เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ มิ.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันพระ เห็นไหม พระจากข้างนอก พระจากข้างใน อย่างบวชพระนี่ เวลาบวชกันเรามีสิทธิ์ที่จะบวชพระได้ทุกคน ทุกคนบวชพระ เห็นไหม แต่เวลาคนเราไม่มีโอกาสเราก็บวชใจ ทุกคนให้บวชใจ ถ้าบวชใจเราก็บวชของเราได้ ถ้าเราบวชใจเราก็มีการประพฤติปฏิบัติ

อย่างเช่นโลกธรรมแปด เห็นไหม สรรเสริญ นินทา คนที่ทำคุณงามความดีเราควรสรรเสริญ เพราะสิ่งที่ทำให้คุณงามความดีเกิดขึ้นมานั้นทำให้สังคมมีความสุข สังคมมีความร่มเย็น สังคมไหนมีความร่มเย็น เราอยู่ในสังคมนั้นเราก็มีความสุขด้วย สังคมไหนมีความเดือดร้อน เห็นไหม นั่นน่ะนินทา นินทากาเล ผู้ที่ทำให้สังคมเดือดร้อน สังคมจากภายนอก เราอยู่ในสังคมนั้นเราก็รู้ว่าความเดือดร้อนความร่มเย็นเป็นสุขเป็นอย่างไร สังคมจากภายนอกเราต้องอาศัยสังคมนั้น

นี่ถึงว่าให้ย้อนกลับมาดูใจไง บวชใจต้องย้อนกลับมาดูใจของตัว ถ้าใจของตัวได้บวชขึ้นมา ได้ปฏิบัติธรรมขึ้นมา มันจะมีความสุข เห็นไหม เด็กของเรายังไม่เข้าใจหรอกนี่เวลาพระพูดว่ามีกายกับใจ..กายกับใจ.. เราก็มีความคิดของมันไป มันยังมีความปรารถนา มีการแข่งขันกันมาก เด็กมันยังมีความสนุกเพลิดเพลินไป ยังไม่มีความทุกข์ไง

แต่เวลาผู้ใหญ่ขึ้นมาจวนจะตาย คนเราจวนจะตาย เห็นไหม ตายแล้วไปไหน แค่นี้มันก็สงสัยแล้ว ตายแล้วไปไหน คนเราเกิดมาจากไหน เกิดมาเพื่ออะไรกัน เกิดมาเป็นประโยชน์โลก จะเป็นจักรพรรดิ จะเป็นมหาราชขนาดไหน เกิดมาก็ตายไปๆ ทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ขนาดไหนก็เกิดขึ้นมา คนก็ต้องเกิดตายใหม่ตลอดไป เกิดตายใหม่ขึ้นมามันก็มีความทุกข์ความสุขตามประสาของมัน เวลาทุกข์ยากขึ้นมา เห็นไหม มันเวียนตายเวียนเกิดมันเป็นเรื่องสมบัติของโลก

แต่สมบัติของธรรม เวลาศาสนาพุทธเกิดขึ้นมานี่ ธรรมคือการสละ การสละเป็นประโยชน์ขึ้นมาขนาดไหน เราสละขึ้นไป ทำไมต้องสละ สละเพื่อเหตุผลอะไรขึ้นมา ความละเอียดอ่อนของใจ คนที่ไม่เคยสละนี่มันคิดว่าสิทธิเสมอภาค ประชาธิปไตย เห็นไหม พูดกันทางหลักวิทยาศาสตร์ทุกคนก็ต้องแสวงหามาเหมือนกัน ทำไมสละเพื่ออะไร นั่นน่ะเวลาคิดๆ อย่างนั้น แต่ไม่เห็นถึงบุญกุศลไง บุญกุศลเป็นความละเอียดของใจ ความสละออกของเราคือว่ามันเป็นบุญกุศลของเรา มีเจตนา มีความสละออกไป มันพ้นออกไปจากใจ ใจนี้รับรู้ เห็นไหม แล้วสละออกไม่ได้ คนเราเสมอกันมันจะให้กันไม่ได้ มันให้ผู้ที่ทรงศีล

