เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาสัตว์มันเกิดนะ สัตว์มันเกิด เห็นไหม มันยืนยันถึงวัฏฏะไง อบายภูมิ สัตว์เดรัจฉาน นรก อเวจี เปรต ผี ยืนยันว่าเป็นอบายภูมิ อบายภูมิเป็นที่เกิดของสัตว์ที่ทำกรรมไว้
เราทำคุณงามความดี ทำกรรมดีนะ มีศีล ๕ โดยสมบูรณ์ถึงเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วมันมีกฎหมายคุ้มครอง เห็นไหม มีกฎหมายคุ้มครองแล้วมนุษย์ช่วยเหลือกันได้ มนุษย์มีปัญญา มนุษย์มีปัญญาถึงต้องหาที่พึ่งของเราให้ได้ หาที่พึ่งของเราให้ได้นะ
ที่พึ่งของโลกไป เราทำงานทำการกัน เราอยู่ในโลกนะมันทุกข์ยากนะ โลกนี้ทุกข์ยากตามประสาเขา แต่เวลาเราเกิดเป็นสัตว์มันทุกข์ยากมากกว่า เห็นไหม ความทุกข์ยากนี่ ทุกข์ถึงเป็นอริยสัจไง ทุกข์ถึงเป็นความจริงไง สัตว์มันอยู่ในป่ามันรักสุขนะ มีเกียรติทุกๆ ตัว แต่มันก็ต้องอยู่ตามสภาพของมัน เพราะมันเกิดมาเป็นเดรัจฉานแล้ว พอสัตว์เดรัจฉานเป็นอบายภูมิ แต่สิ่งที่เป็นอบายภูมิ จิตที่วัฏฏะนี้มันต้องหมุนไป
ดูอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เกิดเป็นกวาง เกิดเป็นนกแขกเต้า ในพระไตรปิฎกนะ ท่านเคยเกิดเป็นสัตว์ สิ่งที่เกิดเป็นสัตว์ก็เป็นหัวหน้าสัตว์ เพราะสร้างสมบารมีมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพุทธภูมิ เป็นหัวหน้าไง เป็นหัวหน้าสัตว์ นี่ภพชาติหนึ่งๆ เพื่อสร้างสมคุณงามความดีมา คุณงามความดีสร้างสมถึงที่สุด เห็นไหม อำนาจวาสนาบารมีเข้ามาถึงจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นี่สิ่งที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ชาติสุดท้ายแล้วต้องเป็นพระเวสสันดร สละลูกสละเมีย สละพร้อมกับความรักความผูกพันนะ รักมากสงวนมากแต่ต้องสละไป เพราะสร้างสมบารมีมามันยกขึ้นมาเป็นชั้นๆอย่างนั้น เห็นไหม
บารมีสิบทัศ ทานบารมี ศีลบารมี แล้วเนกขัมมบารมี มันเป็นชั้นๆ มา เราก็เหมือนกัน เราเจริญรอยตามขึ้นมา เราไม่ถึงกับเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก เราไม่สามารถจะตรัสรู้ได้เอง แต่เราก็ต้องพยายามแสวงหา แสวงหาเพราะมันมีอยู่แล้ว เห็นไหม ธรรมนี้มีอยู่แล้วสัตว์มันไม่รู้เรื่อง มันเหมือนกับเราเกิด เกิดมาในพระพุทธศาสนา
