เทศน์เช้า วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถ้าเป็นวันพระมันดี วันพระทำบุญกุศลมันเป็นบุญกุศล วันพระ วันเราทำภาวนา ดูอย่างที่ว่าเขาออกทีวี เห็นไหม ยืน ๗ ปี แล้วเวลาเขากำมือจนเล็บทะลุ ไอ้อย่างนั้นถ้าเขามาปฏิบัติ เขาควรจะได้ประโยชน์ เพราะเขามีความเพียรมาก แต่เพราะเขาทำแล้วมันทำมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด เห็นไหม ยืน ๗ ปี แล้วบางทีกรรม แล้วอย่างนี้สมัยพุทธกาลก็มีอย่างนี้ พุทธเจ้าไปเรียนมาตลอด ถ้าความเพียรอย่างนั้นแล้วมาประพฤติปฏิบัตินะ ประพฤติปฏิบัติมันก็จะไม่เข้าทาง ถ้าไม่เข้าทาง เพราะว่ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ถ้าความเห็นผิดมันจะเข้ามาไม่ได้ แต่อาศัยเฉพาะว่าความเพียรเขาแก่กล้า เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราคิดอย่างนั้นนะ เราเห็นความเพียรเขาขนาดนั้น เขาทำของเขาได้ เขาสะสมมา สะสมคือว่าเวลาเขาเวียนตายเวียนเกิด เขาทำอย่างนั้นของเขามาตลอดไป เขาเคยทำอย่างนั้นมา จิตมันเข้มแข็ง มันทำได้
อย่างฤๅษีชีไพรในพุทธกาลมีอยู่แล้ว แล้วเจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับลัทธิต่างๆ ก็บอกว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ๆ แต่มันไม่มีใครสำเร็จได้จริงเลย เพราะความเห็นของเขา ความเห็นของใจ ความคิดออกไป มันจินตนาการออกไป ธรรมมันเป็นเรื่องของใจ มันถึงว่ามหัศจรรย์มาก เรื่องของใจเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แล้วอย่างเรานี่ เรามาคิดดูใจเราสิ ใจเราคิด เราปล่อยไป เบื่อมากนะ บางทีชีวิตก็เบื่อหน่าย มันซ้ำๆ ซากๆ มันน่าเบื่อหน่าย แต่ความเบื่อหน่ายนี้มันเบื่อหน่ายแล้วเดี๋ยวมันก็คิดอย่างอื่นต่อไป เพราะมันเบื่อหน่ายชั่วครั้งชั่วคราว ความเบื่อหน่ายในชีวิต ในชีวิตเราเป็นไป
แต่ในการประพฤติปฏิบัติ มันก็มีความเบื่อหน่าย ถ้าความเบื่อหน่ายในการประพฤติปฏิบัติ มันก็ต้องพยายามพลิกแพลงอุบายวิธีการ ถ้าอุบายวิธีการมันพลิกแพลงไปๆ พลิกแพลงออกไปเรื่อยๆ มันยังพอมีทางออก มีทางออกนี่มันเป็นไปตลอดไป สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ความเห็นชอบมันต้องเริ่มก้าวเดินไปตั้งแต่ ๑ ๒ ๓ ๔ ขึ้นไปเรื่อยๆ ความก้าวเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จิตมันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ความชำระกิเลสมันก็ต้องชำระกิเลสไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ความเป็นชั้นเป็นตอนนี่ต้องทำสัมมาสมาธิให้ได้ก่อน
สมาธิเรามันคิดแล้วมันจินตนาการไป มันจะหมุนออกไปข้างนอก มันจะหมุนออกไปของมัน มันจะมีความเห็นของมัน มันจะคิดออกไป ความหมุนออกไปคือรับรู้ เวลาจิตส่งออกมันส่งออกไปรับรู้สิ่งต่างๆ แล้วมันก็ยึดสิ่งต่างๆ ยึดสิ่งที่ว่ามันเห็น ความยึดเห็นมันก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง แต่สภาวธรรมอันนี้มันยังไม่เข้าถึงความเป็นจริง มันก็เป็นความเห็นมันเป็นอย่างนั้น ความเห็นของกิเลสไง ถ้ากิเลสมีความเห็นเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นแบบนั้น