ผู้ที่ทรงศีล ผู้ที่ไม่ประกอบสัมมาอาชีวะไม่มาแข่งขันกับเรา เรานี้ประกอบวิชาชีพทางโลก เห็นไหม มีผู้แข่งขัน คนแข่งขันกับเรา แต่พระไม่มีอาชีพ ยกเว้นไว้แต่ที่ว่าเดี๋ยวนี้ศาสนามันเป็นอย่างนั้นไป นั้นเรื่องของเขา แต่ถ้าคนเรามีธรรมวินัยในหัวใจ เห็นไหม ธรรมวินัยในหัวใจแล้วกฎหมายนี้ไม่มีความจำเป็นเลย กฎหมายบังคับๆ คนที่ดื้อด้าน เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังคับธรรมวินัยขึ้นมา ผู้ที่แก้ยาก ให้ผู้ที่แก้ยาก ให้ผู้ที่มีความร่มเย็นเป็นสุข ผู้ที่อยู่สุขสบาย ให้อยู่สุขสบายในศาสนานี้ ผู้ที่แก้ไขยากต้องเอามาข่มขี่พวกนั้น เห็นไหม นั่นธรรมวินัยข่มขี่พวกนั้น พวกที่ว่ามีความคิด กิเลสมันพลิกแพลงมาในใจ มันมีความต้องการมีความแสวงหาของมัน กิเลสมันคิดไปประสาอย่างนั้น นั่นน่ะข่มขี่อย่างนั้น

แล้วถ้ามีธรรมวินัยขึ้นมาดัดแปลงใจของตัว เห็นไหม ธรรมและวินัยพระพุทธเจ้าสอนๆ เรื่องการให้สละ สละออกไปนี่สละเพื่อเราๆ เวลาทุกข์ยาก เห็นไหม นินทาสรรเสริญจากภายนอกเป็นเรื่องภายนอก แต่เวลาเราคิดขึ้นมามันพอใจและไม่พอใจในหัวใจของเรา มันจะคิดขึ้นมาแล้วมันเกิดขึ้นมาจากเรา แล้วเราแก้ไขของเราไม่ได้ แก้ไขของเราไม่ได้เพราะเราทำของเราไม่ได้ อำนาจของกิเลสมันเหนือกว่า นี่การสละทานๆ เพื่อเหตุนั้นไง สละเพื่อละความตระหนี่ความยึดมั่นถือมั่นของใจ เห็นไหม มันได้ขัดใจแล้ว การขัดใจการขัดความรู้สึกของเราคือขัดกับกิเลส กิเลสอยู่กับเราแล้วเกิดขึ้นมากับเรา แล้วไม่มีใครเคยไปกำจัดมัน มีแต่ส่งเสริมมันเห็นไหม มีความปรารถนา มีความคิดขนาดไหน

ทุนนิยมมีการแข่งขัน ผู้ที่ชนะผู้ที่เข้มแข็งจะอยู่ได้ นั่นทุนนิยม สังคมนิยมเพื่อสังคม แต่กิเลสมันอยู่ในหัวใจน่ะมันไม่ยอมรับทั้งทุนนิยมและไม่ยอมรับทั้งสังคมนิยมทั้งสิ้น มันยอมรับแต่ศีลธรรมคือความเข้าไปกำจัดมัน ทุนนิยมหรือสังคมนิยมเป็นไปประสาโลก โลกเป็นไป โลกมีแต่ความเร่าร้อนนะ นี่เพราะมันเป็นเรื่องของโลก โลกเจริญขนาดไหน บ้านเมืองเจริญขนาดไหน เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วยนี่สิ่งนั้นแก้ไขเราไม่ได้หรอก เวลาเราทุกข์ยากขึ้นมานี่เราทุกข์โศกขึ้นมาในหัวใจ สิ่งใดแก้ไขเราไม่ได้เลย

แต่ถ้าเรามีการฝึกฝนใจ เห็นไหม เรื่องการสละทาน นี่ทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ทุกข์ควรกำหนด” แล้วเวลามันเกิดขึ้นมาเป็นทุกข์ไหม ทุกข์เราไม่เข้าใจว่าเหตุมันเกิดขึ้นมาจากอะไร แต่เราจะบ่นไง เราจะพยายามคิดว่าเราต้องการผลักไสมันออกไป แต่เราไม่เคยฝึกฝนไว้เลย ทุกคนรู้นะสิ่งนั้นเป็นความดี แต่เวลาจิตใจมันเกิดขึ้นมามันต้องการขึ้นมา เรายับยั้งสิ่งนั้นไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่เป็นความดีเราต้องการปรารถนา แต่สิ่งที่เป็นความชั่ว สิ่งที่เป็นความไม่ดี เรายับยั้งไม่ได้เราก็ทำตามมันไปๆ ทุกคนส่งเสริมกิเลส