เหมือนสัตว์มันเกิดมาแล้วไม่รู้เรื่องศาสนา แต่มันก็รู้นะ สัตว์บางตัวมันมีคุณงามความดีของมันนะ มันจะช่วยเหลือกัน บางตัวมันเบียดเบียนกัน นิสัยไม่ดี มันจะกัดคนอื่น มันทำลายคนอื่น สัตว์มันทำลายคนอื่น สัตว์ที่ช่วยเหลือกัน เห็นไหม สัตว์ที่ว่าแบ่งเบาภาระกัน มันช่วยเหลือกันคุ้มครองกัน มีนะสัตว์คุ้มครองกัน มันคอยคุ้มครองตัวที่อ่อนด้อยกว่าตัวที่มันไม่มีกำลัง มันเป็นที่ว่ามันสู้เขาไม่ได้ แต่ผู้ที่เป็นหัวหน้าถ้ามีคุณธรรม มันจะคุ้มครองตัวนั้นไง คุ้มครองไอ้ตัวนั้น เพราะคนเราเกิดมาจริตนิสัยไม่เหมือนกัน สัตว์มันก็ไม่เหมือนกัน ทุกคนต้องหาอยู่หากิน
เวลาช้างมันกินวันหนึ่งต้อง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวมัน เราคิดถึงตรงนี้แล้วมันน่าเห็นใจมาก มันต้องกินถึงว่า ๒๐๐ กิโลกรัมมันถึงจะอิ่มต่อวันๆ มันต้องกินถึงขนาดนั้น แต่มดมันก็กินประสาของมัน เห็นไหม ยิ่งแมลงมันกินเกสร มันบินไป นี่ทุกคนเกิดมา เราเห็นช้างว่ามันเป็นสัตว์ใหญ่ มันน่ารัก แต่มันกว่าจะหาอิ่มปากอิ่มท้องของมันได้มันต้องกินมากกว่าเขา เพราะร่างกายมันใหญ่กว่าเขา ความที่มันใหญ่กว่าเขา
แล้วนี่เหมือนกัน ถ้าพูดถึงจริตนิสัยมันก็เปรียบแบบนั้นน่ะ คนเรามันไม่เหมือนกัน จิตใจไม่เหมือนกัน สัตว์ก็ไม่เหมือนกัน แล้วเราออกมาเป็นนักบวช เห็นไหม เราออกมาประพฤติปฏิบัติ เราต้องดูใจเรา เพราะใจของเราความเกิดเกิดจากใจเรา สิ่งที่เป็นสัปปายะ เห็นไหม เครื่องอยู่อาศัย หมู่คณะเป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ นักบวชออกบวชอย่างนั้น ผู้ประพฤติปฏิบัติประพฤติพรหมจรรย์มันต้องดูใจของตัว ถ้าใจของเรามันมีความคิดออกไป เห็นไหม นั่นน่ะไฟเกิดจากตรงนี้
สิ่งที่ว่าหมู่คณะ ความกระทบกระทั่งกันมันปกติ สิ่งที่ปกติมันเกิดขึ้นโดยจริตนิสัย คนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว สิ่งที่รักชอบไม่เหมือนกัน มันไม่เห็นตรงกัน สิ่งที่ไม่เห็นตรงกัน เห็นไหม ประชาธิปไตยความเห็นไม่ตรงกัน รับฟังได้ ยอมรับได้ ยอมรับความเห็นต่าง แต่ความเห็นต่างนั้นให้กาลเวลามันพิสูจน์กัน ความพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง เราประพฤติปฏิบัติไปจะถึงที่สุดหรือไม่ถึงที่สุดนั้นประชาธิปไตย
แต่ธรรมาธิปไตย ถ้าเป็นธรรมาธิปไตย สิ่งที่ว่ามันออกนอกลู่นอกทาง สิ่งนั้นมันก็ทำให้เราเสียเวลาไป อย่างน้อยเสียเวลา อย่างมากทำให้เราหลงออกไปนะ เราหลงออกจากนอกทาง เห็นไหม ดูอย่างสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับลัทธิต่างๆ สิ เขาปฏิญาณตนนะว่าเขาเป็นศาสดา เขาสั่งสอนกันแล้วเขาเป็นศาสดา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ว่าซื่อสัตย์กับตนเอง นี่ได้สมาบัติ ๘ อาฬารดาบสสอนแล้ว เห็นไหม จิตนี้สงบสงบเสมอเรา ให้อยู่กับเราเพื่อเป็นครูบาอาจารย์สอนเขาได้แล้วนี่ อาฬารดาบสรับประกันนะว่าเจ้าชายสิทธัตถะมีคุณธรรม สำเร็จ กำจัดทุกข์ได้ แต่เจ้าชายสิทธัตถะมันทุกข์ในหัวใจ มันไม่เชื่อ มันไม่ยอมฟัง มันต้องแสวงหาเอง เห็นไหม
