จิตจริง โสดาบันก็จริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรมนะ ฟังธรรม ธรรมจะกล่อมใจเรา กล่อมใจเราให้ ให้เข้าสู่สัจจะความจริง ขณะนี้ใจของเราปลอม ใจของเราปลอมนะ ทั้ง ๆที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ย มีชีวิตจริง ๆ นี่แหละ มันจริงตามสมมุติ สมมุติเราเคยปลอม ความปลอมของมันเห็นไหม มันสมมุติบัญญัติ เวลาฟังธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เวลาฟังธรรมนะสมัยพุทธกาลใช่ไหม การได้ยินได้ฟังการฟังธรรมนี้เป็นแสนยาก ฟังธรรมนี้เป็นแสนยาก เพราะอะไร เพราะเวลาฟัง ต้องฟังจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังจากพระโอษฐ์ของผู้ที่มีคุณธรรม นี่มันถึงเป็นธรรม
แต่ในปัจจุบันนี้เห็นไหม เนี่ยเวลาเทคโนโลยีเจริญขึ้นมาเนี่ย การฟังธรรมเนี่ย คลื่นวิทยุมันไปได้หมด การฟังธรรม ฟังธรรม เราเลยคิดว่าการฟังธรรมนี้เป็นของง่าย นี่ไงการฟังธรรมเป็นของง่าย ๆ เพราะเราได้ยินได้ฟังอยู่ตลอดเวลา แต่เราลืมไปว่าเพราะเราเกิดเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนา พุทธศาสนาเห็นไหม เนี่ยครูบาอาจารย์ของเรา ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ เนี่ยท่านจะเผยแผ่ธรรม ๆ เพื่อธรรมกระจายออกไปเพื่อใคร เพื่อใคร เพื่อชาวพุทธไง เนี่ยศาสนทายาท เพื่อสร้างทายาทเห็นไหม เวลาเรามีลูกมีเต้าขึ้นมาเห็นไหม เราก็จะพาลูกพาเต้าไปวัดไปวา เพื่อให้ลูกเต้าของเราให้เข้าถึงธรรม เมื่อเข้าถึงธรรมเขาจะมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจของเขา เขาจะมีความสุขความร่มเย็นพอสมควรในอัตภาพ ในอัตภาพนะ
แต่เพราะใจของเรามันปลอม พอใจของเราปลอม มันปลอมขึ้นมาเนี่ย ฟังธรรมขึ้นมาเนี่ยมันเป็นของปลอมไปหมดเลย เพราะใจมันปลอม จิตปลอม จิตปลอมนะ เนี่ยกาย เวทนา จิต ธรรมปลอมไปหมด สรรพสิ่งที่เป็นปลอม ปลอมเพราะอะไร ปลอมเพราะว่าความไม่เข้าใจตามความเป็นจริง แต่กิเลสมันร้ายนัก เวลากิเลสมันบอกเราศึกษาธรรมเราเข้าใจในธรรมะ ธรรมะนี่เราเข้าใจหมด เนี่ยความเข้าใจ เข้าใจโดยความจอมปลอมของกิเลส กิเลสมันจอมปลอมอยู่แล้ว แล้วมันศึกษาธรรมก็ศึกษาด้วยความจอมปลอม ถ้าบรรลุธรรมก็บรรลุธรรมด้วยความจอมปลอม ความจอมปลอมของมัน มันโกหกมดเท็จ มันมีเล่ห์มีเหลี่ยมของมัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันใช้เล่ห์กลของมัน เล่ห์กลของมัน เพื่อทำความพอใจของตัว ความพอใจของตัวนะ
เนี่ยเวลาศึกษาธรรมะเห็นไหม ข่มขี่นะข่มขี่ ให้คะแนนตัดคะแนนตัวเอง ให้คะแนนตัดคะแนนธรรมะขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็สิ่งนั้นไม่เป็นธรรม ถ้าสิ่งใดได้ดั่งใจของตัวว่าสิ่งนั้นเป็นคุณธรรม เป็นคุณธรรมของเราของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันกดขี่ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าจนขึ้นมาเป็นสัจจะความจริงตามข้อเท็จจริงนั้นไม่ได้
นี่ไงเวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์น่ะ เนี่ยเวลาศึกษาธรรมขึ้นมา รื้อค้นขึ้นมา เวลารื้อค้นขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาแล้วเห็นไหม เนี่ยสิ่งนี้มันละเอียดลึกซึ้ง เนี่ยขนาดคำว่าละเอียดลึกซึ้ง ดูสิปัญญาขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย เราจะสอนใครได้หนอ สอนใครได้หนอนะ คำว่าสอน ขนาดว่ามีปัญญาลึกซึ้งขนาดนี้มันแยกแยะต่าง ๆ
เห็นไหมคนที่มีปัญญาจะอธิบายสิ่งที่ยากให้เป็นของง่ายได้ทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เข้าใจได้ยาก เนี่ยเราอธิบายให้ความเข้าใจกับสังคม สังคมเข้าใจนั้นได้นั้นคนที่มีปัญญา แล้วองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเนี่ยมีปัญญามากกว่าทุกๆ คน ทำไมท้อใจล่ะ ทำไมท้อใจ เพราะว่ามันลึกซึ้ง มันลึกซึ้งเพราะอะไร พอลึกซึ้งแล้วเนี่ย องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมวินัยไว้เห็นไหม เนี่ยปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
กรณีปริยัติการศึกษาธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการประพฤติปฏิบัติให้มันตามข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงอันนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิเวธความรู้แจ้งอันนั้น นี้ความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งเนี่ยตามความเป็นจริง ปฏิเวธรู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริงเห็นไหม ถ้ามันมีความเป็นจริงมันจะมีคุณธรรมในหัวใจ แต่ถ้ามันไม่รู้ตามความเป็นจริงอันนั้น มันไม่รู้ตามความเป็นจริงตามธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เนี่ยมันเป็นอะไรล่ะ เพราะมันปลอมไง พอใจมันปลอมนะ ความปลอมขึ้นมาในหัวใจ สิ่งต่าง ๆ มันจะปลอมไปหมด
เพราะเรื่องของใจมันเรื่องความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์มากนะ จิตเนี่ยเป็นเรื่องมหัศจรรย์ลึกลับซับซ้อนมาก เนี่ยแล้วเวลามันทุกข์ขึ้นมา เวลาเกิดเป็นมนุษย์ เนี่ยเห็นไหมใจมันปลอม เวลาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์แท้ ๆ นี่แหละ มีอิสรภาพในความเป็นมนุษย์ ที่จะแสวงหาที่จะหาทางออกแข่งกับกาลเวลานะ แข่งกับความตายเพื่อจะให้จิตนี้ถึงเป้าหมายให้ได้ แต่ขณะเราแข่งกับความตาย เรายังละล้าละลังเห็นไหม ดูสิเกิดมาแล้วก็ยังติดกับโลก เนี่ยติดในโลก ติดในวัฏสงสาร หักวัฏสงสารออกมาไม่ได้ ๆ มันก็ต้องอยู่กับโลกไป พออยู่กับโลกไป เนี่ยทางของคฤหัสถ์เป็นทางที่คับแคบ แต่ศึกษาธรรมขึ้นมา ศึกษามาในปัจจุบันนี้เห็นไหม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ครูบาอาจารย์เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จนเข้าถึงมรรคถึงผล ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา การนับถือศาสนาพุทธ ทุกคนน่ะใช้การประพฤติปฏิบัติเป็นชีวิตประจำวัน
ใครจะทำก็ได้ ดึงฟ้าให้ต่ำไง ใครทำก็ได้ ใช่ใครจะทำก็ได้แต่ของเขาต้องมีเชาว์ปัญญาของเขา เขาต้องมีวุฒิภาวะของเขา ในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ใครทำก็ได้ หมาจะทำก็ได้ หมามันเห่าขึ้นมาก็เป็นธรรมะทั้งนั้น ดูสิเดี๋ยวนี้หมามันร้องเพลงนะ เนี่ยฝึกให้มันเป็นได้เนี่ย ประพฤติปฏิบัติเป็นประจำวัน ชาวพุทธใช้การปฏิบัติเป็นประจำวัน ใช่อยู่ปฏิบัติเป็นประจำวันมันได้มากน้อยแค่ไหน นั้นประจำวัน
ประจำวันคือตั้งสติ คือเราปรารถนาความสุข ทุกคนปรารถนาความสุข ศาสนาพุทธมีธรรมะหลากหลาย หลากหลายเห็นไหม ฆราวาสธรรมเห็นไหมผู้ที่เห็นภัยใจวัฏสงสาร ออกประพฤติปฏิบัติเห็นไหมเนี่ย เนี่ยเวลาบวชเป็นพระแล้วยังมีอรัญวาสี คามวาสี อรัญวาสีก็เข้าป่าเข้าเขาประพฤติปฏิบัติเอาตามความเป็นจริง ก็บอกว่ามันทุกข์มันยาก มันทำอย่างนั้นมันอัตตกิลมถานุโยค อย่างนั้นมันก็มีแต่พระที่จะประพฤติปฏิบัติได้ เราเป็นฆราวาสเป็นคฤหัสถ์ปฏิบัติไม่ได้
ศาสนานี้ต้องเอามาเป็นกลาง ต้องเอามาตีแผ่ ทุกคนต้องมีสิทธิไปหมดเลย แต่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาจะเล็งญาณ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์นะเห็นไหม เช้าขึ้นมาเล็งญาณ จิตของใครควรแก่ที่จะเข้าถึงธรรม แล้วอายุของเขาเนี่ยมันจะเภทภัยขึ้นมาทำให้อายุของเขาถึงสิ้นไป ต้องไปเอาคนนั้นก่อน เนี่ยต้องเล็งญาณ ต้องสอดส่อง ใครทำก็ได้ ใช่ใครทำก็ได้ แต่ทำแล้วมันจะได้ผลจริงหรือผลไม่จริง
ถ้าได้ผลจริงเห็นไหม ทำไมเราต้องมีศีล ๕ ทำไมเราต้องมีศีล ๘ ทำไมต้องมีศีล ๒๒๗ ล่ะ ถ้าเรามีศีลขึ้นมาความปกติของใจเนี่ยควรแก่การงาน ไม่ใช่ใครก็ทำได้ ใครก็ทำได้ โจรปล้นมันก็ปล้น ปล้นก็พุทโธไปด้วย พุทโธ พุทโธ มันปล้นไปด้วย นั่นใครทำก็ได้ แต่ขณะนั้นเดี๋ยวนี้การประพฤติปฏิบัติก็ใส่หน้ากากเข้าหากัน ๆ มือถือสากปากถือศีล ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย ในคุณธรรมเห็นไหมมันมีแต่การเสียสละ มีแต่การเสียสละ แม้แต่เสียสละความตระนี่ถี่เหนียว เสียสละความหมักหมมในหัวใจ ให้ใจมันปลอดโปร่ง
นี่การประพฤติปฏิบัติธรรมมันต้องปูพื้นฐานขึ้นมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่เนี่ยน่ะเห็นไหมนกกระยาง นกกระยางเห็นไหมขาวปลอดเลย ยืนนิ่ง ๆ เลยนะเวลาปลามันผ่านมา จ๊อบ เรียบร้อย นี่ไงเนี่ยมันมีแต่รูปแบบ มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงเพราะใจมันปลอมเห็นไหม ใจมันปลอมเห็นไหม ก็เป็นพิธีกรรมทั้งนั้นน่ะ สร้างพิธีกรรมขึ้นมา พอมีพิธีกรรมขึ้นมาแล้วก็เป็นการประพฤติปฏิบัติ มันก็เหมือน เหมือนอุตสาหกรรมการผลิต เนี่ยเวลามันมีวัตถุดิบต่างๆ หมุนออกมา มันสำเร็จรูปออกมามันเป็นธุรกิจการค้าไปเลย
เนี่ยปฏิบัติก็หมุนไป แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะ แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นเพราะกิเลสมันฆ่ายากที่สุด เวลาเกิดขึ้นมาในวัฏสงสาร เพราะกิเลสมันพาเกิด พอเกิดขึ้นมาเนี่ยเกิดมาด้วยบุญกุศลนะ เกิดเป็นมนุษย์พุทธศาสนาเนี่ย แล้วมีศรัทธาความเชื่อเนี่ย สิ่งนี้มัน มันเป็นสิ่งที่มีอำนาจวาสนามาก ทีนี้มีอำนาจวาสนาขนาดไหน เวลาทำ เวลาประพฤติปฏิบัติ มันต้องมีความจริงของมัน
