เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ มี.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันพระนะ วันพระ พอวันพระ คนคิดถึงตัวเอง คนมาทำบุญกุศล อย่างคนไม่ทำบุญกุศลก็อยู่ตามประสาโลกไป ห่วงแต่โลก ห่วงแต่ชีวิตนะ แต่มีชีวิตแล้วมันก็ต้องตายหมด มันต้องตายไปข้างหน้า แต่ข้างหน้าใครจะมีอะไรพึ่งไม่รู้ ตัวเองไม่รู้ว่ามีอะไรพึ่งไม่มีอะไรพึ่ง

ถ้าคิดว่าตัวเองฉลาดนะ ตัวเองจะเอาทางโลก คิดถึงทางโลก เห็นไหม เวลาประสบความสำเร็จทางโลก เขามองกันเรื่องสมบัติ เรื่องความเป็นอยู่ทางโลกว่ามันต้องมีความประสบความสำเร็จแล้วมันจะมีความสุข แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้นเลย

ดูอย่างนะ ดูอย่างเศรษฐีมีเงินเป็นหมื่นๆ ล้าน แล้วพูดถึงว่าเขามีความสุขไหม เขาต้องมาแบกโลก เขามาแบกเพราะอะไร เพราะว่าปัญญาของเขา เขาคิดเขามองทะลุหมด แล้วมองการบริหารประเทศเขาก็มองทะลุหมด แล้วเขามาทำ แต่คนอื่นไม่มองอย่างนั้น มองแต่ประคองตัวกันไป คือว่าเขาก็ประสบความสำเร็จทางชีวิตแล้ว ว่าชีวิตเขานี่มีความประสบความสำเร็จ เขามีเงินมาก แต่เขามีความสุขไหม

มีความสุขได้อย่างไรถ้าเห็นคนอื่นมันทุกข์ยากกว่า คนใจเป็นธรรมมันเห็นแล้วมันก็แบกรับภาระ นั่นน่ะชีวิตเป็นแบบนั้น ชีวิตโลกเป็นแบบนั้น ถ้าชีวิตเป็นธรรมนะ ชีวิตเป็นธรรม การประกอบสัมมาอาชีวะนี่อยู่ไปอย่างนั้น

ดูอย่างคนมีปัญญา นักปราชญ์จะอยู่ในที่สงบ อยู่ในที่สงัดวิเวก ที่สงัดวิเวกมันจะเป็นประสาทางโลกไหม โลกต้องคลุกเคล้ากันเพื่ออะไร? เพื่อการตลาด ไปอยู่นะ เราจะไปทำการค้าที่ในป่าในเขามันเป็นไปไม่ได้ ต้องไปที่ตลาด พอเข้าไปก็ต้องคลุกเคล้าไปกับเขาไป เรื่องนั้นเป็นความกระทบกระทั่ง ความกระทบกระทั่งเป็นความยุ่งยาก แต่เราปรารถนาอย่างนั้น เราปรารถนาสมบัติ เราปรารถนาสิ่งของต่างๆ เราก็ต้องแสวงหาในที่อย่างนั้น

แต่เราปรารถนาในความสงบของใจ เราก็ต้องการความสงบของใจ

ครูบาอาจารย์ถึงสอนไง สอนว่าให้มีวันพระ วันพระนี่เพื่อจะให้เราได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะให้เราได้ผ่อนคลายความคิดความเห็นของเรา ความคิดของเรามันผูกมัดไป เวลาความคิดมันผูกพันใจไปนะ

ชีวิตคือการครองเรือน การครองเรือนนะ เห็นไหม ครองเรือนคือการครองหัวใจของเรา ยังต้องการครองหัวใจในคู่ครองของเราอีกนะ ยังต้องครองใจลูกหลานของเราอีก แล้วความคิดของเรามันก็ปลิ้นปล้อนขนาดนี้ มันพลิกแพลงตลอดไป มันพลิกแพลง มันปลิ้นปล้อน มันคิดประสาของมันออกไปนะ แล้วมันจะสมความปรารถนาของมันหรือไม่สมความปรารถนาของมัน มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