จนมาเจอมรรคญาณ มรรคอริยสัจจัง มรรคตัวนี้ทำลายกิเลส แต่ก่อนนั้นไม่มีมรรค มีแต่ความสงบมีสมาธิเป็นพื้นฐาน สิ่งที่เป็นพื้นฐาน สมาบัติมันมีอยู่โดยดั้งเดิม แล้วเหาะเหินเดินฟ้าเป็นฌานโลกีย์ เป็นเรื่องของโลกทั้งหมดเลย พระเทวทัตเหาะเหินเดินฟ้านะ นี่ไปแสดงอภินิหารให้อชาตศัตรูเห็น แปลงเป็นงูก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ ทำได้ขนาดนั้น ถ้าพวกเราเห็นสภาวะแบบนั้นเราก็ตื่นเต้น
ถ้าเป็นประชาธิปไตย ความเห็นผิดมันก็จะเห็นผิดไปแบบนั้น ถ้าเป็นธรรมาธิปไตยเราถึงต้องเกาะ เห็นไหม เราต้องเกาะ เราเชื่อตัวเองไม่ได้ เราต้องเกาะธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา นักบวชต้องเป็นอย่างนั้น อย่างถ้าเราเป็นคฤหัสถ์ ทาน ศีล ภาวนา ต้องมีทานขึ้นมาก่อน ทานเพื่อจะให้ใจของเราอ่อน ใจของเราแข็งกระด้าง ใจของเรารับสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย ความคิดความเห็นของเราต้องเป็นใหญ่ สัตว์ที่มันมีปัญหากันก็เป็นอย่างนั้น มันก็คิดว่ามันถูกทุกตัว ทุกตัวของสัตว์มันก็ต้องถูก
เราก็เหมือนกัน เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราก็คิดว่าเรานี้ถูกเหมือนกัน แต่ถูก เห็นไหม ถูกในความเห็นว่ากิเลสมันยังคิดอยู่ ความเห็นถูกนั้นมันต้องเกาะกับธรรม ต้องเอาธรรมวินัยเข้ามาเปรียบเทียบ มีศีล ความผิดศีล ความผิดคิดออกไปจากใจ มันเป็นมโนกรรม สิ่งที่มโนกรรมทำลายกัน เห็นไหม มันคิดนี่ไฟเกิดตรงนี้ ครูบาอาจารย์สอนบอกให้ดับตรงนี้ สิ่งนี้เป็นประโยชน์มาก
ในทางปรัชญา ผู้ใดชี้ถึงความผิดของตัวเราได้ คนนั้นจะให้ขุมทรัพย์เรามากเลย เขาจะบอกขุมทรัพย์เราตลอด แล้วเราจะแก้ไขความผิดพลาดของเรา เราจะไม่เห็นความผิดพลาดของเรานะ ใครชี้ความผิดพลาดของเราจะเป็นขุมทรัพย์มากเลย แต่อัตตา หิ อัตตโน นาโถ พระพุทธเจ้าสอนมากกว่านั้น ใครต่างหากเป็นผู้ที่เห็นความคิด เห็นภัย เห็นไฟเกิดขึ้นมาจากใจ ผู้นั้นต่างหากถึงเป็นที่ผู้ประพฤติปฏิบัติจริง
