ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

พบศาสนา

๗ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

พบศาสนา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


 

ตอนเช้าพวกนั้นเขาฟัง เขาว่าดีมาก แต่กับพวกโยมนี่ เราคิดว่า บางทีโยมจะไม่ค่อยเข้าใจ พูดอย่างนี้หาว่าดูถูก เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่า ทำไมถึงพูดไง เราพูดอย่างนี้ปั๊บ เดี๋ยวเราจะอธิบาย เพราะมันบางทีมีพวกโยมมา เกลื่อน มันชวนๆ กันมาก็จะพูดกันอย่างนั้นล่ะ ให้พร้อมก่อน รอนิดหนึ่ง ธรรมดากรรมฐานเขาต้องให้นิ่ง มันเหมือนคลื่นไง ถ้ามันตรงคลื่นมันจะชัด ถ้าลมมันพัดคลื่นมันจะไม่ดี จิตของคนเนี่ย คนปฏิบัติเขาจะเน้นกันตรงนี้ ไอ้นี่มันแบบว่าตลอดเลย

ส่วนใหญ่เราคิดกันแล้วเราจะตีขลุมกันเองเรื่องศาสนานี่ เราจะตีขลุมกันเองว่าเราเข้าใจ พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความว่าง แต่เข้าใจผิดหมดเลย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความว่าง ว่างของใคร ถ้าพูดเรื่องความว่าง อวกาศมันว่างอยู่แล้ว ในภาชนะในโอ่ง ในไหมันว่างอยู่แล้ว ความว่างนี้มีประโยชน์กับใคร ความว่างหมายถึงจิตที่มันทุกข์ มันทุกข์เนี่ย แล้วมันปล่อยวางได้ มันว่างได้ แต่จิตมันจะปล่อยวางได้อย่างไร จิตจะปล่อยวางไม่ได้เลย แล้วจิตมันจะปล่อยวางได้ มันต้องมีเหตุมีผล มันถึงจะปล่อยวางได้ แล้วทุกคนจะคิดเลยล่ะ บอกว่านี่พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราเป็นคนดีแล้วนี่ เป็นคนดีหมดเลย

มีอยู่ทีหนึ่งเราอยู่ที่โพธาราม .........เขาเป็นรัฐมนตรี แล้วเขาเป็นเพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกับพวกลูกศิษย์เรา แล้วเขามาหาเราบ่อยมาก เขานิมนต์เราไปเทศน์ที่กระทรวงศึกษา เขานิมนต์ไปเลย เราก็ขอเขาเลย ขอนิมนต์ไปเทศน์ที่กระทรวงศึกษา เราขอกลับ บอกขอไม่ไป ขอไม่ไปเพราะอะไรรู้ไหม ขอไม่ไปเพราะความเข้าใจว่า ดีของใครไง ถ้าดีของใคร แล้วเราไปพูด แล้วเราเป็นพระเด็กๆ แล้วเป็นพระที่ไม่มีใครรู้เรื่อง ไปถึงแล้วบอกคนนั้นผิด คนนี้ผิด เขาจะยอมรับได้อย่างไร เขายอมรับไม่ได้หรอก แต่มันต้องสร้างศักยภาพของตัวเองขึ้นมาก่อน

เมื่อก่อนเราอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านบอกเลย เด็กรู้เด็กก็พูดได้ ผู้ใหญ่รู้ผู้ใหญ่ก็พูดได้ แต่เด็กไม่ควรพูด เพราะคำพูดของเด็กไม่มีน้ำหนัก คำพูดนี่ต้องให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก่อนถึงจะควรพูด มันเป็นสิ่งที่ควรและไม่ควรไง พอนิมนต์ไป เพราะนิมนต์จะให้ไปเทศน์กระทรวงศึกษา ไม่ไป มันต้องปล่อยให้กาลเวลามันมีโอกาสฟักตัวของมัน แล้วนี่เขาพูดบอกความดีๆๆ เนี่ยความดีของใคร แล้วความดีของเรานี่เราพูดบ่อยมากนะ ว่าความดีของมหาโจรเนี่ย มันเป็นความดีของเขา เขาจะทำการคดโกงกันอยู่ เราไปบอกเขานี้ มันเป็นภัยกับเราทันทีเลยนะ ก็เขาถือว่าเขาดีใช่ไหม ความดีของเขา

นี่ก็เหมือนกัน บอกศาสนาสอนถึงความว่าง ศาสนาสอนถึงความดี แต่ดีของใครล่ะ ถ้าดีของเรานี่มันต้องมีศีลมีธรรม คำว่ามีศีลมีธรรมเนี่ย มันเป็นวุฒิภาวะนะ อย่างโยมนี่นะพยายามกันเพื่อความสุขสบาย ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งหมด แต่ความสุขของใคร ถ้าความสุขนะ เราคิดกันเองว่าเรามีบ้านหลังใหญ่ๆ มีทุกอย่างพร้อมหมดเลยจะมีความสุข ไม่จริงนะ ไม่จริง เราค้าน

เราอยู่โคนไม้ เราว่าเราสุขกว่าเยอะเลย เพราะอะไรรู้ไหม ถ้าพูดถึงวิทยาศาสตร์เลย เราไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เรามีกลดอยู่หลังหนึ่ง เรามีเครื่องอัฐบริขาร ๘ อยู่ เราจะแขวนกลดที่ไหนก็ได้ เราจะไปที่ไหนก็ได้ เราจะไม่เดือดร้อนอะไรเลย แต่บ้านหลังใหญ่นั้นนะค่าใช้จ่ายเท่าไร ค่าดูแลรักษาเท่าไร แต่เราคิดกันอย่างนั้น แต่เรามีด้วยความสมควรกับสถานะเนาะ เราไม่ต้องไปทุกข์มาก เมื่อไม่ต้องไปทุกข์กับสิ่งนั้น ความสุขความทุกข์นะมันอยู่ที่ใจ ไอ้นั่นมันปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้นล่ะ

ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น เพราะเราจะบอกว่าทุกคนนะ มันมีลูกศิษย์มาหาบ่อย เมื่อก่อนนี้จะบอกว่า การประพฤติปฏิบัติของเขานี่ เขาบอกเขาปฏิบัติถูกต้อง เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ เราบอกมันผิดตรงที่เป็นวิทยาศาสตร์นี่แหละ เพราะวิทยาศาสตร์มันเป็นทฤษฎี ทฤษฎีนี้ทุกอย่างต้องทำตามทฤษฎีนี้ แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า มันเป็นธรรมะเหนือทฤษฎีเหนือทุกอย่าง เพราะตัวทฤษฎีนี่มันมีตัวแปร มีทุกอย่าง แล้วเรื่องของจิตนี่ มันมีพื้นฐานของจิต

