มึงมาเกิดอยู่ในบ้านนี้ บ้านของมึงที่ไหน แต่บอกว่าบ้านใคร บ้านกู นี่ก็เหมือนกัน กูรู้ ไม่รู้เลย ไม่รู้เลย นี่ไงพอเราทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจว่าการปฏิบัติ ก็ปฏิบัติจากจิตเรานี่แหละ ทีนี้การปฏิบัติจากจิตเรา การกระทำของเรา เราถึงจะตั้งใจไง การกระทำอันหนึ่ง การกระทำโดยธรรมชาติ การกระทำโดยสัญชาตญาณ

การกระทำของเราออกไปเป็นสัญชาตญาณนะ เป็นความรู้ ยิ่งคนมีปัญญามาก คนรู้มาก คนเคลื่อนไหวมาก คนนั้นยิ่งเป็นคนดี ยิ่งเป็นคนที่ฉลาด แต่ความจริงนะโง่มากเลย หลวงตาพูดอย่างนี้จริงๆ นะ คนที่มีการศึกษามามากๆ โง่ ๒ ชั้น ชั้นหนึ่งโง่ด้วยสัญชาตญาณ ธรรมดา กิเลสหรือสัญชาตญาณของเรา มันจะปฏิเสธตัวเรา มันจะรู้แต่คนอื่น นี่ความโง่อันหนึ่งคือโง่โดยกิเลส ความโง่ ที่ ๒ คือวิชาการอันนั้นของมึงหรือ มึงรู้ไหม มึงไปจำเขามา พอไปจำเขามามันก็เป็นกรอบรัดคอ โง่ฉิบหายเลยล่ะ กูรู้มาก ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น ชีวิตก็เลยทุกข์ฉิบหายเลย จมไม่ลงไง

จริงๆ นะ พูดคำนี้เราสะเทือนใจทุกที ศิลปากรนี่ เขาสอนอยู่ศิลปากร ด็อกเตอร์แล้วเขาภาวนา ภาวนาจิตเขาสงบ เขาไปเห็นภูติผีปีศาจ แล้วเขาก็มีความตกใจกลัว แล้วเขาก็พูดให้เพื่อนเขาฟัง เพื่อนก็บอกว่า มึงทำไมไม่พูด มึงทำไมไม่แก้ไขล่ะ พูดได้อย่างไรกูด็อกเตอร์ โอ้คำพูดคำนี้เราก็เฉยเลย บอกกูพูดได้ไงกูด็อกเตอร์ ถ้าพูดด็อกเตอร์กูก็หมดเลย นี่ไงเพราะเขาไปรู้ไปเห็นเอง เขาภาวนาไง ภาวนาแล้วจิตมันลง มันไปเห็นจิตวิญญาณ เห็นจิตวิญญาณมันก็สยดสยอง แบบว่ามันตกใจ คือว่ามันเสียว มันจะกลัว มันจะหวาดระแวง

แล้วอยู่ไม่ได้เลยก็ไปอยู่กับเพื่อน เอาเพื่อนมาอยู่เป็นเพื่อน นี่เพื่อนก็บอกว่า ให้พูดออกมาสิ แบบว่าให้ผ่อนคลายออกมา เขาพูดกับเพื่อนมา แล้วนี่เพื่อนก็มาพูดให้เราฟังเอง เพราะเพื่อนเขามาปรึกษาเราว่าจะแก้ไขอย่างไร ก็บอกว่าก็เอ็งพูดออกมาสิ เรามีความวิตกกังวลในหัวใจใช่ไหม เราทุกข์ใช่ไหม ถ้าเราไม่ระบายออก ทุกข์มันไปไหนล่ะ มันก็ขังอยู่กับเราใช่ไหม เราก็ระบายออกไปสิ บอกให้ระบายออกมา กูพูดไม่ได้ กูเป็นด็อกเตอร์ เดี๋ยวด็อกเตอร์กูหาย เนี่ยโง่ ๒ ชั้นไง ความจริง ความจริงสิ่งที่เราเกิดขึ้นเรารู้ มันคือความจริง ที่เรารู้จริงๆ นะ

อย่างที่พระอริยเจ้า ท่านจะเป็นพระอริยเจ้าขึ้นมา มันอยู่ที่การปฏิบัติของท่าน ประสบการณ์จริงของท่าน แต่ที่เราศึกษากันอยู่ เราไปเอาประสบการณ์จากข้างนอกเข้ามา การศึกษาที่เราเรียกว่ามีปัญญาๆ ที่ว่าโง่ ๒ ชั้น ถ้างั้นการเวลาปฏิบัติ การปฏิบัติเห็นไหม เวลาหลวงตาเป็นมหาไปหาหลวงปู่มั่นนี่เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านบอกเลย โอ๋ มหานะ ท่านมหาเรียนมาจนเป็นมหานะ ธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเชิดชูไว้ ยกใส่หัวใส่เกล้าไว้นะ

แต่ขณะที่ปฏิบัติ เอาใส่ลิ้นชักไว้ก่อน เอาความคิดที่เรียนมาทั้งหมดใส่ลิ้นชักไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้อย่าให้มันออกมา เพราะถ้ามันออกมา สิ่งนั้นคือเรียนมา คือทฤษฎี แล้วการปฏิบัติมันจะเกิดจริงกับเรา นี้การเกิดจริงกับเรา เด็กอ่อน ลูกเราแต่ละคนที่เกิดมา มันเกิดมามันนั่งไม่ได้ มันคลานไม่ได้ มันเดินไม่ได้ มันต้องหัดนั่ง หัดคลาน หัดเดิน จิตเรานี่เหมือนเด็กอ่อน เพราะมันยังไม่มีประสบการณ์ทางธรรมเลย มันเป็นประสบการณ์ทางโลก เพราะเราเกิดมาแล้วสัญชาตญาณของมนุษย์นี่มันรักษาตัวมันเองได้

แต่ประสบการณ์ทางธรรมเหมือนเด็กอ่อน แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ไปศึกษามา มันเป็นธรรมเศรษฐีธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้าคือธรรมของผู้ใหญ่ที่สำเร็จรูปมาแล้ว นี้พอเราปฏิบัติ เด็กอ่อน คำว่าเด็กอ่อนนะ เด็กอ่อนคือประสบการณ์ของจิต จิตนี้มันยังไม่เคยเป็น ไม่เคยรู้ ไม่เคยเป็นอะไรเลยเหมือนเด็กอ่อน เด็กทารกเพิ่งเกิด เลี้ยงตัวเองไม่ได้ เด็กทารกเพิ่งเกิดเลี้ยงตัวเองไม่เป็น ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันยังไม่เคยปฏิบัติ มันเลี้ยงตัวเองไม่ได้ แต่ศึกษาธรรมะของเศรษฐี

เหมือนเดินไปธนาคาร ธนาคารนี่มีทรัพย์สินเป็นแสนแสนล้าน อู้ฮูย รวยไปหมดเลย รู้เห็นไปหมดเลย แต่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ นี่เวลาปฏิบัติหลวงปู่มั่นถึงบอกว่า ก่อนที่จะปฏิบัตินี่นะเรียนธรรมของพระพุทธเจ้ามาจนได้เป็นมหา เอาความรู้คือเงินทองที่เราเห็นมา มาเป็นสมบัติใช่เป็นสมบัติของชาติ เราก็วางไว้นั่น แล้วเราต้องฝึกหัดตัวเราหาเงินหาทองให้เป็น นี้การฝึกหาเงินหาทอง คิดดูสิ เราทำงานกัน เราหัดทำธุรกิจต่างๆ กัน มันจะประสบความสำเร็จในครั้งแรกเลยไหม

เริ่มต้นเราต้องเตาะแตะไหม เริ่มต้นเราต้องฝึกงานก่อนไหม เริ่มต้นอย่างคนสมัครงานใหม่ก็เหมือนกันต้องฝึกงานใหม่หมดล่ะ ทีนี้พอการปฏิบัติหลวงปู่มั่นบอกว่า ถ้าการปฏิบัติของเรากับการศึกษาของเรา ถ้าปฏิบัติไปพร้อมกันมันจะขัดแย้งกัน มันจะขัดแย้งกัน มันจะมีปัญหาต่อกัน ท่านถึงให้วางการศึกษานั้นไว้ก่อน แล้วปฏิบัติไป พอปฏิบัติถึงที่สุด คำนี้เห็นไหม จนถึงที่สุด ถึงเป้าหมายแล้วคืออันเดียวกัน

เพราะถ้าเราทำงานแล้ว เราเห็นสมบัติ ดูสิ ธนาคารแต่ละธนาคาร เงินในธนาคารเป็นพันเป็นแสนแสนล้าน แต่ถ้าเราทำความรู้จักมัน จะกี่พันกี่บาทก็แล้วแต่ มันก็เงินเหมือนกัน ถึงที่สุดแล้วเหมือนกัน แต่ที่มาของเงินไง ที่การกระทำให้ได้เงินมาเห็นไหม มันต่างกัน อันนั้นมันธรรมของพระพุทธเจ้า การประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ นี่ขนาดหลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติมาแล้วไง