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจริงต้องสังเกตความเคลื่อนไหวของใจของตัวเอง ใจของตัวเองเวลามันเคลื่อนไหวออกไป มันคิดมันเบียดเบียนเขา มันคิดทำลายเขา มันเกิดขึ้นมาจากเราก่อน เบียดเบียนตนแล้วก็เบียดเบียนคนอื่น เห็นไหม ถ้าเราจะชำระกิเลส เราต้องเบียดเบียนกิเลสก่อน เบียดเบียนกิเลสสิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ดับไฟของเราให้ได้ สิ่งนี้เป็นขุมทรัพย์ที่เราเกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องให้มีใครชี้ เราจะเห็นของเราเองเพราะเรารู้ของเราเอง
ถ้าเรารู้ของเราเองนี่สังคมมันจะสงบ เห็นไหม สังคมชาวพุทธ แล้วใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นจากกิเลส สิ่งที่จะเบียดเบียนกิเลสจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีเลย ธรรมล้วนๆ เห็นไหม ธรรมที่เกิดขึ้นมาจากใจน่ะ สิ่งนี้เป็นกลางเป็นสมบัติ เห็นไหม เป็นสมบัติที่สิ่งนี้มีอยู่ในโลก สิ่งนี้มีอยู่ในโลก แต่ใจของสัตว์โลกไม่เข้าถึงเลย อาฬารดาบสก็เข้าไม่ถึง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงสิ่งนี้ เข้าถึงสิ่งนี้ด้วยการสร้างสมบารมีมา สิ่งที่สร้างสมบารมีมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเกิดยากมาก เกิดเป็นคราวเป็นคราวไปนะ
ถึงพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่วางไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปีเราเกิดทัน เราเกิดในกึ่งพระพุทธศาสนา ในพระไตรปิฎกบอกไว้กึ่งพระพุทธศาสนาศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอีกหนหนึ่ง ความเจริญรุ่งเรืองของศาสนานี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ความเจริญรุ่งเรืองของหัวใจของผู้ปฏิบัติต่างหาก ความเจริญรุ่งเรืองคือใจเข้าถึงธรรม เห็นไหม เข้าถึงความจริงแล้วดับทุกข์ได้จริง
ความเจริญรุ่งเรืองของโลกเขามันก็มองถึงสิ่งก่อสร้าง สิ่งที่จะมีมหาวิทยาลัย มีต่างๆ มีการศึกษาอย่างนั้น ศึกษาอย่างนั้นเป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของเปลือกไง เปลือกที่ห่อหุ้ม ห่อหุ้มสัจธรรมอันนี้ไว้ ถ้าเห็นไหมต้องปริยัติก่อน ต้องเรียน เรียนมาเพื่อจะรู้ เรียนมาเพื่ออ่านแผนที่ แล้วต้องทดลอง สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียนมานี่ต้องทดลอง ต้องคิดค้นคว้าขึ้นมาได้
แต่สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เราค้นคว้าเราประพฤติปฏิบัตินี่ เราค้นคว้าขึ้นมาเองเลย เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้าใครตีโจทย์ตรงนี้แตก มันจะเข้าถึงนะ เข้าถึงเพราะเราติดกันแค่นี้ ติดที่เปลือก แต่ความจริงแล้วอาการ ๓๒ มันมีตับ ไต ไส้ ปอดต่างๆ มันเป็นสิ่งที่ข้างใน แต่ตาเนื้อมันเห็นได้ขนาดนั้น เห็นไหม เราไม่สามารถมีสัมมาสมาธิ เราไม่สามารถพิจารณาได้ เราก็พิจารณาสิ่งนี้ มันจะสลดสังเวชเข้ามา