มันต้องมีจริงถ้าใจมันไม่จริงนะ เนี่ยจิตปลอม ความเห็นทุกอย่างปลอมไปหมดถ้าจิตมันจริง แล้วจิตมันจริงตรงไหน มันมีจิตจริงไหม เนี่ยความเกิดขึ้นมา จิตนี่ปลอมหมด ความรู้สึกเราปลอมหมด หัวใจนี้ปลอมหมด ร่างกายนี้ก็ปลอม ปลอมหมด ปลอมเพราะอะไร ปลอมเพราะมันเป็นสมมุติ มันจริงของมัน มันจริงในสมมุติ จริงในสมมุติน่ะ ความสมมุติเห็นไหม เวลาถ้ามันสมมุติถ้าปฏิบัติง่ายรู้ง่ายทุกอย่างง่ายหมด ถ้าง่ายหมดมันก็ต้องบรรลุธรรม มันต้องเข้าใจธรรมะ เนี่ยทำไมต้องบัญญัติขึ้นมาล่ะ ทำไมจะมาเถียงกันให้ปากเปียกปากแฉะ
เห็นไหมสมมุติบัญญัติ บัญญัติขึ้นมาเห็นไหม บาลีบัญญัติพระพุทธเจ้าบัญญัติเนี่ยภาษามคธ แล้วเราพยายามศึกษากัน พอศึกษาขึ้นมา เราก็ตีความ ตีความธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พอตีความธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา เนี่ย เข้าใจ ๆ คอมพิวเตอร์มันเข้าใจดีกว่านะ เนี่ยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เห็นไหมพระไตรปิฏกกดเข้าไปสิมันตอบหมดล่ะ มันเข้าใจหมดเลย มันทำได้ดีกว่าเราอีก
ถ้าบอกว่าเราเข้าใจธรรมะ เห็นไหมเนี่ยธรรมะใช่ไหม มันก็เป็นอนัตตา ร่างกายมันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นอนัตตา เข้าใจความเป็นจริงก็เป็นโสดาบัน มันจะเป็นโสดาบันที่ไหน มันเป็นโสดาบันของใคร ถ้าเป็นโสดาบันคอมพิวเตอร์เป็นโสดาบันไปก่อนนะ เนี่ยคอมพิวเตอร์มันรู้จริง มันรู้ก่อนเราอีกไม่มีพลาดเลย กดไปมันตอบมาถูกหมดเลย เป็นโสดาบันไหม มันไม่เป็นหรอก
เนี่ยเหมือนกันเวลาปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นโสดาบัน โสดาบัน มันโสดาบันของนิยายธรรมะ มันเป็นนิยายธรรมะ เราสร้างนิยายขึ้นมา เราไปสร้างสังคม ๆ หนึ่งขึ้นมาว่าความรู้จริงอย่างนี้จะเป็นโสดาบัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไม่ได้เพราะจิตมันปลอม ความจอมปลอมของใจ เล่ห์กลของกิเลส กิเลสปกติมันก็มีตัณหาทะยานอยากล้นฝั่งอยู่แล้ว เนี่ยชิงดีชิงเด่น ชิงดีชิงชั่ว มันเป็นความชั่วของมันทั้งนั้นแหละ ในการปฏิบัติก็เอาความแต่ชั่วหมักหมมหัวใจ แล้วมันจะเอาความจริงมาจากไหน
แต่ถ้าเป็นความจริงของมันน่ะ ความจริงของมันเห็นไหมองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาเรื่องโลก ทาน ศีล ภาวนา ให้มีการเสียสละทาน มีการเสียสละของเราขึ้นมา พอเสียสละทานขึ้นมา เข้าไปวัดไปวามันได้ฟังธรรม พอฟังธรรมขึ้นมามันจะพัฒนาใจของมันขึ้นมา ถ้าใจของมันขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติของเราเนี่ย มันฟังธรรมมันกระเทือนหัวใจตลอดน่ะ เนี่ยครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมเวลาแสดงธรรมออกมาไม่มีแต่เสียงเฉย ๆ มันมีคุณธรรมออกมา
เนี่ยจากใจดวงหนึ่งสู่ใจอีกดวงหนึ่ง จากใจดวงที่มีคุณธรรมเวลามันพูดออกมามันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันสะเทือนหัวใจของเรานะ มุมมองของเรา ความเห็นของเราเป็นอันหนึ่ง แต่มุมมองของธรรมเนี่ยพูดคำว่าเดียวกันแต่ไม่เหมือนกัน เนี่ยครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมพูดออกมาเนี่ย พูดออกมาจากธรรมะ ธรรมะมันสะเทือนหัวใจเรา ถ้ามันสะเทือนหัวใจเรา ทาน ศีล ภาวนา ได้ฟังธรรม พอฟังธรรมมาสะเทือนหัวใจ ถ้าสะเทือนหัวใจมันเปลี่ยนอุดมคติเปลี่ยนความเห็นของเรา ถ้าเปลี่ยนความเห็นของเราเห็นไหม
ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาท่านทำจริงของท่าน แต่ของเราจะเอาแต่ความสะดวกสบายของเรา ใจเราเป็นปลอมเห็นไหม พอปลอมขึ้นมา ครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างนั้นจริงๆ เราไปเห็นแต่ผลของท่าน ดูสิเราไปเที่ยวเศรษฐีธรรม ๆ ท่านมีคุณธรรมเต็มไปหมดเลย เราไปดูแต่คุณธรรมของท่าน แต่เราไม่ดูแต่เหตุที่ท่านปฏิบัติมาล่ะ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีน่ะ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมาเห็นไหมดูสิขนาดที่ว่ากองทัพธรรมเคลื่อนมาจากทางอุบล มาทางขอนแก่น โคราช ท่านบอกเลยน่ะเนี่ยมันยังมีอะไรในหัวใจอยู่ มันยังมีอะไรในหัวใจอยู่ เห็นไหมทิ้งหมู่คณะไปที่เชียงใหม่ ไปสำเร็จที่เชียงใหม่ พอกลับขึ้นมาจะบอกเลย กำลังไม่พอ ๆ เห็นไหมเคลื่อนทัพน่ะกองทัพธรรมบอกกำลังไม่พอ ๆ กำลังในหัวใจมันไม่พอ
กำลังในหัวใจมันยังไม่รู้แจ้งของมัน ถ้ามันรู้แจ้งของมัน ดูหลวงปู่มั่นสิ ท่านประพฤติปฏิบัติไปด้วย ท่านสอนลูกศิษย์ไปด้วย และพยายามเอาตัวรอดของท่านไปด้วย ถึงที่สุดแล้วต้องสลัดทิ้งเพื่อไปเอาตัวรอดมาให้ได้ พอกลับขึ้นมาจากเชียงใหม่ กลับมาตั้งแต่อุดรแล้วขึ้นไปสกล ไม่บอกเรากำลังไม่พอ กำลังเหลือเฟือ เหลือเฟือเพราะตั้งแต่เชียงใหม่ไปสำเร็จที่เชียงใหม่เห็นไหม พอสำเร็จที่เชียงใหม่เทวดา อินทร์ พรหม อนุโมทนา เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ฟังธรรมตลอดเวลา แล้วเทศนาว่าการอยู่ในป่าไม่เคยมีเวลาว่างเลย เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ฟังธรรมตลอดเวลา
นั่นไงเนี่ยคนที่มีคุณธรรมในหัวใจเห็นไหมใจมันเป็นธรรมจริงๆ มันออกมากับโลกไหม เพราะโลกมันสกปรก โลกใจมันจอมปลอม ความจอมปลอมมันมีแต่หน้าไหว้หลังหลอก ความหลอกลวง ความปลิ้นปล้อน ในเมื่อกิเลสมันปลิ้นปล้อนสอพลอ แล้วเราปฏิบัติเพื่อความสอพลอมัน เราปฏิบัติเพื่อสอพลอกิเลส ไปยอมจำนนกับมัน
เนี่ยแล้วเอาธรรมะขึ้นมาเห็นไหม นิยายพอศึกษาธรรมะ ๆ เนี่ยจิตนี้มหัศจรรย์อยู่แล้ว มันปลิ้นปล้อน ๆ มันหลอกลวงอยู่แล้ว เอาธรรมะขึ้นมากล่าวอ้างกัน มากล่าวอ้างกันน่ะ ใครทำอย่างนั้น รู้เห็นอย่างนั้น มันจะเป็นโสดาบัน โสดาบัน มันเป็นไปไม่ได้เพราะใจมันปลอม ในเมื่อใจมันปลอม ใจมันปลิ้นปล้อน ใจมันหลอกลวงตัวเอง ทำลายตัวมันเองอยู่แล้ว แล้วมันจะเอาความจริงมาจากไหน ถ้าเอาความจริงมาจากไหน คำพูดธรรมะพระพุทธเจ้าน่าฟังทั้งนั้นน่ะ เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าใช่ไหมเนี่ย
ทำความสงบของใจเข้ามา ดูจิตเข้ามา ดูจิตเข้ามา แล้วพิจารณาของมันมันจะเห็นของมันเอง จิตนี้เป็นสมถะก็ได้วิปัสสนาก็ได้ ปลอมทั้งหมดเพราะใจมันยังปลอมอยู่ ความเป็นปลอมนั้นมันจะเป็นจริงไม่ได้เลย ความจริงขึ้นมาไม่ได้เลย ดูสิดูเงินที่เป็นของจริงบาทสองบาทมันก็ใช้ได้ตามกฎหมาย มีค่าตามกฎหมาย เงินปลอมเห็นไหมไปหลอกลวงเขาได้ เนี่ยเวลาเขาทำธุรกิจการค้าอยู่ เขากำลังมีคนชุลมุนอยู่จะเอาเงินปลอมไปใช้ในนั้นน่ะ เอาเงินปลอมใช้ปนเปไปกับเงินจริง นี่ก็เหมือนกันสังคมของครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติมา จนสังคมเขามีความเชื่อถือศรัทธา เขามีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เอาความจอมปลอมเข้ามา ๆ มันปลิ้นปล้อน มันหลอกลวง หลอกลวงตัวเองเพราะตัวเองไม่มีความแน่ใจ ไม่มีความแน่ใจขณะที่พูดธรรมะ ธรรมะที่จะแสดงธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้จะเป็นโสดาบัน โสดาบัน
แล้วโสดาบันเป็นอย่างไร ๆ โสดาบันก็คือโสดาบันไง กำปั้นทุบดินไง อะไรถึงเป็นโสดาบัน มันเป็นโสดาบันได้อย่างไร มีคุณสมบัติอย่างใดถึงเป็นโสดาบัน เป็นโสดาบันเชื่อถือได้ศรัทธาได้ความจริงได้ จะพูดก็ไม่กล้าจะยืนยืนว่าโสดาบัน ก็ไม่กล้ายืนยัน จะบอกว่านี้เป็นโสดาบันก็หลอกลวงกันไป มันปลิ้นปล้อนมันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ทำอย่างไรถึงเป็นโสดาบัน
เนี่ยถ้าจิตมันจริงน่ะ จิตจริงอย่างไรมันถึงจะจริง ถ้าจิตจริงคุณธรรมมันก็จะเป็นความจริง ถ้าจิตมันยังปลอมอยู่มันปลอมไปทั้งนั้นน่ะ ปลอมไปอย่างน้อยมันมีความตะกอนในหัวใจ ตะกอนในหัวใจ ผู้ที่ปฏิบัติสันทิฏฐิโกมันจะรู้จริงเห็นจริงของมัน นี้รู้จริงเห็นจริงของมันเห็นไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม ถ้ายังไม่ทำจิตสงบเข้ามามันจอมปลอมทั้งนั้น ศึกษาธรรมคอมพิวเตอร์ดีกว่า คอมพิวเตอร์จำได้มากกว่า พระไตรปิฎกเนี่ยในมูลนิธิต่าง ๆ เขามีของเขาคอมพิวเตอร์ฉบับของใคร มหามกุฏมหาจุฬาของวัดไหนคอมพิวเตอร์เยอะไปหมดกดได้ทั้งนั้น
เนี่ยแล้วมันได้อะไรขึ้นมา มันเป็นการศึกษาน่ะเป็นปริยัติเป็นปริยัติ ในการศึกษาเนี่ยมีความจำเป็น มีความจำเป็นในการศึกษา เพื่อการศึกษามาเพื่อการปกครอง เพื่อการปกครองมาวิชาการ แต่ในการประพฤติปฏิบัติ ทางวิชาการแก้กิเลสไม่ได้ ทางวิชาการกิเลสมันเอามันสวมเขา เอาวิชาการมาแล้วก็ทิฏฐิมานะ ทิฏฐิมานะสูงสุดขอบฟ้าว่าฉันมีความรู้ต้องเชื่อฟังฉัน เชื่อฟังแล้วทำไมกิเลสมึงมันไม่เชื่อฟังตัวมึง กิเลสในหัวใจมึงเชื่อฟังมึงไหม ถ้าเชื่อฟังมันการประพฤติปฏิบัติการแสดงธรรมออกมามันจะเป็นผลประโยชน์ไหม จะแสดงธรรมเพื่อธรรม ถ้าแสดงธรรมเพื่อธรรม ทำเพื่ออะไรทำเพื่อขัดเกลากิเลส ธรรมะไม่ใช่เพื่อแก้ทิฏฐิของใคร เพื่อความเห็นใคร ใจสู่ใจนะ ใจดวงหนึ่ง ใจคืออะไร ใจคือความรู้สึก แล้วสู่ความรู้สึกดวงหนึ่ง ความรู้สึกนั้นรับไว้เพื่ออะไร