ถ้ามีการศึกษามามาก ศึกษามาเป็นการดำรงชีวิต เป็นวิชาชีพ ถูก ใช้ได้ เราเข้าใจ เราเปรียบเทียบนะ เปรียบเทียบทางวิทยาศาสตร์ เมื่อก่อนทางวิทยาศาสตร์นี้ยังไม่เจริญใช่ไหม คนโบราณจะตื่นกลัวมาก ฟ้าแลบฟ้าร้องจะกลัวมากเลย ว่าคือพระเจ้า คือพวกภูติผีปีศาจ เขาจะมีอำนาจเหนือเราไง แต่ในปัจจุบัน ทางวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจได้ ว่าฟ้าแลบฟ้าร้องเพราะอะไร เห็นไหม นี่คลื่นไฟฟ้าเห็นไหม การเสียดสีของมัน มันมีเสียงของมัน เราเข้าใจได้ เราก็ไม่วิตกกังวลเลย

แต่ในปัจจุบันนี้ เวลาเขาขอฝนกันเห็นไหม ทำไมเขายังขอฝนกันล่ะ เราจะบอกว่าวิทยาศาสตร์มันแยกขาดไม่ได้จากเรื่องวัฎฎะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ได้ เป็นวัตถุที่เราพิสูจน์ได้ อย่างพูดทางวิทยาศาสตร์ แต่เรื่องภพเรื่องชาติวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ คำว่าเรื่องภพเรื่องชาตินะ เพราะว่ามันมีเทวดา มีอินทร์ มีพรหม มีมนุษย์ แต่สิ่งนี้มันเกี่ยวเนื่องกัน มันเกี่ยวเนื่องกันได้ สิ่งนี้มันมีอยู่ ศีลธรรม จริยธรรมมันยังมีอยู่

ถ้ายังมีอยู่ เราจะเปรียบเทียบเหมือนที่เราศึกษาธรรม ที่ว่าเราศึกษาธรรมพระพุทธเจ้า แล้วเราเข้าใจ เราเข้าใจได้ มันเป็นทางวิชาการ แต่มันชำระกิเลสไม่ได้ ที่มันชำระกิเลสไม่ได้ถึงบอกว่า ความรู้ความเห็นนี้ใส่ลิ้นชักไว้ก่อน แล้วเราปฏิบัติไป ทีนี้การปฏิบัติปั๊บ ถ้าเราปฏิบัติอย่างนั้นปั๊บ ในปัจจุบันที่เขาไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวกัน เพราะการปฏิบัติอย่างนี้ การปฏิบัติโดยเอาวิชาการ ตรรกะ เอามาตรึกกัน แล้วเรื่องจิตมันเป็นเรื่องความมหัศจรรย์ จิตนี่มหัศจรรย์มากนะ

ดูสิ ทางการแพทย์ คนเราโรคเครียดนี่มันคิดจนเราเป็นโรคได้ เราคิดตอกย้ำว่าเราป่วยไข้อย่างนั้น ป่วยไข้อย่างนั้น มันป่วยจริงๆ นะ จิตนี้เป็นได้หมด ทีนี้เวลาปฏิบัติ ถ้ามันเข้าใจเรื่องธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว แล้วเราปฏิบัติไป มันสร้างได้หมดนะ ของสร้างนะของปลอมนะไม่จริงหรอก มันเหมือนนิมิต เหมือนความรู้สึก ความรู้สึกเราเห็นไหม มันเปลี่ยนแปลงไหม สิ่งที่เห็นมันเปลี่ยนแปลงไหม มันเปลี่ยนแปลงหมด

แต่ถ้าเป็นความจริง สัจธรรมถึงไม่เป็นอย่างนั้น สัจธรรมที่ว่าคงที่คงที่ เวลามันพิจารณาของมันไป จิตมันทิ้งอย่างไรมันเห็นจริงหมดเลย แล้วเห็นจริง ความที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้ มันต้องมีที่มาที่ไป เหมือนเงินทอง เราเป็นคนหาเงินทองมา เราจะไปตกใจได้ไง แต่สมมุติเรานี่สิ เราไปลักขโมยเขามา ถ้าเขาพิสูจน์ได้ว่าเราลักขโมยเขามาเราติดคุกนะ แต่เงินทองที่เราเป็นคนหามาโดยสุจริต เราจะไปตื่นเต้นตกใจกับใคร

จิตก็เหมือนกัน จิตถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ เราเป็นคนหาเงินมา เราเป็นคนสร้างมา เราเป็นคนทำมา เงินนี้เราทำมาเพราะน้ำพักน้ำแรงของเรา มันจะมีความผิดไปที่ไหนวะ การปฏิบัติก็เหมือนกัน การปฏิบัติมันน้ำพักน้ำแรงของเรา เราทำของเรามา แล้วมันมีผลตอบแทนมา พอผลตอบแทนอันนั้นมันเป็นความจริงมา พอความจริงอันนี้ เห็นไหม แล้วมันเป็นขึ้นมาจากเรา มันมั่นคงมาก แล้วมันแน่นอนมาก ไม่ตื่นเต้นตกใจไปกับใครเลย นี่พูดถึงสัจจะความจริงนะ

แล้วสัจจะความจริงอันนี้ ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม ตั้งแต่หลวงปู่มั่นมา เราพูดถึงหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ตลอด เพราะเราศึกษา เราพยายามค้นคว้าของเรานะ ก่อนหน้านั้นมันเป็นความนึกคิดกันเองในศาสนา มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ แล้วหลวงปู่มั่นนี่พยายามจะชักนำเข้ามาให้เป็นของจริง แล้วของจริง ดูสิ เราพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งอะไรขึ้นมาได้สักชิ้นหนึ่ง เราจะให้สังคมยอมรับนี่เป็นเรื่องยากไหม ให้สังคมยอมรับว่าสิ่งที่เราค้นคว้ามันเป็นความจริง สังคมจะยอมรับเราไหม

อันนี้ทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ เป็นวัตถุยังยากเลย แล้วอันนี้มันเป็นสิ่งที่เกิดในหัวใจของหลวงปู่มั่น อันนี้ถ้าจะจริงไม่จริงมันก็อยู่ที่ผลงานของท่าน เวลาท่านพูดเห็นไหม เวลาท่านเทศน์ออกมา เราอ่านพระไตรปิฎกมาทั้งหมดนะ แต่เราคาดไม่ถึงว่าท่านจะพูดออกมา ให้แทงใจเราได้ขนาดนั้น ถ้าแทงใจเราได้ขนาดนั้นแล้วความจริงอันนี้มันพิสูจน์ ๑. จากความรู้สึกของท่าน ๒. ท่านปูพื้นมา

แล้วครูบาอาจารย์ของเรา อย่างเช่นหลวงตาท่านรับสิ่งนี้มา รับสิ่งนี้มาจากครูบาอาจารย์ มันได้เห็นไง แล้วหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นทีไรนะ ท่านจะน้ำตาไหล ท่านจะซึ้งใจ ซึ้งใจเพราะอะไร ท่านถึงบอกว่า หลวงปู่มั่นถ้ามองทางโลก มองทางโลกนะ ท่านจะมีความทุกข์ลำบากมาก เพราะท่านอยู่ป่าอยู่เขามาตลอด อยู่ป่าอยู่เขามาตลอด ถ้าเอาความสะดวกทางโลกไปจับนะ ท่านจะเป็นคนที่ทุกข์มากเลย เพราะท่านไม่เคยได้รับความสะดวกสบายอะไรแม้แต่นิดเดียวเลย

แต่ถ้าเอาทางธรรมนะ ท่านมีความสุขของท่าน ฉะนั้นเพราะท่านดำรงชีวิตอย่างนั้น ทำเป็นตัวอย่างอย่างนั้น สังคมยอมรับ แล้วพอยอมรับ ท่านก็วางรากฐานมา แล้วทีนี้หลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นคนจีน เวลาพูดถึงเรื่องนี้ ท่านถาม ท่านย้อนกลับพระบ่อยเลย พระพุทธเจ้าแซยิดวันไหนวะ แซยิดคือวันเกิด พระพุทธเจ้าจัดงานวันเกิดตอนไหน พระพุทธเจ้าจัดแซยิดตอนไหน หลวงตาก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านไม่ทำหรอก ถ้ามันทำโลกเป็นใหญ่ ไม่ใช่ธรรมเป็นใหญ่

ไอ้วันวิสาขบูชานี่มันเกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เพราะพวกเราไม่มีที่พึ่ง เราถึงเอาวันสำคัญทางพุทธศาสนา เป็นวันที่เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า ตอนพระพุทธเจ้าอยู่นะ เวลาพระธุดงค์ไปที่ไหนมา ไปที่ไหนมาแล้วแต่กลับมา มาพูดกันว่าไปที่ตำบลนั้นมา โอ้โฮ ดินดำดี ที่นั่นทำพืชผลเกษตรดี แค่นี้แหละพระพุทธเจ้าติ บอกว่าติรัจฉานวิชา คือไม่ใช่วิชาสัลเลข ๑๓ คือความมักน้อยสันโดษ คือการขัดเกลากิเลส

การพูดอะไรก็แล้วแต่ ที่มันเสียเวลา สิ่งนั้นเป็นติรัจฉานวิชา คือวิชาทำให้เนิ่นช้า แม้แต่เราพูดถึงสิ่งที่เราประสบมา เราเห็นมาในหมู่บ้านนั้น ในสิ่งที่ทำกินนั้น เขาทำอะไรกินกัน มาพูดกับวงการพระท่านยังติเลย แล้วจะมีเวลามาจัดงานวันเกิดไหม จะมีเวลาให้มึงเสียไปกับลมหายใจเข้าออกไหม นี่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีหลักเกณฑ์อย่างนี้นะ ท่านถึงไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้ไง แต่เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องของโลกเขา โลกเขาเห็นไหมเขาระลึกถึงวันเกิด วันเกิดอะไรของเขา นี่มันเรื่องของโลกเขา แต่เราไม่มีเวลาจะไปคิดจัดวันเกิดกันหรอก