คำว่าพื้นฐานของจิต อย่างเช่นอาหารหรือนิสัยนี่ คนเราจะไม่เหมือนกันสักคนหนึ่งเลย แล้วทำทุกอย่างให้เหมือนกัน แล้วทุกคนมันจะว่าดี มันเป็นไปได้ไหม แต่ในระบบข้าราชการเราก็เห็นด้วยนะ ระบอบระบบต่างๆ มันต้องมีไว้ เพราะบุคคลกับระบบ ระบบสำคัญกว่า แต่ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย ระบบนั้นนะ เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ไอน์สไตน์บอกไว้เลย ไอน์สไตน์บอกว่า ถ้าเขามีโอกาสเลือกได้ เขาจะเลือกนับถือศาสนาพุทธ เพราะพุทธศาสนานี่มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ แต่ไอน์สไตน์เขาก็ไม่ได้อะไรของเขาไปเลย เพราะนั่นเป็นทฤษฎี เขายังไม่ถึงเนื้อหาสาระเลย เราจะบอกว่าคุณค่าจริงๆ นี่มันอยู่ที่ใจ แต่คุณค่าอยู่ที่ใจนะ ถ้าเราไม่ถึงความจริง มันหลอกลวงกันได้ใช่ไหม ทุกคนว่าฉันมีความสุขนะ เนี่ยในหัวใจใครจะพิสูจน์ใครได้ล่ะ แต่เวลาเรามีครูบาอาจารย์มันพิสูจน์กันได้ ของที่ไม่รู้ไม่เห็น พูดไม่ได้ ศาลาหลังนี้ถ้าคนที่ไม่เคยมานะ ต่างคนต่างจินตนาการก็พูดกันไป แต่ถ้าใครเคยมานั่งอยู่ที่ศาลาหลังนี้แล้ว กลับไปพูดถึงศาลาหลังนี้ด้วยกัน ถูกต้องทุกคน จิตของคนเคยเข้าไปสงบ จิตของคนเคยเข้าไปวิปัสสนา จิตของคนเข้าไปถึงเป้าหมาย มันพูดถึงสิ่งนั้นได้ถูกต้อง ถ้าพูดแล้วไม่ถูกต้อง มันพูดผิด เพราะคนรู้จริงมันมีอยู่ เนี่ยคนรู้จริงมีอยู่เห็นไหม

นี่ถ้าจิตใจ เรื่องของใจสำคัญกว่า สำคัญกว่าจริงๆ นะ เราจะอธิบายให้ฟังว่าสำคัญกว่า เพราะเวลาพวกเรานี่เราบอกว่าเราเป็นคนดีอยู่แล้ว เรามีความสุขอยู่แล้ว แรงตั้งใจปรารถนาของเราพร้อมมูลอยู่แล้ว เราไม่ต้องการสิ่งใดเลย เวลาพูดให้เราฟังนะ เราสังเวชมาก อันนั้นนะมันเป็นสมบัติสาธารณะ อย่างเช่น เราเนี่ยเรามีสมบัติมากเลย เราไม่มีทายาทเลย เวลาเราตายไปสมบัติเราไปไหน ตกเป็นของรัฐบาล เนี่ยมันเป็นสมบัติสาธารณะไง เราเอาไปไม่ได้ มันจะไปกับเราไม่ได้ ทุกอย่างไปกับเราไม่ได้ทั้งนั้น สิ่งที่เราหาอยู่นี่สมบัติสาธารณะ ไม่ใช่สมบัติของเราเลย

สมบัติของเราคือความดีความชั่วในใจต่างหาก เนี่ย สมบัติจริงมันอยู่ที่นี่ แล้วพอจิตตัวนี้มันข้ามพ้นดีและชั่วได้ อันนี้สมบัติแท้นะ เพราะการเกิดนี่พิสูจน์ไม่ได้หรอก ว่าเวลาเกิดนี่เกิดมาจากไหน เราก็ว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ แต่ถ้าเป็นศาสนานะ ท้องพ่อท้องแม่พูดทางวิทยาศาสตร์นะ อย่างเช่นไข่ ต้องมีสเปิร์มในไข่ มีปฏิสนธิจิตถึงมาเกิด แล้วเวลาไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่างๆ แล้วไข่ที่มันขับทิ้งไป ในชีวิตเรานี่เท่าไหร่ ไข่ใบหนึ่งก็ชีวิตหนึ่งเหมือนกันใช่ไหม ถ้าไข่ใบหนึ่งก็ชีวิตหนึ่ง ชีวิตนี้มาจากไหน เราก็เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่มีปฏิสนธิจิตมาสู่ปฏิสนธิในไข่ของมารดานั้น จะเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้อย่างไร

แล้วเกิดเป็นมนุษย์เนี่ยเวรกรรมนะ เวรกรรมปฏิสนธิจิตตัวนี้ไง ที่ว่าปฏิสนธิตัวนี้ ที่ว่ามาเกิดสมบัติของเรา สมบัติของเราเนี่ย เพราะมันมีคุณสมบัติของมัน เราใช้คำว่าพันธุกรรมทางจิต เขามีพันธุกรรมทางร่างกายนะ ถ้าพันธุกรรมทางจิตดีเรามีลูกมีเต้านี่ โอ๊ย ถ้าพันธุกรรมทางจิตเขาดีนะ โอ้โฮ ลูกคนนี้ดีกว่าพ่อแม่อีก แต่ถ้าพันธุกรรมทางจิตมันไม่ดีนะ พ่อแม่ทุกข์มากเลย โอ๋แล้วโอ๋อีก เอาใจแล้วเอาใจอีกก็ว่าพ่อแม่ไม่รัก มันอยู่ที่พันธุกรรมของเขา นี่ไงทางสุภาษิตเราบอกว่า ลูกเราเลี้ยงได้แต่กาย เลี้ยงใจมันไม่ได้ แต่เวลามาบวชขึ้นมา พ่อแม่ครูอาจารย์เห็นไหม พระเรานี่นะเป็นทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งครูบาอาจารย์ เพราะว่าพ่อแม่นี่เลี้ยงร่างกาย ครูบาอาจารย์เลี้ยงจิตใจ จิตใจตัวนี้ถ้ามันพัฒนา นี่ สมบัติของเราอยู่นี่

นี่สมบัติสาธารณะ สิ่งที่เราหาเนี่ยสมบัติสาธารณะ แต่สมบัติสาธารณะ มันก็อิงกับสมบัติจริงด้วย สมบัติจริงหมายถึงว่าจิตถ้ามันมีบารมีมา มันจะทำสิ่งใดนะ สังเกตได้บางคน ถึงเวลาแล้วโอกาสเหมาะสมจะสมดุลเขาตลอด เขาจะได้ตำแหน่งของเขาดีๆ ทั้งนั้นเลย บุญของเขานะ เขาส่งของเขาไปตลอดเลย เรานี่เกือบเป็นเกือบตาย แห่กันไป ไม่ค่อยได้เพราะเหตุใด มันเป็นต้นทุนไง ต้นทุนจากบุญกรรมเนี่ย เป็นต้นทุนอันหนึ่ง แต่ทางโลกเขาไม่เชื่อ แล้วพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าทางปฏิบัติทางธรรมพิสูจน์ได้เพราะอะไร เพราะเวลาปฏิบัติเนี่ย นั่งด้วยกันทั้งหมดเลย จิตของใคร ใครมีสติสัมปชัญญะได้ขนาดไหน ใครควบคุมจิตได้มากน้อยขนาดไหน แล้วจิตมันสงบ ได้มากได้น้อย มันหลากหลายนะ

