เทศน์เช้า วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันปีใหม่นะ วันนี้วันขึ้นปีใหม่ เราทำบุญกุศลกันเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต ถ้าเป็นสิริมงคลกับชีวิตเรา ชีวิตเรามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติโดยสมมุติ สมมุติในธรรมชาติ
สมมุตินี้ยิ่งใหญ่มาก ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมมุติว่าเวลามีบัญญัติเป็นวินัยไว้ เว้นไว้แต่สมมุติ ผู้ที่ทำผิดสมมุติขึ้นมาซ้อนสมมุติแล้วต้องแยกออกไปให้มันเป็นว่าสิ่งใดควรจะยึดมั่นสิ่งใดควรจะปล่อยวาง ถ้ามันปล่อยวางได้ เราเข้าใจได้ เราจะปล่อยวางสิ่งที่ว่าเป็นสมมุติ แต่ยังปล่อยวางไม่ได้ เพราะธรรมวินัยก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง
ธรรมวินัย เห็นไหม วินัยของพระพุทธเจ้าเป็นสมมุติ สมมุติว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมาให้เราทำ ให้เราประพฤติปฏิบัติสิ่งนั้น แล้วสิ่งนั้นมันสุดวิสัย เช่น เวลาเขาถวายพระพุทธรูปทองคำขึ้นมา ภิกษุห้ามจับต้องเงินและทอง ภิกษุจับต้องเงินและทองนั้นเป็นอาบัติ สิ่งที่จับต้องวัตถุนั้นเป็นนิสสัคคีย์ ตัววัตถุนั้นเป็นปาจิตตีย์ แต่เว้นไว้แต่สมมุติ สมมุติให้พระภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ที่ทำความสะอาด เป็นผู้ที่ดูแลรักษาพระองค์นั้น เว้นไว้แต่สมมุติ สมมุติให้พระเป็นผู้แจกภัตรให้เป็นผู้แจกของต่างๆ เว้นไว้สมมุติ สมมุติมันเป็นตามธรรมชาติของมัน
ธรรมคือความจริง สิ่งที่เป็นไปตามความจริงนั้น แต่ธรรมส่วนหยาบ ธรรมส่วนกลาง ธรรมส่วนละเอียดเข้าไป แล้วแต่เราจะเข้ามา คนที่ไม่เคยเข้ามาเลย ไม่เข้ามาสิ่งใด จะฟังธรรมไม่เข้าใจ จะไม่เข้าใจเรื่องธรรมะเลย ธรรมะคืออะไรนี่ไม่รู้เรื่องเลย ถึงว่ามันเป็นสิ่งที่ว่าไม่มีสิ่งที่พิสูจน์ได้จนกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วบัญญัติขึ้นมา เราถึงสื่อความหมายได้
พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน แต่สอนไม่ได้ เพราะอะไร เพราะไม่มีสมมุติอันนี้ไง สมมุติอันที่มาสอนกัน สมมุติที่ว่าขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เป็นสมมุติ เรื่องโพชฌงค์ สิ่งที่เกิดขึ้นมา เวลาพายุเกิดขึ้นมา มันก่อตัวขึ้นมา แล้วพายุพัดไป ๓-๔ วัน มันก็พัดผ่านไป เห็นไหม มันยังเห็นตัวตนว่าเป็นพายุ แต่เวลาความคิดเราเกิดขึ้นมา เวลาขันธ์ของเรามันให้ความทุกข์กับเรา เราไม่เห็นตัวมัน เราไม่สามารถเห็นมันเลย มันเป็นสภาวะอันหนึ่งที่เกิดขึ้น นี่สภาวธรรม ธรรมชาติเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่จริงตามสมมุติ มันอยู่ตามสมมุติ โลกนี้ก็เป็นสมมุติ อย่างกาลเวลาก็เป็นสมมุติ แต่ให้เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ ให้เริ่มต้นปีใหม่ ปีใหม่เราก็ทำบุญกุศลกันเสียทีหนึ่ง เริ่มต้นชีวิตใหม่เพื่อมีโอกาสที่เราจะได้เริ่มประพฤติปฏิบัติ เริ่มความเข้าใจ มีการฟังธรรม
ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้เลย เราก็จะไหลตามกระแสของโลกไปๆ สมมุติขึ้นมาแล้วแต่รัฐบาลของแต่ละประเทศ อย่างที่ว่าของเขาเลื่อนไปอีกชั่วโมงหนึ่ง เวลาเขาก็ต่างไปอีกชั่วโมงหนึ่ง เขาก็ต้องฉลองช้ากว่าเราอีกชั่วโมงหนึ่ง กาลเวลาของทวีปยุโรปไปอีกอย่างหนึ่ง เขาก็ต้องฉลองไปอีกอย่างหนึ่ง ทำไมว่าถ้าเป็นปีใหม่ทำไมไม่เท่ากันละ สิ่งที่ว่าเป็นอรุณรุ่งขึ้นมาต้องเหมือนกัน เวลาต้องเหมือนกัน นี่ไม่เหมือนกัน เห็นไหม
สมมุติคณะรัฐมนตรีขึ้นมา แล้วพวกเราเป็นผู้ที่อยู่ใต้ปกครองก็ต้องเชื่อตามนั้น เงินทองนี่สมมุติขึ้นมา เป็นเงินเป็นทองขึ้นมาใช้สอย แต่เวลาเลิกใช้แล้วมันก็เลิกสมมุติไป นี่เป็นความสมมุติอันโลกของเขาเป็นสมมุติ แต่มันยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่มากจนสามารถทำให้เราคน ๖๐ ล้านคน ต้องฉลองพร้อมกัน ต้องทำพร้อมกัน นี่มันเป็นวัฒนธรรมประเพณี
ประเพณีเป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นความดีงาม ประเพณีวัฒนธรรมนี้เป็นเครื่องดำเนิน สิ่งที่เป็นเครื่องดำเนินนี้เป็นถนนหนทาง ถนนหนทางเครื่องดำเนินขึ้นไปถึงเป้าหมาย ถ้าถึงเป้าหมาย เป้าหมายของเราตั้งสัจจะบารมีเลยนะ เราเวลาทำบุญกุศลกัน เราตักบาตรกัน ตักบาตรทัพพีเดียวก็แล้วแต่ ปรารถนาซึ่งพ้นทุกข์ ปรารถนาถึงนิพพาน เราว่าทำกำไร คือว่าค้ากำไรเกินควร ค้ากำไรเกินควรนั้นแล้วแต่เขาคิดไป แต่เราต้องทำอย่างนั้น
ทำบุญกุศลครั้งใดแล้วแต่ เราก็ตั้งเป้าหมายว่าถึงที่สุดแล้วให้พ้นจากทุกข์ ไม่ต้องเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารนี้เป็นความทุกข์มาก แต่มันก็ต้องเวียนไป เพราะมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่มีอยู่ทำลายไม่ได้ เราทำลายชีวิตตัวเราเอง เราทำได้แต่ร่างกาย แต่หัวใจก็ต้องไปเกิดใหม่ เกิดใหม่ตลอดไป สิ่งนี้ไม่มีวันที่สิ้นสุด
การตายการเกิด เวียนตายเวียนเกิดธรรมชาติของมัน มันต้องเป็นไปตามกระแสของมัน แต่ถ้าไม่ถึงที่สุด เราก็ต้องอาศัยบุญกุศล อาศัยพึ่งสิ่งที่พึ่งพาอาศัยนี้เป็นที่พึ่งพาอาศัยไป พึ่งพาอาศัยไปถึงที่สุด เราพยายามประคองชีวิตเข้าไป แต่ถ้าเราเข้าไป เราเข้าถึงธรรม สภาวะนะ เราจะเห็นเลย คนหยาบ หยาบขนาดไหน เราจะเห็นความหยาบของเขา เขาจะไม่คิดถึงเรื่องอย่างนี้เลย
คนอย่างเรา เราเข้ามา เราว่าเราเป็นคนอย่างกลาง เราใฝ่บุญใฝ่กุศล แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้าไป เราก็เห็นอีกล่ะ คนที่ประพฤติปฏิบัติ ทำไมเอาชีวิตทั้งชีวิตไปทุ่มอยู่ในวัดในวา เอาชีวิตนี้ไป มันทำไมคิดขนาดนั้น
นี่มีพระฝรั่งมาบวชนะ อยู่ทางภาคอีสาน แล้วเขาพูดให้เราฟังว่า เพื่อนเขาทางยุโรปจะจดหมายมาตลอดเลยว่าทำไมเอาชีวิตนี้มาทิ้งเปล่า ไม่มีประโยชน์เลย...นี่ความคิดคนต่างกัน เขาคิดต่างกันว่าชีวิตนี้เกิดมาแล้วต้องใช้ประโยชน์ในทางโลก ทำเสร็จขนาดไหนแล้วก็มีคนทำต่อไป แต่เรื่องของความตาย มันตายไปแล้วดวงวิญญาณจะไปเกิดอีก
