เทศน์เช้า วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
โลกเขาว่ากันนะ ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ชีวิตคนเราเกิดมานี่มหัศจรรย์มากนะ การดำรงชีวิตนี่มันเกิดมามันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มันเป็นเหนือวิทยาศาสตร์ เพียงแต่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ คำว่า พิสูจน์ไม่ได้ หมายถึงว่าโรคภัยไข้เจ็บบางอย่าง เห็นไหม มันพิสูจน์ไม่ได้ มันเกิดขึ้นมาแล้วพิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์สิ่งนั้นไม่ได้ก็พิสูจน์จิตวิญญาณไม่ได้
ความมหัศจรรย์ของชีวิตมันมหัศจรรย์มาก แต่ความมหัศจรรย์อย่างนี้มันเป็นสิ่งเป็นธรรมชาติ มันมีอยู่โดยธรรมชาติโดยที่เราเห็นกันทุกวัน เห็นไหม เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นอยู่ทุกวัน ความเป็นที่มหัศจรรย์เลยกลายเป็นของปกติไป จนมีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันเป็นสิ่งที่สะเทือนใจมาก
แล้วมีธรรมะไง ธรรมะสะเทือนถึงว่าธรรมะพิจารณาสิ่งนั้นให้แจ้งตอบว่าสิ่งที่มหัศจรรย์กว่าคือการเกิดมาแล้วตายแล้วไม่เกิดอีก เห็นไหม มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันต้องมีสิ่งที่ตรงกันข้าม สิ่งที่ตรงกันข้ามคือว่าการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ถ้าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นเจอสิ่งนี้ ถึงเอาสิ่งนี้มาวางเป็นธรรมไว้สั่งสอนพวกเรา พวกเราเป็นสัตว์โลก เห็นไหม เป็นสาวก สาวกะ เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากธรรมอันนี้ไว้ ธรรมอันนี้ฝากไว้
เวลามารดลใจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วสอนสาวกต่างๆ ให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายเป็นมหาศาลเลย จนพญามารทนไม่ไหว พยายามให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน คือให้ตายไปก่อน คือว่าไม่ให้รื้อสัตว์ขนสัตว์มากเกินไปกว่านั้น ไปดลใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกายังไม่สามารถกล่าวคำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้...
ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ คือว่าไม่มีหลักธรรมในหัวใจ ถ้ามีหลักธรรมในหัวใจจะสามารถกล่าวแก้ต่างๆ ได้ สิ่งที่มหัศจรรย์ต่างๆ ในโลกนี่มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่มหัศจรรย์ในหัวใจมันสำคัญมากกว่า ถ้ามันเข้าใจมีหลักแล้วมันจะกล่าวแก้สิ่งนั้นได้ จนถึงวันมาฆบูชา เผยแผ่ธรรมจนศาสนานี้มั่นคง
มารเอย อีก ๓ เดือนเราจะปรินิพพาน เพราะบัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงต่างๆ ได้ ศาสนาเรามั่นคงแล้ว
มั่นคงในศาสนา เห็นไหม ในครั้งพุทธกาลศาสนามั่นคงเพราะผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วสมควรแก่ธรรม ภายในหัวใจมีหลักธรรมขึ้นมา มันสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วง มันสามารถกล่าวแก้กิเลสของหัวใจของเราก่อน ถ้ามันไม่สามารถกล่าวแก้กิเลสในหัวใจของเราได้ กิเลสนี่มันกล่าวของมัน เห็นไหม มันกล่าว มันคิด มันพิจารณา มันวิตกวิจาร มันคิดออกไปเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดเลย แล้วเราเกิดมากับกิเลสมันต้องแก้ตรงนี้ ปลดตรงนี้ได้ก่อน
ถ้ามันปลดเรื่องกิเลสในหัวใจของเราได้ ทำไมเรื่องอื่นเราจะไม่เข้าใจ มันสามารถ เห็นไหม มันเกิด-ดับในหัวใจของเรา