สมความปรารถนาก็เป็นความสุขชั่วคราว เป็นความสมความปรารถนาว่าคิดแล้วสมความปรารถนา นี่หวังแล้วสมหวังก็เป็นความสุขชั่วคราวๆ แล้วก็หวังไปตลอดไป ความหวัง เห็นไหม อยู่ด้วยความหวัง อยู่ด้วยความคิดความคะนึงหาว่าต้องประสบความสำเร็จความพอใจของเรา แล้วมันจะเป็นความพอใจของเราตลอดไปไหม ถึงว่าความกระทบกระทั่งกันในการครองเรือนนี่เป็นความทุกข์ยากมากนะ

คนเราอยู่กับคนพาลน่ะ อยู่กับคนพาลอยู่ที่ไหนคนที่เขาไม่เข้าใจเรา เขาจะทำให้เราเดือดร้อนไปหมดเลย แล้วเราอยู่ใกล้เคียงกัน คนที่เป็นคู่ครองของเราเอง มันกระทบกระทั่งกัน คำพูดคำจากระทบกระทั่งกัน มันบาดหัวใจนะ รักแล้วสุดรัก

เวลาลูกหลานของเรา เวลาว่าพ่อแม่นี่ พ่อแม่สะเทือนใจมาก เว้นไว้แต่เด็ก เด็กมันพูดประสาเล่น มันเป็นคำเล่นคำพูดไร้เดียงสา เราเห็นว่าเป็นความไร้เดียงสา เป็นความน่ารักน่าชัง เห็นไหม เวลาลูกเล็กๆ มันว่าพ่อว่าแม่ มันเป็นความไม่น่าเกลียด แต่พอผู้ใหญ่ขึ้นมาพูดนี่มันสะเทือนใจ

นี้ก็เหมือนกัน เราโตขึ้นมาในชีวิตในการครองเรือนของเรา ในการครองเรือนมีความทุกข์ยากมาก มีความทุกข์ยาก คนทุกข์ยากเพราะอะไร เพราะเข้าไปแสวงหาในสิ่งนั้นแล้วมันเข้าไปติดสิ่งนั้น มันเป็นธรรมชาติของใจ

โลกนี้คือละคร เห็นไหม คือเกิดละครได้ เกิดมาจากกรรม กรรมของสัตว์โลกสร้างกรรมกุศลมาต่างๆ กัน ถึงได้เกิดมามีความสูงความต่ำตามยศถาบรรดาศักดิ์ต่างกัน นั่นน่ะโลกคือละคร ละครคือชีวิตไง เราปฏิเสธไม่ได้ เราปฏิเสธชีวิตเราไม่ได้นะ เราว่าเราปฏิเสธชีวิต บางคนคิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของความทุกข์หมดเลย เราจะทำอย่างไรให้มันพ้นจากความทุกข์ไป เราจะทำเรื่องของโลก เราจะปฏิเสธเรื่องอย่างนั้นแล้วทำลายตัวเอง เห็นไหม คนฆ่าตัวตายเพื่อจะหนีสิ่งนั้นน่ะ มันหนีไปไม่พ้นหรอก

โลกนี้คือละคร จริงมันละครจริงๆ เลย ละครของโลกเขา แต่ละครนี้มีกรรมเป็นผู้กำกับ กำกับให้ชีวิตเราเป็นไปตามกระแสของโลก มีสูงมีต่ำแล้วแต่ชีวิตของเราไม่แน่นอน ถ้ามีกรรมมาอย่างนั้น เราจะไปฝืนกรรมของเราไม่ได้ ถ้าเราฝืนกรรมของเราไม่ได้ เราต้องทนเรื่องของกรรมของเรา เราพยายามค้นดู พยายามทำแล้วถึงที่สุดเข้าไป

กรรมคือการกระทำ เราทำกรรมมาแล้วเราถึงประสบชีวิตอย่างนี้ ชีวิตเรานี่เราเลือกของเราขึ้นมาเอง แล้วเราเดินของเราเอง เพราะอะไร เพราะเราเชื่อกิเลสของเรา กิเลสของเรามันสร้างอะไร? ก็สร้างกรรม นี่กรรมถ้ากิเลสสร้างมันจะเป็นไปแบบนั้น เราถึงมีวันพระวันเจ้าไง วันพระวันเจ้าเพื่อบุญกุศล สร้างบุญกุศลไปเพื่อชีวิตจะให้มันดีขึ้น ถ้ามันยังไม่ดีขึ้น ทำบุญทุกวัน คนพูดทุกคนนะ ใส่บาตรทุกวัน ทำบุญทุกวัน ทำไมชีวิตไม่ประสบความสำเร็จ