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้ามาถึงดวงวิญญาณอันนี้ ดวงวิญญาณอันนี้กำลังปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่นของมัน ปลดเปลื้องสิ่งที่ว่าเป็นวัตถุของมัน เห็นไหม อารมณ์เป็นวัตถุอันหนึ่ง แขกจรมา เวลาเราคิดขึ้นมา เราจะมีอารมณ์ขึ้นมา มันจรมาแล้ว เราต้องต้อนรับแขก เรารับแขก วันนี้เรารับแขกดีมันก็เป็นคุณงามความดีของเรา ถ้าแขกมันเกิดไม่ดี นี่กิเลสมันเกิด สิ่งที่แขกมันดีขึ้นมาคือกุศลมันเกิด กุศลกับอกุศลจะเกิดในหัวใจของเราตลอดไป
สิ่งที่เป็นกุศลขึ้นมาจะทำให้เราพ้นจากกิเลสได้ พยายามสร้างสมขึ้นมา อย่างเช่นเราทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่อสร้างสมกุศลขึ้นมาเป็นเครื่องดำเนินเป็นถนนหนทางจะเข้าไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ถ้าเราไม่มีถนนหนทางขึ้นมา เราจะบอกว่าสรรพสิ่งทั้งหมดมันเป็นกิเลสทั้งหมด...มันเป็นกิเลสทั้งหมดไม่ได้ มันเป็นกิเลสถ้าเราเชื่อมันในทางบาปอกุศล เชื่อมันว่าเรานอนใจชีวิตเราไปวันหนึ่งๆ เวลามันหมดโอกาสแล้วเราก็เสียใจเหมือนกัน
อาจารย์มหาบัวท่านบอกว่า ชีวิตเราเปรียบเหมือนสัตว์ เหมือนโคเขาจะจูงไปฆ่าก็ยังเล็มหญ้าไปตลอดทาง ไม่รู้ว่าชีวิตเราจะสิ้นสุดเมื่อไหร่นะ เหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง สัตว์มันไม่รู้ว่ามันจะตายวันไหน เอาไปโรงฆ่าสัตว์มันก็ยังไม่รู้ว่าไปโรงฆ่าสัตว์ เขาหมายชีวิตมันแล้ว
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตเราหมดสิ้นไป เราตายไปแล้ว โอกาสของเราก็หมดไป ถ้าโอกาสของเราหมดไป บุญกุศลมันจะเป็นสิ่งเครื่องดำเนินไป มันจะพาให้ใจหมุนเวียนไปตามกระแสนั้น นี้เป็นธรรม อันนี้ในวัฏฏะ โลกวัฏฏะ วัฏฏะ วิวัฏฏะ วัฏฏะนี้เป็นสมมุติทั้งหมด สิ่งที่เป็นสมมุติแล้วมันจริงไหม? มันจริงสิ มันเป็นจริงเพราะมันเป็นธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง
แต่สภาวธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมันเหนือธรรมชาติไง เหนือสิ่งต่างๆ เพราะมันรู้กฎทฤษฏีของธรรมชาติ แล้วมันปล่อยวางธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง จิตดวงนี้ละทิ้งธรรมชาติ ความคิดของเราก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันเป็นธรรมะอันหนึ่ง ธรรมะอันนี้เกิดขึ้นในหัวใจ เวลาคิดขึ้นมามันก็เกิดมีความคิด ทำคุณงามความดี เราสร้างสมคุณงามความดี อยากทำขึ้นมาเป็นมรรค นี่มันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง จนถึงที่สุดแล้วมันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เป็นธรรมะอันหนึ่งเป็นสมมุติอันหนึ่ง
สมมุติถึงที่สุดแล้วถึงวิมุตติ มันถึงเหนือธรรมชาติไง ธรรมที่สุดแล้วเหนือธรรมชาติ ถ้าสรรพสิ่งนี้เป็นธรรมชาติ มันต้องเวียนไปตามสภาวธรรม สภาวธรรมชาติคือมันแปรสภาพตลอดไป มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาตินี้เหนือเรา เหนือสิ่งต่างๆ แม้แต่การเกิดการตายก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง การจุติ การปฏิสนธิเกิดในครรภ์มารดา นี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เพราะมันเป็นสภาวธรรมอันความเป็นจริง แล้วเราไปเข้าใจมันไง