สิ่งที่สังเวชเข้ามา เห็นไหม จากเด็กมันก็เกิดมาเป็นผู้ใหญ่ แล้วมันก็แก่เฒ่าไป สิ่งที่แก่เฒ่ามันเสื่อมสลายไปตลอดเวลา ถ้ามีใครมีปัญญาแล้วพิจารณาสิ่งนี้ มันจะสลดสังเวชขึ้นมา ถ้ามันสลดสังเวชมันก็จะย้อนกลับเข้ามาภายใน จากกายนอกจับต้องได้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่คิดได้ คิดได้โดยโลกียะนี่ คิดได้โดยปัญญาของเรานี่ คิดขึ้นมาแล้วมันจะปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา สิ่งที่ปล่อยวางเข้ามาเดี๋ยวมันจะเห็นจากภายใน
สิ่งที่เห็นจากภายใน เห็นไหม ตาในเห็นกับตานอกเห็นต่างกัน เพราะผู้ที่ฟังธรรมผู้ที่เห็นกายๆ หมอผ่าตัดผ่าร่างกายทุกวันนะ ผ่าพวกร่างกาย ผ่าเข้าไปผ่าโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายจะเห็นทุกวันเลย แต่ถ้าหมอเขามีจรรยา หมอเป็นผู้ปฏิบัติธรรม มันก็จะคิดแล้วมันจะสลดสังเวช ใจมันเจริญขึ้นมา แต่หมอที่ปกติคือคิดเรื่องของโลก เขาว่านี้เป็นวิชาชีพของเขา นี้คืองานของเขา งานของเขาคืองานปกติ เห็นไหม เขาไม่คิดสลดให้มันต่อเนื่องเข้าไป เหมือนกายนอก ถ้าติดอยู่กายนอกมันก็อยู่แค่นั้น ถ้าคิดเข้าไปกายใน กายนอก กายใน กายในกาย กายส่วนในส่วนละเอียดเข้าไปนี่ มันจะพัฒนาขึ้นเป็นชั้นๆ เข้าไป
สิ่งที่จะเข้าไปหากิเลสมันจะเห็นสภาวะแบบนี้ เห็นกิเลสเห็นจากตาภายใน แล้วมันจะเห็นทรงไว้ได้ยาก ทรงไว้ได้ยากเพราะอะไร เพราะมันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม เห็นไหม ที่ว่าธรรมะมีอยู่ๆ มันเอาสิ่งใดเข้าไปสัมผัสธรรม คือเอาหัวใจเข้าไปสัมผัสไง มันสลดสังเวช ผู้ที่สลดสังเวชมันจะปล่อยสิ่งนั้น มันจะสลดสังเวชนะ แล้วพอสลดสังเวชมันจะหาทางออก ถ้าหาทางออก ถ้าไม่เจอพระพุทธศาสนาออกทางไหน ถ้าไม่เจอพุทธศาสนาจะไปออกทางไหน ไม่มีทางออก
เจอพุทธศาสนา เห็นไหม สุภัททะเป็นพราหมณ์ เป็นนักปราชญ์ นี่เก่งมากเลย แต่เขาพยายามค้นคว้าของเขาจนแก่ จากหนุ่มจนแก่นะ ทิฏฐินะว่าเขามีปัญญา เขามีความรู้ เขาเจอทางออกไง สุดท้ายแล้วเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไง สุภัททะบอกถ้าไม่ไปถามคืนนี้ก็จะหมดโอกาสแล้ว ถึงยอมลง เห็นไหม ยอมลงแล้วไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าศาสนาไหนก็ว่าดี ศาสนาไหนก็ว่าดี เห็นไหม นี่ทางออกไหนก็บอกว่ามีทางออกๆ พระพุทธเจ้าบอกว่า