เพื่อแก้ไขหัวใจของเขา แก้หัวใจของเขาน่ะ เนี่ยทำความสงบของใจเข้ามาถ้าจิตใจยังไม่สงบความคิดทั้งหมดเป็นโลกียปัญญา ความเห็นความรู้ทั้งหมดเป็นโลกียปัญญา เพราะใจมันปลอม สิ่งที่ใจมันปลอมความรู้ความรู้สึกขึ้นมาจะตรึกธรรมขนาดไหน จะทำขนาดไหนมันจะเป็นความปลอมให้หมด จิตต้องกำหนดตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เนี่ยพุทโธเข้ามา ๆ คำว่าพุทโธเห็นไหม
แล้วพุทโธมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ถ้าจิตมันไม่สงบ ความคิดทั้งหมดเนี่ยตรึกในธรรม ตรึกในธรรม ธรรมของใคร เนี่ยเวลารู้ธรรมขึ้นมาศึกษาธรรมขึ้นมาเนี่ยปากเปียกปากแฉะนกแก้วนกขุนทอง เนี่ยเป็นธรรมของใคร เป็นธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด แล้วธรรมอันนี้เกิดขึ้นมาล่ะ ธรรมของเราไม่มี ถ้าธรรมเราน่ะถ้าจิตมันสงบเข้ามา เนี่ยศีลสมาธิปัญญา สมาธิเป็นยังไง แล้วสมาธิไม่มีความจำเป็น ถ้าทำสมาธิอยู่ ใครทำความสงบของใจอยู่ ชีวิตทั้งชีวิตก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเพราะจิตมันไม่เคยสงบซักที ต้องรอให้ความสงบของใจแล้วเมื่อไรมันจะสงบล่ะ มันไม่สงบ
จิตมันมีหลากหลายนัก เนี่ยสมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ มันมีการกระทำของมัน ถ้ามีการกระทำของมันถ้าจิตมันสงบเห็นไหม พุทโธ พุทโธ จิตสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามาหินทับหญ้าจิตมันก็ยังปลอมอยู่ สัมมาสมาธิก็จิตปลอม ๆ ปลอมทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตมันปลอมขึ้นมา ถ้าจิตสัมมาสมาธิเกิดเข้ามาให้ได้ ถ้าสัมมาสมาธิจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันเห็นไหม
ถ้าจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ออกรู้เห็นไหม ออกรู้ ออกเห็น ถ้าออกรู้ออกเห็นออกเห็นกาย เนี่ยจิตก็ปลอม กายก็ปลอม เราเกิดมาเนี่ยร่างกายมันชราภาพค่ำคร่าเป็นธรรมดา ยิ่งคนตายแล้วร่างกายนี้เขาเอาไปทิ้ง เขาเอาไปเผาไฟทิ้ง เขาไม่เก็บไว้หรอก เพราะมันทำให้เขาตกใจกลัว เนี่ยคนตายเขากลัวผีกลัวสาง พ่อแม่รักมากพ่อแม่จะถนอมรักษามากเวลาตายแล้วไม่เอาไว้ในบ้านน่ะ เวลาตายแล้วเอาไปเผา เอาไปไว้ป่าช้า
เนี่ยไงรักก็ส่วนรักแต่ไอ้จิตใต้สำนึกมันกลัวของมัน นี่ไงกายก็ปลอม ใจก็ปลอม พอใจก็ปลอมแล้วก็บอกว่าศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะ เวลาศึกษาธรรมะเห็นไหม สรรพสิ่งในโลกนี้ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คนตายเรื่องความตายเป็นธรรมดา แต่เวลาตายขึ้นมาเสียใจกันทำไม ร้องไห้ทำไม นี่ไงเวลาศึกษาธรรม ศึกษาธรรม แต่เวลาเข้าศึกสงครามสู่สัจจะความจริงทำไมหัวใจหวั่นไหว
นี่ไงความจอมปลอมของมัน ความจอมปลอมเพราะใจมันปลอม สิ่งที่สะเทือนใจมันก็ปลอมไปหมดเลย แต่ถ้าเป็นความจริงน่ะ พุทโธ พุทโธ เนี่ยถ้าจิตมันต้องสงบเข้ามา ถ้าจิตไม่สงบไม่มีการเห็นกาย สิ่งที่เห็นกายเห็นกายไม่ได้ ถ้าพุทโธพุทโธพุทโธจิตสงบเข้ามาเห็นไหม พอจิตสงบใจก็ยังปลอมอยู่เพราะสัมมาสมาธิเนี่ยมันเป็นหินทับหญ้า คือว่าสิ่งที่เรามีความสงสัยสิ่งต่าง ๆ ในหัวใจของเรา เนี่ยอุปาทานเนี่ยสังโยชน์ต่างๆ มันก็อยู่ในใจของเรา เนี่ยพุทโธพุทโธมันสงบตัวลง พอมันสงบตัวลง ใจปลอม ๆ นี่แหละแล้วมันต้องออก
เนี่ยสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ถ้ามันเป็นวิปัสสนากรรมฐานเห็นไหม จิตน่ะมันออกรู้ ออกรู้ในกาย ถ้าจิตมันออกรู้ในกาย ออกรู้ในกาย มันไม่มีความชำนาญน่ะ มันก็รู้บ้างไม่รู้บ้างเนี่ยจิตเสื่อม การกระทำของเราเนี่ยเราทำงานทุกวันน่ะ การทำงานของเรามันต้องมีการสดชื่นแจ่มใส ในการทำงานในความสดชื่นในการรื่นเริงในการทำงาน มันต้องมีการเศร้าสร้อยหงอยเหงา มันต้องมีการทุกข์ความลำบาก นี่ไงการกระทำงานเรามันก็ต้องมีการพอใจไม่พอใจเป็นธรรมดา
ในการทำสมาธิก็เหมือนกัน จิตที่เป็นสมาธิเนี่ยมันบ้างทีมันก็เป็นสมาธิได้ บ้างทีมันก็เสื่อมสมาธิเป็นธรรมดา เราก็ต้องรักษา เราต้องรักษาของเราพุทโธพุทโธเนี่ยรักษาจิตให้ได้ ถ้าจิตมันสงบบ้างไม่สงบบ้าง พอจิตสงบเราก็ต้องหาอุบายวิธีการ หาอุบายน่ะการทำงาน ไม่ใช่ว่าเนี่ยเราบอกว่าเราสมัครงานเราทำงานแล้วเขาจะเปิดโล่งให้ทำงาน ไม่มีทาง สังคมของมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์มันมีการอิจฉาตาร้อน มันมีพวกเขาพวกเรา การทำงานของเราเนี่ยที่ไหนมีคนดีที่นั้นมีคนชั่ว สังคมคนชั่วมันก็มีคนดีแทรกอยู่ในคนชั่วนั้น
ทุกสังคมมีดีมีชั่วปนกัน การกระทำของเรามันต้องมีการขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา ในการประพฤติปฏิบัติของเราเนี่ยไม่ต้องว่าใคร กิเลสกับธรรมอยู่ในหัวใจเรามันก็ขัดแย้งเป็นธรรมดา มันจะทำให้จิตนี้เสื่อม เนี่ยมันเจริญแล้วเสื่อม สัมมาสมาธิเนี่ยปฏิบัติธรรมแล้วเราเป็นคนดี เขาจะปูพรมเอาดอกกุหลาบราดให้เราได้เดิน มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราทำขึ้นมาเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาพุทโธพุทโธพุทโธน่ะ ถ้าจิตมันมีสติ มันมีปัญญาของมันเห็นไหม ปัญญา ปัญญาคือการคอยตรองไม่ให้มันออกนอกลู่นอกทางเห็นไหม มีสติมีปัญญา เนี่ยรักษาพุทโธพุทโธไปเนี่ย ถ้ามันสมดุลของมัน มันก็สงบของมันได้
พอสงบของมันได้ พอกิเลสมันรู้ทันมันต่อต้านขึ้นมา เดี๋ยวมันก็เข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เราก็ออกใช้ปัญญาออกพิจารณาออกหาอุบายออกหาวิธีการให้จิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามา พอถึงความเป็นกลางของมัน ถึงจิตที่เป็นสัมมาสมาธิของมัน แล้วมันก็ออกรู้ออกเห็นกายเห็นไหม ออกเห็นกาย พิจารณากาย เนี่ยถ้าจิตมันเป็นสัมมาสมาธิพิจารณากายเห็นกายมันสะเทือนหัวใจ
แต่ในปัจจุบันที่ว่าเห็นกาย เห็นสัจจธรรมเห็นต่างๆเนี่ย มันเห็นโดยสัญญา มันเห็นโดยธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ในปัจจุบันนี้เพราะอะไร เพราะการประพฤติปฏิบัติมันเจริญรุ่งเรืองเห็นไหม ศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม วัฒนธรรมในการประพฤติปฏิบัติ เดี๋ยวนี้ที่ไหนก็จัดไปการปฏิบัติ ที่ไหนทุกคนก็ตื่นเต้นทุกคนเห็นความสำคัญของศาสนา เนี่ยทางโลกประพฤติปฏิบัติขนาดไหนมีความเป็นอยู่ขนาดไหนมันก็ยังทุกข์ขนาดนั้นเห็นไหม
เนี่ยในวัตถุให้ความสุขกับชีวิตจริงไม่ได้ เห็นไหมก็เลยมาประพฤติปฏิบัติ แล้วมาประพฤติปฏิบัติก็มาล่อมาลวงกัน มาหลอกลวงกัน ปลิ้นปล้อนหลอกลวงเห็นไหมปฏิบัติ โดยใส่หน้ากากเข้าหากับจิตตัวเองนะ ใส่หน้ากากเข้าหากับสัจจะความจริงในหัวใจของตัว เอาแต่ความจอมปลอมมาหลอกลวง เพราะตัวเองเข้าไม่ถึงความจริงก็เอาความจอมปลอมมาหลอกตัว ว่าเห็นกาย เห็นกาย เห็นกาย เห็นกายโดยอะไร เห็นกายโดยสามัญสำนึก
ถ้าจิตมันสงบมันเห็นกายมันสะเทือนหัวใจ ถ้ามันสะเทือนหัวใจมันรู้ของมันตามความเป็นจริง พิจารณากายเห็นไหม จิตจริง จิตมันเป็นสามัญสำนึก เห็นกาย เห็นกายโดยบัญญัติ สมมุติบัญญัติ บัญญัติคือสัจธรรม สัจธรรมเกิดขึ้นกับใจมันมีการกระทำของมัน สัจธรรมไม่ใช่สัญญาอารมณ์ ไม่ใช่ความเห็นของสมมุติ เนี่ยความเป็นจิตสมมุติมันปลิ้นปล้อนมันหลอกลวง เห็นอะไรก็วูบๆวาบๆ เห็นอะไรไป
นี่ไงบอกว่ากำหนดพุทโธพุทโธแล้วมันติดนิมิต มันเห็นต่างๆ มันจะเห็นนรกสวรรค์มันเป็นความผิด มันจะติดนิมิตหมดเลย ต้องใช้ปัญญา ปัญญา ปัญญาอะไร ปัญญาของใคร ปัญญาที่ใช้ปัญญาอะไร ปัญญาสามัญสำนึก ปัญญาโลกียปัญญาไร้สาระ เนี่ยมันจะเกิดปัญญาได้ มันเกิดภาวนามยปัญญาถ้าจิตมันไม่สงบมันจะเอาปัญญามันจากไหน ถ้าจิตมันไม่สงบเพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่กับใจ มันปลิ้นปล้อนอยู่แล้วมันหลอกลวงอยู่แล้ว ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นสมบัติของตัวแล้วก็มาจินตนาการนะเป็นสภาวะแบบนั้นเป็นสภาวะนั้นเป็นโสดาบัน มันจะเป็นโสดาบันไปไหน โสดาบันตัวเองหลอกตัวเองมันไม่เป็นความจริง ถ้าไม่เป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหมสัจธรรมมันเกิดของมัน จิตมันสงบก็รู้ว่าสงบน่ะ
จิตสงบเวลาจิตมันสงบถ้าจิตมันไม่สงบมันฟุ้งซ่าน จิตไม่สงบมันมีแต่ความเดือดร้อนจิตไม่สงบมีแต่ความเร่าร้อนในหัวใจ ถ้าจิตมันสงบมันจะมีความร่มเย็นของมัน ร่มเย็นอย่างไร ถ้ามีสติสัมปชัญญะเนี่ยขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปมาสมาธิ ความเป็นสมาธิความที่จิตสงบมันมีความดูดดื่ม ถ้าเราไม่รู้จักเราไม่ให้ค่ามันไม่ได้แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีความสงบขนาดไหน แล้วความสงบของเราสงบแล้วมันจะยั่งยืนได้อย่างไร
ถ้ามันไม่มีสติ ไม่มีสติปัญญาของมัน มันมีสติปัญญาของมันเห็นไหม ความสงบมากสงบน้อยหัดใช้ปัญญา หัดฝึกเห็นไหมพิจารณาของมัน พิจารณาไม่เห็นกายก็เอาเรื่องของร่างกายเข้ามาตั้ง ร่างกายของคนมันมีประกอบไปด้วยอะไร คนมันเกิดมาจากไหน มันฝึกปัญญาอย่างนี้มันฝึกของมันเห็นไหม พอจิตมันก็สงบมากเข้ามาจิตสงบเข้ามา พอมันเป็นกลางเป็นสมดุลเป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันออกเห็นกายเห็นไหมพิจารณากายเห็นกายทีแรกมันจะสะเทือนหัวใจมันสั่นขั้วหัวใจ มันสั่นขั้วหัวใจเลย มันจะดูดดื่มกระเทือนถึงจิตในสำนึกเลย