ทุนนิยม สังคมนิยม มันเป็นเรื่องจากภายนอก เป็นเรื่องจากภายนอก แต่ถ้าคนมีหัวใจ คนมีความดีในหัวใจ มันดีโดยธรรมชาติของมัน ดีโดยธรรมชาตินั้นมีความดีอยู่ แล้ว แต่ดีขนาดไหนก็เป็นดีของโลก ถึงต้องมีศีลสมาธิปัญญา ศีลสมาธิปัญญาย้อนกลับขึ้นมา ถ้าเราบวชใจของเรา เราจะเริ่มบวชใจของเรา เราต้องมีศีลขึ้นมาในหัวใจของเรา ศีลของเราเวลามันคิดขึ้นมา เวลาการกระทำของเรานะ ปาณาติปาตา เราฆ่าสัตว์ เราล่วงละเมิดฆ่าสัตว์ไป ครบองค์ ๕ ถึงเป็นการศีลขาดศีลด่างพร้อย นั้นศีลเกิดจากกาย แต่ศีลที่เกิดมาจากใจ เห็นไหม ศีลที่ความอาบัติจากความคิดไม่มี ความคิดที่ว่าเป็นอาบัติ ศีลที่ว่าเกิดจากใจไม่มี

แต่ถ้าเป็นอธิศีล เห็นไหม กรรมเกิดขึ้น มโนกรรมเกิดขึ้นมา อธิศีลนี่ศีลอันที่เกิดขึ้นมาจากใจ ความคิดความที่มันจะไปตามอำนาจของกิเลสเรายับยั้งขึ้นมา นี่อธิศีล ศีลเกิดขึ้นจากภายใน ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปกติของใจจะบวชใจต้องบวชอย่างนี้ บวชให้มัน ถ้าบวชข้างนอกนี่เป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์บวชแล้วกิเลสมันไม่ได้บวชด้วยหรอก

เวลาเราบวชขึ้นมาแล้วเราต้องมาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม อดนอนผ่อนอาหารอยู่ในศีลในธรรม จะเก็บเล็กผสมน้อยให้เป็นศีลขึ้นมาก่อน ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล ๒๑,๐๐๐ ข้อ ศีลนี้มี ๒๑,๐๐๐ ข้อไม่ใช่มี ๒๒๗ หรอก ๒๒๗ นี้เป็นมาในปาฏิโมกข์ แต่เห็นไหม ธรรมและวินัย พระวินัยกับสุตตันปิฎก ๒๑,๐๐๐ กับ ๒๑,๐๐๐ กับพระอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ เป็น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นั้นน่ะศีลขนาดนั้น รักษาที่ไหน รักษาที่ใจตัวเดียว ถ้าใจเราไม่มีเจตนาขึ้นไป ความผิดพลาด ความพลั้งเผลอไป สติเราไม่สมบูรณ์น่ะ มันเกิดขึ้นได้ ถึงต้องปลงอาบัติไง ปลงอาบัติว่าสิ่งนั้นเป็นความผิด เราจะเริ่มต้นใหม่ นี่การบวชใจขึ้นมาเริ่มจากมีศีลขึ้นมาในหัวใจ แล้วทำสมาธิขึ้นมา ปัญญามันจะเกิดขึ้นมา ความรู้ความกระจ่างแจ้ง เห็นไหม

ปัญญาของโลก ความมหัศจรรย์นี่ นักวิทยาศาสตร์คิดได้เราทึ่งความคิดของเขามากเลย แต่ไม่มีใครเคยเห็นว่าเวลาปัญญามันเกิดขึ้นจากภายใน ปัญญาที่การชำระกิเลสมันเกิดขึ้นแสนยาก แสนยากมาก ภาวนามยปัญญา เห็นไหม ปัญญาถึงเป็นการชำระกิเลส สิ่งที่จะเป็นปัญญาชำระกิเลสมันก็ต้องเป็นภาวนามยปัญญา เป็นโลกุตรธรรม แต่เป็นโลกียธรรม สิ่งที่เป็นโลกียธรรมมันคือเกิดขึ้นจากเรา

คนเราเกิดมาจากกิเลส เห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มีกิเลสก่อน ได้แต่งงานกับนางพิมพา จนมีเณรราหุลออกมา แล้วออกประพฤติปฏิบัติ ออกไปแสวงหาโมกขธรรม เพราะสิ่งนั้นสร้างสมขึ้นมา เรื่องของสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นโลกียะ มันเกิดขึ้นเป็นโลกียะ มันก็ต้องนับหนึ่งจากตรงนี้ นับหนึ่งจากโลกียะขึ้นไป