มันมีพวกข้าราชการเขามาหาเรา เขาบอกว่า พระอย่างนี้ฝึกอย่างไร เขาอยากจะฝึกพระอย่างนี้ไง ฝึกพระขึ้นมานะ เราบอกไม่ได้หรอก มันไม่ได้เพราะอะไร เพราะในการศึกษาเห็นไหม เวลาเข้าห้องเนี่ยให้จบหมดล่ะ ไล่มันออกไปเลย ให้มันจบไป เพราะมันนั่งขวางเก้าอี้เรา แต่ในทางปฏิบัติ เราไม่มีสิทธิจะให้จบหรือไม่ให้จบ มันเป็นสิ่งที่เขาทำได้หรือทำไม่ได้ เราจะดีขนาดไหน เราจะส่งเสริมเขาขนาดไหน อาจารย์ทุกคนต้องการลูกศิษย์ดีทั้งนั้นล่ะ อาจารย์นี่บริการทุกๆ อย่างหมดเลย แต่เขาก็ทำไม่ได้ เขาทำไม่ได้ เขาจะไปได้อย่างไร

มันก็ย้อนกับมาที่บุญกรรมแล้ว นี่สมบัติส่วนตน สมบัติส่วนตนอีกอันหนึ่งนะ การภาวนาเขาเรียกว่าสุดวิสัย สุดวิสัยคือว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ฉะนั้นก็ปฏิบัติไปเพื่อจะเพิ่มบารมีอันนี้ แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนาของมัน มันจะไปของมันได้ เนี่ยสมบัติส่วนตน การเสียสละ การทำบุญกุศลของเรา เนี่ยเรื่องของเรานะ เรื่องของโลก เราก็ต้องการว่าเราเกิดมาแล้วเนี่ย เราปรารถนาความสุข ปรารถนาความดีของเรา เราก็ขวนขวายทำความดีของเรา ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า ลืมสองตา ตาหนึ่งก็เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าพูดถึงมนุษย์แล้วนี่อริยทรัพย์ ธรรมดาของจิตนะ ถ้ามันไม่เกิดเป็นมนุษย์ มันก็ต้องเกิด แต่ไปเกิดเป็นอะไรล่ะ จิตนี้มันเหมือนพลังงาน มันไม่มีเว้นวรรค ไม่มีขาดช่วง มันจะไปของมันตลอด

ถ้าเรามาเกิดเป็นมนุษย์นี่นะ อย่างเรานี่เป็นมนุษย์อายุ เรา ๑๐๐ ปี มันจะอยู่กับเรา ๑๐๐ ปี พอ ๑๐๐ ปีนี่วาระเราจบ จิตนี้มันไปต่อ เรานี่ตายแล้ว แต่จิตนี้ไปต่อ เรายกตัวอย่างบ่อยมาก นาย ก ตายไปจิตไปเกิดเป็นนาย ข นาย ก ทำบาปทำกุศลต่างๆไว้เนี่ย เขาเป็นคนทำ เวลาเขาตายไปไปเกิดเป็นนาย ข นาย ข ได้รับผลบุญผลบาปนั้น แล้วนาย ก เกี่ยวอะไรกับ นาย ข ล่ะ อ้าว นาย ข ไปเกี่ยวอะไรกับนาย ก นาย ก ทำไว้ แล้วไปเกิดเป็นนาย ข นาย ข ต้องรับกรรมทำไมล่ะ ไม่รับไม่ได้หรือ มันเป็นจิตดวงเดียวกัน จิตของนาย ก ตายไป นาย ข ยังไม่มี พอนาย ข ปฏิสนธิจิต เกิดออกมาพ่อแม่ถึงตั้งชื่อว่า นาย ข จิตนี้ดวงเดียว จิตดวงเดียวนี่วาระมันไม่มีเว้นวรรคไง มันต้องเกิดตลอดเวลา

นี้พอมาเกิดเป็นมนุษย์นี่ เกิดเป็นมนุษย์นี่อริยทรัพย์นะ ในศาสนาบอกการเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เราได้มนุษย์มานี่เราได้สมบัติมหาศาลเลย สมบัติที่เราเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเราเกิดเป็นเทวดานะ เราเปรียบเทียบเหมือนกับเราเป็นลูกเศรษฐี มหาเศรษฐีสุขทั้งชีวิตเลย เราไปเกิดนรกอเวจีนะ เหมือนเราเป็นลูกของทุคตะเข็ญใจ ต้องทรมานตลอดชีวิตเลย แล้วเรามาเกิดในมนุษย์เห็นไหม จากเทวดากับนรกมาเกิดเป็นมนุษย์ สมบัติ มันอิสระไง มันเป็นสมบัติกลาง เป็นมนุษย์เรามีอิสระ ถ้าเป็นเทวดาก็มีความสุขของเขาเป็นทิพย์หมด ถ้าเป็นนรกของเขา เขาก็ต้องโดนบังคับบัญชา ด้วยกรรมของเขาตลอด

พอเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่เห็นไหมอิสรภาพ ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ แล้วมาศึกษาศาสนาเนี่ย ถ้าเรามาศึกษาศาสนาเห็นไหม มนุษย์สมบัตินี่เป็นอริยทรัพย์ เพราะมีจิต เพราะมีชีวิตถึงเป็นเจ้าของสมบัติทุกๆ อย่าง ที่โยมหามาได้ สิ่งที่หามาสมบัติสาธารณะนี่ เราเป็นคนหามา มันถึงเป็นประโยชน์กับเรา โลกนี้มีเพราะมีเรา และถ้าเราตายไปโลกนี้มีหรือเปล่า มันก็มีอยู่อย่างนี้ แต่เพราะมีเรา เราถึงมีสิทธิสมบัติของเรา ที่เราจะใช้ได้ เราจะได้ประโยชน์ เราแสวงหามาด้วยความเป็นธรรม

เห็นไหม มนุษย์สมบัติเกิดมาแล้วไม่ให้เบียดเบียนกัน มีกฎหมายรองรับ สัตว์นะเวลาเขาฆ่ามันตายต่างๆ นี่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ผิดกฎหมาย ทำไมฆ่าคนถึงผิดกฎหมายล่ะ นี่ไงอริยทรัพย์ ทรัพย์อันนี้ประเสริฐมาก เวลาครูบาอาจารย์ของเราปฏิบัติเห็นไหม ซึ้งในศาสนา เวลาใครบวชพระอุปัชฌาย์ต้องบอกเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่ถ้าวิปัสสนาทะลุ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง คนเราอยู่กันด้วยแค่นี้ ติดพันกันด้วยหนัง ผิวหนังแค่นี้ ถ้ามันพิจารณา ผม ขน เล็บ ทะลุเข้าไปเห็นไหม