ถ้าหัวใจของเรามีความเกิด-ความดับในเรื่องนี้ในหัวใจของเรา เราแก้อย่างนี้ได้ ใจดวงอื่นมันก็เหมือนอันนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน พระสารีบุตรไม่เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เชื่อธรรมในใจของพระสารีบุตรเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า ถูกต้อง
เวลาผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้ว สัจธรรมอันนี้มันกังวานเหมือนกันหมดเลย มันมีความบริสุทธิ์เหมือนกัน ถ้าความบริสุทธิ์ไม่เหมือนกันมันจะพ้นจากกิเลสไปไม่ได้ นี่กล่าวแก้กิเลสในหัวใจของเราแล้ว กิเลสในหัวใจคนอื่นมันก็มีความลังเลสงสัยอย่างนี้ มันคิดออกมา
อาหารของร่างกาย ความมหัศจรรย์ของชีวิตมันต้องการมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก มีออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงหัวใจ หล่อเลี้ยงสมอง หล่อเลี้ยงส่วนประสาทต่างๆ เห็นไหม มีอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย นี่มหัศจรรย์อย่างนี้ เวลาตายไปแล้วความมหัศจรรย์ของร่างกายมันก็มีอยู่ แต่คนไม่เห็นความมหัศจรรย์ของใจ ใจเวลามันเกิดมันตายขึ้นมา มันทุกข์ร้อนขนาดไหน
อาหารของร่างกาย ความสืบต่อของร่างกาย อาหารของใจ อย่างเช่นเราทำบุญกุศลอยู่นี่เพราะอะไร? เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงมาทำบุญกุศลของเรา เพราะบุญกุศลเป็นอาหารของใจ ความพอใจ ความสุขใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก บุญกุศลคือในครอบครัวของเรา มีความยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข
ความสุข บุญคือความสุขนะ บุญไม่ใช่สิ่งที่ว่าเราแสวงหากันต่างๆ อันนั้นเป็นเครื่องอยู่อาศัยไม่ใช่บุญกุศล แต่มันอาศัยอำนาจของบุญกุศลเกิดขึ้นมา เช่น! เช่นคนประสบความสำเร็จในชีวิต คนประสบความสำเร็จนี่เขาทำของเขามา ทำงานเหมือนกัน บางคนถูๆ ไถๆ ไป มีความทุกข์ความยากไปตลอดชีวิต บางคนทำประสบความสำเร็จในชีวิต บางคนลุ่มๆ ดอนๆ ไป นี่บุญกุศลพาให้เป็นไป
ถ้าเราสร้างบุญกุศลของเราขึ้นมา เราสะสมของเราขึ้นมา มันเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วคนเราก็มีการทำดีทำชั่วมาปนเปในชีวิต ในชีวิตเราถึงว่ามีลุ่มๆ ดอนๆ เพราะว่ามันปนเปมา เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ มีความเป็นอย่างนั้นตลอดไป แล้วมีความทุกข์ตลอดไป บุญกุศลมีประโยชน์อย่างนั้น เราถึงต้องพยายามทำบุญกุศลขึ้นมาไง สร้างบุญสร้างกุศล
การสละออกไป ภิกษุ เห็นไหม ภิกขาจาร บิณฑบาตไปด้วยปลีแข้ง แล้วเรามีความตั้งใจ ภิกษุบิณฑบาตไป เราไม่สนใจ บุญเราก็ไม่ได้ ถ้าเราสนใจของเราขึ้นมา เราแสวงหาของเราขึ้นมา แสวงหานี่มาจากไหน? มาจากพลังงานของเรา มาจากบุญกุศลของเรา มาจากเงินทองของเรา แล้วเราสละออกไปเป็นบุญกุศลของเราไหม? เป็นบุญกุศลของเรา ชีวิตนี้ดำรงด้วยปลีแข้ง ภิกษุดำรงด้วยปลีแข้ง เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของภิกษุนั้น เรามีเจตนา เรามีความต้องการ เรามีความบุญกุศลขึ้นมา เราตั้งใจของเราขึ้นมา บริสุทธิ์ไหม? บริสุทธิ์ เห็นไหม
สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ เลี้ยงชีวิตชอบด้วยปลีแข้งไง บิณฑบาตไป เขาจะให้หรือไม่ให้เรื่องของเขา ในลัทธิศาสนาต่างๆ เขามีมากมายไป ในหัวใจของสัตว์โลกมีสูงมีต่ำมากมายไป เราเจอคนจะไม่ให้ก็เรื่องของเขา ให้ก็เรื่องของเขา นี่เลี้ยงชีวิตด้วยปลีแข้ง เราเลี้ยงชีวิตด้วยสัมมาอาชีวะของเรา อาชีวะของเรา เราแสวงหาของเราขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมา นี่เลี้ยงชีพขึ้นมา นี้เลี้ยงชีพจากการแสวงหาให้ร่างกายนี้เลี้ยงชีพ
แต่เลี้ยงชีพหัวใจล่ะ? หัวใจทุกข์ร้อนขึ้นมา เวลามันทุกข์ร้อน มันเร่าร้อนขึ้นมา เราเอาอะไรแก้ไขมันถ้าไม่มีบุญกุศล?