ความคิดของเราดิบๆ นี่ความคิดดิบๆ ความคิดของเราความคิดดิบๆ พยายามคิดขึ้นมา มีความศรัทธาขึ้นมา ให้มันดัดแปลงตน ความคิดดิบๆ นี้ไล่ทันไป ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่าปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ความคิดดิบๆ มันจะมีความคิด มันจะมียับยั้งชั่งใจ ความยับยั้งที่ว่าสิ่งนั้นผิดสิ่งนี้ถูก นี่ปัญญาอบรมสมาธิ เห็นไหม ความคิดมันไล่ต้อนความคิดกัน ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิดขึ้นมาก่อน รอบรู้ในความคิดมามันก็จะตามทันขึ้นมา เราคิดผิดคิดถูกมันยับยั้งๆ สิ่งที่ยับยั้งขึ้นมามันเปิดทางให้กับธรรมเกิดขึ้น เปิดทางให้โลกุตรธรรมเกิดขึ้น ถ้าโลกุตรธรรมเกิดขึ้นในหัวใจขึ้นมา มันมีที่ เห็นไหม มรรคมันเริ่มทรงตัวขึ้นมาได้อย่างนั้น สัมมาสมาธิเกิดขึ้นมา มิจฉาสมาธิ เวลามันเกิดขึ้นมาเป็นมิจฉาสมาธิ เราไม่สามารถเป็นประโยชน์ขึ้นมาได้

ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มีศีลขึ้นมาก่อน ศีล สมาธิ เกิดสัมมาสมาธิขึ้นมา สัมมาสมาธินี้จะยกขึ้นวิปัสสนา ถ้ายกขึ้นวิปัสสนานี่บวชใจ การบวชใจ นินทาสรรเสริญเราต้องเป็นคนใคร่ครวญเอง ถ้ามันเป็นการคิดผิด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขานินทา แต่เวลากิเลสมันนินทาเราเอง กิเลสเกิดขึ้นจากเรา เรานินทาตัวเราเอง เห็นไหม ความสรรเสริญของเรา คุณงามความดีถ้ามันเกิดขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง

นี่บวชใจเข้ามาให้เห็นตามความเป็นจริงขึ้นมา มันจะมีความสุขขึ้นมาก แล้วมันจะมีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์นะ สมบัติต่างๆ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นสิ่งนั้นเลย คุณค่าของเราทางโลก เพชรนิลจินดามีคุณค่ามาก เพชรนิลจินดานี่เป็นเครื่องประดับ ถ้าคนไม่เข้าใจมันก็ไก่ได้พลอย ไก่ได้พลอย เห็นไหม มันไม่ต้องการหรอก เพชรนิลจินดามันกินไม่ได้ แต่ต้องการอาหาร อาหารดำรงชีวิตได้

สมบัติของการประพฤติปฏิบัติ ปัจจัตตังความเข้าใจของใจ ใจสัมผัสสิ่งต่างๆ มันจะเป็นสมบัติของมัน เพราะอะไร เพราะมันจะแนบไปกับใจนั้น ถ้าจิตเคยสงบสักหนหนึ่ง เราจะทำความสงบไม่ได้อีกเลย จิตอันนั้นมันจะแนบไปกับใจ สมบัติอันนี้เป็นอริยทรัพย์ เวลาตายไปนะ เวลาคนเราใกล้ตายขึ้นมามันจะแสวงหาที่พึ่ง สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ที่สุด ถ้ามันย้อนกลับมาตรงนี้เกิดเป็นพรหมเด็ดขาดเลย เพราะอะไร มันเข้าไปถึงความสัมผัสใจ ใจนี้เป็นหนึ่ง ใจเป็นสัมมาสมาธิ เป็นขันธ์เดียว สิ่งที่เป็นขันธ์เดียวจะเกิดเป็นพรหม เห็นไหม พ้นจากเทวดาไปเกิดเป็นพรหมจะมีความสุขขนาดไหน

แต่มันก็เป็นวาระ เห็นไหม พ้นสิ้นจากพรหมอันนั้นก็ต้องมาประพฤติปฏิบัติใหม่ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงไม่ต้องการปรารถนาในภพชาติต่างๆ ปรารถนาเป็นมนุษย์แล้วสร้างสมคุณงามความดี สร้างสมบวชใจให้สมกับความเป็นบวชของเราได้