ใจตัวนี้ที่มันอยู่อาศัยในมนุษย์นี้ มนุษย์มันมีกายกับใจ แล้วถ้าใจดวงนี้มันพิจารณาของมัน พิจารณาร่างกายเรานี่แหละ แล้วถ้ามันปล่อยร่างกายของเราขึ้นมา ร่างกายกับจิตนี่ ลองจับสิ เราอยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่ไหน ทุกคนหาจิตไม่เจอเลย แต่ถ้าเวลาจิตมันสงบเข้ามาแล้ว มันวิปัสสนา ถ้ามันปล่อยออกมา ทั้งๆ ที่ของอยู่ด้วยกันเหมือนชิ้นเดียวกัน เหมือนนะ เหมือนชิ้นเดียวกัน เหมือนจะไม่ใช่อันเดียวกัน แต่มันก็เหมือนเวลามันพิจารณาของมัน มันแยกออกจากกันได้

ถ้าแยกออกจากกันได้เห็นไหม ร่างกายของเราเนี่ย เราเข้าใจร่างกายของเราโดยธรรมชาติ เนี่ยสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดของร่างกาย ทรัพย์อันนี้ยิ่งสำคัญเข้าไปใหญ่ เนี่ยภาวนามยปัญญา ปัญญาในศาสนามี ๓ อย่าง สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน จินตามยปัญญาเห็นไหม ระหว่างที่พัฒนาการของจิตที่มันจะเปลี่ยนขึ้นไป จนถึงที่สุดมันเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา แล้วถ้ามันวนเข้าไป มันชำระสิ่งที่ยึดติดนี่มันปล่อยได้ นี่อันนี้เห็นไหมพระอริยเจ้า

จากมนุษย์ปุถุชนนี่ เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นโสดาบัน เป็นสกิทา เป็นอนาคา เวลาเทวดา อินทร์ พรหมนี่ เราไม่เชื่อหรอกว่ามีเทวดา มีผี ทุกคนแทบไม่เชื่อเลย แต่กลัวผีทุกคนเลย ทุกคนกลัวผีเพราะจิตนี่มันมีข้อมูล เราเคยเกิดเคยตาย ในสิ่งที่เราเคยเป็นไปเนี่ย เราเคยเป็นใช่ไหม เราเคยเป็นนี่มันมีสัญญาข้อมูลอยู่กับจิต นี่สิ่งที่มันมีสัญญาข้อมูลอยู่กับจิตนี่ สิ่งนี้มันมีข้อมูลเราถึงตกใจกลัว สิ่งใดถ้าข้อมูลนั้นมันสัมผัสกับความรู้สึกของเรา

แต่อริยทรัพย์นี่ แต่ทรัพย์ที่เป็นโสดาบันเราไม่เคยเจอ เราไม่รู้จักหรอก เราคาดการณ์ไม่ได้หรอก แล้วเวลามันเป็นไปเห็นไหม มันเกิดขึ้นมาเพราะเรามีอริยทรัพย์นะ เรามีกายกับจิต แล้วเทวดานี่เขาไม่มีตรงนี้ เวลาเทวดา อินทร์ พรหม เขามาฟังเทศน์ เพราะเขาต้องการให้บอกวิธีการ ที่เขาจะทำของเขาได้ ของเขามันไม่มี กระทบกระเทือนก็เพราะว่าความเห็นต่าง แต่ความเห็นต่างนี่ จิตใต้สำนึกของพุทธศาสนาเห็นไหม ให้อภัยต่อกัน ให้เมตตาต่อกัน เนี่ยเราจะบอกว่าสังคมไทย มันตกผลึกเป็นวัฒนธรรมไง แล้วเรามาเกิดในวัฒนธรรมอย่างนี้ เรามีบุญกุศลมาก

ทีนี้เราไม่เห็นคุณค่าตรงนี้ไง ดูสิเวลาการท่องเที่ยวเห็นไหม ทำไมเราขายวัฒนธรรมกัน ทำไมทางตะวันตกเขาอยากดู เพราะเขาไม่มี แต่ของเรามี พอของเรามีแล้วเนี่ย เราจะบอกว่าเราไม่ให้ใกล้เกลือกินด่าง เรามีเพื่อนเป็นพระฝรั่งนะ เวลานั่งคุยกันเขาบอกเลย คนไทยนะ โทษนะ เขาพูดคำนี้จริงๆ เพื่อนกัน คนไทยนี่โง่ฉิบหาย มึงดูกูสิ เพื่อนกัน เขาเป็นคนชาวสหรัฐ แล้วเขาศึกษาธรรมะ เขาบอกเขาอยากบวช เขาต้องไปบวชที่อินเดีย เขาก็ไปบวชที่อินเดีย สมัยก่อนโน้นหลายสิบปีแล้ว ที่อินเดียนั้นพระสงฆ์ยังมีไม่มาก เขาบอกไปบวชอินเดียได้นี่ พระไม่มากไม่ครบสงฆ์บวชไม่ได้ บวชได้เป็นเณร อยากบวชพระมาก แต่ก็อยากบวชพระมาก เขาบอกอยากบวชพระต้องไปลังกา เขาก็ไปบวชที่ลังกา พอบวชลังกาเสร็จ เขาอยากปฏิบัติมากเพราะเขาศึกษาธรรมะ ถ้าเอ็งอยากปฏิบัติเอ็งต้องไปเมืองไทย พอมาถึงเมืองไทยนะเขาก็มาบวชซ้ำ เพราะเขาอยากอยู่กับหลวงตา ไปญัตติซ้ำที่วัดบวรฯ เขาพูดกับเรานะ เอ็งดูกูสิ กูบวชมา ๓-๔ ประเทศ กว่าจะได้เป็นพระ

แล้วทำไมคนไทยมันอยู่นี่ ทำไมมันไม่สนใจเลย นี่ฝรั่งพูดกับเรานะ เราฟังแล้ว อืม.. มันสะเทือนใจเรา แล้วสนิทกันมาก เขาจะชวนเราไปเที่ยว แบบว่ากลับไปเที่ยวบ้านเขา เราบอกว่าเราไม่ไป ยังไงเราก็ไม่ไป เพราะเราต้องการเอาตัวเราให้ได้ก่อน เราไม่ต้องการสิ่งที่โลกรับรู้ภายนอกเห็นไหม เนี่ยเขาไม่มี เขาแสวงหา แต่ของเรามี

เราจะบอกว่า เราจะต้องขอบคุณบุญคุณของชาวไทยเรา ที่สืบทอดกันมา แล้วเรามาเกิดในพุทธศาสนา เวลาเทวดาเขาอวยพรกันนะ เวลาเขาจะตายนี่เขาบอกว่า ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์เถิด แล้วพบพุทธศาสนา เพราะเทวดานี่เขาเป็นเทวดา เพราะเขาทำบุญกุศลเขาไปเกิดเป็นเทวดา แต่ในศาสนาของเรานี่ เกิดเป็นชาวพุทธเถิดเห็นไหม แล้วพบพุทธศาสนา พุทธศาสนานี่ หลวงตาบอกว่า ศาสนาพุทธเหมือนห้างสรรพสินค้า มีของมากมายเลย แล้วแต่คนที่จะมีต้นทุน ที่จะซื้อได้หรือสนใจได้แค่ไหน

