เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ เม.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรม ต้องฟังธรรมนะ การฟังธรรมมันเป็นการชำระจิตใจ จิตใจเราขุ่นมัว จิตใจเราไม่เข้าใจเรื่องสภาวธรรม เรื่องสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจากใจของเราเองนะ เราก็ไม่เข้าใจ ที่เราไม่เข้าใจเพราะว่าเราไม่เคยเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง ธรรมเป็นจริงนั้นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นความจริง จริงคือมันชำระหัวใจได้ หัวใจมันจะมีความสดชื่น มีความสุขของมัน มีความสุขของใจ

แต่พวกเรานี่ใจลุ่มๆ ดอนๆ มีความสุขชั่วคราว ความสุขเพราะเราพอใจ เราพอใจสิ่งใดเราก็มีความสุขสิ่งนั้น แต่ถ้าเราไม่พอใจสิ่งใด เราก็จะขัดใจมาก เวลาเราขัดใจ ไอ้ตรงขัดใจนี่เราแก้ไขไม่ได้

แต่ตรงที่เราพอใจ เห็นไหม บุญกุศลเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีเกิดความสุขขึ้นมา คนเรานี่ใฝ่ดี มีความใฝ่ดีทุกคน อยากมีความดี อยากทำคุณงามความดี แต่คุณงามความดีของเรามันเป็นคุณงามความดีของเรา

ดูสังเกตโลกได้ไหม? โลก เห็นไหม ผู้ที่ไม่สนใจในศาสนาก็มีมากมาย ผู้ที่สนใจในศาสนาก็มี ผู้ที่เข้าไปประพฤติปฏิบัติก็มี ส่วนนี้มันเป็นยอดเรียวแหลมเล็กไปเรื่อยๆ เพราะมันมีส่วนน้อยเข้าไปเรื่อย

การประพฤติปฏิบัติธรรม การทำสมาธินี้แสนยาก แสนยากนะ ทำสมาธิสงบขึ้นมา แต่การรักษาไว้ยากกว่า เหมือนชีวิตมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เพราะอะไร? เพราะว่าสัตว์นะ จิตวิญญาณแสวงหาที่เกิดมีมหาศาลเลย แต่เกิดไม่ได้สมใจปรารถนาเพราะว่าเขาไม่มีบุญกุศล

บุญกุศลคือศีล ๕ ไง มีศีล ๕ มนุษย์สมบัติ ถ้ามนุษย์สมบัติจะเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา แล้วเกิดเป็นมนุษย์แล้วเกิดในประเทศอันสมควร เห็นไหม คือมีศาสนธรรม ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนคือพิธีการ สิ่งที่มีพิธีการคือมียา โลกถ้ามียาก็มีเยียวยาได้มันก็มีความหวัง ถ้าโลกไม่มียามันก็ไม่มีความหวัง

สิ่งที่ว่าเขาแสวงหากันไปนะ เขาเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนาก็ดำรงชีวิตไป แล้วก็ต้องชีวิตแกนๆ ไปอย่างนั้น แต่การศึกษา โลกเดี๋ยวนี้มันเป็นไปได้ไวมาก เห็นไหม ฝรั่งเขามาบวชมากเพราะอะไร? เพราะเขาศึกษาธรรม ศึกษาในตำรับตำราแล้วมันน่าสนใจ

แต่ของเรามันมีตำราอยู่ แล้วเราใกล้อยู่กับศาสนา แต่เราห่วงชีวิตของเรามากเกินไป เราห่วงชีวิตของเรา ห่วงความเป็นไปของชีวิต ชีวิตนะต้องมีความสำเร็จในชีวิต ชีวิตเราเกิดขึ้นมาแล้วต้องมีหน้าที่การงานสมความหน้าที่การงานขึ้นมา เราห่วงตรงนั้น