ถ้าพูดอย่างนี้ปั๊บ ครูบาอาจารย์ท่านจะบอกว่า ถ้าผู้นำจะมีสติปัญญา ไม่เป็นตัวอย่างที่เหลวไหล อย่างนี้ถือว่าเป็นตัวอย่างที่เหลวไหล ถ้าตัวอย่างที่ดีเห็นไหม ไม้หลักไม่ปักในที่ขี้ควายขี้โคลน มันจะโยกคลอน ไม้หลักถ้ามันปักลงดินมันจะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง เรื่องอย่างนี้มันถึงเป็นเรื่องไร้สาระ เรื่องไร้สาระของการดำรงชีวิตนะ เรื่องการจัดงานวันเกิด เอ็งจัดงานวันเกิด ไม่จัดงานวันเกิด เอ็งก็เกิดมาแล้ว เอ็งจัดงานวันตายสิ จัดงานวันตายซะ มันยังไม่ตายใช่ไหม วันเกิดจัดทำไม วันเกิดมันเป็นสิ่งที่ล่วงมาแล้ว มันเป็นเรื่องของโลกนะ เพราะอะไรรู้ไหม ถ้าเรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้น แล้วถ้าครูบาอาจารย์ท่านเห็นว่าพระของเรา มันอ่อนแอ มันไปเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง มาเป็นเรื่อง

เรื่องที่ควรประพฤติปฏิบัติ เรื่องที่ควรจะเป็นเรื่อง เรื่องการประพฤติปฏิบัติ เรื่องที่มีสติปัญญา เรื่องที่สร้างคนให้เป็นพระ พระพุทธเจ้าบอกเลยนะ คนที่มีสติแม้แต่วินาทีเดียว ดีกว่าคนที่เผลอสติทั้งชีวิต แล้วมันไปทำงานอย่างนี้กัน มันจะเผลอในชีวิตไหม ทำไมหลวงตาท่านไม่ให้มีกิจนิมนต์ที่วัดป่าบ้านตาด กิจนิมนต์ท่านยังไม่ให้มีเลย ถ้าเกิดมีความจำเป็น ที่ไหนมีความจำเป็น ท่านบอกท่านจะไปองค์เดียว คำว่าไปองค์เดียวหมายถึงว่ารับผิดชอบ การออกไปกิจนิมนต์ท่านบอกเลยว่ามันไม่คุ้มค่า

การประพฤติปฏิบัติในวัด มันต้องประพฤติปฏิบัติอยู่แล้วใช่ไหม อยู่ในวัดในวามันก็พยายามระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อไม่ให้กระทบ การไปกิจนิมนต์ เวลาไปฉันบ้านใครก็แล้วแต่ มันมีผลกระทบมากมายมหาศาลเลย การเดินทางไปการเดินทางกลับ การไปเห็นรูป รส ต่างๆ ที่มันฝังมากับใจ แล้วกลับมาถึงวัดก็ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จะไปรบมัน มันคุ้มค่าไหม แต่ในทางโลกนะก็อยากทำบุญนะ พระดีก็อยากเอาไปทำบุญ พระดีเอามาฆ่าให้หมด แล้วพระจะเป็นพระดีเอาที่ไหน พระก็ดีเขาก็อยู่วัดของเขา แล้วเอามากิจนิมนต์ที่บ้านเพื่อทำบุญของเรา แล้วเอามาทำบุญเราได้บุญ แล้วพระที่เขามากระทบแล้วพระกลับไปอยู่วัด หัวใจเขาฟุ้งซ่านขึ้นมา แล้วพระนั้นสึกหมดเลย แล้วจะเอาพระดีมาสึกใช่ไหม

หลวงตาเหตุผลของหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ท่านไม่มีกิจนิมนต์ มาอยู่นี้เราก็ไม่ให้มีกิจนิมนต์ ถ้าไม่มีกิจนิมนต์มันจะทุกข์ จะยากก็ให้มันเป็นไป ขนาดนี้ยังไม่มี แล้วนี่ไม่ใช่กิจนิมนต์ จัดงานไปดึงเขาเข้ามา หลวงตาบอกมันนิมนต์ท่านยังไม่ให้ไปเลย แต่นี่ไปเรียกเขาเข้ามา นี่พูดถึงเป็นเรื่องของคนที่เผลอ คนที่ไม่มีสตินะ แต่เวลาเป็นธรรมขึ้นมา หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ตอนอยู่กับท่านนะ ท่านจะห่วงพระมาก แล้วท่านบอกว่า พระนี่ท่านจะดูแลรักษา ท่านถนอมรักษามากนะ

ทุกอย่างท่านป้องกันให้ได้เลย อย่างที่ว่ากิจนิมนต์ท่านก็ไปคนเดียว ท่านไปรับผิดชอบ นี่ก็เหมือนกัน ท่านบอกว่าท่านจะดูแลให้ เว้นไว้อย่างเดียวที่เราป้องกันไม่ได้ คือตอนเช้าที่เขามาใส่บาตร ตอนเช้าคนมาใส่บาตรเยอะมาก คนมาทำบุญตักบาตร ท่านบอกว่า อันนี้มันเป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะมันเป็นผลประโยชน์ของเขา มันเป็นสิทธิของเขา คือเขาศรัทธาในศาสนา เขาก็จะมาทำบุญกุศลของเขา ในเมื่อเขาทำบุญกุศลของเขา เราจะไป ห้ามเขาไม่ได้ จะไป ห้ามไม่ให้เขาทำบุญไม่ได้ เขาจะทำบุญของเขา

ฉะนั้นพระที่อยู่ในวัด ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวเอง จะต้องสำรวมอินทรีย์เอง เพราะสิ่งนี้มันปฏิคคา ๖ มันเป็นเรื่องบริษัท ๔ มันเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคล สิทธิเสรีภาพของบุคคลในศาสนา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม อุบาสก สิทธิของเขา ถ้าเขาจงใจ ถ้าเขาตั้งใจจะทำบุญของเขา นี่ถ้าเขาจะทำบุญของเขามันก็อยู่ในกรอบในเกณฑ์ใช่ไหม

แล้วเราก็ตอบรับเขาไปโดยความสมควรกับเรา อันนี้เรา ห้ามเขาไม่ได้ เพราะว่าทุกอย่างเราป้องกันให้หมดเลย ถ้าใครเข้ามา เข้าไปเดินที่ในกุฏิพระ ใครเข้าไปเที่ยวโดยที่ท่านไม่ได้ขออนุญาต ท่านไล่ออก ไล่ออก ไล่ออก ท่านป้องกันให้ได้หมดเลย แต่ท่านบอกว่าเวลาเขามาใส่บาตร เขามาทำบุญ ท่านบอกว่าอันนี้มันเป็นเรื่องสุดวิสัยที่เราจะห้ามเขาไม่ได้

นี่เมื่อก่อนท่านเทศน์ อบรมพระนะ แล้วท่านก็จะกลับมาเตือนพระ ถ้าอย่างนั้นแล้ว พระจะต้องระวังตัวเอง เวลาพระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าเห็นไหม ว่าต่อไปพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ต่อไปภิกษุจะต้อนรับอุบาสิกาอย่างไร พระพุทธเจ้าบอกเลยนะ อานนท์ไม่ควรเห็น ไม่ควรคุยด้วย ไม่ควรอะไรเลยดีที่สุด แล้วจำเป็นจะต้องรู้ต้องเห็นหรือล่ะ เพราะมันเป็นญาติของพระก็มี เป็นผู้ที่เข้ามาเป็นอุปัฏฐากก็มี จะทำอย่างไร

พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าอย่างนั้นเธอจะต้องตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้พูดไม่ให้เกิน ๖ คำ อย่างเช่นมาพูดได้ไม่เกิน ๖ คำ เว้นไว้แต่มีบุคคลที่สาม ก็คุยด้วย พูดได้ แต่ถ้าไม่มีไม่ให้พูดเลย นี่พระพุทธเจ้าสั่งไว้ พระพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎกนะ ทีนี้มันสะท้อนใจไง สะท้อนใจว่าในการกระทำอย่างนั้นถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีหลักมีเกณฑ์เรื่องนี้ทำไม่ลง มันทำไม่ลงเพราะอะไรรู้ไหม มันทำไม่ลงเพราะว่าความดีมันสร้างยาก กว่าจะสร้างให้เป็นคุณงามความดี จนสังคมยอมรับ

เพราะเราไปอีสานใหม่ๆ กัปปิยัง กโรหิ กัปปิยะ ภันเต เราไปถามเขานะ กว่าจะได้มา สมัยหลวงปู่มั่นทำอยู่แต่สังคมยังไม่ยอมรับ สุดท้ายแล้วมาสำเร็จเอาตอนสมัยหลวงปู่ฝั้น สมเด็จสังฆราชไปเยี่ยมหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นท่านเปิดพระไตรปิฎกเลย บอกไว้เลยในพระไตรปิฎกบอกไว้เลย ของที่ภูตคามมันเกิดได้ ของที่มันเกิดได้ภิกษุฉันแล้ว พืชคามคือภิกษุพรากของเขียวเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ภูตคามของที่มันไม่ได้พรากของเขียว มันยังเป็นของเขียวอยู่ แต่มันจะเกิดได้อีก เราไปขบ ไปทำให้มันแตก ทำให้มันไม่เกิดเป็นภูตคาม