ถ้ากิเลสมันมีความถูกต้อง ถูกต้องตรงไหน เวลากิเลสมีความถูกต้อง ความอยากที่เป็นมรรค นี่มันก็เป็นกิเลสอันหนึ่ง แต่มันเป็นมรรค เป็นความถูกต้อง เป็นความเห็นดีงาม มันก็เป็นมรรค เป็นธรรม เขาบอกว่ากิเลสชำระกิเลสไม่ได้ จิตอกุศลชำระอกุศลไม่ได้ แต่นี้มันเป็นธรรมแล้ว ต้องเป็นสภาวธรรมเท่านั้นถึงชำระกิเลสได้ สภาวธรรม หมายถึงว่าเราต้องมีสัมมาสมาธิ กิเลสมาก่อน แต่กิเลสความอยากอันนี้เป็นมรรค มันเริ่มคายตัวออกมา มันไม่ใช่กิเลสทั้งหมด
มันเริ่มที่ความอยากเหมือนกัน แต่ความอยากนี้อยากทำคุณงามความดี เอาสิ่งนี้มาใคร่ครวญของเรา ใคร่ครวญเข้ามาๆ จิตมันจะก้าวเดินเข้าไป เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นความเห็นถูกต้อง ความเห็นถูกต้องจะไม่มีความว่าเป็นความอยากเลย ไม่มีจินตนาการของใจเลย มันก็ก้าวเดินไปไม่ได้ เหมือนกับความเบื่อหน่าย ความเบื่อหน่ายเป็นกิเลสไหม? เป็นกิเลส นี่เบื่อเป็นกิเลส เบื่อหน่ายมันก็อยากจะพ้นออกจากตรงนี้ไป ความเป็นกิเลสมันก็เป็นว่าเป็นกุศลทำให้เกิดอกุศล
กุศล เห็นไหม เวลาทำคุณงามความดี กุศลทำให้เกิดอกุศล คิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ อกุศลทำให้เกิดกุศล นี่เข้าไปจะไปทำร้ายพระพุทธเจ้า พระเทวทัตจ้างคนไปทำร้ายพระพุทธเจ้า นี่อกุศลทั้งหมดเลย แต่พอไปฟังธรรม พระพุทธเจ้าเทศน์สอน มันเปลี่ยนไป เห็นไหม จากอกุศล จะไปทำร้าย จะไปฆ่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเทศน์จนแบบว่าขอบวชๆ อกุศลทำให้เกิดกุศลก็ได้ มันเป็นสิ่งที่ว่ามันถึงจังหวะแล้วมันจะเป็นไปไม่เป็นไป
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าธรรมของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติธรรม เราพยายามทำใจของเราขึ้นมาให้เป็นอุบายวิธีการแยกออกไป แยกออกไป พยายามแยกออกไป สิ่งที่เหลือไว้มันจะเป็นสภาวธรรม สิ่งที่มันไม่คงที่ สิ่งที่เป็นอนิจจังมันต้องหลุดออกไป มันจะหลุดออกไปถ้าเราแยกออกไป เราพยายามพิจารณาออกไป แยกออกไปๆ ให้เหลือสิ่งที่ว่าพยายามคิดพิจารณา มันก็อยู่กับเรา
ความจริงมันอยู่กับใจ ใจนี้เป็นความจริงอันหนึ่ง เป็นสภาวธรรมที่จริงมาก จริงขนาดที่ว่าถ้ามีกิเลสปกครองอยู่ มันก็จะเวียนตายเวียนเกิดเป็นธรรมชาติของมัน ถ้าเวลาธรรมะมันชำระล้างออกมา มันก็จริงสภาวะนั้น สภาวะจริงตลอดไป สิ่งที่จริงตลอดไปก็เป็นความสุขของใจ เป็นความสุขคงที่และมีอยู่ แต่สภาวะจริงอันนี้มันโดนกิเลสปกคลุม มันถึงสภาวะต้องหมุนไปตามนั้น นี่เราแยกออกสิ่งนี้ เราพยายามแยกออก ความจริงกับใจอันนี้มันต้องเป็นอันเดียวกัน ความจริงกับใจ สิ่งที่ใจเป็นความจริง มันจะอยู่กับเราตลอดไป ถึงต้องพยายามแยกแยะออกไป
สัมมาสมาธิก็พยายามกำหนดเข้าไป ถ้ากำหนดได้นะ จิตนี้กำหนดสมาธิเข้าไปเรื่อยๆ ถ้ามันยังกำหนดได้ เราพยายามกำหนดให้มันลึกเข้าไปๆ พอมันลึกเข้าไปๆ มันจะเป็นความจริง สิ่งที่เป็นอนิจจังมันต้องแปรสภาวะไป สิ่งที่เป็นความจริงมันเป็นความจริงอยู่ แต่เป็นความจริงในส่วนของโลกียะ กับความจริงในโลกุตตระ