สิ่งที่ตรงนั้นมันเป็นจุดใหญ่ เราถึงทำตรงนั้นปั๊บ เราเลยมองข้ามหัวใจไง ทุกคนเรื่องของวัตถุ เรื่องของการอาศัยของใจ ปัจจัยเครื่องอยู่อาศัยสำคัญที่สุด การเทียมหน้าเทียมตาของสังคมโลก โลกเรานี่เทียมหน้าเทียมตา มันเป็นความสมมุติของโลก

โลกเรา เห็นไหม มนุษย์เรานี่เกิดมาปั๊บ มนุษย์นี่ฉลาด ฉลาดขึ้นมาสร้างกติกาสังคมขึ้นมา กฎหมายต่างๆ บัญญัติขึ้นมา แล้วเราก็ติดกติกาของสังคม ความเสมอภาคของมนุษย์ ความเป็นไปของมนุษย์ ความคิดอย่างนั้นมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เราไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือมองข้ามภาวะของใจไป มองข้ามเรื่องของหัวใจของในร่างกายเรา ว่าความจริงความสุขความทุกข์อันนี้มันเป็นภายใน

คนสังคมจะเทียมหน้าเทียมตาขนาดไหน ถ้าเราทุกข์เราก็ทุกข์ของเรา เราเทียมหน้าเทียมตาจนเกินหน้าเกินตาเขาไป ถ้ามีความทุกข์ก็ทุกข์ของเรา ถ้ามีความสุขก็สุขของเรา สุขประสาโลก เห็นไหม โลกนี้ให้มีความสุขพอเจือจานกันไปตามประสาโลก เกิดขึ้นมาพอสมหวัง หวังแล้วสมหวังก็เป็นความสุขความสมหวัง

แต่ความสมหวังนั้นเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งนั้นไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มีความพึ่งพาอาศัยได้เลย แต่สิ่งที่เป็นนามธรรม เห็นไหม หัวใจของเรามันจะพึ่งพาอาศัยได้เพราะมันปล่อยวางต่างๆ มันมีความเกิดดับขึ้นมา มันทำให้มีความทุกข์ขึ้นมา การเกิดดับทำให้ยึดมั่นถือมั่น

สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นนี่เพราะใจมีความต้องการ ใจรับรู้ นี่ดูใจ แต่สิ่งที่มันเข้าไปรู้สภาวะตามความเป็นจริง มันปล่อยวางขึ้นไป ปล่อยวางการเกิดดับ แต่สภาวะรู้มันมีอยู่ สภาวะรู้สิ่งที่มีอยู่ เห็นไหม

ผู้ที่ทำงานเสร็จแล้ว งานเสร็จแล้ว ทำงานเสร็จแล้วเหมือนเราทำงานบ้าน ถ้างานเสร็จแล้วเราจะมีความสบาย แต่ก็ต้องทำใหม่ตลอดไป แต่ในหัวใจถ้าทำมันเสร็จแล้ว มันเสร็จสิ้นไปเลย การเกิดดับนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เราไม่เอามัน มันเป็นสภาวะที่มีผ่านไปผ่านมา ผ่านไปผ่านมาแต่ไม่มีภวาสวะ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสิ่งเกาะเกี่ยวไง

สิ่งที่เป็นอารมณ์ก็ผ่านไปผ่านมา สิ่งนี้มีอยู่ ถ้าเรายังไม่ตาย สิ่งนี้มีอยู่ ถึงว่าเป็นภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นอยู่ สิ่งที่มีอยู่คงที่ของมัน สิ่งที่มีอยู่คงที่ คงที่ในสภาวะของมนุษย์นะ ถ้าตายไปแล้วสถานะมันเปลี่ยนไป ขันธ์ก็เปลี่ยนไป การเปลี่ยนสถานะ เป็นเทวดาก็ขันธ์ ๔ เห็นไหม ขันธ์ ๕ ร่างกายของมนุษย์ไม่มีแต่มีร่างกายทิพย์ ขันธ์ ๕ ก็ได้ ขันธ์ ๔ ก็ได้ เป็นพรหมขึ้นมาขันธ์ ๑