ถ้าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีเหตุ ถ้าไม่มีเหตุไม่มีผลหรอก ศาสนาต่างๆ ไม่มีมรรค นี่ไปค้นคว้าได้ทุกศาสนาเลย มรรคนี้ไม่มี มีแต่ศาสนาพุทธเราศาสนาเดียว
แต่สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ลึกลับ แล้วไม่มีใครสามารถออกมาเป็นวิชาการได้ ภาวนามยปัญญา ผู้ที่เป็นนักเรียนปริยัติ เห็นไหม สุตมยปัญญา การศึกษาเล่าเรียน นักเรียนศึกษานี่ สุตมยปัญญา ใครก็เข้าใจ ใครก็อธิบายได้ จินตมยปัญญานักวิทยาศาสตร์ เห็นไหม นักวิทยาศาสตร์ นักประพันธ์นี่จินตมยปัญญา มันจินตนาการ มันสร้างสมเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เราอ่านขึ้นมาซึ้งใจมากเลย นี่จินตมยปัญญา ปรัชญานี้จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญามันจะรู้ได้ มันเป็นเรื่องเหมือนกับมันจะเป็นโลกุตตระ
ธรรมเหนือโลกๆ มันสื่อออกมาจะต้องคนประพฤติปฏิบัติมีพื้นฐาน ต้องทำความสงบของใจขึ้นมา พื้นฐานคือความสงบเป็นพื้นฐานของใจ แล้วอธิบายจะเข้าใจ ถ้าไม่มีพื้นฐานเลยพูดไปมันคนละเรื่อง เหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก ผู้ใหญ่ก็พูดนะ ให้ทำคุณงามความดีนะ ให้เป็นสิ่งนั้นจะเป็นคุณงามความดี ไอ้เด็กมันก็บอกฉันเล่นก็เป็นคุณงามความดี เพราะมันก็ตีคุณงามความดีของมันเล่นขายของ มันตีภาวนามยปัญญานี้ไม่ออก มันก็ใช้เป็นของมัน นี่มันถึงลำบากตรงนี้ไง มันลึกลับตรงนี้ไง ที่ว่ามันลึกๆ อยู่ในหัวใจ หัวใจมันพัฒนาขึ้นมา เราประพฤติพรหมจรรย์ขึ้นมา เราพยายามทำใจให้สงบขึ้นมา มันมีพื้นฐานแล้วมันพูดมามันฟัง มันก็จะเข้าใจ
เราอยู่กับอาจารย์มหาบัว ท่านพูดประจำนะ นี่เวลาท่านเทศน์ท่านบอกว่า หมู่ หมู่จำคำนี้ไว้นะ แล้วถ้าผมตายไป ถ้าหมู่ทำมาถึงตรงนี้ หมู่จะมากราบศพ เห็นไหม ท่านพูดถึงใจของท่าน ท่านพูดถึงภาวนามยปัญญาของท่าน แล้วพูดไปพวกเราเหมือนเด็ก ไม่รู้หรอก เด็กไม่มีความรู้ก็ฟังไปเฉยๆ เพราะอะไร ฟังแล้วมันไม่เข้าใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่วันใดเราไปกระทบถึงตรงนั้น อ้อ...ท่านพูดไว้เห็นไหม นี่วุฒิภาวะของใจ ใจส่วนหนึ่งพ้นออกไปแล้วนี่ ภาวนามยปัญญาไง ถึงสิ่งนี้มันถึงว่ามันเป็นธรรมเหนือโลก ที่มันพิสูจน์กันยาก ถึงว่าจะเรียนขนาดไหนก็ไม่เข้าถึงตรงนี้ ถ้าเข้าถึงตรงนี้ก็เข้าถึงธรรม