อธิบายจนสังฆราช อือ ทีแรกครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านทำมาก่อนแล้ว แต่พระผู้ใหญ่สมัยนั้นบอกว่า พระกรรมฐานพระป่า ไม่มีการศึกษา ไม่มีความรู้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรเรื่องธรรมวินัย เขาไม่ยอมรับ แต่ความจริง มันศึกษาโดยประสบการณ์ โดยความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เขาไม่ยอมรับ มีทิฏฐิไง จนหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านล่วงไปแล้ว

หลวงปู่ฝั้นท่านมาพูด จนในที่สุดถึงยอมรับ พอยอมรับมันก็ทำกันมา ถ้าไม่ยอมรับนะมันก็ทำเฉพาะกลุ่มไง ถ้าสังคมไม่ยอมรับมันทำเฉพาะกลุ่ม พอสังคมยอมรับ เถรสมาคมหมายถึง คณะรัฐมนตรีของพระ ถ้าคณะรัฐมนตรีของพระไม่มีการโต้แย้ง อนุญาต ทุกทางทั้งประเทศก็ทำได้หมด แต่ถ้าคณะรัฐมนตรี คือว่าผู้ที่ปกครองเขายังไม่เห็นด้วย เราไปทำมันมีความเห็นต่าง สิ่งที่จะได้มา ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะได้มา มันไม่ใช่ของง่ายนะ

ไอ้คำว่าของง่ายแล้วนี่กรรมฐาน ทุกคนก็ว่าเป็นพระกรรมฐาน แล้วกรรมฐานพระบางองค์ คำว่ากรรมฐานคือผ้าสีดำๆ สีคล้ำๆ นี่คือพระกรรมฐาน แต่ความจริงมันไม่ใช่ พระธุดงค์ คือ ธุดงควัตร ๑๓ ถือผ้า ๓ ผืน ถือผ้าบังสุกุล ฉันอาสนะเดียว บิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียว ถือเนสัชชิก ธุดงค์ ๑๓ นี่ต่างหากถึงเป็นพระกรรมฐาน พระกรรมฐานมีอยู่แล้วโดยดั้งเดิม เพราะมันมีธรรมวินัย พอเราบวชมาแล้วอยู่ในธรรมวินัยใช่ไหม

แต่ถ้าเราไม่ถือธุดงค์ ไม่เป็นอาบัติ แต่ถ้าพอเราตั้งสัจจะว่าถือธุดงค์เห็นไหม ถือธุดงค์ฉันมื้อเดียว พอฉันมื้อเดียวปั๊บเนี่ย อะไรเป็นมื้อที่ ๒ ล่ะ สิ่งใดที่เป็นอาหารถ้าเอาใส่ปากก็เป็นมื้อที่ ๒ มื้อหนึ่ง เอโกถือฉันหนเดียว พระธุดงค์มันอยู่ที่นี่ พระธุดงค์มันอยู่ที่ข้อปฏิบัติ พระธุดงค์ไม่ได้อยู่ที่สีผ้า ไม่ได้อยู่ที่พวกใครพวกมันหรอก มันอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติไง มันอยู่ที่ข้อวัตร มันอยู่ที่คุณงามความดีที่เราทำขึ้นมา มันถึงเป็นพระธุดงค์ พระธุงดงค์ ธุดงควัตรคือเครื่องขัดเกลากิเลส

ธุดงควัตรคือเครื่องขัดเกลากิเลส กิเลสมันมีอยู่แล้ว กิเลสมันต้องการความสุขสบายทั้งนั้น อย่างเช่นเช้าๆ มา เราเห็นใจมากนะ ทุกคนนะ โธ่ เราก็มีหัวใจเหมือนโยมเหมือนกัน โยมอยู่บ้าน โยมจะมาทำบุญโยมตื่นตั้งแต่ตีเท่าไร โยมทำอาหารมาขนาดไหน อาหารของโยมประณีตทั้งนั้นเลย มาถึงพระพระตักใส่บาตรหมดเลย ทุกคนนะ อู้ฮูย ถ้าคนไม่เคยนะ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ อู๋ย ทำมาขนาดนี้จะไปใส่ฉันรวมไม่ได้ คนปฏิบัติ คนมาทำบุญใหม่ๆ จะคิดอย่างนั้นหมดเลย ทำมาอย่างดีเลย ก็ แหม เพื่อจะมาอุปัฏฐาก อยากให้พระได้ขบฉันอะไรที่มันแหมมันสุดยอด สุดยอดหน่อยหนึ่ง ด้วยความปรารถนาดี ถ้าพระใจไม่มีหลักเห็นไหม พอใจไม่มีหลักแล้วก็เห็นแต่น้ำใจเขา นี่ไง เห็นแต่น้ำใจเขา แต่ธรรมวินัยล่ะ

เมื่อ ๒ วันนี้มาเห็นไหม นครปฐมจะนิมนต์ไปฉันบ้านเขา เราก็บอกว่าเราไปไม่ได้ เขาก็ถามว่า อ้าว ถ้าไปไม่ได้ หลวงพ่อไม่เห็นใจโยมบ้างเลยหรือ เราบอกว่าเราเห็นใจพระพุทธเจ้า เราเห็นใจพระพุทธเจ้ามากกว่า เงียบเลยนะ เขาบอกว่าไม่เห็นใจโยมเลยหรือ เราบอกว่าเราเห็นใจโยม แต่เราเห็นใจพระพุทธเจ้ามากกว่า ธรรมวินัยไง ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ถ้าเราใจอ่อน ด้วยความรู้สึกเราเห็นใจนะ เห็นใจคือความคิด ความปรารถนาของคน ความคิดความปรารถนาของคน เคารพรักบูชา ก็อยากจะเชิดชู อยากจะทำดีให้

แต่เป็นความดีของเขากับความดีในธรรมวินัย ความดีของพระพุทธเจ้า ความดีที่ใจเราจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ ที่จะเป็นคุณธรรมในหัวใจ มันต้องเข้มแข็ง ต้องทำไปมากกว่านั้น ถ้าเราไม่ทำไปมากกว่านั้น ความดีของเขา ความระลึกของเขา เขาจะดึงเราลงมาให้เป็นเขาไง ให้เป็นเขาคือเป็นฆราวาส เป็นคฤหัสถ์ไง ไม่ใช่เป็นพระ นั่นความดีของเขา ความดีของคฤหัสถ์ น้ำใจของเขาดีไหม ดีมากๆ เขาคิดดีทุกอย่างเลย แต่ดีในสถานะของญาติโยม ของคฤหัสถ์ ฆราวาสธรรม

ภิกษุเห็นไหม ภิกษุที่ถือธุดงควัตร ภิกษุ ธรรมของภิกษุ ธรรมของฆราวาส ประเพณี อริยประเพณี ประเพณีของพระโสดาบัน ประเพณีของพระสกิทาคา พระอนาคา จนประเพณีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่งย้อนอดีตเลย พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ทำอย่างไร ดำรงชีวิตอย่างไร วางธรรมวินัยอย่างไร พอบอกว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนบิณฑบาต เราก็ต้องออกบิณฑบาตเหมือนพระพุทธเจ้า พอออกบิณฑบาตปั๊บ เทวดามาถวายบาตร ๔ ใบ เห็นไหมแล้วเสกบาตรให้เหลือใบเดียว แล้วออกบิณฑบาต

ทีนี้บอกว่าเวลา เทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม เวลามาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ทำไมภาษาบาลีคุยกันรู้เรื่อง ทำไมบอกว่า พระอินทร์ที่มาใส่บาตรพระกัสสปะ เขาบอกเลย บอกว่าพระกัสสปะเข้าฌานสมาบัติ แล้วพระกัสสปะชอบโปรดคนจน ก็จะบิณฑบาตคนจน พระอินทร์ปลอมเป็นคนเป็นช่างทอหูกมาแอบใส่บาตรพระกัสสปะ พอใส่บาตรพระอินทร์ปลอม คนรวยปลอมเป็นคนจน อย่างไรมันไม่จนจริง พอมันจะใส่บาตร คนจน พระอินทร์พอจะใส่บาตร พออาหารตกบาตร มันไม่ใช่คนจน

พระกัสสปะเห็น นี่ไม่ใช่คนจน ไม่ใช่คนจนก็กำหนดจิต กำหนดจิตมันก็เห็นเลยพระอินทร์ พอกำหนดจิตเสร็จก็พูดกับพระอินทร์ มหาบพิตร มหาบพิตรอย่าขี้โกงสิ เพราะอะไรเพราะตั้งใจมาโปรดคนทุกข์คนจน มหาบพิตรเป็นพระอินทร์ มหาบพิตรมาแย่งชิงผลประโยชน์คนจน อู้ย ข้าพเจ้าจน จนมาก เอ้า จนอย่างไรเข้าตรงนี้ จนเพราะพระอินทร์ปกครองเทวดา แล้วมันมีเทวดาอยู่ ๒ องค์ที่แสงมากกว่า นี่คำว่าแสงมากกว่า เพราะว่าเคยทำบุญกับพระพุทธเจ้ามา นี่ทำบุญกับพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้ายังอยู่ในโลกมนุษย์ แล้วทำบุญกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ไหนล่ะ