บุญกุศลมันเป็นความสุขของใจ สิ่งที่เราใส่บาตรขึ้นมาเพื่อยับยั้ง เพื่อผ่อนคลายไง เพื่อปล่อยเปลื้อง ปล่อยความกดดันของใจ ใจมันจะกดดันมาก มันจะทุกข์ยากมากนะ จะกดดันในใจ แล้วใจไม่มีทางออก ได้ทำบุญกุศลนะ สาธุการๆ เพื่อบุญกุศล เวลาทำกุศล เจตนามันตั้งขึ้นมา มันปลดปล่อยความกดดันของใจออกไป มันก็มีความพอใจของมัน นี่บุญกุศลขนาดนี้เอง

เวลาครูบาอาจารย์เขาที่ว่าเขาพ้นจากทุกข์ๆ นะ นั่งตลอดรุ่ง เห็นไหม อดอาหาร ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีน่ะ ทำอยู่ตลอดไปอย่างนั้น เขาทุกข์เพื่ออะไร เขาทุกข์กว่าเรานะถ้าคิดถึงทางโลก มันกดดันตัวเอง เห็นไหม กดดันเพื่อจะชำระกิเลส แต่มันกดดัน มันฝึกฝนขึ้นไป มันเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ความพอใจ ใจนี้มันทำจนเคยใจขึ้นไปแล้วมันทำได้ สิ่งนั้นมันทำได้ แต่เราทำบุญกุศลของเราแค่นี้ แล้วเราจะเอาบุญกุศลมหาศาลมาจากไหน

การปลดเปลื้องกิเลส กิเลสมันอยู่กับใจของเรา ความคิดของเราเองมันหลอกเราเอง แล้วเราคิดขึ้นมาเอง นี่มันขบกัดเรานะ อยู่ด้วยกัน ใจอยู่กับเรา แล้วคู่ครองของเราทำไมจะไม่มีความกระทบกระเทือนกันบ้าง ลิ้นกับฟันต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ความกระทบกระทั่งกันบ้างแล้วมันต้องมีศีลธรรมในหัวใจ มันต้องให้อภัย สิ่งนั้นแล้วให้แล้วกันไป แล้วเริ่มตั้งต้นใหม่ ทำใหม่ แล้วมันอยู่ที่ว่าประสบความสำเร็จไม่ประสบความสำเร็จ เรามีหน้าที่ทำไป

เหมือนกับกระรอก เห็นไหม ในกระรอกที่ว่าลูกตกไปในทะเลน่ะ ลูกตกลงไปในทะเลจะทำอย่างไรจะเอาลูกขึ้นมา เอาหางจุ่มน้ำทะเลแล้วขึ้นมาสะบัด ขึ้นมาสะบัด จะให้น้ำทะเลนั้นแห้ง ทำอยู่อย่างนั้น จนเทวดาเขาว่า ทำอย่างนี้ทำเพื่ออะไร เทวดามาถามว่าทำเพื่ออะไร

“ลูกลมพัดตกไปในทะเล จะชุบน้ำทะเลนั้น เอาหางชุบน้ำทะเลขึ้นมาสะบัดให้แห้งเพื่อจะเอาลูกนั้นขึ้นมา”

เทวดาบอก “มันเป็นไปไม่ได้หรอก ทำไม่ได้หรอก”

“ทำไม่ได้ก็จะทำ”

สิ่งที่จะทำ จนเทวดาต้องเอาลูกขึ้นมาคืนให้ อันนี้อยู่ในพระไตรปิฎก

นี่ความเพียรของเราไง หน้าที่ของเราคือทำงานของเรา งานของเราคืองานของเรา ประสบความสำเร็จไม่ประสบความสำเร็จนั้นอยู่ที่หน้าที่ของเรา โอกาสของเรามากขนาดไหนเราก็ทำขนาดนั้น ทำไปตามนะ

นี่ความเพียรชอบ พระพุทธเจ้าไม่ให้เรามางอมืองอตีนหรอก พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้งอมืองอเท้า เราต้องพยายามฝึกฝนพยายามค้นคว้าของเรา พยายามทำคุณงามความดีของเรา นี่งานของเรา เราก็ต้องพยายามไม่งอมืองอเท้า ต้องทำของเราให้ได้ พยายามทำของเราเข้าไป แต่โอกาสนั้นมันเป็นเรื่องโอกาสวาสนา อำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้หรอก อย่างที่พูดเมื้อกี้ ทำไมเขาประสบความสำเร็จในชีวิต ทำไมเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต

เราไม่รู้เบื้องหลังเขา เขาทุกข์ยากขนาดไหน เอามือก่ายหน้าผากนอนคิดมาตลอดคืนทุกข์ยากขนาดไหน ในการประสบความคิดของเขา แล้วอำนาจวาสนาเขาต้องมีด้วย ทำไมโอกาสเขาทำแล้วเขาทำได้ ทำไมคนอื่นทำตามแล้วทำไมมันไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเขา

มันเป็นไปไม่ได้ อำนาจวาสนาบารมีไม่มีบ่อยครั้งหรอก อันนี้อำนาจวาสนาของเรามีขนาดนี้ นี่โลกนี้คือละคร ละครของเราเป็นแบบนี้ เราก็เล่นตามบทละครของเราไป มันไม่ให้เราทุกข์มากจนเกินไป ถ้าเราไม่พอใจในบทละครชีวิตของเรา คือไม่พอใจเรื่องกรรมการกระทำของเรา เราเคยทำกรรมมาอย่างนี้ มันเป็นความทุกข์ของเราแล้ว กรรมนี่มันพยายามจะพ้นออกไปให้ได้ ชีวิตนี้มันตายไปแล้วมันก็ต้องไปพบข้างหน้าอีก

เราถึงว่า ถ้าทำคุณงามความดีแล้วเพื่อเรา เพื่อเรานี่เราต้องทำ ทำของเราให้ได้ขนาดไหน ทำของเราขึ้นมาให้ได้ ถ้าพูดถึงทำดีต้องได้ดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้จริงๆ “ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว” แล้วเราก็ทำดี มันดีของเราไง

ฟังที่ว่าครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติ เอาชีวิตเข้าแลก

งานของเราไม่เอาชีวิตเข้าแลกหรอก เหนื่อยเราก็พัก เดี๋ยวก็ทำต่อไป ประสบความสำเร็จขนาดไหนก็ขนาดนั้น มีอยู่มีกินมันพอสมฐานะขึ้นมา อันนี้เป็นเครื่องจรรโลงใจเราอยู่ ถ้าเรามีอยู่มีกิน เรามีความพอใจของเรา เราพอใจสิ่งนี้ไป แล้วเราดำรงชีวิตนี้ไป ละครเราก็ไม่กดดันตัวเราเองนัก ละครของเราก็ใช้ชีวิตของเราไป

คนเรานะถึงที่สุดแล้วต้องตายทั้งหมด สมบัติจะหาไว้มากไว้น้อยมันก็ต้องพลัดพรากจากกันไป ถ้าประสบความสำเร็จในชีวิตมันก็ต้องพลัดพรากไป สิ่งทิ้งไว้ในโลก เราก็มีอะไรไป มีบุญกุศลไปหรือไม่มีไป ถ้าเราได้สละบุญกุศลของเราไว้ เราทำของเราไว้ เราทิ้งสมบัติไว้ในโลกด้วย สมบัตินี้เราทิ้งไว้ในโลก แล้วสมบัติของใจเรามีของเราไปด้วย ถ้าเราไม่ทิ้งสมบัติไว้ในโลกเขา

สมบัติหาได้ขนาดไหน สุดท้ายแล้วต้องทิ้งไว้ให้คนอื่นตลอดไป เพราะเป็นสมบัติของโลก สมบัติของโลกนี้ไม่ไปนรก ไม่ไปสวรรค์ ไม่ไปนิพพานกับเรา แต่บุญกุศลของใจไปนรกไปสวรรค์ ใจนี้พาไป มันถึงต้องทำใจไง

การอภัย เห็นไหม การหลีกทางให้นี่ก็เป็นบุญกุศลแล้ว การหลีกทางให้ การยกมือไหว้คารวะกันนี้ก็เป็นบุญกุศลทั้งหมดเลย การพูดคำหวานให้ต่อกันก็เป็นบุญกุศล สิ่งนี้สร้างบุญกุศลให้เรา แล้วถ้าเกิดบุญกุศลขึ้นมา มันจะเป็นบุญกุศล มันพาให้ใจดวงนี้ไปนรกสวรรค์ ใจมันถึงผ่อนคลาย