ความเป็นไปนี้มันมีคงที่เพราะสิ่งที่เป็นภวาสวะ สิ่งที่ยังเป็นภพอันนั้นอยู่ แต่ถ้าเปลี่ยนสภาวะไป อันนี้ก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปตามสภาวะบุญกรรม แต่ถ้าผู้ที่ทำงานเสร็จแล้วจะไม่มีการเปลี่ยน จะมีสภาวะอยู่เพราะเรามีชีวิตอยู่เท่านั้น ถ้าชีวิตนี้ตายไปก็สิ้นสุดกันไป

ถึงว่าสอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วนที่มีอยู่ เศษส่วนเป็นภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา มีเหมือนกัน พระอรหันต์ก็มีความคิดมีความต้องการเหมือนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ยังบิณฑบาตฉันอยู่ตลอดไป เห็นไหม เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็หมอชีวกเป็นผู้รักษาอยู่ สิ่งนี้มีอยู่ มีอยู่โดยสถานะขึ้นมาเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์

นี่มนุษย์สมบัติ มีสิ่งนี้แล้วเอาสิ่งนี้มาค้นคว้า มาพิจารณาของเราขึ้นไป เราก็มีสิ่งนี้ แต่น่าสลดสังเวชเรื่องของโลก เห็นไหม มองย้อนกลับไปโลก โลกเขาไม่สนใจกัน เขาปล่อยให้ชีวิตนี้ล่วงไปๆ วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตนี้ก็สิ้นไปๆ โอกาสของเขา เขาทำลายโอกาสของเขาเอง

แต่โอกาสของเรา เรามีชีวิตอยู่ เราศึกษาสิ่งนี้ เราต้องการประพฤติปฏิบัติของเรา เรามีโอกาสของเรา โอกาสคือมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกนี่นะ ถ้ามีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก มันมีไออุ่น มันมีพลังงานทำให้ร่างกายยังเคลื่อนไหวได้

แต่ถ้าลองขาดลมหายใจขึ้นไปปั๊บ ลมออกไปไฟออกไป สิ่งนี้ร่างกายจะแข็งทื่อไปเลยนะ สภาพศพไปทำอะไรไม่ได้ โอกาสนั้นไม่มี จิตวิญญาณก็ต้องไปสถานะใหม่ จิตวิญญาณออกจากร่างไปสถานะใหม่ต่อไป นั่นเขาเป็นไป

แต่ขณะที่ในปัจจุบันมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก โอกาสของเรามีอยู่ เรากลับมาประพฤติปฏิบัติธรรม เราพยายามค้นคว้าสิ่งนี้ มันเป็นเรื่องของความมืดบอดของใจ ถ้าคนไม่สนใจนะ

การปล่อยวาง ความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติธรรม เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราก็ปล่อยวาง ปล่อยวางแบบโลก เห็นไหม ปล่อยวางแบบไม่ต้องการสิ่งใดเลย ปล่อยวางโดยไม่ต้องทำอะไร โลกเราว่างอยู่ เราทำสภาวะใจของเราให้ว่างไปอย่างนั้น สภาวะของเขา ปล่อยวางของเขา ปล่อยวางโดยไม่ทำอะไรเลย

แต่การปล่อยวางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปล่อยวางโดยมัคคอริยสัจจัง เห็นไหม ด้วยความเพียรชอบ ปล่อยวางทำไมมีความเพียรชอบล่ะ? ความเพียรนั้นเป็นการปล่อยวางไหม? ถ้าเราปล่อยวาง เราต้องไม่ทำอะไรเลย มันถึงจะไม่มีสิ่งใดเลย เพราะมันไม่เป็นความเพียรชอบ