นี่ไงที่ว่าทำบุญพระพุทธเจ้า ประเพณีของพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธ มันจะเหมือนกันทุกๆ องค์ไป พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ธรรม อริยสัจอันเดียวกับที่เราเห็นอยู่ ตอนนี้เราทุกข์เรายาก เราปฏิบัติได้แสนยาก เราบอกว่า เราจะตายแล้วจะเกิดไปพบพระศรีอริยเมตไตรย พระศรีอริยเมตไตรยก็พูดอริยสัจที่เราพูดกันอยู่ พูดเหมือนกันนี่

แล้วเดี๋ยวนี้มันอยู่กับมือเรา เราบอกว่าตอนนี้ยังไม่เอา จะไปเอาที่พระศรีอริยเมตไตรย แล้วตอนนี้อริยสัจมันอยู่กับมือเราอยู่ ทำไมเราไม่จัดการ ทำไมเราไม่ปฏิบัติ เราไม่ทำให้ถึง ไปพระศรีอริยเมตไตรยก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน อริยสัจอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ตรัสรู้อริยสัจอันเดียวกัน นี้พอเทวดา ๒ องค์นั้น เห็นไหม เพราะทำบุญกับพระพุทธเจ้ามาก่อน ก็มาเกิด พอทำบุญกับพระพุทธเจ้ามาก่อนแสงก็มาก บารมีก็มาก เพราะทำบุญกับเนื้อนาบุญที่ดี

แต่พระอินทร์สร้างบุญญาธิการมาเป็นพระอินทร์ เป็นผู้ปกครองแต่แสงน้อยกว่า ก็ถือว่าอันนี้เป็นจนกว่า ก็ถือว่าจน จนก็เลยมาใส่บาตรพระกัสสปะ พอใส่บาตรปั๊บบุญมันก็มากขึ้น แสงก็ต้องมากขึ้น พอแสงมากขึ้น โลกเรานี่เขาวัดกันด้วยแบงก์ ด้วยตัวเลข เทวดาเขาวัดบารมีกันด้วยแสง ด้วยความสว่าง สมบัติคนละอย่าง ฉะนั้นเวลาทางโลกเห็นไหม ทางโลกบอกว่าใส่บาตร แล้วไม่ได้ใส่น้ำจะไม่ได้กินน้ำ ต้องใส่อาหาร อาหารนะมันจะไปสิ้นสุดเอาตรงยมบาล ตอนนี้ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ที่ว่าเขาไปเห็นใช่ไหม เราทำบุญกันนะ เวลาเรากึ่งดิบกึ่งดี เหมือนเราทำดีทำชั่ว เราต้องไปขึ้นศาล แต่ถ้าคนไม่เคยทำผิดเลย ทำดีเขาต้องไปขึ้นศาลไหม เขาก็ไปของเขาเลย คนชั่วเทวทัตลงนรกตกอเวจีไปเลย คนรวย คนทำบุญจริงๆ มี รถทิพย์จะมารับไปเลย

ในปัจจุบันนี่ก็มี มีคนมาพูดให้ฟังเยอะ ที่ว่าพ่อแม่เขา เวลาจะไปเหมือนไปปิกนิก เวลาจะตายนี่ ไปแล้ว เอารถมารับไปเลย เขาขึ้นสวรรค์ไปเลย มี มีตัวตนชี้ได้หมดเลย เดี๋ยวนี้ก็มี ปัจจุบันก็มี วิทยาศาสตร์เจริญขนาดไหนก็แล้วแต่ ใครจะเชื่อไม่เชื่อมันก็เรื่องของความเชื่อ ความจริงมันเป็นความจริง พอถึงเวลาเวลาคนตายไปแล้วยัง ห้าสิบ ห้าสิบนี่ ต้องไปตัดสินกันที่ยมบาล

ตอนนี้มันยังเป็นทิพย์เหมือนกัน แต่เป็นทิพย์เป็นแบบอาหารอย่างนี้ ยังมีอย่างนี้อยู่ เพราะเทวดามีหยาบมีละเอียด แต่พอเกิดเป็นเทวดาปั๊บ ไม่มี เพราะมันไม่มีกระเพาะใส่ มันไม่มีร่างกาย มันกินของทิพย์หมด ของทิพย์คือของนึก มันมีสมบัติของมันเป็นทิพย์หมดเลย อาหารในวัฏฏะ ฉะนั้นถ้าเป็นอย่างนั้นเราไม่ต้องกังวลไง เราทำบุญ ทำบุญด้วยน้ำใจ เวลาเราตั้งเจตนาแล้วก็ทำบุญไป ครบ น้ำท่าทุกอย่างสมบูรณ์หมด ไม่ใช่ว่าทำบุญ น้ำก็ว่าคือน้ำ

ถ้าอย่างนั้น โยมมาทำบุญที่นี่ โยมทำบุญแต่อาหารอย่างเดียวนี่ แล้วตายไปอยู่ที่ไหนกัน พวกนี้ไม่มีวิมานอยู่ พวกนี้ไม่เคยทำบุญอะไรเลย ทำบุญแต่อาหาร ความคิดเรานะมันเจตนาอันนี้มันครอบคลุมหมด ไม่ต้องไปคิดมาก ขอให้มีเจตนาบริสุทธิ์ เจตนา ตัวจิตนี่สำคัญที่สุด ตัวจิตนี่สำคัญที่สุด ทุกอย่างสมบูรณ์ สมบูรณ์ของเราเอง นี้ตัวศัพท์เราไปแยกกันไง อย่างเช่นสังฆทาน เราเห็นมากเวลาใครมาทำสังฆทานนะ ถ้าขาดไอ้นั่นไม่เป็นสังฆทานขาดนี่ไม่เป็นสังฆทาน ไม่

เพราะในสมัยพุทธกาลนะ มันไม่มีของอย่างนี้ให้ทำหรอก ถ้าสังฆทานเป็นอย่างนี้ สมัยพุทธกาล โรงหล่อยังไม่มีนะ พระพุทธรูปไม่มีหรอก สมัยพุทธกาลนะแค่อาหารก็เป็นสังฆทานได้ แต่เดี๋ยวนี้มันคิดกันไปนะ แล้วก็ทางวิชาการก็ต่างคนต่างเอาแต่ทิฏฐิของตัว เอาเข้ามาบวกว่าของฉันถูก ของฉันถูก มันก็เหมือนทำให้ศาสนาเหมือนกับลัทธิต่างๆ มันไม่จำเป็นที่ตรงนั้น

นี่พูดถึงข้อเท็จจริงกับความรู้สึกแล้วถ้ามีความรู้สึกนะ ครูบาอาจารย์ท่านมีหัวใจปรารถนา วางหลักฐานไว้ให้พวกเรานะ แล้วพวกเรา เราจะบอกว่าการทำกันอย่างนั้น เพราะจิตใจอ่อนแอ ถ้าจิตใจเข้มแข็งนะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแต่ละบุคคล ถ้าพูดถึงใจหลุดพ้นจากกิเลสแล้ว จะอยู่ที่ไหนเขาก็มีความสุขของเขา เขาจะไปตื่นเต้นอะไรกับเรื่องโลกๆ แต่นี่เพราะจิตใจอ่อนแอ จิตใจไม่มีหลักมีเกณฑ์ พอจิตใจไม่มีหลักมีเกณฑ์ พระที่เขาเสียหายกันเห็นไหม เขาเสียหายกันเพราะอะไร เขาเสียหายเพราะจิตใจของเขามันไม่มีหลัก พอจิตใจไม่มีหลักเขาก็ต้องหาที่เกาะที่ยึดหาสิ่งใดที่เป็นจุดประเด็นที่จะให้คนเชื่อถือศรัทธา เขาต้องสร้างสร้างสิ่งใด เหมือนกับเราไปสร้างที่สิ่งเคารพบูชาไว้ข้างนอก แล้วว่าสิ่งนั้นศักดิ์สิทธิ์ แล้วให้คนเข้ามาเคารพบูชาสิ่งนั้น

แต่ถ้าหัวใจเราศักดิ์สิทธิ์ มันจะมีอะไรต้องไปสร้างอยู่ข้างนอก มันจะมีอะไรต้องไปจัดงานอย่างนั้น ยิ่งทำยิ่งจัดงานยิ่งเสียเวลานะ การปฏิบัติสำคัญมาก การปฏิบัติเรื่องเวลานี่สำคัญมาก แล้วสำคัญนะแล้วมันติดด้วย หลวงตาท่านพูดบ่อย ตอนอยู่กับท่านนะ เวลาเริ่มต้นเราก็ทำกันแก้รำคาญ คืออยู่กันเฉยๆ มันไม่มีอะไรทำก็หาอะไรทำเพื่อแก้รำคาญ พอแก้รำคาญ พอทำจนคุ้นเคยไปแล้ว ไม่ทำมันรำคาญนะ ต้องทำ นี่กิเลสมันเป็นอย่างนี้

แล้วถ้าเราออกไปทำกันอย่างนั้น เริ่มต้นเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเหงาไง อยู่กันเงียบๆ เหงาๆ ไง ถ้าจัดงานพิธีอะไรขึ้นมาแล้วมันมีเพื่อนมีความสนุกไง พอจัดไปจัดไปนะ ไม่จัดไม่ได้นะ ไม่จัดนี่อยู่วัดนี่อกจะระเบิดนะ จะต้องหาสิ่งนั้นมาทำตลอดไป เนี่ยคนมันไม่มีหลัก แล้วเรื่องกิเลส คนที่ปฏิบัติคนที่พ้นจากกิเลส จะเข้าใจเรื่องของกิเลส แล้วถ้าคนไม่เข้าใจเรื่องกิเลสไปอยู่กับกิเลส แล้วให้กิเลสออกหน้า แล้วต่อไปนะมันก็เป็นศาสนาของกิเลส ไม่ใช่ศาสนาของธรรม