แต่ชาวพุทธเราเห็นไหม ทำบุญยังไม่อยากทำ พูดประสาเราว่าไม่มีเวลา แล้วสังคมสงฆ์ด้วย ทำให้พวกเรานี่ศรัทธามันคลอนแคลน แต่ในหลักสัจจะความจริงนะ ที่ไหนก็แล้วแต่มันต้องมีคนดีและคนชั่วปนกัน ฉะนั้นเราต้องคัดเลือกเอง ลูกศิษย์เหมือนกันเรามีวัดอยู่ที่หัวหิน แม่นะเป็นแม่ แล้วลูกชายเป็นนายทหารในค่ายธนะรัชต์ เขาบอกเขาไม่เอาพระ เวลาเขาจัดงานประจำหน่วย ถึงเวลาจัดงานก็มีแต่พระประธาน แล้วถึงเวลากราบเสร็จ เขาก็เลี้ยงฉลองกันเลย แม่ ตัดแม่ตัดลูกเลย พอตัดแม่ตัดลูกนะ ลูกหัวหน้าหน่วยก็มาหาแม่ มาขอโทษแม่ พอขอโทษ แม่ก็พามาหาเรา แล้วแม่ก็บอก ลูก ใช่อยู่ในหมู่สงฆ์ มันก็มีดีมีเลวปนกัน แต่ลูกก็ต้องเลือกสิ ไม่ใช่ลูกตัดทิ้งอย่างนี้เลย แม่รับไม่ได้ แม่รับสิ่งที่ลูกทำไม่ได้ ขอโทษแม่ใหญ่

นี่เราพูดถึงเห็นไหม ในความคิดแบบเราแบบโลก อะไรที่ไม่ดีเราก็ปฏิเสธไปเลย แต่เรายังไม่ได้รื้อค้นว่าดีหรือไม่ดีเลย แล้วดีดีมันดีของใคร ไอ้คำว่าดีของใครสำคัญมากนะ เพราะเราอยู่กับครูบาอาจารย์มา ความดีนี่มันมีหลากหลายมาก เพราะอะไรรู้ไหม มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด อย่างเช่นเรานี่เราทำความดี เราทิฎฐิมานะว่าเราเป็นคนดีนะ เราจะไม่ทำดีมากไปกว่านี้ แล้วถ้าใครทำความดีมากไปกว่านี้ เราก็จะไม่ยอมด้วย เขาเรียกมรรคหยาบ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค อรหัตตมรรค มันมรรคคนละชั้นไง

นี่ความดีของเรานี่ มันยังจะมีดีไปกว่านี้อีก เราทำดีขนาดไหนนะ ถ้าคนอื่นพูดถึงความดีเราต้องพิจารณา เราต้องรับฟัง แล้วมาดูมาแก้ไขว่ามันจริงไม่จริง มันมีคุณสมบัติแค่ไหน แล้วถ้าเราไม่ถึง คนที่อยู่สูงกว่าสามารถดึงคนที่ต่ำกว่าขึ้นมาได้ จิตที่สูงกว่าสามารถดึงจิตที่ต่ำกว่าขึ้นมาได้ แล้วจิตสูงจิตต่ำไปวัดตรงไหน จิตสูงจิตต่ำมันวัดกันตรงไหน ง่ายนิดเดียวเลยเพราะปฏิบัติ

หลวงตาบอกไม่รู้พูดไม่ได้ พิจารณากายอย่างไร ถ้าพิจารณากายโดยความถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้องนี่โสดาบัน แล้วพิจารณากายซ้ำไปทำอย่างไร กายนอก กายใน ถ้าบอกแค่นี้พระนิพพานแล้ว จิตได้ขั้นเดียว แล้วยึดติดของเขา แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ให้ดึงออกมา ดึงออกมาสิ่งนั้นมันได้มาแล้ว มันเป็นคุณสมบัติของเรา แต่สิ่งที่มันควรจะได้มากกว่านี้ ยังมีอยู่ แล้วมีอยู่นี่วัดกันอย่างไร

พอพิจารณากายซ้ำเข้าไปนี่ พอมันแยกออกไปอีกชั้นหนึ่งนี่ กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส พอขึ้นจับกายได้อีกชั้นหนึ่งแล้ว มันจะเป็นกามราคะแล้ว กามราคะนี่ จิตของเราอยู่ในโอฆะ จิตของทุกๆ คนมันมีความพอใจในตัวมันเอง ความพอใจในตัวเองคือกามฉันทะ กามฉันทะไม่มีที่ตั้งสถานที่ สิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ ไม่มีความพอใจของตัวเอง ไม่มีสิ่งที่ตัวพอใจ ไม่มีฐาน ไม่มีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นไม่ได้เลย ฐานตัวนี้เห็นไหม พอมันขึ้นมาฐานตัวนี้ปั๊บ พอทำลายกามฉันทะ พอทำลายกามราคะ

โอฆะ โอฆะคือแรงดึงดูด จิตถ้ามันมีเชื้อไข แรงดึงดูด มันเกิดในกามภพ คือจิตจะต้องเกิดอีก เนี่ยแรงดึงดูดเห็นไหม โลกนี้ทุกอย่างมันพ้นไปจากโลก แรงโน้มถ่วงมันจะดึงกลับมาหมดเลย จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันอยู่ในขั้นของโอฆะนี่มันจะเกิดในโลก ในกามโลก รูปโลก อรูปโลก ในวัฏวน จิตที่เวียนตายเวียนเกิดนี่ เห็นชัดเจนมากนะ ถ้าไม่เห็นชัดเจน ว่าจิตดวงนี้มันเคยเกิดในสถานะใด มันมีคุณสมบัติอย่างไร มันอยู่ในวัฏฏะนี้อย่างไร แล้วมันพ้นออกไปอย่างไร

ถ้าไม่เห็นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วการพ้นออกวิวัฏฏะออกไป เนี่ย มันจะสิ้นกิเลสได้อย่างไร เนี่ยหลักการในศาสนา ถ้ามันข้ามกามโอฆะ ทำลายกามโอฆะ ทำลายตรงนี้หมด ทำลายกามฉันทะ ทำลายกามราคะทั้งหมด จิตนี้ว่างหมดเลย จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ปฏิสนธิจิตตรงนี้ คนเวลาจะเกิด จะตาย ถึงจำอดีตชาติไม่ได้

แต่ถ้าพูดถึงการภาวนานะจำได้หมด เพราะในเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้ามีโปรแกรมเราอยู่คีย์ มันต้องออกมาหมด จิตที่มันเกิดตาย มันมีผลของมันเอง มันมีประสบการณ์ของมันเอง มันอยู่ในข้อมูลในใจเรานี้เอง แล้วทำความสงบเข้าไป ไปถึงข้อมูลของมันเนี่ย มันจะไม่แสดงออกมา มันเป็นไปได้ยังไง ไม่งั้นพันธุกรรมทางจิตมีมาได้ยังไง จิตของคนที่มันแตกต่างหลากหลาย มันเกิดมาจากไหน เนี่ยถ้ามันเข้าไปถึงข้อมูลของมัน มันแสดงออกมา โดยธรรมชาติของมัน