มีบุญกุศลขึ้นมา อย่างเช่นวันนี้มาทำบุญตักบาตร เห็นไหม แล้วปัจจุบันนี้ฟังธรรม ธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง
เราก็แสวงหา เวลาเราไม่เข้าใจนะ เวลาทุกข์เราก็บ่นไปๆ เราทุกข์ยากๆ แต่เวลาถ้ามันมีปัญญา มันรู้ทันขึ้นมา ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้กำหนดไว้ ทุกข์นี้เกิดเพราะอะไร? ทุกข์นี้เกิดเพราะความเราไม่ยอมรับ ตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม อยากให้มันดับ อยากให้มันไม่มีกับเรา มันเป็นไปไม่ได้
เวลามีความสุขขึ้นมา อยากให้มีกับเรา มันเป็นที่ตัณหาความทะยานอยาก กำหนดทุกข์แล้วไปละที่ตัณหา ละที่สมุทัยไง ละสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ละสิ่งที่ความยึดมั่นถือมั่น แต่มันละไม่ได้เพราะมันไม่มีการศึกษา ไม่มีการประพฤติปฏิบัติ
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติสิ่งนี้เราจะละได้ ละได้เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันจะเห็นโทษของมันไง เห็นโทษตรงไหน? ไม่ใช่เห็นโทษที่มันจะทำร้ายเรานะ เห็นโทษที่มันไม่จริง แต่เราอาศัย
ใจเรานี่เหมือนน้ำ น้ำนี่มันต้องอาศัยสิ่งภาชนะ มันถึงจะบรรจุตัวมันเองได้ น้ำมันอยู่ตัวมันเองไม่ได้ มันต้องไหลสภาพไป ถ้าไม่มีสิ่งใดบรรจุมันไว้ มันจะไหลไป สภาวะของใจก็เป็นแบบนั้น เห็นไหม ใจมันเป็นความรู้สึกเป็นความนึกคิด แล้วอะไรเป็นภาชนะรับมัน? ต้องเอาสติสัมปชัญญะยับยั้งไว้ ยับยั้งให้ใจขึ้นมา ใจมันยืนขึ้นมาได้ มันจะเริ่มแก้ไขขึ้นมา
ถ้าใจมันพัฒนาขึ้นมา มันยืนขึ้นมาเป็นความสงบบ่อยครั้งเข้าๆ จนเป็นเอกัคคตารมณ์ จนยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาคือปัญญาไง ปัญญาของโลกปัญญาการประกอบอาชีพ ปัญญานั้นเป็นปัญญาโลกียะ เป็นปัญญาเรื่องของโลกเขา
ปัญญาในการภาวนามยปัญญา ปัญญามันจะเกิดขึ้นมาจากว่าความสลดสังเวชไง สลดสังเวชว่าสิ่งนี้มันเป็นไปอย่างนี้ มันมหัศจรรย์ ชีวิตนี้เป็นความมหัศจรรย์มาก แล้วมันต้องขับเคลื่อนไปแบบนี้โดยธรรมชาติของมัน มีการเกิดการตายโดยธรรมชาติของมัน ไม่ต้องไปทุกข์กังวลเลยว่าเราประพฤติปฏิบัติ แล้วเราดับกิเลสไปแล้ว เราไม่เกิดอีก โลกจะไม่มีสัตว์นะ
มีมหาศาล! สัตว์โลกยังรอเกิดรอตายอีกมหาศาลที่ไม่ได้เกิด เราเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์เพราะบุญกุศลพาเกิด บุญกุศลของเราพาเกิดขึ้นมาแล้วเจอพระพุทธศาสนาด้วย แล้วได้ประพฤติปฏิบัติด้วย บุญกุศลมันหลายชั้นหลายอำนาจวาสนา
เหมือนกับคนเป็นโรคแล้วเขาไม่มียารักษา เขาจะแสวงหาขนาดไหน เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่มียารักษาโรคของเขา แต่อันนี้เรามีกิเลสในหัวใจ แล้วเรามีธรรมไง คือยา คือโอสถ ธรรมโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราเชื่อขึ้นมา เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อเป็นยารักษาโรค โรคเกิด โรคแก่ โรคเจ็บ โรคตาย
นี่มันถึงเข้าที่ว่าเกิดมาพบพระพุทธศาสนา มันถึงเป็นผลอันประเสริฐไง มันถึงเป็นบุญกุศลเพราะอะไร? เพราะเราเกิดมาแล้วเราพบยาไง พบยาที่เราจะสามารถชำระการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เรามียาอยู่ แต่เราจะกินยานั้นหรือไม่กินยานั้น
เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาถึงเป็นอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย พบพระพุทธศาสนาด้วย แต่ถ้าไม่สนใจ ไม่ใฝ่ใจ พุทธศาสนาก็อยู่ของพุทธศาสนาเฉยๆ เราก็อยู่ส่วนเรา ไม่เกี่ยวกัน
แต่ถ้าเราสนใจขึ้นมา เราต้องไปเกาะเกี่ยว เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราโน้มเหนี่ยว เห็นไหม โน้มเหนี่ยวธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นธรรมของเรา ถ้าเป็นธรรมของเราขึ้นมา ธรรมของเราเกิดขึ้นมาในหัวใจ มันชำระล้าง
ยาอันนี้รักษาโรคไปจนใจนี้มันผ่องแผ้ว มันดับกิเลสหมด มันไม่มีความลังเลสงสัยในใจเลย ใจนี้ดับสิ้นหมดเลย มันเข้าใจเรื่องของความเกิดความตาย เข้าใจเรื่องสมมุติบัญญัติทั้งหมดเลย นี่แก้กิเลสของตัวเองได้ แล้วทำไมจะกล่าวแก้ความเข้าใจผิดของคนอื่นไม่ได้
คนอื่นเข้าใจผิด เข้าใจเรื่องชีวิตนี้ผิดพลาดตลอดไป ว่าชีวิตนี้มันต้องประสบความสำเร็จทางโลกแล้วมันจะเป็นผลสำเร็จ...
มันชั่วคราว มันชั่วคราวเท่านั้น จะมีความสุข-ความทุกข์ถ้าเรามีธรรมของเราขึ้นมาในหัวใจ มันเป็นเรื่องความจริง ความจริงว่าจะไม่ต้องมาเกิดมาตายอย่างนี้อีก
เกิด-ตายนี่ทุกข์ไหม? ทุกคนถามตัวเองก่อนว่าทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์ แล้วถ้าไม่เกิดไม่ตายมันจะมีประโยชน์กว่านี้ไหม? แล้วไม่เกิดไม่ตายแล้วไปไหนล่ะ?
ไปที่ๆ มันอยู่ไง ไปที่มันมี ไม่ต้องว่าไม่เกิดไม่ตายแล้วเราจะไม่มีสภาวะ เราจะไม่เหมือนเขา เราจะไม่มีความรับรู้เหมือนคนอื่น...
ไม่ต้องไปคิด เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสาวกตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มาอนุโมทนาด้วยนี่มาจากไหน?
นี่ส่องดูสัตว์โลก เข้าใจสัตว์โลก แล้วรู้ตามความเป็นจริงของสัตว์โลก แล้วยังอนุโมทนากับผู้ที่หาทางออก ผู้ที่เข้าใจเรื่องความสว่างไสว ผู้ที่เข้าใจเรื่องความสะอาดของใจ ใจสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม กลิ่นของศีลของธรรมมันจะมีความหอมหวนมาก แต่ถ้าใจสกปรก ใจคิดอกุศลขึ้นมา มันคิดแล้วมันเบียดเบียนตนเองแล้วเบียดเบียนคนอื่น มันเป็นสิ่งที่ว่ามันไม่สะอาดแล้วมันเป็นเบียดเบียนกับเราด้วย
ธรรมเป็นแบบนั้น แล้วมีในหัวใจของเรา ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อนุโมทนาด้วยล่ะ?
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ในอดีตต่างๆ เห็นไหม มาอนุโมทนากับผู้ที่สำเร็จ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อนุโมทนาสิ่งนั้นในหัวใจ นั่นน่ะมีอยู่สิ่งนั้น สิ่งนั้นถึงมีอยู่ไง ไม่ต้องว่าเราประพฤติปฏิบัติแล้วเราจะไม่รับรู้ ไม่มีโอกาสรับรู้เหมือนเขา...
มีโอกาสรับรู้ แล้ววางไว้ตามความเป็นจริง แล้วไม่เอามาเป็นทุกข์ในหัวใจด้วย มีความสุขล้วนๆ ในหัวใจ นี้คือยารักษาโรคในใจ นี่มหัศจรรย์อย่างนั้น
ชีวิตมหัศจรรย์ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหัศจรรย์กว่าเพราะอะไร? เพราะส่องชีวิตนี้ทะลุหมดเลย นั่นน่ะคือสิ่งที่มีอยู่ แล้วเราจะเอาสิ่งนั้นมาเป็นสมบัติของเราไหม? ถ้าเอานี้เป็นสมบัติของเรา เอวัง