ถ้าเป็นศาสนาของธรรม ธรรมะ ธรรมปล่อยวางไว้ทั้งหมด แล้วอยู่ได้โดยหลัก แต่ถ้าศาสนาของกิเลสนะมีแต่พิธีกรรม ต้องอยู่กับพิธีตลอดไป เพราะเอาสิ่งนั้นเป็นเครื่องอยู่ แล้วครูบาอาจารย์เข้าใจสิ่งนี้มาก ถ้ายังมีชีวิตอยู่เห็นไหม ท่านจะพยายามเพนียงไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมา ถ้าไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมา เวลาจะโต้แย้งได้ ทำไมวันที่ ๑๒ สิงหา หลวงตาถึงจัดงานวันเกิดล่ะ ท่านเคยจัดตั้งแต่เมื่อไร ท่านบอกว่า แม้แต่กฐินท่านยังไม่ให้มีเลย ก่อนจะไทยช่วยไทย ออกมาช่วยโลกนี่ท่านจะยกเลิกกฐินหมดแล้ว ผ้าป่าก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี ท่านไม่เอาทั้งนั้น

เรื่องพิธีกรรม เรื่องข้างนอกนะ ประสาเรานะเรื่องหลอกเด็ก พิธีกรรมทั้งหมดของหลอกนะ คำว่าหลอกเด็ก แต่เราบอกเวลาเราพูด คำว่าหลอกเด็ก หลอกเด็กคือว่า เป็นพิธีกรรมเพื่อจะให้เข้ามาถึงตัวศาสนา แต่การเข้าถึงตัวศาสนาไม่มีเครื่องมือเข้าไปถึงตัวศาสนาจะเอาอะไรเข้า พิธีกรรมนี่ ช้อนกินได้ไหม จานกินได้ไหม ช้อนกินไม่ได้นะ เขากินอาหารแต่เอาช้อนตัก พิธีกรรมเหมือนช้อนเหมือนจาน

แต่ตัวธรรมคือตัวหัวใจของเรา แต่ตัวหัวใจของเรา ไม่มีช้อนไม่มีจาน จะเอาอะไรไปตักอาหาร เพราะอาหารมันตกอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด ก็ต้องเอาช้อนเอาจาน เอาอาหารเข้ามาไว้ในจาน ความรู้สึกความคิดของเราเป็นนามธรรม มันกระจายไปทั่ว ไม่มีอะไรจะรวบรวมมันเข้ามาเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ต้องเอาพิธีกรรมรวบรวมมันเข้ามา กรวดน้ำ กรวดน้ำ ถ้ากรวดน้ำเป็นบุญนะ แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำเจ้าพระยา มันได้บุญที่สุดในโลกเลย เพราะมันไหลทั้งวันทั้งคืน แม่น้ำเจ้าพระยา โอ้โฮ มันมีบุญกว่าทุกๆ คนเลย เพราะมันกรวดทั้งปีทั้งชาติ มันไหลอยู่ตามธรรมชาติของมัน

แต่การกรวดน้ำ กรวดน้ำเพราะเราทำบุญกุศล แล้วการอุทิศส่วนกุศลของเรา จิตใจเราวอกแวก จิตใจเราโลเล จิตใจเราไม่มีจุดยืน จิตใจไม่รู้จะทำอย่างไร กรวดน้ำมันเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วจะเอาอะไรไปอุทิศส่วนกุศลอะไรก็ไม่รู้ ก็เลยบอกว่าทำบุญก่อนเพราะทำบุญจิตมันทำบุญแล้ว จิตมันมีความรู้สึกได้เสียสละออกไปใช่ไหม เวลาพระให้พร เอาน้ำมากรวด มากรวดน้ำ พอน้ำมันรินน้ำแล้ว ก็ให้เพ่งที่น้ำให้จิตมันเป็นหนึ่ง แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร เขาเอาเป็นอุบายนะ

อาหารที่มันตกอยู่เห็นไหม เขาเอาถ้วยเอาจานมาใส่มัน นี่ก็เหมือนกัน พิธีกรรม จิตใจที่มันแตกกระจายที่มันออกไป เขาเอาพิธีกรรมรวบรวมมันเข้าเป็นกองไว้ รวบรวมกองไว้ ถ้าเอ็งไม่กินเอ็งก็ไม่ได้กินอะไรนะ รวบรวมไว้แล้วนะ พิธีกรรมถ้าเอ็งไม่ติดพิธีกรรม เอ็งก็อยู่กับพิธีกรรมตลอดไปใช่ไหม แต่พอเอ็งเข้าถึงอาหารแล้ว เข้าถึงเนื้ออาหารแล้ว ถ้วยจานกินได้ไหม เข้าถึงอาหารแล้ว ถ้วยจานเอาไว้ทำไม ถ้วยจานนี้เขาเอาไว้ใส่อาหาร แต่มันไม่ใช่ตัวอาหาร

พิธีกรรมเป็นพิธีกรรมในศาสนาแต่ไม่ใช่ตัวศาสนา ตัวศาสนาคือความรู้สึกไง เวลาจิตเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคา มันเป็นตัวใจเป็น แล้วเราไปสร้างพิธีกรรมกันเสียเอง น่าเศร้า น่าเศร้า ถ้าพระที่เป็นพระปฏิบัตินะ แล้วไปสร้างพิธีกรรมขึ้นมาเสียเอง เราอยู่กับหลวงตา เมื่อก่อนท่านพูดบ่อยมากตอนอยู่กับท่าน ตอนนั้นท่านยังเข้มงวดเวลาคนมาเนี่ย ถ้ามันกล่าวคำถวายทาน ต้องถวายทาน ต้องอะไร ท่านบอกเลย มานั่งพัดกันอยู่ แมลงวันนะมันไข่นะ ไข่จนมันฟักเป็นตัวนะ ยังตักอาหารไม่จบเลย

ไอ้นี้ของเรามาแล้วตักเลย ตักเลย แต่ก็ทางโลกนะ เวลาโลกเข้ามา โอ้ มาวัดนี้ไม่ได้บุญ ไม่เห็นทำอะไรเลย มาถึงก็ตักเอาตักเอา พระนี่กลัวจะไม่ได้กิน ถึงกับตักใส่แล้วก็ฉันเลย ไม่เห็นทำอะไรเลย ไม่ทำพิธีเลย ก็พิธีของมันหลอกเด็ก วัดนี้วัดผู้ใหญ่ไม่ใช่วัดเด็กๆ วัดผู้ใหญ่หมายถึงว่าจิตใจเข้มแข็ง จิตใจรู้จักธรรม รู้จักบุญ เราทำบุญเราได้บุญของเรา เราไม่ติดแต่เปลือกเห็นไหม เศร้าใจนะ เศร้าใจที่บอกว่าเขาไปจัดกันอย่างนั้น เขาไปทำกันอย่างนั้น มันไปติดกันที่เปลือก

คนเกิดคนตายมันมีเกิดอยู่ทุกวัน ฤกษ์ดี ฤกษ์ดีเห็นไหม ฤกษ์ก็คือฤกษ์ ดูองคุลิมาลดูเวลาเกิดสิ ขนาดที่ว่าอาวุธแสงขึ้นหมดเลยนะ ฤกษ์มหาโจร แล้วไปบอกพระเจ้าประเสนทิโกศลพระเจ้าประเสนทิโกศลบอกว่า ก็พ่อขององคุลิมาลเป็นพราหมณ์ เป็นคนพยากรณ์อยู่ในราชสำนักไง พอเกิดแล้วรู้เลยว่าลูกของตัวจะเป็น.. จะเป็นมหาโจร

พระเจ้าประเสนทิโกศลถามว่า แล้วมันเกี่ยวกับราชบัลลังก์ไหม คือจะช่วงชิงราชบัลลังก์ไหม เพราะพ่อเองบอกให้ฆ่าทิ้ง แล้วไปถามพระเจ้าประเสนทิโกศล พระเจ้าประเสนทิโกศลถ้าไม่เป็นโทษกับราชบัลลังก์ ให้เลี้ยงไว้ ก็เลยให้เปลี่ยนเป็นอหิงสกะ เพื่ออหิงสกะคือไม่เป็นศัตรูกับใคร ฤกษ์ไง เพราะฤกษ์เต็มที่เลย เราบอกว่า ฤกษ์ดี ฤกษ์ดี อหิงสกะ เปลี่ยนชื่อเลย คือทำไม่ดีหมด แล้วอยู่สิ่งแวดล้อมที่ดี แต่กรรม