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตผ่องใสๆ เนี่ย เพราะจิตไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดมันเกิดดับ แต่ตัวความรู้สึกมีตลอดเวลา เห็นไหมจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ไม่ใช่ความคิดมันทิ้งความคิดมาหมดแล้ว มันเป็นความผ่องใส แล้วตัวผ่องใสข้ามพ้นกิเลส เนี่ยหลักของศาสนา เนี่ยอริยสัจ หัวใจศาสนาอยู่ที่นี่ แล้วประพฤติปฏิบัติ นี่หัวใจศาสนานะ แต่สิ่งที่สัมผัสศาสนาคือหัวใจ หัวใจนี่สำคัญมาก

การศึกษาของเรานี่ศึกษาจากสมอง ลูกศิษย์นี่เป็นอาจารย์สอนอยู่จุฬาฯ มาหลายคน ด็อกเตอร์หมดเลย แล้วเขาปฏิบัติเนี่ยเขามาพูดกับเรา หลวงพ่อ พุทโธๆ นี่เขาไม่ใช้กันแล้ว เขาใช้ปัญญาเลย ปัญญาสายตรง เราก็ลูกศิษย์นะ พวกมึงจบมาจากไหน พวกมึงจบมาจากตะวันตกใช่ไหม แล้วตะวันตกมีพระพุทธเจ้าหรือเปล่า พระพุทธเจ้าไม่ต้องการปรารถนาปัญญาอย่างพวกนี้เลย ปัญญาอย่างที่เรามีการศึกษามาเนี่ย เขาเรียกว่ามันเป็นวิชาชีพ โลกียปัญญา

พระพุทธเจ้าต้องการปรารถนาโลกุตรปัญญา เพราะฉะนั้น คำว่าใช้ปัญญาไปเลยๆ นี่ มันใช้ปัญญาโดยจากข้อมูล โดยจากภพ ความคิดเกิดจากจิต ตัวจิตเป็นตัวภพ เป็นสถานที่ ความคิดนี่มันต้องมีสถานที่ มันถึงแสดงความคิดออกมาได้ ฉะนั้นถ้าปัญญาออกมาเป็นโลกียปัญญาเนี่ย มันออกมาจากกิเลสเพราะ ตัวภพเนี่ยเป็นตัวอวิชชา ตัวอวิชชา คือตัวมันไม่รู้จักตัวมันเอง พอตัวอวิชชาเหมือนคนเมานี่ คนเมาพูดคนเมาทำก็คือเมา จิตที่มันไม่รู้จักตัวมันเองก็คือเหมือนคนเมา พอมันพูดออกมามันก็เป็น โลกียปัญญา ใช่ไหม

แต่ถ้าเป็นโลกุตรปัญญา ต้องทำความสงบของจิตเข้ามาก่อน มาทำให้คนเมาหายเมาก่อน พอคนหายเมานี่ ฐานตัวนี้ถูกต้องเนี่ย เวลามันออกไป มันจะเป็นโลกุตรปัญญา ฉะนั้นสิ่งที่เราใช้ปัญญาไปเลยๆ นี่ มันปัญญาคนเมา ปัญญาขี้เมา แต่ถ้าคนปัญญาขี้เมานี่มึงจะทำอะไรถูกต้องได้ยังไง แต่พอกลับมาความสงบ พุทโธๆๆ นี่ เขาไม่ใช้กันแล้ว เขาใช้แต่ปัญญาไปเลยเห็นไหม

เราบอกว่า ปัญญาอย่างนั้นมันเป็นวิชาชีพ วิชาชีพใช่ไหม ปัญญาสมองใช่ไหม ตรึกในธรรมะพระพุทธเจ้านี่ ไม่ใช่วิชาชีพนี่ตรึกด้วยธรรมะเลย แต่มันไปตรึกเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของเอ็ง ของเรายังไม่เกิด ความรู้จริงเรายังไม่มี เขาคิดลิขสิทธิ์นะ เขาปรับด้วย มึงไปตู่เขามานี่ แต่ถ้ามันเกิดกับเรามันเป็นจริงนะ เป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม เพราะเราใจร้อนกัน เนี่ยปัญญาชนนะ เราเป็นปัญญาชนที่ว่าโลกเจริญๆ นี่ มันเจริญโดยโลก เจริญด้วยความร้อน

ดูการแข่งขันกันสิ เวลาเราออกไปทำงานนะ เราต้องแข่งขันกับเขา ในเรื่องการแข่งขันเราอยู่กับโลกแข่งขัน แต่เวลาเรากลับมาถึงบ้านเรา เรากลับมาถึงพักผ่อน ตรงนั้นต้องวางให้ได้ ถ้าวางให้ได้จะมีความสุขนะ หน้าที่การงานก็หน้าที่การงาน หลวงตาสอนว่าคนเรามีสองตา ตาหนึ่งก็ทางโลก ตาหนึ่งก็ทางธรรม แต่ถ้าเราจะลืมสองตานี่ไปโลกหมดเลย มันเสียดายโอกาสการเกิดไง ที่เราพูดกับพวกโยมนี่ เราเห็นพวกโยมนี่ อย่างฝรั่งมันพูดว่า เป็นชาวพุทธให้เห็นคุณค่าของศาสนา คุณค่าของศาสนาไม่ใช่เสียสละทานอย่างเดียว การเสียสละทานเนี่ย มันเป็นการสอนอุบายที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะโดยสัญชาตญาณของคน มันได้ของสิ่งใดมามันก็หวง โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคนต้องหวง เราหามาเกือบตาย เราจะให้เขาได้อย่างไร

แต่ในเมื่อเราเห็นคุณค่าว่าการเสียสละอย่างนี้ มันไปกระทบจิตของเรา ตัวที่มันหวงแหน ตัวที่มันสงวนของมันเนี่ย ให้มันเสียสละ ฝึกมัน ฝึกมัน พอฝึกมันจนเป็นความเคยชิน มีมากมีน้อยไม่สำคัญ เวลาเราธุดงค์ไปตามป่านะ พวกลูกศิษย์เขาบอกเลย พระเขาบอกให้เสียสละๆ ทั้งนั้นล่ะ ก็พระมีหม้อวิเศษ เช้ามาก็เต็มบาตรๆ พวกหนูเนี่ยลำบากน่าดูเลย เราบอกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าพูดอย่างนี้มันแบ่งว่าพระกับเรา

แต่ถ้าพูดสัจจะความจริง มันเป็นข้อเท็จจริงของจิตดวงนั้นที่ต้องฝึก ข้าวทัพพีเดียวนี่มีค่ามาก คนจนนี่ข้าวทัพพีเดียวมีค่ามาก เวลาหุงข้าว ข้าวปากหม้อเนี่ยเอามาใส่บาตรพระ เพราะอะไร เพราะมันฝึกใจไง เสียสละเป็นประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ เช้ามาจะตักบาตรๆ จนเป็นเรื่องเคยชินเหมือนสวดมนต์นี่ ถ้าใครสวดมนต์ทุกวันๆ ไม่สวดถือว่าไม่ทำอะไรนะ ตักบาตรทุกวันๆ เนี่ยมันฝึกจิต