เนี่ยแล้วมันก็พิจารณาของมันไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราทำของเราไม่เป็น ถ้าทำของเราเป็นเห็นไหมถ้าทำไม่เป็นมันก็หลุดมือไป หลุดไปจิตเสื่อมไง หลุดมือไป เวลาเนี่ยวิปัสสนาเวลาจิตมันจะต้องวิปัสสนา มันจะวิปัสสนาไงมันจะก้าวเดินไปได้อย่างไร พอก้าวเดินจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ เนี่ยตั้งกายขึ้นมา เห็นกายโดยเส้นผมเส้นขนรูขุมขน อะไรจะตับไตไส้พุง เห็นกระดูกเห็นข้อกระดูกเห็นอะไรมันจะเห็นต่างๆ กันหลากหลายมากไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีทางว่าเห็นกายแล้วเป็นสูตรสำเร็จเป็นโครงสร้างต่างๆ เป็นไปไม่ได้ เนี่ยถ้ามันเห็นเต็มตัวเห็นร่างกายเป็นซากศพเป็นต่างๆ มันก็เห็นของมันได้ เห็นปัจจุบันขณะ ขณะที่เห็นแล้วมัน ถ้ามีกำลังนะจิตมันเป็นจิตปลอมนะยังไม่จริงเลยจิตปลอม ๆ นี่แหละ แต่พอเห็นมันจะเริ่มฝึกหัด เริ่มฝึกหัด พอเริ่มฝึกหัดเพราะจิตเอาความจอมปลอมเพราะมันมีกิเลสมีจิตใต้สำนึกที่มันหยาบเนี่ย พิจารณากายพอพิจารณากายเนี่ย
พอเห็นกายขึ้นมาเนี่ยมันกรอง กรองด้วยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากอะไร ปัญญาที่เกิดขึ้นจากจิตสงบ จิตสงบจิตมีพื้นฐานกรรมฐาน จิตที่มีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน จิตที่มีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐานเวลาปัญญาขึ้นมามันเกิดจากจิตที่มีพื้นฐาน จิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จิตที่เป็นธรรม จิตที่เป็นธรรมกับจิตที่เป็นกิเลส จิตที่เป็นความจอมปลอม เนี่ยสมาธินี่แหละจอมปลอม จอมปลอมเพราะมันไม่เห็นมันไม่รู้ คนไม่รู้ไม่เห็นคือคนซื่อ คนที่คนซื่อคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ใครชักจูงไปไหนก็ได้จิตมันสงบขนาดไหนใครจะชักจูงไปทางไหน ไปรู้นรกสวรรค์อเวจีต่างๆ มันก็จะไปกับเขา
แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะของมันมันไม่ไปกับเขา จิตเราสงบแต่เราไม่ใช่คนซื่อ คนซื่อจนแบบใครชักนำไปไหนเราก็จะตามเขาไป ถ้าจิตมันสงบแล้วเนี่ยมันจะรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ เรามีสติ เรายับยั้งของเรา ยับยั้งว่าเราไม่ยอมไปกับใคร เราจะเป็นเอกเทศของเรา ถ้าเป็นเอกเทศของเรามันมีหลักมีเกณฑ์มีสติปัญญาของมัน มันตั้งตัวของมันได้ พอตั้งตัวของมันได้ถ้ามันออกรู้ธรรม ออกรู้ธรรม ออกรู้ธรรม ออกรู้พยายามเห็นกาย ถ้าเห็นกายขึ้นมาเนี่ยจับกายมันหลุดไม้หลุดมือมันทำไม่เป็น การทำไม่เป็นเห็นไหม
เนี่ยวิปัสสนามันจะเกิด มันจะเกิดอย่างนี้ มันจะเกิดจากการกระทำเกิดจากสติปัญญาที่มันออกก้าวเดินมรรคญาณมันจะเกิด เกิดขึ้นมาด้วยการกระทำของเรา มรรคญาณเนี่ยธรรมจักร จักรที่มันจะเคลื่อนที่ให้หมุนธรรมจักรเนี่ย เราดำริชอบงานชอบเพียรชอบเห็นไหมมันจะหมุนของมันเห็นไหม ถ้ามันหมุนของมันเห็นไหม เนี่ยธรรมจักรขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม
เนี่ยปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ เห็นไหมเนี่ยเพราะปัญญามันหมุนมันจะเกิดฌาน เกิดปัญญา เกิดวิชชา เกิดฌาน เกิดความหยั่งรู้เกิดต่าง ๆ เนี่ยพอเกิดหยั่งรู้มันก็ปล่อย ปล่อย เห็นไหมนี่ไงการปล่อยอย่างนี้จากจิตปลอม ๆ จิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จิตที่มีหลักมีเกณฑ์มันปลอมของมัน ปลอมเพราะอะไรเพราะมันเป็นน้ำในแก้ว น้ำขุ่นเห็นไหมตะกอนนอนก้นแก้ว นี่ไงจิตที่มันเป็นความสงบเนี่ยมันมีอวิชชา มันมีความหลง มันมีอุปาทานอยู่ในจิตมันนี่ไงมันปลอมอย่างนี้ไง แล้วมันออกวิปัสสนาเห็นไหม ออกวิปัสสนาเนี่ยออกวิปัสสนาในกาย
สิ่งที่เห็น เห็นกายวิปัสสนากาย กายเห็นไหมกายก็ของปลอม แต่จิตเห็นกายโดยสัจธรรม จิตเห็นกายโดยอริยสัจ จิตเห็นกายโดยธรรมไม่ใช่จิตเห็นกายโดยสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์มันหลอก สิ่งต่าง ๆ มันหลอก พอหลอกขึ้นต้นหลอก ต้นหลอกผลมันจะเป็นความจริงได้อย่างไร แต่ขณะที่จิตมันเริ่มความเป็นไป มันพัฒนาการของมันเห็นไหมจากจิตที่มีอวิชชา จากจิตที่มีความโง่เขลา แต่มันสงบเข้ามา พอสงบเข้ามาชั่วคราวนะ เนี่ยสมาธิเป็นอนิจจังสมาธิไม่มีความตั้งมั่น ความตั้งมั่นเพราะการกระทำ ความตั้งมั่นเพราะมีเหตุมีผล ชำนาญในวสี ตั้งมั่นเพราะเหตุที่เราสร้าง แต่มันจะอยู่ของมันโดยธรรมชาติอย่างนี้เป็นไปไม่ได้มันปลอมไหม มันเป็นอนิจจังมันปลอมของมัน
พอปลอมของมัน แต่โอกาสที่มันมีความสงบเราก็รีบเอามาใช้งาน เอามาใช้งานออกรู้ ออกวิปัสสนา ออกวิปัสสนาเห็นไหม เนี่ยมันจะชราคร่ำคร่า มันจะเนาเปื่อยพอง มันจะพุพองขนาดไหนวิปัสสนาย้อนแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันก็กลับมาพัฒนาการมันทำให้จิตนี้จริงขึ้นมา จริงขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันเอาตะกอน สิ่งที่ตะกอนนอนก้น อวิชชา ตัณหา อุปาทานที่ในหัวใจ มันวิปัสสนาไปมันก็ปล่อย ถ้ากำลังพอมันก็ปล่อย
ถ้ามันวิปัสสนาไปบ่อย ๆ ครั้งเข้า ความเป็นตะกอนความอุปาทานมันมีของมันอยู่แล้ว พอมันอยากได้อยากดีอยากกระทำ มันทำให้ตะกอนนั้นขุ่นขึ้นมา มันก็เป็นอวิชชา เป็นอวิชชาบวกเข้ามา มันวิปัสสนาไปมันก็ไปไม่ได้พอไปไม่ได้ขึ้นมาเนี่ยมันยื้อกันมันพิจารณากายมันไปไม่รอดก็ต้องทิ้งกลับมาพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ทำจิตให้สงบเข้าไปอีกเห็นไหม นี่ไงวิปัสสนาญาณอย่างนี้มันเป็นการกลับไปฝึกจิตให้เป็นความจริงขึ้นมาเพราะจิตสิ่งที่เป็นตะกอนนอนก้นความหลงผิดความไม่รู้ผิด
ปัญญามันกรองออกบ่อยครั้ง ๆ ถ้าจิตมันจริงนะ เนี่ยมันทำให้กายจริงความจริงมันเกิดขึ้น พอความจริงมันเกิดขึ้นเห็นไหม กายเป็นกายจิตเป็นจิตทุกข์เป็นทุกข์มันจะแยกออกจากกันเนี่ย แยกออกจากกันชั่วคราว ชั่วคราว ชั่วครั้งชั่วคราว พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนี่ยคำว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เพื่อจะดึงสิ่งที่เป็นอุปาทาน ศรปักในหัวใจดึงออกดึงออก ความดึงออกวิปัสสนาก็ปล่อย ปล่อย เนี่ยจิตมันก็เริ่มมีความจริงขึ้นมา ขึ้นมา มีความจริงขึ้นมาพอจิตจริงกายก็จริง
กายก็จริงเกิดจากอะไร เกิดจากวิปัสสนาญาณ เกิดจากจิตที่มีการกระทำ มันทำแล้วทำเล่า ทำแล้วทำเล่าเห็นไหมถึงที่สุดเห็นไหมมันขาด ความที่มันขาดเพราะอะไรนี่ไงพอขาดจิตมันก็จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ กายเป็นกายจิตเป็นจิตทุกข์เป็นทุกข์เห็นไหม แล้วจิตรวมลง วูบ เงียบดับหมดเลย เนี่ยสิ่งต่าง ๆ เห็นไหมมันเป็นจริงของมัน กายก็จริงของกาย จิตก็จริงของจิต ทุกข์ก็จริงของทุกข์ แล้วรวมลงเนี่ยความรู้สึกอีกอันหนึ่ง นี่ไงเนี่ยปัญญาอุทะปาทิ วิชชาอุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ความเป็นจริงเกิดขึ้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายดับไปเป็นธรรมดา แล้วเหลืออะไร จิตที่มันรวมลงเข้าไปเนี่ย
นี่เนี่ยโสดาบันเกิดอย่างนี้ โสดาบันเกิดเพราะการกระทำโสดาบันเกิดจากความจริงไม่ใช่โสดาบันเกิดจากความเพ้อเจ้อ สิ่งที่เป็นเพ้อเจ้อนี่เป็นโสดาบันนะแล้วถ้าวิปัสสนาต่อไป ถ้าจิตที่เป็นโสดาบันวิปัสสนาต่อไปมันก็จะเป็นสกิทา แต่จิตที่เป็นปุถุชนเห็นไหม ความที่เป็นปุถุชน เนี่ยพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม การที่พิจารณากายจิตเราเห็นไหม จิตเรามันจอมปลอมความที่จิตจอมปลอมเนี่ย ถ้ามันพิจารณาเหรอเรานั่งเหรอพุทโธ พุทโธ พุทโธเนี่ยมันเจ็บปวดไหม มันเจ็บปวดความเจ็บปวดขึ้นมาเพราะใจมันปลอม
พอใจมันปลอมเวทนามันก็ปลอม เวทนาปลอมเห็นไหม แต่ถ้าใจมันเป็นความจริงขั้นโสดาบันนะพิจารณาเวทนาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ไปมันจะขึ้นไปเป็นสกิทาอนาคานะ แต่ถ้าใจมันปลอมเนี่ยใจมันปลอมมันก็ปลอมวันยังค่ำ พอใจมันปลอมพอนั่งมันก็ปลอม พอนั่งมันก็ปลอมเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวปวดเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวยากเห็นไหม เวทนา เวทนาความจอมปลอมนะ เวทนาของปลอมของปลอมมันอยู่กับเราของเรามันก็เป็นความจริง จริงแบบโลกิยะไงความจริงแบบชั่วคราว
เรานี่ใจอ่อนแอ สิ่งใดถ้ามันเจ็บแสบปวดร้อนกดทับแล้วสู้ไม่ได้ ไม่มีความสู้อะไร เพราะอะไรเพราะมันจอมปลอมเห็นไหม เวลาจิตมันปลอมกายก็ปลอม จิตมันปลอม เวทนาก็ปลอม พอเวทนาก็ปลอมมันกลับเป็นจริงนะ กลับเป็นจริงเพราะมันเหยียบย่ำหัวใจเรา มันทำให้เรานี่หวั่นไหวตลอดเวลา จะนั่ง นั่ง ๕ นาที ๑๐ นาทีเจ็บปวดแสบร้อนแล้ว เนี่ยสิ่งต่าง ๆ มันทุกข์ไปหมดเลย เนี่ยมันปลอมไง