ไอ้ฤกษ์ส่วนฤกษ์เพราะใจได้ฤกษ์นั้นคือได้กรรมมา พอได้กรรมมาไปอยู่กับอาจารย์เห็นไหม เป็นคนดีนะ เป็นคนดีมาก ทีแรกก็ยุแหย่ว่าจะล้มอาจารย์ แบ่งกันเป่าหูเลยนะ บอกว่าจะล้มอาจารย์ จะดีกว่าอาจารย์ ยุไม่ขึ้นนะ แต่พอบอกว่าจะเป็นชู้กับอาจารย์ เป็นชู้กับเมียอาจารย์ โอ้ อาจารย์ขึ้นนะ วางแผนเลย ปล่อยข่าวมาเรื่อยเหมือนกับเป่าหูไง ลูกศิษย์ที่อิจฉาไปเป่าหู ไปเป่าหูว่าจะเก่งกว่าอาจารย์ จะลบล้างอาจารย์ ค่อยๆ เป่าหูมาเรื่อย ก็ยังทนได้ อาจารย์ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง แต่บอกว่าจะเป็นชู้ จะมาชอบกับแฟนของอาจารย์ เท่านั้นละอาจารย์วางแผนเลย วางแผนให้ไปหลอก หลอกให้คนอื่นฆ่าไง สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็ไปเอาคืนมาได้

นี่พูดถึงฤกษ์เห็นไหม การเกิด การตาย เราดูแล้วสมเพชมาก พระกรรมฐานนะ เราเป็นผู้นำของสังคม แล้วดูสังคมนี่ เราบวชใหม่ๆ กลับมาบ้าน น้องชายมันทำงานอยู่กรุงเทพ เพื่อนๆ อยู่วัดมาก น้องชายเขาก็ไปคุยกับเพื่อนเขาว่าพี่ชายบวชไง แล้วเขาก็คุยกันวงการพระ แล้วน้องชายมันเก็บข้อมูลมาเยอะ ไอ้ลิงมันก็บอกว่า พอเรากลับมามันก็บอก หลวงพี่ เดี๋ยวนี้นะเขาฉันโต๊ะจีนกันทั้งนั้น เขาทำอย่างนั้น อย่างนั้นนะ เพราะในสังคมเขาคุยกันทางโลกไง ว่าพระที่ดีของเขามันจะมีความเป็นอยู่สะดวกสบายไง แล้วน้องชายเราก็ไปเห็นว่า เออ พระทางโน้นแบบเขามีศักยภาพนะ พี่ชายเรานี่ทุกข์ยากฉิบหายเลย

เรากลับสังเวช เขาได้ฟังโลกเขาคุยกันมา เขาก็ว่าพี่ชายเราไม่มีศักยภาพ แต่ในความรู้สึกของเรา เรากลับสังเวชว่าสังคม เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราศึกษามา คณโภชนะภิกษุรวมวงกันฉันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เหตุมันเกิดเพราะเทวทัต พอคิดว่าจะล้มพระพุทธเจ้า ไปบิณฑบาตที่ไหนเขาก็ไม่ใส่บาตรให้กิน จนพระเทวทัตไม่มีอาหารกิน ก็ให้ลูกศิษย์ไปขออาหารจากที่บ้านมา พออาหารจากที่บ้านมาของมันน้อยก็ร่วมวง นั่งวงกันฉันแบบชาวอินเดีย

ที่นี้นางวิสาขาไปเห็นเข้าก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า บอกว่าการฉันคณ คือการล้อมวงเป็นคณโภชนะ พอการล้อมวงเป็นคณโภชนะ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าภิกษุการดำรงความเป็นอยู่ของพระ ห้ามดำรงอยู่แบบฆราวาส ฆราวาสเขามีการค้าการขาย เขามีกัน พระทำไม่ได้ทุกๆ อย่างเลย นี้การกินอยู่ของโยมที่เขากินอยู่กัน พระก็กินอยู่แบบโยมไม่ได้ เวลากินอยู่ไม่ได้

ของเราฉันกันเห็นไหม เราถึงว่าเป็นบาตรของใครของมัน เป็นเฉพาะบุคคลไม่ใช่คณะ ตักใส่บาตรแล้วเป็นของบุคคล เป็นของของคนนั้น แต่การล้อมวงเข้ามาเป็นคณโภชนะเป็นปาจิตตีย์ ไปเปิดนะอยู่ในพระปาฏิโมกข์ มันคณโภชนะเนื้อ ๕ อย่าง เนื้อ ๕ อย่างเห็นไหมว่าการได้ออก... เรื่องวินัยถ้าพูดกันนะ มันเหมือนนักกฎหมายเถียงกัน ถ้านักฎหมายตั้งประเด็นเถียงกันแล้วมันไม่จบ ฉะนั้นพระปฏิบัติเรานี่ เรารู้กฎหมายแล้วเราเก็บไว้ในหัวอกไง แต่เห็นการกระทำของสังคมแล้ว มันสะท้อนใจมาก

การฉันเพล ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าไปฉันเพลที่บ้านใคร การฉันปรัมปร คือการฉันพร่ำเพรื่อ พระพุทธเจ้าสอนให้ฉันมื้อเดียว การฉันพร่ำเพรื่อ การฉันซ้ำฉันซากเป็นการฉันปรัมปรโภชนะเป็นอาบัติปาจิตตีย์ อู้ย วินัยอย่างนี้เราศึกษา บวชใหม่ๆ นี่ค้นคว้ามาก เพราะถือว่าบวชใหม่ๆ คิดว่าตัวเองไม่มีความรู้อะไรเลยต้องค้นคว้า ค้นคว้าเพราะเราดำรงชีวิตของพระ เราต้องดำรงชีวิตในสังคมเราต้องรู้กฎหมายของสังคม ศึกษามากศึกษาแบบเถรตรง ศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ ตรงเปี๊ยะเลย

แล้วมองเห็นสังคมโลกผิดไปหมดเลย ทุกข์มาก ขึ้นไปหาหลวงตา หลวงตาบอกไอ้หงบ มึงเอาเข็มขัดรัดพุงมึงไว้ มึงมีความรู้มากพุงมึงจะแตก เพราะความจริงอันหนึ่ง สังคมความเป็นไปของโลก แล้วเราจะเอาความสมดุลมันตรงไหน นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ อยู่ในโลก เอ็งจะปกครองหรือเอ็งจะใช้กฎหมายบังคับ มึงจะตัดสินด้วยกฎหมายหรือตัดสินด้วยความเป็นธรรม เพราะเราศึกษามาแบบนี้ไง พอเขาบอกว่าเขาฉันกันนะขนาดล้อมวง เรายังคาใจเลย

แล้วนี่ล้อมวงแล้วนั่งห้อยเท้า คือไม่ได้นั่งอย่างนี้ ดูหลวงตาสิ หลวงตาท่านไม่ยอมนั่งห้อยเท้าเลย ไปดูรูปเก่าๆ นะ ท่านนั่งบนโซฟาท่านจะชักเท้าขึ้นมานั่งพับเพียบทันที การนั่งห้อยเท้า การนั่งชันเข่า การนั่งรัดเข่า อยู่ในเสขิยวัตรทั้งหมด แต่ทำไมเราพูดของเรา เรารู้ไปหมดเลย แต่เราทำตัวอย่างนี้ล่ะ อันนี้คือนิสัยของเรา นิสัยเราเป็นอย่างนั้น ศึกษามาอย่างนั้นเพราะนิสัยเราคือว่าธรรมชาติ

ถ้าเราได้ปล่อยเราเองเป็นธรรมชาติ การพูดของเรานี่มันจะได้น้ำได้เนื้อ ถ้าเราจะบังคับเราให้อยู่ในหลักในเกณฑ์โดยไม่เป็นธรรมชาติ คำพูดของเรานี่มันเหมือนกับการดัดแปลง มันไม่ออกมาโดยธรรมชาติ เราถึงว่ามันเป็นจริตนิสัย เป็นอำนาจวาสนา เป็นกรรม อย่างชื่อบุคคลนี่ เอ็งไม่ต้องบอกให้จำหรอก อย่างไรก็จำไม่ได้ ชื่อบุคคลชื่ออะไรจำไม่ได้ กรรมใครกรรมมัน คนเรานี่มีจุดบกพร่องทุกๆ คน ไม่มีใครสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซนต์

เว้นไว้แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น พระสารีบุตรยังกระโดดข้ามคลอง ไม่มีใครสาวก สาวกะที่จะสมบูรณ์แบบ ๑๐๐ เปอร์เซนต์เหมือนพระพุทธเจ้าที่เรียบร้อยหมด ไม่มี ทีนี้ถ้าใครเข้าใจเรื่องของกรรมของแต่ละบุคคลแล้ว แล้วอะไรที่เป็นประโยชน์ อะไรที่เราทำแล้ว สิ่งนั้นมันเป็นเป็นประโยชน์สังคม ดึงอันนั้นออกมาให้ได้มากที่สุด แล้วถ้าเราจะบังคับให้เราอยู่ในหลักในเกณฑ์ ไอ้สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ที่เราจะดึงออกมาใช้ได้มากที่สุด มันกลับจะด้อยค่า นี่เป็นความคิดของเรา

อย่างที่ว่าที่แม่ชีไปหาหลวงตาเห็นไหม บอกเป็นพระอรหันต์ แล้วไปถามหลวงตาว่า แล้วหนูเป็นพระอรหันต์แล้วหนูจะทำอย่างไร หลวงตาบอกว่าเราไม่เห็นต้องถามใครเลย นี่ไง คำว่าเราไม่ต้องถามใครเลย ผู้ที่รู้จริงแล้ว มันควรจะรู้ว่าเขาควรจะยืนอยู่ตรงจุดไหน โดยตัวของเขาเองไง แล้วไม่ใช่ว่าเรามีกิเลสหรือสิ้นกิเลสแล้ว จะต้องไปถามใคร ว่าเราควรทำอย่างไร ควรทำอย่างไรแสดงว่าเอ็งไม่รู้จักตัวเอ็งเลยหรือ เอ็งไม่รู้จักจุดด้อยจุดเด่นในตัวของตัวเอง ที่จะทำประโยชน์ หรือทำโทษกับตัวเอง หรือสังคมเลยหรือ