ทาน ศีล ภาวนา มันเป็นอุบายของพระพุทธเจ้านะ โธ่ ตักบาตรๆ ตอนเช้าไม่เห็นหรือ ว่ามันล้นมาเท่าไร่ แต่เพราะอะไรล่ะ เพราะศรัทธาของเขา เพราะความพอใจของเขา สิ่งนี้เป็นสิทธิของเขา แล้วพระนี่มันเป็นที่รองรับ เราจะโต้แย้งสิทธิของเขาได้ไหม เพียงแต่เราจะบริหารอย่างไรเท่านั้นเอง ว่าสิ่งที่เขามาทำบุญ เราจะบริหารอย่างไรให้มันสมดุล ให้มันไม่เสียหาย แต่มันสิทธิของเขา

นี่พระพุทธเจ้าวางไว้บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ถ้าเราเข้าใจตามสิทธิ์ ตามข้อมูล ตามทุกข์ตามสุขว่างั้นเลย ตามหัวใจที่มันเป็นจริง ทานเราเสียสละออกไป แล้วการเสียสละออกไปเนี่ยเราเสียสละเพื่อฝึกเรา แต่มันได้ประโยชน์ที่ว่าเห็นไหม พระไม่มีอาชีพ พระดำรงชีวิตด้วยปลีแข้ง พระดำรงชีวิตด้วยปลีแข้ง คือการบิณฑบาต การบิณฑบาต สัมมาอาชีวะบริสุทธิ์ผุดผ่องมาก

เราไปร้านอาหารสิ อาหารหมดก็ไม่ได้กิน ไปถึงแล้วเราไม่ได้จองก็ไม่ได้กิน แต่ถ้าเราบิณฑบาตเนี่ยนะ มีไม่มีไม่สำคัญ เราไม่ได้ขอใคร นี่สัมมาอาชีวะ ถ้าเขามีเจตนาบริสุทธิ์ เขาอยากทำบุญเขาอยากใส่บาตรเห็นไหม วันนี้อยากใส่บาตร เนี่ยเพราะของเขา ถ้าไม่มีพระเขาทำบุญได้ไหม เขาทำบุญไม่ได้ เพราะมีพระไปรับของเขามา เขาถึงได้ทำบุญของเขา

แล้วพระนี่ฉันของเขาแล้ว ได้ของเขามาแล้วทำเพื่ออะไร ดำรงชีวิตๆ ไว้เพื่อทำไม เพื่อประพฤติปฏิบัติ เนี่ยบริษัท ๔ เห็นไหม ศาสนานี่บริษัท ๔ จะตรวจสอบกันเองไง ถ้าเรามาอยู่กับพระนี่ พระนี่อยู่บ้านเรา แล้วพระนี่ทำตัวเหลวไหลมากเลย เราจะใส่บาตรไหม ถ้าพระนี่อยู่บ้านเรา แล้วทำตัวดีมากเลย โอ้โฮ เราก็รักมากเลย เราก็พอใจมากเลย นี่มันตรวจสอบกัน สังคมมันตรวจสอบกัน ตรวจสอบนี่เรื่องสังคมนะ เรื่องสังคมเป็นวัตถุ

แล้วเรื่องของหัวใจล่ะ หัวใจเราได้ของเรา เราได้เสียสละ เราฝึกเราเสียสละ จิตนี่ ทาน มันควรแก่การงาน คนเราเสียสละ คนเรามันไม่ตระหนี่ถี่เหนียวนี่ จิตมันเป็นสาธารณะนะ อยู่กับหมู่คณะก็ดี อยู่กับสิ่งต่างๆ มันจะดีขึ้นมา แล้วถ้ามันได้ปฏิบัติ มันจะเป็นประโยชน์ของมันมาก นี่เป็นเรื่องส่วนบุคคลเรื่องของใจ

เรื่องของใจเรานะ ใจของเรา เรารักษาของเรา เราพัฒนาการของเราจะเป็นประโยชน์กับเรา ใจคนอื่นก็เรื่องของใจคนอื่น นี่เรื่องของศาสนา แล้วเราเกิดมาพบมาเป็นชาวพุทธ ถ้าเห็นคุณค่าของมันนะ ศาสนาไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ศาสนาเป็นของคู่ควรกับจิตใจมนุษย์ จิตใจเทวดา จิตใจสัตว์โลก อย่างวัตถุนี่วัตถุมันต้องเสื่อมสภาพ หลวงตาบอกว่านกต้องมีรวงรัง เราอาศัยแค่เป็นรังนอนเท่านั้น เราไม่ได้เอาคุณงามความดีจากมัน

คุณงามความดีเกิดจากจิตเรา แต่นี่เป็นเพียงเครื่องอาศัย เครื่องแสดงออก ไม่ไปติดมัน ถ้าใครไปติดมันไปไม่รอด อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้เห็นไหม เริ่มต้นเลยบ้านหลังใหญ่นะ สู้เราไม่ได้ก็แล้วกันล่ะมึง กูอยู่โคนไม้กูสุขกว่าเยอะเลย กูไม่ต้องรับผิดชอบ ใครอยู่หลังใหญ่เอาตามสบาย นี่ถ้าเรามีเป้าหมายอย่างนี้ เราไม่เห่อเหิมเกินไป เราไม่มีไฟเผาใจมากเกินไป

ไฟของเรานี่นะ ไฟในการทำงานของเรา เพื่อชีวิตเรา แต่อย่าให้มันเผาผลาญเรา คนไม่มีไฟไปทำงานได้อย่างไร มันต้องมีไฟ แต่ไฟที่เห่อเหิมนั่นคือกิเลส แต่ไฟหน้าที่ไม่ใช่กิเลส คนเกิดมาต้องมีหน้าที่ ต้องมีหน้าที่ต้องมีการงานเอาตรงนี้ คืออย่าให้กิเลสมันสวมรอย ความคิดของคนมีอยู่แล้ว สัจจะความจริงมันมีอยู่แล้ว แล้วกิเลสอาศัยตรงนี้แหละ อาศัยสิ่งที่เป็นความจำเป็นนี่แหละ แล้วมันออกหน้า เวลาพระพุทธเจ้าสิ้นกิเลสนะ มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา บัดนี้เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดในหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย ความดำริกับเจตนา ความคิดมันต้องดำริก่อน พอดำริมารก็เกิด มันเกิดมาพร้อมกับความตั้งใจออกมา แล้วมันก็เสริมเรามา

แต่ถ้าเราเป็นหน้าที่นะ คนเกิดมามีปากมีท้อง ตามธรรมเนี่ยบอกว่าเราเกิดมา เราเป็นญาติกันหมดเลย เป็นญาติกันโดยธรรม เพราะต้องกินต้องใช้ เป็นญาติกันเพราะมีหนึ่งปากหนึ่งท้องเหมือนกัน คนเกิดมาทุกคนมีหนึ่งปากและหนึ่งท้อง ทุกคนต้องแสวงหาทั้งนั้น แล้วบอกพระนี่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งๆ นี่ก็เป็นสิทธิของพระไง สิทธิ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม ที่พระพุทธเจ้าวางระเบียบไว้