สิ่งที่ปลอมมันกับมีคุณค่า สิ่งที่จริงไม่รู้จัก เนี่ยสิ่งที่ปลอมเห็นไหมสิ่งที่ปลอมเวทนาเป็นปลอม เวทนาไม่มีถามสิ เวทนามันอยู่ที่ไหนคนตายมันมีความรู้สึกไหม คนตายไม่มีความรู้สึกแล้วคนเราเป็นอยู่เราทุกข์เพราะอะไร เราทุกข์เพราะใจมันปลอม มันปลิ้นปล้อน มันปลิ้นปล้อน มันหลอกลวงศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เนี่ยรู้ไปหมดเลย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา จิตสักแต่ว่าจิต เห็นอุเบกขาญาณขึ้นมามันจะเป็นญาณทัสสนะมันจะ.. เนี่ยมันปลิ้นปล้อน มันหลอกลวงใจของเรา มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นสิ่งที่ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวเองมันรู้อะไร ถ้าตัวเองรู้น่ะมันเป็นความจริงขึ้นมา ตรงไหนมันเป็นความจริง มันไม่รู้อะไรเลย พอไม่รู้อะไรเลย ก็ไปยึดเอาสิ่งที่เป็นสมมุติ ยึดเอาความจอมปลอม ความจอมปลอมเพราะจิตมันหลงใหล จิตมันไม่มีสถานะที่ยืนของมันได้
ถ้าจิตไม่มีสถานะเพราะจิตมันอยู่ไหน จิตมันไม่มี เพราะอะไร ไม่มีเพราะเราไม่รู้จักมัน เราไม่รู้จักแต่เราพยายามแสวงหากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิต่างๆ มานั่งเจ็บปวดไปหมดเลย มันเจ็บปวดเห็นไหม มันไม่มี บอกมันแสดงอาการเจ็บปวด อ้าวไม่มีแล้วไปเจ็บมาไง นี่ไงเพราะจิตมันโง่ พอจิตมันโง่มันก็ไปอยู่กับเวทนา เวทนามันไม่มีแต่จิตไปยึดมันเอง จิตไปยึด
จิตอยากแสดงตัวออกมาแต่แสดงตัวออกมาไม่ได้ เนี่ยมันแสดงตัวออกมาไม่ได้ เวลาประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมาเนี่ย มันเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อจะฆ่ากิเลส ถ้ากิเลสมันอยู่กับจิต จิตมันจอมปลอมอยู่แล้ว กิเลสมันก็จอมปลอมอยู่แล้ว มันก็แสดงตัวออกทางเวทนา เนี่ยเจ็บปวดแสบร้อนเป็นเวทนาเนี่ย มันเป็นเวทนาขึ้นมา ไปปวดแล้วจิตมันอยู่ไหน นี่ไงจิตมันไม่เคยสงบสักที พอจิตไม่สงบมันก็แยกกับเวทนาไม่ได้ มันไม่รู้จักเวทนา เวทนาอยู่ที่ไหน
เวลาบอกเวทนาสักแต่ว่าเวทนา เวลากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธของเราเห็นไหมเนี่ยมันไม่เจ็บไม่ปวดขึ้นมามันชามันต่างๆ เนี่ยเวทนาสักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าเวทนาเพราะอะไร เพราะสักแต่ว่าเวทนาเพราะจิตมันมีกำลังของมัน พอจิตมันมีกำลังของมันแต่พอกำลังของจิตมันไม่พอ มันไม่สามารถจะปล่อยเวทนาได้ มันก็จะสักแต่ว่าเวทนา เวทนามันแสดงตัวเห็นไหม แต่เริ่มต้นจิตมันไม่เห็นว่าจิตมันอยู่ไหน แต่เวลาเจ็บป่วยขึ้นมารู้นะมันไปเสวยเวทนา มันไปทุกข์กับเวทนาแล้วเราถึงรู้ว่า
อ๋อ จิตมันเป็นอย่างนี้เวทนาเป็นเราปวดเจ็บปวดร้อนเวทนาเป็นเราไง เวทนาเป็นเราแต่ถ้าความจริงเวทนามันอยู่ที่ไหน เวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนาเพราะอะไร เพราะเราไม่จักจิตของเรา เราถึงไปอยู่กับมัน แต่ถ้าเราพิจารณาของเรานะ เราพิจารณาของเรา เนี่ยมีสติสัมปชัญญะเนี่ยถ้าเรามันไม่มีกำลังของเรา เราจะกำหนดพุทโธพุทโธพุทโธของเราไว้ เนี่ยพุทโธพุทโธของเราไว้นะ นี่เป็นขันติธรรม เนี่ยถ้าจิตนี้มันอยู่กับพุทโธเวทนามันเกิดได้อย่างไร แต่จิตถ้ามันไม่อยู่กับพุทโธมันก็ไปเสวยกับเวทนา ถ้าไปเสวยกับเวทนา เวทนาก็เป็นเรา สิ่งต่างๆ ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเราพุทโธ พุทโธ มันสงบตัวเข้ามา เวทนาสักแต่ว่าเวทนาเห็นไหม มันไม่พอ กำลังไม่พอถ้าเราสู้กับเวทนา
เวลาเราภาวนาพุทโธพุทโธเนี่ย เวทนาถ้ากำลังเรามีเห็นไหมจิตของเราเห็นไหมจากจิตที่จอมปลอม จากจิตที่พึ่งตัวเองไม่ได้ จากจิตที่ไม่รู้อยู่ที่ไหน จิตที่มันของปลอมแล้วมันก็ยึดมั่นถือมั่นแล้วมันก็มีเล่ห์กลของมัน มันเล่ห์กลมันหลอกลวงตลอดเวลา แต่ถ้าเราตั้งมั่นของเรา เรากำหนดพุทโธพุทโธพุทโธของเรา มันมีสัจจะของเรา เราตั้งความจริงของเรา มันมันถึงที่สุด เวลาจิตมันลงได้ มันสงบน่ะแล้วเวทนาไปไหน แล้วสิ่งที่เจ็บปวดแสบร้อนมันไปไหนมันไม่เห็นมีเลย เพราะจิตมันหนีจากเวทนาลงสู่ความสงบเสียก่อน
แต่ถ้าจิตมันไม่ลงสู่ความสงบมันจะออกไปรับรู้กับเวทนาและเราก็ต้องต่อสู้กับมัน ถ้าต่อสู้กับมันถ้าจิตมันมีกำลังต่อสู้กับมันเห็นไหม อะไรเป็นเวทนา กระดูกเป็นเวทนา หนังเป็นเวทนา เนื้อเป็นเวทนา อะไรเป็นเวทนา เนี่ยถ้าปัญญามันไล่กลับมานะไม่มีอะไรเป็นเวทนาพอมันมีปัญญาขึ้นมาเห็นไหมใจมันปล่อย เนี่ยถ้าไล่เข้ามาถึงหัวใจถ้ามีเกิดปัญญาขึ้นอะไรเป็นเวทนาสิ่งที่เป็นเวทนามันอยู่ไหนถ้ากำลังพอมันสู้ได้ ถ้ากำลังไม่พอยิ่งเวทนามันจะเวทนาจะเจ็บช้ำจะทำให้หัวใจนี่เจ็บปวด ๒ เท่า ๓ เท่า ๆ เพราะอะไร เพราะเวทนาซ้อนเวทนา
ถ้าเวทนาซ้อนเวทนา ตัณหาซ้อนตัณหา ถ้าตัณหาซ้อนทำให้เราหวั่นไหว ถ้าหวั่นไหวเราต้องมีสัจจะมีความจริงของเรา เราตั้งสติของเราต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับมันเห็นไหม เนี่ยเวทนาไม่มีเวทนามันอยู่ที่ไหน เวทนาไม่มีแต่มีเพราะจิตมันหลง จิตมันโง่จิตมันไปยึดของมันขึ้นมาเอง จิตมันแสดงตัวของมันเองว่ามันอยู่กับเวทนา แต่พอตั้งสติขึ้นมาต่อสู้กับมันเห็นไหม การต่อสู้กับเวทนาการใช้ปัญญาต่อสู้กับเวทนามันต้องใช้กำลัง และมีสัจจะมีความมั่นคงสูง ความมั่งคงสูงต่อสู้แยกแยะเข้าไป พอแยกเข้าไปแยกแยะไป ไม่มีสิ่งใดอะไรเลยเวทนาส่วนเวทนา จิตส่วนจิตมันปล่อย ปล่อยหมด ปล่อยว่าง ปล่อยว่างขึ้นมาแล้วเวทนาหายไปไหน เนี่ยปล่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องวิปัสสนาซ้ำบ่อยครั้งเข้าๆ เนี่ยสิ่งนี้กายเวทนาต่อสู้กับเวทนา ถ้าต่อสู้กับเวทนาถึงที่สุดเห็นไหม
พิจารณาไปเนี่ยเวทนามันยังไง มันเอาอารมณ์มาจากไหน เวทนา เวทนามันมีเพราะจิตมันไปยึด แล้วเวลาทำไมไม่มีเวทนามันไปไหน แล้วเวลาเราสุขเราทุกข์มันเกิดมาได้อย่างไร นี่สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่มีอยู่เห็นไหมชีวิตเราเนี่ยมันชั่วคราวนะ เนี่ยชีวิตเราถึงที่สุดต้องตาย พอตายไปแล้วถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติไม่ถึงที่สุดมันจะเวียนเกิดเวียนตาย แต่เราต่อสู้กับเวทนาในปัจจุบันนี้ ถ้ามันถึงที่สุด ถ้าเป็นโสดาบันถ้ามันละเวทนาได้ เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์เนี่ยถ้ามันละได้มันก็อีกอย่างมากอีก ๗ ชาติ
ถ้าปฏิบัติในปัจจุบันนี้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้หมดเลย ถ้าต่อสู้กับเวทนา เวทนามันอยู่ที่ไหน ขอดูหน้าเวทนาหน่อย หน้าเวทนามันอยู่ที่ไหน ความเกิดขึ้นความดับไปของมันอยู่ที่ไหนต่อสู้กันไป เนี่ยใช้ปัญญา ถ้าต่อสู้ไม่ไหวเวลาพิจารณาไปแล้วมันเจ็บมันปวดแล้ว พุทโธพุทโธพุทโธให้ชัดเจน พอพุทโธได้ชัดเจนจิตมันจะหลบมาอยู่ที่พุทโธ เนี่ยพุทโธชัดเจนขึ้นมา จิตทั้งหมดเอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่พุทโธเนี่ยเวทนาดับหมด แล้วลงสู่สมาธิได้ แล้วมีสมาธิแล้วออกไปสู้ออกไปรื้อค้นมัน
พอออกสู่สมาธิมันลง พอลงถึงสมาธิไม่ได้อยู่ได้ตลอดไปเนี่ยมันคลายตัวออกมา คลายตัวออกมาไหน ไหนเวทนาอยู่ไหนสู้มัน พิจารณาต่อสู้กัน พอต่อสู้กันเห็นไหมมีการแยกแยะกันในเวทนามันประกอบไปด้วย ถ้าวิญญาณรับรู้ในเวทนามันจะเป็นเวทนาได้ไหม แล้วใครให้ค่าเป็นเวทนา เวลามันสุขมันสุขทำไมพอใจ เวลาทุกข์ทำไมไม่พอใจ เวลาอุเบกขาขึ้นมา อุเบกขาเวทนามันชาอยู่มันสักแต่ว่า แล้วเรามีความรู้สึกอย่างไร มีความผูกพันอย่างไรกับมัน เนี่ยแยกแยะกับมันต่อสู้ถึงที่สุดเห็นไหม เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์เห็นไหม ขันธ์ ๕ไม่ใช่เราเราไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันปล่อยนะเวลามันปล่อยมันขาด แล้วเวลามันขาดออกไปเนี่ย
นี่ไงถ้าจิตมันจริงจากจิตที่จอมปลอม วิปัสสนาบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้าเนี่ยมันฝึกจิตให้เข้มแข็ง พอจิตที่จอมปลอมมันเข้มแข็งถึงเป็นสัมมาสมาธิเนี่ย มันก็ยังเป็นความจอมปลอมของมัน เพราะมันมีอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นของจิตทั้งนั้นน่ะ แล้วเอาจิตมาต่อสู้กับเวทนาเนี่ย มันใช้ปัญญาญาณใคร่ครวญไป สมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานมันคนละเรื่องเดียวกัน คนละเรื่องเดียวกันเพราะในสมถะก็มีวิปัสสนา ในวิปัสสนาก็มีสมถะ ถ้าไม่มีกันมาทำไมมรรค ๘ มันจะมีสัมมาสมาธิทำไม สมาธิเป็นสมาธิแต่การต่อสู้การกระทำของเราเนี่ยมันมีขั้นตอนของมัน คนที่ทำเป็น คนที่รู้เป็น อะไรสมถะอะไรวิปัสสนา
สมถะทำจิตสงบ จิตสงบมีกำลังขนาดไหน มันถึงจะพ้นจากโลกียปัญญาเป็นโลกุตตระ โลกุตตระคือสัจจะความจริงที่มันเกิดขึ้นในความเป็นจริงอันนั้น ถ้าเป็นโลกียปัญญาเนี่ย มันก็เหมือนวิชาการน่ะมีการเรียนการสอนน่ะ เนี่ยทำความเข้าใจเข้าใจกับมันแล้วก็จบ แต่เวลาใช้ปัญญาญาณมันเป็นความเข้าใจที่ไหน มันเป็นความจริงมันเป็นการต่อสู้ ถ้ามันเป็นความจอมปลอมอยู่ มันเป็นสมมุติ ถ้ายังเป็นจอมปลอมเป็นสมมุติบัญญัติเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้
สิ่งที่มันจะเป็นขึ้นมาจากจริงมันขึ้นมาจากอริยสัจ สัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริงเพราะจิตมันสงบขึ้นมาเนี่ย จิตสงบนี่เห็นไหม ดูสิเราหาเงินหาทองมา เงินทองของเราเป็นของเราไหม แล้วเงินทองมันจะอยู่กับเราตลอดไปได้ไหม เงินทองของเราต้องใช้จ่ายใช้สอยจับจ่ายตลอดไป แล้วก็ต้องแสวงหามันตลอดไป จิตก็เหมือนกันสัมมาสมาธิมันเกิดกับเราไหม กว่าความจริงที่จะเกิดกับเราอีกนานขนาดไหน แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในปัจจุบันเนี่ย