แต่ถ้าสิ่งใดเป็นความเพียรชอบ ความเพียรชอบชอบจากภายใน จะมีการเกิดการปล่อยวาง เหมือนนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์นี่รู้สภาวะสิ่งต่างๆ รู้เรื่องสารเคมีต่างๆ แล้วเข้าใจ เข้าใจแล้วเรารู้มีความเข้าใจ เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ เหมือนกับแม่ครัว เห็นไหม แม่ครัวมีความชำนาญมาก ทำอาหารไม่ต้องใช้ตำราเลย ทำสูตรด้วยความชำนาญของใจ ทำนะ สิ่งนี้ติดอยู่

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นจากการกระทำของเรา แต่ติดสิ่งนี้ไม่ได้ ถ้าทำครัวอยู่ ครัวยังไม่เสร็จ ยังไม่เสร็จงาน ถ้าเราทำครัวอยู่ เสร็จงาน เห็นไหม เก็บล้างเสร็จแล้วสรรพสิ่งนี้เสร็จแล้วถึงจะเป็นผู้เสร็จงาน นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความเห็นการเกิดดับ เป็นภาวนามยปัญญา มันเป็นการที่ว่าเราอยู่ในครัว เราทำครัวอยู่

ถึงว่ามันเป็นสัมปยุต สิ่งที่ว่าเป็นมัชฌิมาปฏิปทา จิตนี้จะรวมตัวแล้วสัมปยุตเข้าไป แล้ววิปปยุตคลายออกมา เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ มันรวมตัวกัน มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคอย่างโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค มรรคนี้หยาบมาก แล้วเป็นอรหัตตมรรคนี่มันจะละเอียดเข้าไปเป็นชั้นตอนเข้าไป

นี่ทำงานเสร็จเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป มันถึงจะมีขณะจิต ขณะของจิตที่มันพลิกสภาวะเปลี่ยนไป เห็นไหม ความว่างอย่างนี้ ความว่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้สภาวะความว่างอย่างนี้ รู้ความว่างจากการกระทำ

แต่พวกเราเข้าใจว่าความว่างคือการปล่อยวางแล้วมีอยู่ความว่าง จนไม่ต้องทำบุญ เห็นไหม ผู้ที่ไปทำบุญติดในบุญกุศล ผู้ที่ติดในบุญกุศลยังไม่ใช่นักปฏิบัติจริง เราเป็นนักปฏิบัติ เราไม่เอาอะไรสิ่งใดเลย เราปล่อยว่างหมดเลย

นั้นเป็นความว่างของกิเลส กิเลสนี้เป็นความว่างว่างแบบนี้ ว่างแบบไม่ทำอะไรเลย ว่างแบบไม่ได้สร้างคุณงามความดี เราต้องว่างจากการสร้างคุณงามความดีขึ้นมา คุณงามความดีเกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ ความเพียรชอบ การงานชอบ งานนี่ งานมันจะชอบขึ้นมา ถ้างานชอบ มันจะมีสัมมาสมาธิมีความเห็นชอบขึ้นไป สิ่งนี้จะเป็นสัมมาหมด เป็นสัมมาจะเป็นความชอบจากภายใน

นี่มันเกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติ นี่ภาวะของใจ วุฒิภาวะของใจที่มันเจริญขึ้นๆ อย่างนี้ไง มันถึงเห็นความหยาบเห็นความละเอียดของใจเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันจะเห็นความหยาบ มันถึงสื่อกันได้ เวลาที่ครูบาอาจารย์สนทนาธรรมกัน เห็นไหม ผู้ที่ได้โสดาบันพูดถึงสภาวะของโสดาบันนี่ไม่รู้สกิทาคามี ผู้ที่ได้สกิทาคามีก็ไม่รู้อนาคามี ผู้ที่ได้อนาคามีไม่รู้อรหัตตมรรค