เราเข้าใจมัน เราศึกษามัน เห็นสภาวธรรมความเป็นจริงว่าสิ่งนี้มันเป็นเครื่องอยู่อาศัย เกิดมาเป็นธาตุเป็นขันธ์ เครื่องอยู่อาศัยชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่อาศัยแล้ว เราสร้างอาศัยทำคุณงามความดีเพื่อคุณงามความดี เพื่อเกิดตายขึ้นมา ให้มันมีสถานะไม่ต้องทุกข์ยากจนเกินไป แต่ถ้าเราไม่ทำคุณงามความดีของเรา ทุกดวงใจมันต้องอยากได้ดี ทุกคนอยากดีหมด แต่ความดีของใคร ความดีของคนคนหนึ่งก็ดีแค่ทาน ความดีของผู้ปฏิบัตินี่ดีแค่ศีล ดีแค่ปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัติดีที่สุดแล้วมันจะถึงที่สุด
ทำความดีเพื่อดี ถ้าคุณงามเพื่อดีแล้วมันก็จบ ถ้าทำคุณงามความดีเพื่อเป็นของเรา มันจะน้อยเนื้อต่ำใจนะ ทุกคนจะบอกเลย ทำบุญกุศลมาแล้วบุญกุศลไม่ให้ตอบสนองเราเลย เราทำคุณงามความดี เราประพฤติปฏิบัติ ทำไมเราจะไม่ได้ผลของเราเลย เราไปหวังผล เห็นไหม ทำความดีเพื่อจะเอาแล้วจะเป็นความทุกข์ ทำความดีเพื่อปล่อยวาง มันเป็นธรรมชาติของมัน แล้วจะเป็นความสุข
หน้าที่ของเราคือทำความดี ทำความดีแล้วเทวดาฟ้าดินจะรู้การทำความดีของเรานี้หนึ่ง สอง ใจของเราเป็นผู้ที่ทำความดี ใจของเราจะรู้คุณงามความดีของเรา หนึ่ง ทำคุณงามเพื่อเป็นความดีแล้วมันจะเกิดบารมี เราทำคุณงามความดีแล้วอยากให้คนยกย่อง ทุกคนจะไม่เห็นความดีของเราเลย เพราะต้องการยกย่องกัน เพราะต้องการการยกกัน การกดกัน มันรับไม่ได้
แต่ถ้าทำคุณงามความดีของเราขึ้นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์มา สร้างสมมาขนาดไหน เป็นพระเวสสันดร สละหมดๆ ไม่ต้องหวังสิ่งใดเลย ไม่หวังสิ่งใด ทำความดีเพื่อดี พอดีอันนั้นมันก็เป็นบารมีของใจ บารมีผู้ที่มีปัญญาขนาดนั้น สร้างสมขนาดนั้น ถึงได้มาเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง ถึงเห็นปัญญาอันละเอียดอันนี้ไง
ปัญญาของเรานี้เป็นโลกียะทั้งหมด แล้วตรงนี้ปฏิบัติกันก็ใช้ปัญญาโลกียะ ความคิดของเราเป็นโลกียะ ความคิดเราเป็นโลกียะแน่นอน ปฏิบัติพิจารณานามรูป เห็นสภาวะตามความเป็นจริง ปล่อยวางๆ มันเป็นสัมมาสมาธิ เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เป็นความเห็นต่างๆ แล้วปล่อยวางเข้ามาๆ พอปล่อยวางเข้ามามันก็เวิ้งว้าง ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามานั้นเป็นสภาวะเอกัคคตารมณ์ เป็นเรื่องของจิตล้วนๆ พอจิตล้วนๆ จิตมันปล่อยจากขันธ์ชั่วคราว แต่จิตไม่สามารถชำระขันธ์ให้ขาดออกไปจากใจได้ เห็นไหม นี่มันก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง
จะพิจารณานามรูปเป็นสภาวธรรมเป็นไหม? เป็น เป็นสภาวะตามความเป็นจริง สภาวธรรมที่ปล่อยวางเข้ามาๆ แต่มันไม่เกิดภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญานี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนี้ อันนี้ชำระกิเลสได้ ย้อนกลับมาชำระกิเลส เข้ามาเห็นตัวกิเลส
วันนี้วันปีใหม่ พยายามสร้างสมปัญญาให้มันเกิดขึ้น ปัญญาเท่านั้นชำระกิเลสได้ แต่ปัญญาไม่มีสัมมาสมาธิเป็นเครื่องหนุน เป็นโลกียปัญญาทั้งหมดเลย ปัญญาที่เราใคร่ครวญ เราศึกษากันมา ปัญญาขนาดไหนก็แล้วแต่ กิเลสพาใช้ทั้งหมดเลย แต่ถ้าทำสมาธิความสงบของใจเข้ามา สมาธิกดกิเลสให้มันสงบตัวลง หินทับหญ้าไว้ บนหินนั้นก็ต้องไม่มีหญ้า ไม่มีสิ่งใดมากวนใจเราได้ เราจะสามารถเกิดปัญญาขึ้นมา เราจะหัดฝึกฝนปัญญาขึ้นมา ปัญญาจะเกิดเองไม่ได้