ความจริงในโลกียะมันเป็นความจริงขนาดไหนมันก็เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจังเพราะว่ามันมีกิเลสที่หมุนเวียนไป ความจริงอันนี้มันถึงเป็นสัมมาสมาธิไง แล้วสัมมาสมาธิ น้ำเต็มแก้ว สิ่งที่เต็มแก้วอยู่มันต้องเสื่อมสภาวะ มันทำให้เจริญมากไปกว่านั้นไม่ได้ แล้วพอทิ้งไว้มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไป มันต้องแปรสภาพไป มันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
เราสร้างสม พยายามปฏิบัติขึ้นมา เราสร้างสมคุณงามความดี เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาขึ้นมาเพื่อจะให้ได้ธรรมมา พอได้ธรรมมาแล้วมันก็แปรสภาพไปๆ มันทำให้เรามีความท้อถอย มีความไม่แน่ใจ ความไม่แน่ใจมันต้องมาเทียบกับทุกข์สิ ทุกข์ของโลกนี้ทุกข์เพื่อที่จะเป็นความทุกข์ออกไป แต่อันนี้มันเป็นทุกข์เพื่อที่จะพ้นทุกข์ แล้วชีวิตนี้ก็เป็นไปสภาวะแบบนั้น
ชีวิตนี้ เรื่องของโลกมันก็หมุนเวียนไป มันเป็นสิ่งที่เป็นเครื่องล่อ ทุกอย่างมันจะล่อให้เราติดพันไปกับสิ่งนั้น พอล่อไปมันก็ติดพันไปๆ แต่พอถึงที่สุดแล้วมันก็ทิ้ง ทิ้งแต่สภาวกรรม ผล ทิ้งวิบากเอาไว้ให้กับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมความปรารถนาเลย จะไม่มีความสมปรารถนาของตัวเอง ถึงที่สุดแล้วชีวิตนี้ต้องการให้มันอยู่กับเราก็ไม่สมความปรารถนา ไม่มีอะไรสมความปรารถนาเลย ชีวิตนี้เหมือนละคร โลกนี้เหมือนละคร เราเกิดมาสภาวะหนึ่งต้องมาแสดงละครชีวิตของเรา แล้วแสดงละครชีวิต มันก็เรื่องของโลกเขา มันก็หมุนเวียนไป แต่มีวาสนาถึงได้มาเจอหลักธรรม มาเจอธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมา สร้างสมมา ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะดึงสิ่งนี้ออกมาจากสภาวธรรมที่มีอยู่ให้เป็นตามความเป็นจริง แล้วเรานี่ ชีวิตนี้คือละคร ถ้าเราใช้ชีวิตไปก็เหมือนบทละครบทหนึ่ง มันจะไม่มีอะไรตกเป็นแก่นสารของชีวิตเลย
แต่ถ้าประพฤติปฏิบัตินี่ทุกข์เหมือนกัน ทุกข์เพื่อพ้นจากทุกข์ มันเป็นความทุกข์ที่ว่าเราเป็นความเพียร ขึ้นชื่อว่างาน มันต้องมีความทุกข์ตลอดไป มันก็มีความเบื่อหน่ายในเรื่องของงาน เรื่องของงานต้องใช้พลังงานทั้งหมด แต่งานในการชำระกิเลสมันจะพ้นออกไป มันจะมีความสุขที่ว่าความสุขอย่างมาก
คนที่ทำงานจบแล้วนะ สิ้นถึงว่า ชีวิตจิตนี้มันจะมีความคงที่ของมัน แต่คงที่แบบโลกุตตรธรรมมันไม่ต้องมีสภาวะแบบใดเลย มันไม่ต้องไปติดสิ่งใด มันอยู่ในสภาวะของมัน มันคงที่ตลอดไป แล้วมันจะมองโลกนี้ โลกนี้เขาติดอะไรกัน มันหมุนไปตามกระแสโลกแล้วมันมีอารมณ์ไปร่วมกับโลกเขา แต่อันนี้มันก็หมุนไปเหมือนกัน รับรู้สิ่งต่างๆ รับรู้แล้ววางไว้ๆ มันสามารถทำได้ ใจดวงนี้ถึงประเสริฐ