จุดด้อยหรือจุดเด่นเห็นไหม ทีนี้ด้วยมุมมองของสังคม ลูกศิษย์เราทุกคนนะ ทำไมไม่นั่งเรียบร้อย ทำไมไม่พูดช้าๆ ทำไมไม่พูดดีๆ คือความหวัง การคาดของเขาคืออยากให้ทุกอย่างดีไปหมด แต่ไม่รู้ถึงว่าสิ่งที่จะมาดีอย่างนี้ได้ มันต้องมีการประพฤติปฏิบัติมา มันต้องมีการสร้างบุญญาธิการมาตั้งแต่อดีตชาติ ตั้งแต่ยาวไกลมา เขาสร้างของเขามาอย่างไร พื้นเพของเขา พันธุกรรมทางจิต จิตที่มีพันธุกรรมมาทางอย่างนี้ จิตมันจะแสดงออกโดยธรรมชาติของมัน ถ้าจิตได้แสดงออกตามธรรมชาติของมัน มันจะออกโดยธรรมชาติของมัน

ถ้าพันธุกรรมของจิตมันมาอย่างนี้ แล้วเราจะดัดแปลงให้รูปแบบมันออกมา ให้สิ่งที่สังคมต้องการมันไปขัดแย้งกับพันธุกรรม ขัดแย้งกับความเป็นจริงของจิตนั้น สิ่งที่มันควรจะเป็นประโยชน์ มันเลยเป็นประโยชน์น้อยไง ถ้ามันเป็นประโยชน์จริงมันเป็นประโยชน์ได้มาก นี่พูดถึงความสะเทือนใจนะ พูดถึงการที่เขาทำกันน่าสะเทือนใจ นี้คำว่าสะเทือนใจมันก็ควรจะสะเทือนใจเพราะเราเห็นโทษ แต่คนที่ทำอยู่ถ้าไม่เห็นโทษ เขาคิดว่านี่คือจุดเด่นของเขา นี่คือศักยภาพ นี่คือสิ่งที่ทำให้สังคมเขาได้รู้ได้เห็น เขาได้จับต้องได้ อันนี้ก็อยู่ที่กรรมของสัตว์

เวลาหลวงตาท่านพูดไง สรุปลงที่กรรมของสัตว์ ใครเห็นดีเห็นงามด้วย เห็นดีเห็นงามในการกระทำอย่างนั้นว่าเป็นคุณงามความดี แต่ถ้าพูดถึงของเรา ของครูบาอาจารย์เรานะ แล้วมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย แล้ววัดของเรา วัดในกรรมฐาน หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่านะ วัดของเรามันจะไม่ใหญ่โตไปกว่านี้ ไม่ใหญ่โตไปกว่านี้เพราะอะไร เพราะว่าเราเข้ามาแล้วนี่ มันจะโดนข้อบีบบังคับ การต้องบังคับนี้เพราะอะไร

เพราะเรามีเป้าหมายว่า จะต้องทำให้จิตสงบ จะต้องทำให้ถึงคุณธรรม ฉะนั้นการต้องทำให้ถึงคุณธรรมคือบังคับจิตให้เราเป็นคุณธรรม หนึ่งทำได้ยาก พอหนึ่งทำได้ยาก สิ่งที่จะเข้าไปถึงนั้นนะมันต้องมีธรรมาวุธ อาวุธที่เข้าไปต่อสู้กิเลส คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา มันขัดแย้งกับโลก ตรงตัวเลย ศีล สมาธิ ปัญญาเห็นไหม

ผู้ที่ทำงานทางธุรกิจทางโลก บอกว่าศีลก็รักษาไม่ได้ เพราะมันโกหกไม่ได้ ไม่ได้ๆๆ นี่ไง แต่ถ้าเป็นทางโลกเห็นไหม เปิดกว้างเลย จะขี้จะเยี่ยว จะขี่หัวคน จะเหยียบหัวคน จะทำอะไรได้หมดเลย วัดนั้นศักยภาพมันจะขยายศักยภาพไปกว้างมาก เพราะคนเข้ามาแล้วทำตามใจตัวได้ทุกอย่างไงเห็นไหม แต่วัดที่ปฏิบัติมันจะมีข้อ มีกติกา มีข้อบังคับ ข้อบังคับอันนั้นมันเป็นอาวุธ ที่จะไปสู้กับกิเลสของแต่ละบุคคล

แล้วมันก็จะไปขัดใจญาติโยม ขัดใจคนที่เข้ามา นี่พูดถึงว่าการขยายตัวของมัน มันอยู่ที่ตรงนี้ การขยายตัวของมัน ขยายตัวแล้วเขาชอบใจไหมกับการขยายตัว แล้วขัดแย้งกับความรู้สึกของเขาไหม นี่ถ้าขัดแย้งกับความรู้สึกของเขาแล้ว มันอยู่ที่ว่าคนจะเอาจริงไม่เอาจริง คนที่จะเอาประโยชน์ไง นี่พูดถึงความรู้สึกเรานะ แต่เราไม่สนใจ เราสนใจแต่ว่า ถ้าทำแล้วได้ของจริง เอาของจริงอันนั้นจะได้มากได้น้อยไม่สำคัญ เราไม่หวังมาก แล้วประสาเรานะหวังก็ไม่ได้ด้วย จะหวังให้ได้มาก คือจะไม่ได้อะไรเลย

เรายังมีจุดยืนตั้งแต่มาทีแรก ๕ องค์ ยัง ๕ อยู่เท่าเก่า ถ้าเราได้แค่ ๕ เราคิดว่าเราพอใจมากๆ แต่ถ้ามันได้ซักร้อยหนึ่ง ๒ พันยิ่งดีใหญ่ ถ้ามันซัก ๒ พัน สามพันนะ แต่มันเป็นสิ่งที่ ประสาตามความรู้สึกเรานะ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะพันธุกรรมทางจิต สิ่งที่จะเป็นอย่างนี้ได้ มันต้องมีพื้นฐานสร้างมา

แล้วสมัยพระพุทธเจ้านั่นส่วนหนึ่ง สมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นสร้างได้ซัก ๔๐-๕๐ เอาแค่ ๔๐-๕๐ นะ ที่เห็นตัวเห็นตนอยู่ประมาณซัก ๒๐-๓๐ องค์ แต่ที่อยู่ในป่าที่เรายังไม่รู้กันอยู่ เราถือว่า ๔๐-๕๐ องค์ที่หลวงปู่มั่นสร้างได้ แล้วเราก็มาดูครูบาอาจารย์ทุกองค์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น ท่านสร้างได้กี่องค์ เขาว่าลูกศิษย์ของแต่ละองค์ องค์ไหนก็มีชื่อเสียงทั้งนั้น แต่เราดูที่ผลงาน ดูที่คุณสมบัติ เราไม่ได้ดูที่ชื่อเสียงนะ เราดูที่ความจริง ความจริงคือผลงานนั้นนะ ผลของการกระทำนั้น

ถ้าความจริงอันนั้น มันเป็นหลักเกณฑ์อันนั้น เราจะเชื่อ แต่ถ้าสิ่งนั้นแสดงออกมามันขัดแย้งกับหลักธรรม เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อ จะเป็นลูกศิษย์ใครเราก็ไม่เชื่อ เพราะลูกศิษย์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สึกมหาศาลเลย ลูกศิษย์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมาทำลายศาสนาเยอะแยะเลย ลูกศิษย์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ไม่ใช่ลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ที่เราคุยกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ลูกศิษย์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีเรื่องอย่างนี้มาเยอะมาก

ฉะนั้นเราฟังธรรมกันแล้วเราก็ย้อนกลับมาที่ใจพวกเรา ย้อนกลับมาที่ใจพวกเราว่า เราจะแสวงหาอะไร เราจะทำอะไร แล้วเราจะได้อะไร ตรงนี้สำคัญนะ เราจะได้อะไร ถ้าไม่ทำอย่างนั้นปั๊บ เราจะไม่ได้อะไรตกผลึกในหัวใจเราเลย ตกผลึกนะ ความรู้ความเห็นที่ไปเห็นในนิมิต เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เพราะใครเป็นคนเห็น จิตเป็นคนเห็น เราเป็นคนเห็น เป็นคนรู้ก่อน สิ่งที่รู้ที่เห็นในใจ มันเก็บข้อมูลอยู่ในใจเราแล้ว เราไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง เราไปเล่าให้ใครฟัง คนๆ นั้นถึงจะรู้เป็นคนที่ ๒

คนแรกคือจิตเราเป็นคนรู้ มันตกผลึกอยู่ในจิตของเรา อันนี้สำคัญมาก การปฏิบัตินะข้อมูลมันตกอยู่ในใจของเรา อำนาจวาสนาบารมี มันถึงอยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจของเราทำดีขึ้นไป มันจะเป็นความดี ดีๆ เรื่อยๆ ไป อันนี้เราทำของเรานะ เนี่ยเห็นเขาทำกันไง เราไม่คิดว่าเขาจะทำขนาดนั้น คือว่าถ้าใครจะทำอะไร มันเป็นทำส่วนตัว ทำเพื่อเป็นส่วนบุคคล แต่นี่ทำกันเป็นคณะ มันก็เลยว่าเรื่องของเขา ใครมีอะไรไหมไม่มีจบนะ เอวัง