นี่สภาวะใจของสูงสูงอย่างนั้น มันสูงขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ถึงว่ามันปล่อยวาง มันปล่อยวางเป็นขณะจิต มันปล่อยวางเป็นอย่างนั้น ทุกๆ คนต้องเป็นเหมือนกัน ผู้ที่ปฏิบัติจะเหมือนกันหมด ถึงสื่อความหมายได้ สื่อความหมายได้เพื่อมาจบโครงการ

จิตมันปล่อยวางมันจะปล่อยวางสภาวะนั้น มันจะเกิดการปล่อยวาง สิ่งที่ปล่อยวาง ใครเป็นคนปล่อยวาง? จิตนี้ปล่อยวางธาตุขันธ์เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปจนถึงตัวจิตเองก็ต้องไปปล่อยวางจิต ถ้าไม่ปล่อยวางจิต ตัวนั้นมันเป็นตัวรู้สภาวะเขา มันละเอียดลึกซึ้งขนาดนั้น

นี่ภาวะของใจ การทำสมาธิ การทำความเพียรนี่แสนยาก แต่การทรงไว้นี้ยากกว่า เห็นไหม การทรงไว้ ถึงต้องมีความเพียร ถึงต้องมีสติ สมาธิ เห็นไหม ถึงต้องมีความเพียรชอบ สมาธิชอบ ความระลึกชอบ ชอบอยู่ในการงานของเรา

ในการงานของเรานะ คนที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ เดินจงกรมอยู่ทั้งวันทั้งคืน ใครเขาจะไปรู้ด้วยกับคนที่เดินจงกรมอยู่ เป็นงานสิ่งใด งานจากภายใน มันเป็นงานจากภายใน

ดูอย่างช่างทำงาน เห็นไหม ช่างที่ละเอียดขึ้นมา งานที่เขาละเอียดอ่อนเขาต้องใช้ความเพียรของเขา เขาต้องใช้ความชำนาญของเขามาก อันนี้เป็นช่างที่จะประกอบใจ สิ่งที่จะทำใจให้มันสัมปยุตเข้ามา มันยิ่งเป็นความละเอียดอ่อน มันยิ่งต้องใช้ความละเอียดอ่อน ต้องใช้ความรอบคอบ นี่มันถึงต้องการอาศัยเวลา อาศัยธรรมชาติ อาศัยความละเอียดอ่อนของใจ ใจนี้จะย้อนกลับเข้ามา

ถึงว่าการรักษาไว้ การทรงไว้ไง การทรงสภาวะนี้ไว้ต่อเนื่องไป ความสืบต่อเนื่องไปจนกว่ามันจะปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอน มันจะปล่อยวางบ่อยครั้งเข้าๆ ต้องหมั่นคราดหมั่นไถ

จะปล่อยวางขนาดไหน ถ้ามันไม่ขาด มันยังมีอยู่ สิ่งที่มีอยู่ ค้นคว้าต้องเจอ ของเราซ่อนไว้ที่ไหน ถ้าเราลืม มันก็ลืมไป แต่ถ้าไปค้นอีกมันก็ต้องเจอ เจอสภาวะแบบนั้น ถ้าซ่อนไว้อยู่ มันถึงว่าเราเก็บงำไว้ เราหลงไป เราไม่เข้าใจ

นี้ก็เหมือนกัน การปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอน มันปล่อยวางสิ่งที่ซ่อนไว้ คือกิเลสมันซ่อนตัวมันเองไว้ มันหลบซ่อนไว้ ต้องเอาสิ่งนั้นขึ้นมาชำระล้างตลอดไป แยกแยะสิ่งต่างๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่ซ่อนไว้เราก็ต้องไปเจอ มันจะไม่มีภาวะสิ่งใดหลบซ่อนในความลังเลสงสัยนั้นเลย มันจะปล่อยวางหมด