ใจเราจะผ่อนคลายได้ เราต้องเริ่มผ่อนคลายตั้งแต่ตรงนี้ ถ้ามีตรงนี้ เห็นไหม ถ้าเราไม่มีความสนใจ เราไม่อยากประพฤติปฏิบัติ เราจะไม่ทำบุญกุศล แล้วเราจะไม่ฟังธรรม ถ้าเรามีการฟังธรรม อันนี้อำนาจวาสนาของเรา เราจะลืมตาอีกตาหนึ่ง ตาของเราคือตาที่ว่าเราทำใจของเรา เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา เอาความคิดไง

ตัณหาความทะยานอยากมันทำให้ใจของเราฟุ้งซ่าน ทำให้ใจเราคิดออกไปแล้วมันเดือดร้อนออกไป มันเป็นไฟเผาตัวเองตลอดไปเลย แล้วเราจะดับไฟอย่างไร เราดับไม่เป็น มันจะเป็นไปสภาวะแบบนั้น เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราคือเอาความคิดของเรา

คิดได้ในเวลาทำการทำงาน คิดได้ในเวลาหน้าที่การงานคิดได้ แต่ถึงเวลาแล้วเราต้องปล่อยวาง อย่าให้มันเผาจนเราเครียดนะ เรานี่เครียดเราเองนะ เวลาเผาแล้วเราจะเครียดตัวเราเอง แล้วเรากดดันตัวเราเอง แล้วเราจะแสดงออกกับคนรอบข้างไปตลอดไป เห็นไหม ใจเราก็ครองไม่ได้ แล้วเรือนของเรา เราครองเรือน เรือนของเราเราก็ครองไม่ได้ แล้วเรือนของผู้ที่อยู่ข้างเคียงเราก็ครองไม่ได้ เรือนของลูกหลานนะ แตกกระสานซ่านเซ็นไปกันหมดเลยเพราะว่าอะไร เพราะความโกรธความคิดมากนี่มันกระทบกระเทือนกัน แต่ถ้าเราเอาใจของเราไว้ได้ เรือนเราก็ครองได้ รอบข้างเราก็ครองได้ สิ่งใดๆ ก็ครองได้ ชีวิตเราจะครองเรือน ชีวิตอันนี้มันถึงจะประสบความสุขพอสมควรในโลก

ไม่มีความสุขตามความเป็นจริงหรอก ความเป็นจริงโลกนี้มันเป็นเรื่องว่าความสุขตามกิเลสมันผ่อนคลายให้มีความสุขเท่านั้นเอง ถ้ากิเลสผ่อนคลายให้มีความสุข เราก็มีความสุขประสาที่กิเลสผ่อนคลายให้ เท่านั้นเราก็พอใจ ถ้าเราพอใจเราก็ครองเรือนของเราไว้ได้ ถ้าเราไม่พอใจ เราก็เดือดร้อนของเรา กิเลสมันผ่อนให้เราได้พอใจเท่านั้น ผ่อนให้เราได้ ถ้าไม่ชำระกิเลสออกไปจากใจ ถ้าชำระกิเลสออกไปจากใจแล้วหมดสิ้นนะ ใจจะหมดสิ้น แล้วกิเลสออกมาจากไหนล่ะ? ออกมาจากการประพฤติปฏิบัตินะ ทาน ศีล ภาวนาเกิดขึ้นมาจากเรา

วันพระ ตั้งใจทำวันพระ อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร นี่การที่เราไม่ประสบความสำเร็จเพราะมันมีกรรมใหม่กรรมเก่ามันสะสมกันมาตลอด กรรมเก่าก็มี กรรมใหม่ก็มี ถ้าอย่างนั้นก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ให้สิ่งต่างๆ ให้ผ่อนคลายชีวิตเราให้ไปพอประสบความสำเร็จ ถ้าประสบความสำเร็จขึ้นมา มันก็มีความอุ่นใจ มีความพอใจ

นี่มีแต่ความเร่าร้อน นู่นก็ไม่เป็นไป นี่ก็ไม่เป็นไป ทุกข์ยากในหัวใจ นี่ทุกข์นี้เป็นอริยสัจเป็นความจริงในหัวใจอยู่แล้ว ต้องกำจัดมันให้ได้ เอวัง