ใจดวงนี้มหัศจรรย์มาก เวลากิเลสมันปกครอง มันมีอำนาจเหนือนะ มันข่มขี่ มันต้องไปสภาวะนั้น มันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ มันต้องดิ้นรนไป เพราะมันอยากมีความจินตนาการ พอความอยากมันคิด มันตั้งโจทย์ขึ้นมาแล้ว มันต้องสนองโจทย์ของตัวเอง นี่กิเลสมันเกิดขึ้นมา มโนกรรมเกิดขึ้นก่อน วจีกรรม กายกรรมเกิดตามมา แล้วก็หมุนไปๆ เพราะความคาดความหมาย
แม้แต่ประพฤติปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติธรรมว่าต้องเป็นแบบนั้น เราศึกษามา เราฟังครูบาอาจารย์มา เทศน์ของครูบาอาจารย์เพื่อจะปลดเพื่อจะละของเรา เราก็คิดจินตนาการหมุนออกไปว่าจะต้องเป็นแบบนั้น สะสมอาการเป็นแบบนั้น ถ้ามันสะสมขึ้นมา เราได้อาการของมันมา เราได้อารมณ์มา อารมณ์สิ่งที่เราได้มา เราจินตนาการขึ้นมาใช่ไหม แต่เวลาเราปฏิบัติธรรม มันละออกไป ละออกไปแล้วเกิดอารมณ์นั้นต่างหาก ละออกจากกิเลส ละความคิดต่างๆ แล้วออกไป มันจะว่างเหมือนกัน แต่เราต้องว่าอยากที่ได้มา เราพยายามให้มันได้ความว่างมา มันก็ได้มา มันเป็นสัญญาอารมณ์ กับความแยกแยะอารมณ์ออกไป มันก็เกิดอารมณ์เหมือนกัน เพราะเกิดความรู้สึกเหมือนกัน แต่มันเกิดคนละสถานะ
สถานะหนึ่งคือการไปยึดมัน ยึดมันให้เป็นสถานะแบบนั้น แล้วว่าอันนี้เป็นธรรม นี่เรายึดอาการของใจว่าเป็นธรรม แต่เวลาเราปล่อยอาการของใจออกไป เราพิจารณา ใจกับอาการคือความรู้สึกมันคนละอันกัน มันแยกออกจากกัน พอมันแยกออกจากกัน ความว่างเหมือนกัน ใจมันมหัศจรรย์แบบนั้น แบบที่ว่ามันปล่อย มันก็เป็นอาการที่ว่าปล่อยว่างหมดเลย มันไปยึดความรู้สึกต่างๆ มันยึดขึ้นมานี่ แล้วมันสร้างสถานการณ์ขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติที่มันไม่ได้ผล ไม่ได้ผลตรงนี้ไง ตรงที่ว่าเราไม่ได้ชำระล้าง ความละ ละต่างหาก ละแล้วว่างๆ ความละอันนั้นเป็นผลของเรา แล้วต้องทำสิ่งนั้นตลอดไป จะต้องทำสิ่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คาดไถจนกว่าจิตมันจะยอมรับความจริง
จิตนี้มันโดนหลอกมาตลอดไป แล้วมันสะสมมา มันโดนหลอกมามหาศาล ไม่มีต้นไม่มีปลาย กำเนิดของจิต แล้วจิตที่มากำเนิดอีก จิตที่จะมาเกิดอีกมหาศาลมากนัก มันพยายามจะเกิด แล้วเราคุมกำเนิดมันไว้ เพื่อไม่ให้จิตเกิดๆ มันก็ต้องเกิดสภาวะอื่น แต่อันนี้มันเป็นสภาวะที่เราเกิดมา สภาวะจิตของเรา เราถึงว่ามันมหาศาลขนาดนั้น เราต้องแก้ไขของเราให้มันเป็นสิ่งที่สะอาดขึ้นมาให้ได้ สภาวธรรมนี้ถึงเป็นของเรา
สภาวธรรมของเราคือสภาวธรรมที่เกิดขึ้นมาจากใจ ใจเป็นผู้ปฏิบัติแล้วกระทบขึ้นมา ทุกข์มันก็รับรู้ว่าทุกข์ สุขมันก็รับรู้ว่าสุข แล้วมันจะสิ้นถึงสิ้นสุดอายุ อายุของกิเลสอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของเรา อายุของกิเลส เวลากิเลสมันตายขึ้นไป เวลาถ้าอย่างนั้นแล้วอายุของกิเลสมันไม่มี มันไปอยู่กับใจ ใจเกิดตายๆ ก็ไม่มีวันสิ้นสุด อายุของกิเลสมันก็อาศัยใจไปอย่างนั้น แต่การประพฤติปฏิบัติ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี กำหนดอายุของมันได้เลย แล้วมันต้องตายจากหัวใจของเราไป พอกิเลสตายขึ้นไป ใจบริสุทธิ์ขึ้นมาเป็นสภาวธรรมความจริงในการประพฤติปฏิบัติ เอวัง