เรายังบอกเลยถ้าพระคนไหนลืมตัวเห็นไหม เราเป็นพระเขาไม่ศรัทธา เอ้า ก็มึงนุ่งกางเกงไปบิณฑบาตเขาจะใส่มึงไหม เราเชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ได้เชื่อมึงนะ เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ถ้าเราเชื่อเนี่ยถึงว่าไม่ใช่ของใคร ผู้ที่ปฏิบัติได้ก็เป็นคนดีไป ผู้ที่ปฏิบัติไม่ได้ เขาก็ยังทำความดีอยู่ เขาก็มีโอกาสไปข้างหน้า ของเรา เราเป็นชาวพุทธ เราเห็นศาสนานี่เป็นคุณประโยชน์ แล้วเรานี่เห็นไหม

หมั่นสวดมนต์สวดพรอย่างน้อยๆ หลวงตาพูดบ่อยนะว่าพุทโธเนี่ย พุทโธๆๆ เนี่ยพลังงานนะ จิตเป็นพลังงานนะ ตอนนี้คิดถึงบ้านสิ คิดนี่กลับแล้ว ๔-๕ รอบ จิตเป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด แล้วเอามันอยู่ได้นะ มีความสุขมาก นี่คำว่าพุทโธนี่ พุทโธคำหนึ่ง จิตมันก็อยู่ที่พุทโธคำหนึ่ง พุทโธๆๆๆ จิตมันก็อยู่มากขึ้นๆ เห็นไหม นี่สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด แล้วให้มันอยู่นิ่งที่สุด พลังงานมันจะมีมากที่สุด มันจะชำระตัวมันเองได้ง่ายที่สุด

นี้คนไปบอกเดี๋ยวนี้ไม่ต้องภาวนา สมถะไม่ต้อง อะไรไม่ต้อง เราค้านมาก เราค้านมากเพราะอะไรรู้ไหม เราค้านมากเหมือนลูกศิษย์ลูกหาเรา หรือลูกหลานเรานี่บอกไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องทำอะไรเลย กูเลี้ยงมึงตลอดชีวิตเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีพุทโธ จิตมึงไม่ตั้งมั่น มึงไม่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ขี้เมาทำอะไรไม่ได้ ธรรมเมาไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะต้องมีสัจจะ ธรรมะต้องมีความจริง ธรรมเมามันไม่ทำมันก็เมาอยู่แล้ว แล้วมันจะมาให้เราเมาอีกนะ ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ โทษนะ ไม่เชื่อมึงหรอกกูเชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ แต่เขาบอกทางนั้นลัดสั้น ทางนั้นสะดวกสบาย สะดวกสบายของใคร เราจะบอกว่า มันเอากิเลสมาล่อกิเลสไง

โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ กิเลสของทุกคน เขาก็ปรารถนาแต่ความสะดวกสบายอยู่แล้ว แล้วเขาก็ไปเอาความสะดวกสบายนั้นมาล่อ จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก จะสะดวกสบายขนาดไหน มีต้นทุนทั้งนั้นล่ะ ชีวิตเราก็มีต้นทุน มีต้นทุนนะไม่ได้สร้างบุญกุศลมา ไม่ได้สร้างอะไรมา ทำไมคนเกิดมาอายุสั้น อายุยืน คนเกิดมามีความสะดวกสบาย คนเกิดมาต้องปากกัดตีนถีบ

แม้แต่พระก็เหมือนกัน ปฏิบัติง่าย ปฏิบัติยาก พระองค์ไหนปฏิบัติแล้ว ต้องกระเสือกกระสนไป พระองค์ไหนปฏิบัติแล้ว โอ้โฮ คล่องตัวมาก ต้นทุนของเขา เราจะไปเปรียบเทียบได้ยังไง ก็ต้นทุนของเขา นี่นั่งอยู่นี่ ก็ต้นทุนของส่วนตัวทั้งนั้นล่ะ แล้วจะไปเดือดเนื้อร้อนใจทำไม นี่ธรรมะมันทำให้เราสงบเห็นไหม ก็ต้นทุนของเขา นี่ต้นทุนของเรามีแค่นี้ มีแค่นี้ก็ต้องขวนขวายของเรา

ธรรมะสอนอย่างนี้เห็นไหม แล้วพระพุทธเจ้าสอนให้เอาชนะตนเอง ชนะศึกใดหมื่นแสนคูณด้วยล้านนะ มีเวรมีกรรมกันหมด ผู้แพ้ก็ต้องมีความเจ็บช้ำน้ำใจ ผู้ชนะก็ฮึกเหิม เวรกรรมทั้งนั้นล่ะ แต่ชนะเราแล้วนะ เรามีมากมีน้อยเราก็เจือจาน มีน้อยก็ให้น้อย มีมากก็ให้มาก ไม่มีเราก็ช่วยตัวเองก่อน สังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ ถ้าเห็นกับตรงนี้ แล้วบอกศาสนาสอนให้โลกไม่เจริญ ไม่จริง ศาสนาสอนให้โลกเจริญ ความเพียรชอบ พระพุทธเจ้าสอนให้มีความเพียรชอบ คนที่เป็นผู้บริหารก็ต้องมีคุณธรรมแล้วบริหารใช่ไหม ผู้น้อยก็มีหน้าที่ความเพียรชอบ ทุกคนทำเพียรชอบ ทุกคนทำหน้าที่ถูกต้องดีงาม สุขมากนะ สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขมาก

เรายังบอกว่า เราพูดบ่อย พวกเรามาเกิดนี่ ดูสิอย่างในหลวงเรานี่ ๖๐ กว่าปีนี่ประเทศไทยนี่ จุ๊ๆๆ ผู้นำที่ดี ร่มโพธิ์ร่มไทรไง มันปกป้องพวกเราได้นะ ถ้าไม่มีใครปกป้องเรานะ ก็ดูประเทศข้างเคียง ประเทศข้างเคียงก็ชาวพุทธเหมือนกัน เขมรก็พุทธนะ เขาฆ่ากันทีนึงนะล้างเผ่าพันธุ์เลย พุทธเหมือนกัน

แต่ผู้นำร่มโพธิ์ร่มไทรไง เราเกิดใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรที่ไหน ถ้าคิดเป็นนะ ถ้าคิดเรื่องนี้ได้นะ มันจะซึ้งมากเลย เพราะว่าท่านก็สร้างคุณสมบัติของท่านมาเยอะมาก ถ้าไม่ได้สร้างมาเยอะ ผู้บริหารขึ้นเป็นนายก ๒ วัน ผมขาวเลย นี่บริหารมา ๖๐ ปี เป็นนายก ๒ วันเท่านั้นล่ะ เครียดตายแล้ว แล้วนี่เป็นอย่างนี้มา ๖๐ ปี คิดสิ ถ้าคิดอะไรเป็นนะ เราจะเห็นคุณค่า เราคิดแล้วเรามองแล้ว มันเห็นว่าบุญพาเกิด ชีวิตหนึ่งแล้วเราจะสร้างตัวเรานะ ทำความดีเพื่อเรา ประโยชน์เพื่อเราเนาะ เอวัง