สิ่งที่ปล่อยวางหมดมันจะขาดออกไป สิ่งที่ขาดออกไปเห็นขันธ์กับจิตขาดออกจากกัน สภาวะต่างๆ นี่จบสิ้น นี่งานเสร็จเป็นชั้นเป็นตอน แม่ครัวทำครัวแล้วเก็บล้างเป็นชั้นเป็นตอน จะมีความสุขมากเพราะมันเป็นอกุปปธรรม สภาวะแบบนี้จะไม่มีเสื่อมอีกเลย

สภาวะที่เกิดเจริญแล้วเสื่อม เห็นไหม สมาธิรักษาไว้ยาก เราทำไว้ยาก เวลามันอยู่ในระหว่างการเจริญแล้วเสื่อม ระหว่างก้าวเดินนี่ มันเป็นการต้องรักษาไว้...

ถูกต้อง! สิ่งที่ก้าวเดินอยู่ต้องรักษาไว้ ต้องประคองไว้ แต่ถึงที่สุดแล้วไม่ต้องประคองไว้ มันเป็นอกุปปะ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีความเสื่อมอีกเด็ดขาด นั่นน่ะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี สิ่งนี้ไม่เสื่อมไปจากหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ใจดวงนั้นมีความคงที่อยู่อย่างนั้นตลอดไป แล้วคงที่เจริญขึ้นไป ก้าวเดินสูงขึ้นไปจนถึงที่สุด นั้นคือสภาวธรรมในหัวใจ

นี่โลกเป็นดูได้ โลกนี่มันเปรียบเหมือนวัฏวนได้ เห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ สถานะของพรหม สถานะของเทวดา สถานะของสัตว์นรก นี่ก็เหมือนกัน ในมนุษย์เรามีคนเชื่อก็มี คนประพฤติปฏิบัติก็มี คนที่ไม่เชื่อก็มี คนที่โจมตีก็มี

ในเรื่องของศาสนา คนไปลักพระพุทธรูปนี่ทำได้อย่างไร พระพุทธรูปอยู่ในวัดยังไปลักไปทำลายพระพุทธรูปเพื่อเห็นแก่เงิน เห็นไหม จิตใจของคนมันสูงมันต่ำ ต่ำอย่างนั้น เห็นไหม ในวัฏฏะ เทียบในวัฏฏะออกมา ดูแล้วมันสลดสังเวชขึ้นมา

แล้วเราเป็นคนๆ หนึ่ง มองสิ่งใดก็แล้วแต่เทียบเข้ามาหาเรา แล้วเราเป็นคติเตือนใจ เราจะเป็นอย่างนั้นไหม เราควรทำความดีอย่างนั้นไหม สิ่งที่เป็นความผิดพลาดที่เขามืดบอด เขาทำนี่ เราสลดสังเวชขึ้นมา เราจะไม่เป็นแบบนั้น คนที่เขาทำคุณงามความดีก็ประพฤติปฏิบัติสูงขึ้นไป เราต้องพยายามทำให้ได้แบบนั้น เป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา สิ่งรอบข้างนี่เก็บเป็นประโยชน์ได้หมดเลย ถ้าเรามีปัญญา

สิ่งที่เป็นปัญญานี่ย้อนกลับขึ้นมาทำให้เราเจริญขึ้นมาได้ ถ้าไม่อย่างนั้นกิเลสมันจะเชื่อสิ่งนั้น กิเลสมันจะต่ำไปๆ เราต้องย้อนทวนกระแสเข้ามา ถึงที่สุดแล้วมันจะชำระใจของเราสิ้นสุดได้ สิ้นสุดได้เพราะว่าอะไร

เพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาวกะ-สาวกผู้ได้ยินได้ฟัง เราเป็นสาวกมีธรรมอยู่แล้ว เราก้าวเดินได้ ของนี่มีเจริญอยู่ มีอยู่แล้วเจริญขึ้นในหัวใจของเรา เราจะทำได้ตามประสาของเรา เอวัง