ใจที่เข้าถึงธรรมต้องมีภาวนามยปัญญา ใครเห็นภาวนามยปัญญาครั้งแรกโสดาบันอย่างต่ำ โสดาบัน สกิทา อนาคา ขึ้นไป แล้วบอกว่าโลกนี้จะว่าไม่มี เป็นไปไม่ได้ พูดถึงมรรคผลแล้วเราจะรับไม่ได้ๆ สิ่งนี้มันพัฒนาขึ้นมาจากสัตว์ เห็นไหม จากสัตว์ที่สร้างสมขึ้นมา สร้างสมให้เป็นผู้ที่รื้อสัตว์ขนสัตว์ เป็นพุทธภูมิขึ้นมา นี่รื้อค้นขึ้นมา สร้างบารมีขึ้นมา จิตดวงนี้มันมีอยู่ในทุกส่วน เซนถึงบอกไง พุทธะมีอยู่ในจิต ในสัตว์มีชีวิตทุกอนุมีพุทธะตลอด
แต่ตามธรรมแล้วสัตว์เดรัจฉานมันก็สร้างคุณงามความดีได้ มันก็มีอยู่ แต่มันไม่สามารถเข้าถึงได้ ไม่เข้าถึงได้เพราะว่ามันเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เห็นไหม ถึงว่าต้องเป็นมนุษย์เรา เทวดาก็มาฟังธรรมแล้วจะรู้ธรรมขึ้นไป แต่มนุษย์นี้มีกายกับใจเพราะมันมีความทุกข์บีบคั้นอยู่ แต่มันก็มีความสุข ความสุขคือความพอใจสะสมได้ มันมีสิ่งที่เลือกไง มันมีสิ่งที่ให้เห็นภาพชัด มันเป็นสิ่งที่ว่าเหมือนกับห้องวิทยาศาสตร์ที่จะทดลองได้ ทดลองเรื่องศาสนานี่ อย่างพวกเทวดาเขามีแต่กายทิพย์ เขามีแต่ความสุขตลอดไป อย่างนรกไม่ต้องพูดถึงเลย ร้อนตลอด เห็นไหม อย่างพวกนรก พวกเปรต เห็นไหม พวกนรกนี่เวลาร่างกายเขาโดนหอกโดนดาบทำลายไป ทำลายไปเดี๋ยวเขาก็สร้างขึ้นมาใหม่ มันไม่มีการตาย สิ่งที่ไม่มีการตาย มันทุกข์ร้อนอยู่ขนาดนั้นมันก็ไม่คิดถึงธรรมหรอก คิดถึงธรรมไม่ได้เพราะจะเอาตัวรอดจะเอาตัวพ้นจากทุกข์มันก็แสนยากแล้ว
มนุษย์เรามีทุกข์คือว่าเราทุกข์ใจ มีทุกข์ต่อเมื่อถ้าปัจจัยสี่เราขาดไป เราต้องแสวงหา นี้คือความทุกข์ แต่ถ้าความสุข เห็นไหม ทำความพอใจได้ ดูซิ ดูพระอยู่โคนไม้ทำไมอยู่ได้ ผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่โคนไม้อยู่กับปัจจัยสี่ ปัจจัยสี่เท่านั้นอยู่ได้ อยู่ประสาอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะใจมันพอไง สิ่งนี้เครื่องอาศัย หายใจเข้าและหายใจออกยังมีอยู่ สิ่งนั้นเป็นสมบัติของเรา เราขาดลมหายใจไป เราตายไป สมบัตินั้นอยู่ที่ว่าเป็นมรดกตกทอดกันไป แล้วผู้ที่ไม่มีผู้รับเป็นอย่างไร ก็เป็นกองกลาง สมบัตินี้เป็นกองกลาง นี่เป็นกองกลาง เป็นที่ว่าใครมีปัญญาก็หาได้ เราก็หาเพื่อดำรงชีวิตของเราเท่านั้น
พยายามดำรงชีวิตของเราเข้าไปแล้วประพฤติปฏิบัติเข้าไป นี่เข้าถึงธรรมได้ ถึงต้องดูใจของตัว ใจของตัวสำคัญนะ สิ่งที่สำคัญนี้อย่าให้สมบัติอันนี้ อย่าให้สิ่งที่ว่าภาชนะที่ว่าจะรับธรรมอันนี้มันไปทำลายกัน ถ้ามีกิเลสมันจะไปเบียดเบียนคนอื่น ถ้ามีธรรมต้องเบียดเบียนมัน เบียดเบียนกิเลสเข้ามา เบียดเบียนกิเลสเข้ามาจนชนะมัน จนกิเลสพ้นออกไปจากใจ นี้คือการประพฤติปฏิบัติโดยสมบูรณ์ เอวัง