ถ้าเราใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญของเราในปัจจุบันเวทนามันเกิดขึ้นมาคนเราเจ็บไข้ได้ป่วยเห็นไหม เวลาเกิดโรคภัยไข้เจ็บเนี่ยเวลาเจ็บป่วยขึ้นมาไปโรงพยาบาล หมอเขายังผ่อนคลายความเจ็บปวดของเราได้ แล้วในปัจจุบันที่เราเผชิญกับความจริงเนี่ย มันเป็นสัจธรรมที่มันเกิด มันจะไม่อยู่กับเราตลอดไปนะ เนี่ยสิ่งที่เป็นประโยชน์เห็นไหมอยากวิปัสสนา อยากวิปัสสนาอยากจะต่อสู้กับกิเลส ไม่เห็นหน้ากิเลสเลยสู้กิเลสไม่ได้ แล้วเวทนาถ้านั่งอยู่เวทนามันเกิดแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเวทนามันเกิดต่อสู้กับมัน มีปัญญาต่อสู้กับมัน ได้ใช้ความจริงกับมัน ถ้าใช้ความจริงกับมันนี่ไง มันแยกแยะมันใช้ปัญญาใคร่ครวญตลอดไป นี่ไงเวทนาสักแต่ว่าเวทนา เวลามันปล่อยเห็นไหมเวลามันปล่อยจิตมันก็จริงขึ้นมา
จิตจริงเพราะอะไร จิตจริงเพราะมันถอนความโง่ของจิตไง ความจอมปลอมของจิต ความเร่ร่อน ความปลิ้นปล้อนของมัน มันถอนเพราะปัญญาของมัน มันถอนเพราะการเผชิญกับความจริงของมัน จิตนี้ได้เข้าสู่เผชิญกับการจริง จิตนี้ได้เข้าสู่กองทัพ ได้เข้าสู่สัมปยุตกับกิเลส กิเลสเกิดขึ้นจากการตัณหาความทะยานอยาก กองทัพธรรมๆ เกิดสัมมาสมาธิ เกิดสัมมาปัญญาในการเข้าสัมปยุตกัน ๆ เห็นไหมถ้ากำลังมันพอเวทนามันก็ปล่อย ๆ ถึงทีนี้มันขาดนะ เวลามันขาดขึ้นเห็นไหม จิตก็จริงของจิต เวทนาก็จริงของเวทนา เนี่ยขันธ์ ๕ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ จิตก็จริงของจิต เวทนาก็จริงของเวทนา ทุกข์ก็จริงของทุกข์ จิตก็รวมลงเห็นไหม เวทนามันจริงของเวทนาน่ะ จิตเป็นความจริงของจิต มันความจริงหมดเห็นไหม แต่ถ้ามันปลอมนะจิตถ้ามันปลอมนะ มันความปลิ้นปล้อนหลอกลวง มันหลอกลวงในการประพฤติปฏิบัติ หลอกลวงกับความรู้สึกของเรา หลอกลวงไปหมดเลย มันเป็นนิยาย มันเป็นการปลิ้นปล้อน
มันไม่เป็นตามความเป็นจริงว่าโสดาบัน โสดาบันเกิดจากอะไร โสดาบันมาจากไหน เนี่ยโสดาบันเกิดจากเวทนา การต่อสู้กับเวทนา เวลามันขาดไปสังโยชน์ขาดยังไง มันปล่อยยังไง กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์เห็นไหม นี่จิตเป็นจิตเวทนาเป็นเวทนาทุกข์เป็นทุกข์ แล้วมันรวมลงยังไง พอรวมแล้วมันเหลืออะไร เนี่ย จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ มันเกิดขึ้นมาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ดับไปเป็นธรรมดาเพราะวิปัสสนาญาณไม่ใช่ดับเป็นธรรมดาเพราะมันเป็นธรรมดาที่เราเข้าใจอยู่แล้วเห็นไหม
ไฟมันเปิดมันก็เกิดดับ พระอาทิตย์ก็ตกเป็นธรรมดา สุขทุกข์มันก็ธรรมดา ธรรมดาทั้งนั้นน่ะ แล้วมันเป็นความจริงไหม มันไม่เป็นความจริงเพราะไม่เป็นความจริงมันเลยเป็นสัญญาเป็นความจำ เป็นสิ่งที่เราศึกษามาเป็นวิชาการ ไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงโสดาบันไม่พูดกันอย่างนั้น โสดาบันมันเกิดขึ้นมาคือเกิดขึ้นมาจากการกระทำ เกิดขึ้นมาจากจิตที่มันย่อยสลายกิเลส มันต่อสู้มาด้วยความมุมานะในการกระทำของจิตมหาศาลเลย แล้วมันทำขึ้นมาแล้วเป็นโสดาบัน โสดาบันจริงๆ ไม่ใช่โสดาบันแบบลูบ ๆ คลำ ๆ โสดาบันโดยการปลิ้นปล้อนหลอกลวงเห็นไหม
นี่ถ้าเป็นการพิจารณาต่อไป ถ้าคนที่มีจิตเป็นโสดาบันพิจารณาต่อไปมันก็จะเป็นสกิทา แต่ถ้ามันพิจารณาโดยจิตที่ยังเป็นความจอมปลอมอยู่เห็นไหม กาย เวทนา จิต การพิจารณาจิต สิ่งที่พิจารณาจิต พุทโธพุทโธพุทโธเนี่ย ถ้าจิตมันสงบลง พุทโธพุทโธพุทโธจิตสงบลงนะ จิตสงบลง จิตผ่องใส จิตเศร้าหมองเห็นไหม จิตเห็นจิต จิตเห็นจิตเห็นจิตยังไง เนี่ยตัวความรู้สึกความคิดนี่เป็นจิตไหม มันเป็นความคิดนะ พุทโธพุทโธเป็นอะไร พุทโธเนี่ยเราเป็นคนกำหนดพุทโธนะเป็นคำบริกรรมนะ จิตนี่มันเป็นนามธรรมนี่เห็นไหม จิตมันจอมปลอม อยู่ ๆ ก็เกิดมาเราเกิดมากายกับจิตนี่เป็นจอมปลอม จิตเรานี้ก็จอมปลอมเพราะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ยมันจริงตามสมมุติ มันเป็นความจอมปลอมของจิต จิตจอมปลอมจะศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดไหนขึ้นมามันก็จอมปลอม
ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจริง แต่ความรู้สึกของเรามันปลอม มันตีความว่าปลอมๆ แล้วพุทโธพุทโธพุทโธเนี่ย พอจิตมันมีคำบริกรรมของมัน มันมีการกระทำของมันเห็นไหม สิ่งที่การกระทำความสงบของใจก็ต้องจิตกระทำ จิตมันจะสงบเข้ามาเพราะมีการกระทำของมัน ถ้าจิตไม่มีการกระทำจิตมันสงบเข้ามาไม่ได้ ถ้าจิตมันสงบเข้ามาเพราะคำบริกรรมพุทโธพุทโธพุทโธ เนี่ยสิ่งที่มันพุทโธมาจนจิตเริ่ม ๆ มันมีคำบริกรรม พอคำบริกรรมมันมีที่เกาะ จิตมันจอมปลอมใช่ไหม แต่มันเกาะธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธเนี่ยเป็นพุทธานุสสติ พุทโธพุทโธพุทโธจนจิตมันเริ่มปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามาเห็นไหม
พอจิตมันปล่อยวางเข้ามา เห็นไหม จิต อาการของจิตสิ่งที่เป็นความคิด พอจิตมันสงบเข้ามา เนี่ยเวลาคนพุทโธพุทโธจิตสงบขึ้นมาเนี่ยมันจะเห็นแสงเห็นเสียงเห็นต่างๆ เห็นไหมเห็นเป็นดวงไฟสว่าง เห็นเป็นต่างๆ นั่นไงจิตเห็นไหมจิตเห็นจิตเพราะอะไรจิตเศร้าหมองจิตผ่องใส จิตทำไมมันสงบเข้ามาเนี่ย มันเป็นความสว่างถ้าจิตมันสงบเข้ามาโดยธรรมชาติของจิตโดยที่คนที่ไม่ได้สร้างบุญญาธิการมา มันสงบพุทโธพุทโธมันสงบของมันไป ราบเรียบของมันไป ราบเรียบเท่าไรจิตมันก็รู้กับจิต เพราะจิตที่เป็นความสว่าง จิตที่เป็นความสงบ จิตที่มีอารมณ์ความรู้สึก นั่นๆอะไร ตัวจิตเป็นตัวจิตนะ
ตัวจิตเวลาเข้าไปถึงตัวจิต อัปปนาสมาธิ อื๊อ จิตคือจิต ๆ แต่จิตแสดงออกจิตรับรู้ จิตเห็นแสงสว่าง จิตเห็นความเศร้าหมองเห็นความผ่องใส จิตเห็นความสว่าง อาการผ่องใส อาการสว่างไสว อาการรับรู้ นั่นคือจิต จิตเห็นจิต จิตเห็นอาการของจิต อาการของจิตที่มันเป็นพลังงาน นี่ไงถ้าจิตไม่มีพลังงานจะแสดงตัวออกมาได้ยังไง จิตมันแสดงออกว่าเป็นจิต ออกมารับรู้กับโลกรับรู้สิ่งใดออกมา ถ้ามันรับรู้ออกมามันก็ รับรู้ถึงความรู้สึกของมันไง
เนี่ยจิตที่มันรับรู้ความรู้สึก เพราะจิตไม่มีความรับรู้สึก จิตจะสื่อความหมายได้ยังไง เนี่ยธรรมชาติของจิตเห็นไหมธรรมชาติของจิตที่มันสื่อความหมายกันสิ่งที่รับรู้กัน เนี่ยดูสิเวลาคนมองตากัน มันยังเข้าใจเลยว่ามองอะไร ดูสิเราให้อาหารสุนัขเนี่ย สายตามันขอบคุณเลย มันขอบคุณ ๆ ให้อาหารมื้อนี้กับกระผม เนี่ยจิตเห็นจิต จิตความรู้สึกของมันที่มันสัมผัสได้ไง นี่สัมผัสได้คนกับสุนัขนะ แต่เวลาจิตมันสัมผัสกับตัวมันเอง จิตมันสัมผัสกับตัวมันเองนะ
ถ้าจิตไม่สัมผัสตัวมันเอง จิตมันจะรู้จักจิตได้ยังไง จิตมันจะรู้จักจิตมันได้ยังไง จิตรู้จักจิตเพราะจิตมันสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามาจิตมันเสวยอารมณ์ จิตรับรู้ต่างๆ รับรู้ความผ่องใสความสว่างไสว นี่ไงเราพิจารณามัน เราพิจารณาว่าทำไมมันผ่องใส จิตมันสงบขึ้นมาเนี่ยทำไมมันสว่างไสว ทำไมมันเศร้าหมองทำไมมันหดหู่ ทำไมจิตมันผ่องใส จิตมันมีความคึกคะนอง นี่ไงเนี่ยจิตพิจารณาจิตเนี่ย ถ้าจิตมันพิจารณาจิตเข้ามาเพราะมีการพิจารณามีการกระทำของมันเห็นไหม
นี่มันพิจารณาการกระทำว่าจิตนี้มันติดอะไร เนี่ยถ้าจิตนี้เป็นนามธรรมจิตนี้เวลาสงบเข้ามาเนี่ยมันรู้ถึงความผ่องใสถึงความรับรู้ของมัน ถ้ารับรู้ของมันเนี่ยแล้วมันติดในตัวมันเองไหมเนี่ย กาย เวทนา จิต จิตเห็นไหม จิตพิจารณาจิต จิตพิจารณาจิตถึงความผ่องใสความเศร้าหมองของมัน ความเป็นไปของมัน ความอับเฉาของมัน เนี่ยหดหู่ความหดหู่ ความรับรู้ของมัน พิจารณาของมันเพราะมันติด มันเข้าใจจิตมันยึดจิต ถ้าจิตมันไม่ยึดติดจิต จิตมันพิจารณาไปแล้วมันปล่อยล่ะ พอปล่อยมันปล่อยมันรู้จักการปล่อยนะ จิตปล่อยจิต
จิตปล่อยจิต ปล่อยความรับรู้ จิตมันเวลาสงบเข้ามาหาตัวมันเอง แล้วมันรับรู้อะไรมันถึงจะรับรู้ว่าเป็นตัวจิต มันรับรู้ยังไงว่าจิตกับจิตมันรับรู้กันยังไง ถ้ามันรับรู้กันไม่ได้ดูสิทำไมไฟฟ้ามันมีขั้วบวกขั้วลบล่ะ ไฟฟ้ามีขั้วบวกขั้วลบมันถึงออกมามีแสงสว่าง นี่ก็เหมือนกันพลังงาน ดูเทียนซิ เทียนมันจุดขึ้นมาไฟมันติด สันตติ มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง มันเป็นพลังงานหรือเป็นไฟขึ้นมา ไฟเกิดขึ้นมาเขาจุดไฟกันอย่างไร
นี่จิตเวลามันสงบเข้ามามันเห็นตัวมันเองยังไง มันรับรู้ของมันยังไง ปัญญามันจะใคร่ครวญของมันยังไง มันจะเริ่มปล่อยวางล่ะ พอมันปล่อยเข้ามาเห็นไหม มันปล่อยนะ พอมันปล่อยเข้ามา อ้าวจิตปล่อยจิต จิตปล่อยจิตเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์เนี่ยเห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์เรามีกายกับใจ มีกายกับใจ กายคือร่างกายนี้ จิตที่มันอยู่ในร่างกายนี้ มันแผ่ซ่านไปในร่างกายนี้ มันรับรู้ร่างกายได้อย่างไร แล้วการรับรู้ร่างกายแล้วเนี่ยตัวจิตมันอยู่ที่ไหน