ถ้าปัญญาเกิดเองได้นะ ที่เขาทำสมาธิกันอยู่ สมาธิมันเกิดมาขึ้นตลอด มันต้องเกิดปัญญาขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน แต่มันเกิดไม่ได้ ถ้ามีสมาธิอย่างเดียวจะเกิดปัญญาไม่ได้เลย ถ้าไม่ฝึกฝน ถ้าฝึกฝนขึ้นมา วงของปัญญามันจะเกิดขึ้นมา ปัญญาที่มีสัมมาสมาธินี้หนุนแล้ว ปัญญานี้ชำระกิเลสได้ ถึงว่าเราพยายามทำของเราสะสมขึ้นมา ให้เห็นขึ้นมานะ มันจะเป็นความมหัศจรรย์ของใจ มหัศจรรย์ของใจแล้วผู้นั้นเป็นผู้รับรู้ ถึงว่าเป็นอกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา มรรคผลนี้ไม่มีกาลไม่มีเวลา
เราถึงที่สุดแล้วเราทำได้ตลอดไป มีสภาวะของใจนี้เป็นต้นทุนเดิม ถ้าคนมีหัวใจ หัวใจนี้เป็นต้นทุน ถ้าต้นทุนอันนี้เราทำให้มันเป็นปัญญาขึ้นมา เป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์ในเรื่องของศาสนา มันเป็นการยืนยันว่าศาสนานี้มีมรรคมีผล ศาสนานี้มีจริง ศาสนานี้ไม่เลื่อนลอยไง ถ้าเราไม่มีตัวนี้ เราก็ว่าศาสนานี้คืออะไรๆ คือมีความลังเลสงสัยแล้วงงไปหมดเลยนะ แล้วก็จับต้องอะไรไม่ได้เลย
แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนกับใจดวงนั้น แต่สื่อความหมายได้ เป็นอกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ไม่ใช่ว่า ๒,๕๐๐ปีไปแล้ว ต่อไปนี้พระอรหันต์ไม่มี ถ้าเวลานี้มันเป็นของตายตัว พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อะไร เพราะ ๕,๐๐๐ ปี ศาสนาหมดไป แล้วต่อไปจะรู้อะไร
จะกี่พันปีก็แล้วแต่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ พระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ต่อไปมรรคผลนิพพานจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
อานนท์เธออย่าถามให้มากไปเลย ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าเหตุผลมันถึงแล้ว พระอรหันต์ต้องมีตลอดไป มีตลอดไป เพียงแต่ว่าคนเราเข้าไม่ถึง แล้วไม่เชื่อ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เชื่อมั่นในสัจธรรม ไม่เชื่อมั่นในหัวใจของตัวเอง ไม่สามารถฟันฝ่าศูนย์กลางของใจเข้าไปชำระกิเลส
ศูนย์กลางของใจเรานี่แหละมันเป็นตัว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อยู่ที่ก้นบึงของใจ แล้วเราไม่สามารถชำระ เราไม่เชื่อมั่น เราไม่ฝักใฝ่เราเอง แล้วบอกว่ามันไม่มีแล้วๆ...ไม่มีแล้ว นั่นกิเลสมันบอก กิเลสมันมีอำนาจเหนือเรา แล้วเราจะเชื่อกิเลส แล้วเราจะวนอยู่ในกิเลสนี้
สภาวธรรมที่เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติทั้งนั้น สภาวธรรมเป็นธรรมชาติ เราก็เป็นธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติ แต่ถึงที่สุดแล้วมันเหนือธรรมชาติ มันรู้สภาวธรรมชาติ ปล่อยวางธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง เป็นสมมุติอันเดียววางไว้ แล้ววิมุตติจะเกิดขึ้นกับใจดวงนั้น เอวัง