พระนี้ประเสริฐมากนะ การเห็นสมณะเป็นสิ่งที่เป็นคุณค่ามาก สมณะจากภายนอก เห็นไหม การเห็นเราเห็นพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง เห็นสาวกอย่างหนึ่ง นั้นเราเห็นเป็นมงคลอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราบวชในใจของเรา เราเห็นสมณะในใจของเราเอง ใจสัมผัสกับสมณะในหัวใจของเราเอง เราเห็น ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้เราเกิดมาจากไหน แล้วเราต้องตายแล้วเราไปไหน เราถามหาตลอดไป เราก็จะมีความลังเลสงสัย เกิดมาได้อย่างไร จิตนี้มาปฏิสนธิได้อย่างไร เกิดขึ้นมาแล้วดำรงชีวิตได้อย่างไร แล้วเวลาตายสิ่งที่เหลือนี้ร่างกายนี้เอาไปเผาเอาไปฝัง แล้วหัวใจนี้มันไปไหน เวลามันบวชใจขึ้นมามันเห็น อ้อ ตัวภวาสวะ อนุสัยตัวนี้เองตัวที่พาเกิดพาตาย แล้วเราเข้าไปบวชใจจนเราเห็นสมณะในหัวใจของเรา

เราจะสงสัยไปไหนว่าชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือไออุ่น ชีวิตนี้คือพลังงานตัวนี้ แต่พลังงานตัวนี้พลังงานที่มีชีวิตไง พลังงานข้างนอกนั่นเป็นพลังงานที่หมุนไป แต่พลังงานที่มีชีวิตนี้มันมีกิเลส มันมีตัณหาความทะยานอยาก สิ่งนี้มันต้องเกิดตายไปตลอด แล้วจิตมันเข้ามาเห็นสภาวะแบบนั้น ภาวนามยปัญญาเข้ามาชำระสิ่งนี้ มันปลดเปลื้องตัณหาความทะยานอยากออกหมดเลย มันเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ ไม่มีเกิดแล้วไม่มีตาย นิพพานเป็นแบบนั้นไง

นิพพานมีอยู่ จิตดวงนี้สัมผัสคือนิพพานแล้วมีความสุขมาก ไม่ต้องเกิดแล้วไม่ต้องตายอย่างเราเลย เราเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ เห็นไหม เกิดมาแสนทุกข์แสนยาก แล้วก็ต้องดำรงชีวิตต่อไป แต่ถ้าเราสัมผัสขึ้นมา เราปฏิบัติขึ้นมานี่จิตดวงนี้จะไม่ไปเกิด จะไม่ไปนอนในครรภ์ของมารดา จะไม่ตกในครรภ์ของใครอีก จิตดวงนี้จะไม่ปฏิสนธิขึ้นมาอีก จิตดวงนี้จะพ้นออกไปจากกิเลส

นี่การบวชใจ พระที่ประเสริฐๆ จากความรู้สึกของเรา ประเสริฐจากใจของเรา ใจของเรานี้บวชได้ ใจของเรานะจะเป็นคฤหัสถ์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้หมดแล้ว ถ้าเราทำได้ เห็นไหม บวชใจได้ เขาจะบวชเรื่องร่างกายประเพณีของเขานั้นเรื่องของเขา บวช ๕ วัน ๑๐ วันนั่นก็บวชไป เราบวชใจของเราขึ้นมา พยายามทำใจของเราขึ้นมา บวชให้ได้

นางอุบลวรรณาก็เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้หญิงเป็นพระอรหันต์ เป็นภิกษุณีเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม เวลาถึงที่สุดแล้วไม่มีหญิง เวลาเป็นสมาธิก็ไม่มีหญิงไม่มีชายไม่แบ่งแยกอยู่แล้ว แล้วจิตพ้นออกไปก็ไม่แบ่งแยกหญิงหรือชาย

จิตนี้คือธรรมธาตุ ธาตุเฉยๆ เหมือนกัน ธาตุรู้เหมือนกัน แล้วธาตุนี้บริสุทธิ์เหมือนกัน เห็นไหม เพราะการชำระกิเลสอันนี้ นี่ชีวิตคืออะไรไม่ต้องถามใครเลย ชีวิตนี้คือจิตดวงนี้ แล้วจะไม่สืบต่ออีก แล้วจบสิ้นกระบวนการเป็นความสุขมาก นี่บวชใจ พระประเสริฐๆ อย่างนั้น พระนี้ประเสริฐมาก ผู้ที่ประเสริฐ ใจนี้ประเสริฐ แล้วใจก็มีอยู่กับเรา เราจะประเสริฐได้ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราเข้าใจสิ่งนี้แล้วเราจะย้อนกลับมา เอวัง