ตัวที่อาการรับรู้กับตัวจิตยังไง ดูสิคนเราเกิดมามีกายกับใจ แล้วใจอยู่ไหน จับไว้ซิ จับไว้ที่แขนที่ขามันอยู่ไหน แล้วเวลามันหดตัวเข้ามาเวลาสงบตัวเข้ามาเนี่ยสู่กลางหัวอกมันเป็นอย่างไรล่ะ แล้วมันหดเข้ามากลางหัวอกแล้วมันออกรับรู้ยังไงล่ะ ความรับรู้ของมัน มันพิจารณาของมัน มันปล่อยของมันยังไง พอมันปล่อยของมัน มันก็เป็นอิสรภาพของตัวมันเองเห็นไหม นี่ไงจิตอาการความทุกข์ของจิต จิตความปลดปล่อยตัวจิต ปล่อยความรับรู้ของจิต แล้วมันรวมลงยังไงมันปล่อยยังไง โสดาบันเกิดยังไง นี่ไงมันจะเป็นโสดาบัน จะเป็นกาย จะเป็นเวทนา จะเป็นจิต มันต้องมีการกระทำมีความเป็นจริงของมัน ถ้าความจริงของมัน มันต้องเกิดความจริงของมัน
ถ้าเกิดความจริงคนที่รู้จริงทำจริงจะไม่พูดแบบฉ้อฉล แบบเล่ห์เหลี่ยม แบบหลอกลวง หลอกลวงแม้แต่ตัวเอง มันไม่เข้าใจเวลาพูดธรรมะนะ เวลาพูดธรรมะเฉพาะส่วน ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิบายได้หมดเลย เนี่ยเป็นสภาวะธรรม สภาวะปัจจุบัน เกิดอย่างนั้นมรรคญาณ แล้วคนไม่เป็นฟังเข้า มันก็รื่นหูนะ มันก็มีความเห็นตามกันไป แต่ความจริงมันไม่มี ความจริงมันไม่มีเพราะการกระทำสัจจะความจริงมันไม่มี มันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานี่จะไม่พูดกันอย่างนั้น นี่พิจารณาจิตนะ เนี่ยจิตเห็นจิต
จิตพิจารณาจิตเพราะจิตมันเศร้าหมองจิตมันผ่องใส เนี่ยพอจิตมันเศร้าหมองจิตมันผ่องใสถึงที่สุดแล้วมันปล่อย ปล่อย เพราะตัวจิตมันปล่อย มันเป็นจริตนิสัยของคน มันต้องมีอำนาจวาสนา เพราะมันเป็นเรื่องนามธรรม นามธรรมจับนามธรรมแล้วนามธรรมมันปล่อยนามธรรมทั้งๆ ที่อาศัยร่างกายเรานี่แหละ เพราะจิตนี้เป็นนามธรรม จิตเป็นนามธรรมจิต ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันละเอียดมาก มันเกิดในมนุษย์พอเกิดในมนุษย์ขึ้นมาเนี่ย แต่เพราะเราได้สร้างบุญญาธิการอย่างนี้ เราก็ต้องวิปัสสนาอย่างนี้เพราะมันตรงจริตนิสัย แล้วพิจารณาไป แล้วถ้าคนตรงจริตนิสัยการกระทำมันทำได้สะดวกคล่องแคล่วมันง่ายดาย ความง่ายดายเพราะมันตรงกับสายงานของตัวเอง พอทำไปบ่อยเข้า มันปล่อย ปล่อย ปล่อย จนถึงที่สุดนะกายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์มันปล่อยหมด พอมันปล่อย จิตมันปล่อย จิตมันปล่อยจิต พอปล่อยมันปล่อยทุกข์ ปล่อยทุกข์ไปจิตมันก็รวมลง แล้วมันเหลืออะไร
เนี่ยสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็ดับไปเป็นธรรมดา ธรรมดาอะไร อะไรมันดับ ทำไมมันถึงดับ ธรรมดามันดับยังไง ธรรมดามันดับแล้วไฟมันก็เปิดดับ เนี่ยเปิดมันก็ดับมันก็เปิดมันก็ติด ปิดมันก็ดับ แล้วมันเกิดดับอย่างนั้นมันได้ประโยชน์อะไร แต่ขณะที่มีการกระทำ ตัวจิตตัวมันเอง พอตัวมันเองมันเห็นอาการที่มันเป็นไปเอง เหมือนกับสิ่งที่มีการกระทำเราทำของเราเอง เราย่อยสลายของมันเอง
สุทธิมันเหลือสิ่งใด เราจับต้องของเราเอง นี่!โสดาบันเกิดอย่างนี้ พอมันขาด กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ความเป็นไปต่างๆ เพราะจิตมันรวมลง รวมลงแล้วมันขาดออกไป นี่ไงสังโยชน์ขาดออกไป เนี่ยโสดาบัน ๆ มันต้องเป็นโสดาบันโดยข้อเท็จจริง มันไม่ใช่เป็นโสดาบันด้วยการปลิ้นปล้อนฉ้อฉลหลอกลวง หลอกลวงถึงโสดาบัน ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่หลอกลวง สัจธรรมไม่หลอกลวง แต่มันหลอกลวงเพราะสังคมนี้มันหลอกลวง
เนี่ยรู้เท่าทันแล้วเป็นโสดาบัน เห็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์เป็นยังไง ไตรลักษณ์เป็นชื่อนะแต่ที่มันเป็นในหัวใจมันเป็นยังไง โอ้ย ไตรลักษณ์มันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป มันเป็นนกแก้วนกขุนทองมันไม่เป็นความจริง เนี่ยแล้วถ้าจิตมันมีพื้นฐานพิจารณาต่อไป มันจะเป็นสกิทาอนาคาขึ้นไป แต่ถ้าจิตมันจอมปลอม จิตมันจอมปลอมพอกำหนดพุทโธ พุทโธเนี่ย กาย เวทนา จิต ธรรม พุทโธพุทโธพุทโธเนี่ยพุทโธเนี่ยปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา
ถ้าปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม จิตมันสงบปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาไล่ต้อนเข้ามาเนี่ยพุทโธพุทโธพุทโธพุทโธเนี่ย มันไล่ต้อนจิตสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้า ๆ มันจะเห็นของมันเห็นไหม เห็นจิตมันสงบแล้วมาเห็นจิต พอเห็นความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบออกรู้อะไร สภาวธรรม สภาวะกายพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม
ธรรม คือสภาวธรรมเห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ สภาวธรรมเป็นธรรมชาติ ไอ้นั่นมันสภาวธรรม ธรรมชาติที่มันเป็นวัฏฏะมันหมุนไปตามธรรมชาติของมัน สภาวธรรม ถ้าจิตมันไม่สงบ ใครๆ เป็นคนเห็นสภาวธรรม ดูสิจิตของคนที่มีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหมเห็นสภาวธรรมเห็นธรรมชาติเห็นความร่มเย็นเป็นสุขนะ แต่จิตของคนมันเจ็บปวดกับธรรมชาตินั้น ใครเคยเห็นในสภาวะนั้นที่เราเคยเจ็บช้ำน้ำใจ เห็นสภาวะแบบนั้นเราจะไม่อยากไปดู สถานที่ใดเราเคยไปเจ็บช้ำน้ำใจเราไม่อยากเห็นสถานที่นั้นเลย เพราะเห็นแล้วมันจะคิดถึงความเจ็บช้ำน้ำใจของตัว
นี่ไงเห็นไหมนี่สภาวธรรมชาติที่เห็นเนี่ย คนหนึ่งเห็นแล้วชื่นชมยินดี อีกคนหนึ่งเห็นแล้วมันมีประวัติศาสตร์เจ็บปวดแสบร้อนกับธรรมชาตินั้น เห็นสภาวะนั้นทีไรก็น้ำตาไหลทุกที นั่นทำไมธรรมชาติมันให้โทษล่ะ ธรรมชาติมันให้คุณกับคนที่มีจิตใจเป็นธรรม ธรรมชาติมันให้โทษกับคนที่จิตมีความฝังใจกับธรรมชาตินั้น สิ่งนั้นมันเคยฝังใจเราให้ความเจ็บช้ำน้ำใจกับเรา นั่นไงเห็นไหม เนี่ยสิ่งที่ใจขณะใจเราปกติ เราเคยเห็นเป็นบวกลบกับธรรมชาตินั้น มันก็จะมีข้อมูลในความเจ็บช้ำน้ำใจความชุ่มชื่นในหัวใจแตกต่างกัน
แต่ถ้าจิตมันไม่สงบนะ ถ้าจิตมันสงบตัวของมันเข้ามา เนี่ยเราพุทโธพุทโธพุทโธจิตสงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้าๆ พอมันออกรู้ไง ออกรู้ๆ ในอะไรพิจารณากายก็เห็นกาย พิจารณากายก็กายเปื่อยเน่า กายพุพอง กายแปรสภาพสู่สภาพเดิมนั่นพิจารณากาย พิจารณาเวทนา ก็เวทนากาย เวทนาจิต เวทนากายคือความเจ็บช้ำความเจ็บป่วยของร่างกาย เวทนาจิตก็ความยึดมั่นถือมั่นของจิต ความเศร้าใจเสียใจ เวทนาของจิต พิจารณาจิต จิตเศร้าหมอง จิตผ่องใสพิจารณาธรรม
พิจารณาธรรมสภาวธรรม สภาวธรรมคือสภาวะของจิต สภาวะของความรู้สึก สภาวะของความกระทบกับอะไร กระทบกับความคิดต่างๆ เห็นไหมความคิดต่างๆ เกิดสภาวธรรมเป็นธรรมะขึ้นมา สิ่งที่เป็นธรรมะขึ้นมา ธรรมะนี่ของใคร ธรรมที่เราศึกษาธรรมเป็นธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมทั้งหลายเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันให้ประโยชน์อะไรกับเรา ธรรมชาติคือธรรมชาติ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราก็อยู่เฉพาะตามธรรมชาติ
เพราะจิตเราไม่สงบ ถ้าจิตเราสงบมันไม่เห็นอย่างนั้นนะ จิตเราสงบขึ้นมาเนี่ย ความคิดเห็นไหม อารมณ์ความรู้สึกก็เป็นธรรมะอันหนึ่ง นี่คิดดีคิดชั่ว คิดดีคิดชั่วในความคิดนั้นมีอะไร ในความคิด คิดชั่วเพราะอะไร คิดชั่วเพราะตัณหาความทะยานอยาก นี่ถ้าคิดดีล่ะ คิดดีมันก็ติดดีเห็นไหม คิดดีก็เป็นการยึดมั่นถือมั่น คิดดีสภาวธรรมมันเคลื่อนตัวไป พอมันเคลื่อนตัวไป อารมณ์ความรู้สึกเราก็เคลื่อนตามมันไป เนี่ยคิดดีโอ้ก็เป็นธรรมะ ธรรมะก็ตายอยู่นั่นไง เนี่ยจิตมันก็ติดอยู่นั่นแหละเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เนี่ยพิจารณาธรรม สภาวะธรรมที่มันเกิดขึ้นมันมีดีและชั่ว ความดีนั่นแหละว่าธรรม ถ้าติดดี ติดธรรมะติดว่าเป็นธรรมจะปลดปล่อยมันได้ยังไง ถ้ามันปลดปล่อยไม่ได้นะ ในอารมณ์ความรู้สึกความคิดมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ความคิดมันเกิดได้ เนี่ยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เนี่ยสภาวธรรม สภาวธรรมในข้อมูลๆ โดยการกระแสที่มันเกิดขึ้นมาได้ ความคิดมันเกิดขึ้นมาได้เพราะมีรูป มีความรู้สึกความคิดขึ้นมาเห็นไหม พิจารณาจิตพิจารณาจิต เป็นความเศร้าหมอง เป็นความผ่องใส เป็นการรับรู้สิ่งต่างๆ ของจิต
สภาวะจิต จิตคือพลังงานเฉยๆ เนี่ยสภาวธรรม สภาวธรรมเพราะมันมีพลังงาน มีพลังงานแล้วมันบวกด้วยข้อมูลของมันเห็นไหม ดูคลื่นวิทยุสิ คลื่นวิทยุถ้าไม่มีข้อมูลคลื่นมันก็เสียงคลื่นเฉยๆ แต่ถ้ามีข้อมูลเข้าไปมันก็เป็นเพลงเป็นเสียงต่างๆ ขึ้นมา สภาวธรรม ธรรมที่มันเกิดขึ้นมากระทบหัวใจขึ้นมา หัวใจกระทบกับสิ่งใดมันก็เกิดข้อมูลเกิดความผูกพันของมันขึ้นมา ความผูกพันนั้นคืออะไร ความผูกพันนั้นคืออารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกมันประกอบด้วยอะไร ความรู้สึกประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าขันธ์ ๕ มันไม่รวมตัว ขันธ์ ๕ ไม่เป็นอารมณ์ความรู้สึก ความคิดเกิดไม่ได้ ความคิดเกิดไม่ได้หรอก
ความคิดของมนุษย์เกิดขึ้นมาในสภาวธรรมๆ ธรรมที่มันเกิดขึ้นมา สภาวะความคิดมันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าจิตมันสงบเข้ามา พุทโธ พุทโธ พุทโธ จิตมันเสวยอารมณ์ เสวยอารมณ์ขึ้นมาเนี่ย จิตเห็นธรรม ธรรมคืออารมณ์ความรู้สึกธรรมนั้น จับธรรมนั้นตั้ง แล้วแยกแยะของมัน ในธรรมนั้นมีอะไรในธรรมนั้นมีอารมณ์ความรู้สึกของมันข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลนะ ดูสิเนี่ยในการติฉินนินทา นินทาใครเป็นคนติฉินนินทา คนติฉินนินทาคือคนที่เอามาพูดติฉินนินทาแล้วเราก็มีความรู้สึก นี่เป็นข้อมูลของโลก แต่ในความเป็นจริง ใครเป็นคนรับรู้เสียงนี้ ข้อมูลที่เขาติฉินนินทาเนี่ยใครไปรับรู้มัน จิตรับรู้มัน จิตรับรู้ด้วยอะไร จิตรับรู้ด้วยพลังงาน จิตรับรู้ด้วยขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕มีอะไรรูป รูปถ้ามันไม่มีเวทนาคือความที่เขาติฉินนินทาเข้ามา ดีใจเสียใจไง ข้อมูลดีและชั่ว สัญญารับรู้ว่าเป็นข้อมูลแล้วสังขารปรุงแต่ง วิญญาณรับรู้ ขันธ์ ๕วิญญาณในขันธ์ ๕กับวิญญาณในปฏิสนธิจิต วิญญาณในขันธ์ ๕ วิญญาณในความรับรู้นี้
ปัญญาไล่เข้าไปๆ มันแยกออกๆ ถ้ามันแยกออกเห็นไหม วงล้อ เนี่ยมันประกอบไปด้วยเห็นไหม ๕ ส่วน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกวงล้อนั้น ในวงล้อเราตัดออกส่วนหนึ่ง วงล้อมันจะหมุนไปได้ไหม ความรู้สึกความคิด ธรรมารมณ์ สัจธรรม ธรรมที่เกิดขึ้นมาความคิดที่เกิดขึ้นมา ธรรมะๆ เนี่ยมันจะเกิดขึ้นมาได้ไง มันเกิดขึ้นมาไม่ได้เลย ถ้ามีมรรคญาณเข้าไปแยกแยะเข้าไปทำลายมัน พอทำลายมัน มันก็ปล่อยเห็นไหม จิตกับธรรมมันแยกออกจากกัน ธรรมารมณ์สภาวธรรมๆ สภาวะหลอกลวง สภาวธรรมคือสภาวะความหลอกลวงของจิต เพราะจิตมันจอมปลอม สิ่งที่เกิดขึ้นมามันเลยจอมปลอม
เนี่ยธรรมะ ๆ นี่จอมปลอมทั้งนั้นน่ะ มันไม่ใช่ธรรมะจริง ธรรมะจอมปลอมเห็นไหม แต่มรรคญาณ มรรคญาณเนี่ยของจริง มรรคญาณคือเนี่ยความสงบของใจ แล้วใจออกวิปัสสนา ออกด้วยปัญญาเนี่ย มันเป็นของจริง ของจริงทำลายของปลอม ของปลอมคือจิตมันปลอม พอจิตมันปลอม มันได้ข้อมูลมาปลอมๆ พอเขามาปลอมอารมณ์ความรู้สึกมันก็เคลื่อนไปด้วยความปลอมๆ
เหมือนในปัจจุบันนี้ เราเกิดมาเป็นคนเห็นไหม เราก็มีกายกับจิต จิตมันก็เป็นพลังงาน จิตก็เป็นธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ก็หมุนของมันไปๆ หมุนความคิดของมันไป ศึกษาธรรมะรู้ธรรมะหมด นกแก้วนกขุนทองมันก็เหมือนกับก๊อปปี้ นี่เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องถ่ายเอกสารมันก็ถ่ายๆๆ ไปมันถ่ายออกมาแล้ว เครื่องถ่ายเอกสารมันได้อะไร เนี่ยเครื่องถ่ายเอกสารๆ เอกสารมาเนี่ย คนเอาข้อมูลเอกสารนั้นมาใช้เป็นอาชีพ คนเราเอาข้อมูลเอกสารนั้นมาเป็นประโยชน์ใช่ไหมแต่ทุกเครื่องถ่ายเอกสารมีอะไร
จิต ๆๆ ที่คิดธรรมะ ๆ เนี่ย มันก็ถ่ายธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ามา มันก็ถ่ายเอกสารมันก็ก๊อปปี้มาๆ ธรรมะของใคร ธรรมะจอมปลอมๆ มันปลอมเพราะจิตมันปลอม พอจิตมันปลอมมันก็ได้ข้อมูลมาปลอมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของจริงแต่มันถ่ายมามันไม่รู้สิ่งใดของมันเลย แต่เวลาปัญญาเราเกิดเห็นไหม จิตมันสงบ พุทโธ พุทโธ จิตสงบ จิตมันเป็นตัวจิตตัวพลังงานเห็นไหม พอจิตมันสงบเข้ามาเนี่ย แล้วจิตมันจอมปลอม มันได้ข้อมูลปลอมมันก็ไหลไปตามความปลอมเห็นไหม
พอจิตมันสงบเข้ามา เรามีกำลัง มีกำลังเราก็ใช้กำลังเราวิปัสสนาแก้ไขของเรา พอแก้ไขของเราเห็นไหม แก้ไขมันแยกแยะของมัน พอแยกแยะของมันเห็นไหม ในอารมณ์ความรู้สึกมันประกอบไปด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ข้อมูลที่เขาติฉินนินทา ข้อมูลธรรมะนี้เป็นข้อมูลขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะที่จิตเราวิปัสสนาญาณ เนี่ยมันจะเป็นข้อมูลของเรา เป็นกำลังของเรา เป็นการกระทำของเรา เป็นการแยกแยะ แยกแยะขันธ์ ๕ ขันธ์กับจิต ขันธ์กับเรา สิ่งที่มันเป็นเราเนี่ย
เห็นไหมพิจารณาจิต ความผ่องใสๆ เราแยกของมันจนแยกได้ พิจารณาธรรมก็เหมือนกัน พิจารณาธรรม สภาวธรรมที่มันเกิดขึ้นมาแล้วเนี่ย สภาวธรรมที่เกิดขึ้น เพราะจิตมันสงบ ถ้าจิตไม่สงบมันไม่เห็นไม่ได้ จิตเห็นอาการของจิตเนี่ยไงสภาวธรรมจิต พุทโธ สงบๆ แล้วเห็นธรรม เห็นธรรมคืออารมณ์ความรู้สึกคือความคิดขึ้นมา
สิ่งที่เป็นสภาวธรรมที่เรารับรู้ รู้ธรรม รู้ธรรม ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ เนี่ยธรรมะธรรมชาตินี้มันเกิดดับ เกิดดับแต่ธรรมชาติของมัน แต่ไม่ใช่สัจธรรม ถ้าเป็นสัจธรรม มันจะเกิดมรรคญาณ เกิดสัจธรรม สัจธรรมนี่เกิดขึ้นมาจากจิต มันมีการกระทำของจิต นี่มรรค มรรคญาณมันจะหมุน มันจะเคลื่อนของมัน มรรคญาณเคลื่อนตัวก็คือปัญญาของเรา ปัญญาที่มีสมาธิรองรับ มันมีมรรค ๘ มีงานชอบ เพียรชอบ เนี่ยมันมีสมาธิชอบ สติชอบการกระทำของมันชอบ
นี่ไงพอมรรคญาณของมัน นี่มีการกระทำอย่างนี้ นี่มรรคเกิดเห็นไหม นี่การกระทำของจิต จิตที่มีมรรคญาณมีภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติ เนี่ยปริยัติ ปฏิบัติ ปริยัติมันจำมามันนกแก้วนกขุนทองแต่ปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย มันมีการกระทำของจิตมีการเคลื่อน จิตมีการกระทำมีกำลังของมัน มันจับต้องของมัน แล้วมันแยกแยะของมัน พอมันแยกแยะของมัน มันก็ปล่อยเห็นไหม ปล่อยๆๆ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันปล่อย พอปล่อยขึ้นมาจิตมันก็รวมลง พอจิตรวมลงจิตมันปล่อย นี่ตทังคปหานมันปล่อยชั่วคราว
พอปล่อยชั่วคราว จิตจอมปลอม ๆ ธรรมก็จอมปลอม สภาวธรรมที่เกิดขึ้นมาจอมปลอมหมดเลย แต่เพราะจิตมันสงบเพราะเรากำหนดพุทโธ มันมีสัมมาสมาธิ มันมีหลักมีเกณฑ์ของมันเข้ามา พอจิตมันจอมปลอม สงบขนาดไหนมันก็จอมปลอมเพราะมันเป็นตะกอนนอนก้นแก้ว ในเมื่อสัมมาสมาธิเป็นหินทับหญ้า มันจะชำระกิเลสไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอกแต่ต้องอาศัยความสงบอันนี้
พออันนี้มันสงบขึ้นมานี่ แล้วมันออกวิปัสสนาญาณของมันเห็นไหม เนี่ยวิปัสสนาคือพยายามใคร่ครวญเข้ามา การใคร่ครวญเข้ามาเพื่อถอดถอนอุปาทาน ถอดถอนการยึดมั่นถือมั่น ถอนสังโยชน์ออกไป ๆ นี่ไงเอาตะกอนในน้ำออก ตะกอนคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เนี่ยพอมีการกระทำ มรรคญาณมันเคลื่อน มันเป็นธรรมจักรเข้ามาทำความสะอาดของใจ พอทำความสะอาดของใจ เนี่ยจากใจจอมปลอม ถ้าใจจอมปลอมมันจะปลิ้นปล้อน เร่ร่อน มันจะมีหลอกลวง มันจะมีการฉ้อฉล แล้วโสดาบันฉ้อฉล โสดาบันปลิ้นปล้อน โสดาบันหลอกลวง หลอกลวงตัวเองทำลายตัวเอง
แต่ถ้าเป็นความจริงของมันขึ้นมาเห็นไหม มันจะมีการกระทำของมันขึ้นมา มรรคญาณมันเกิดขึ้นมา มันวิปัสสนารอบหนึ่งมันปล่อยวางรอบหนึ่ง จิตที่มันจอมปลอมเนี่ย เพราะมันจอมปลอมพอมันเห็นสัจจะความจริงมันก็ปล่อย ๆ
พอมันเห็นสัจจะความจริง มันฝึกฝนตัวเอง มันเป็นธรรมะเชิงประจักษ์ มันประจักษ์ของมัน มันเห็นของมัน มันทำลายของมันเห็นไหม พอทำลายของมัน พอทำลายของมันบ่อยครั้งเข้าๆ เนี่ยขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ขันธ์มันก็แยกออกไป ขันธ์ ๕ ในเมื่อสัจธรรม ธรรมะเนี่ย สิ่งที่จะเป็นธรรมะมันต้องมีขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันถึงเป็นสภาวธรรม ความรู้สึกเกิดขึ้นได้ แต่ตัวจิตเฉยๆ มันเป็นความผ่องใสเศร้าหมอง นั่นแหละตัวจิตเห็นไหมตัวจิตตัวสัมมาสมาธิ
ตัวสิ่งที่มันเป็นตัวจิตที่มันปลอมอยู่ แต่มีการกระทำของมัน มันก็ทำความสะอาดของมันขึ้นมาเรื่อย มันก็สะอาดขึ้นมาเรื่อย มันก็จริงขึ้นเรื่อยเห็นไหม ถ้าจิตปลอม ธรรมะก็ปลอม ถ้าจิตมันจริงขึ้นมา ธรรมะจะจริงขึ้นมาเรื่อยๆ มันก็จะปล่อยวางไปเรื่อยๆ มีความสะอาดไปเรื่อยๆ การประพฤติปฏิบัติจะง่ายไปเรื่อยๆ คำว่าง่ายคือชำนาญขึ้น คนทำงานเป็นชำนาญขึ้นทุกอย่างมันจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็วิปัสสนาบ่อยครั้งเข้าๆ ถึงที่สุดมันขาดนะ ขันธ์ ๕ไม่ใช่เราเราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เนี่ยแล้วจิตรวมลง อะไรรวมลง เนี่ยโสดาบัน โสดาบันในกาย โสดาบันในเวทนา โสดาบันในจิต โสดาบันในธรรม แล้วโสดาบันมันก็พิจารณาไปมันก็ก้าวเดินต่อไป การวิปัสสนา ในการกระทำเนี่ย ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ใช่ทำพิจารณากาย ธรรมพิจารณาเวทนา ธรรมพิจารณาจิต ธรรมพิจารณาธรรมต่างๆแต่ละขั้นตอนไป พิจารณาอันใดอันหนึ่ง
สิ่งใดสิ่งหนึ่งพิจารณาเนี่ยเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทา เป็นพระอนาคา เป็นถึงพระอรหันต์ได้เหมือนกันหมด แล้วเวลาพิจารณาไปแต่ละขั้นแต่ละตอนขณะที่พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งเนี่ย เราพิจารณา พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิตบ้างก็ได้ บ้างเห็นไหม คำว่าบ้างคือว่ามันเปลี่ยน งานที่ทำซ้ำซาก งานที่เราทำเฉพาะส่วน เนี่ยกิเลสมันจะปลิ้นปล้อน แล้วมันจะทำให้เราพิจารณาได้ยาก มันจะทำให้เราออกนอกลู่นอกทาง เราต้องปิดล้อมทุกๆ วิธีการ
การประพฤติปฏิบัติมันต้องมีสัจจะ ประพฤติปฏิบัติมันต้องมีวุฒิภาวะ การพิจารณาต้องมีปัญญา ปัญญาที่เป็นภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาซื่อบื้อ ถ้าปัญญาซื่อบื้อเนี่ยพุทธพจน์ เนี่ยพระพุทธเจ้าว่ายังไงต้องทำตามนั้น เนี่ยมันไม่ใช่ มันอยู่ที่จริต อยู่ที่นิสัย อยู่ที่อำนาจวาสนาอยู่ที่การกระทำ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม แต่ละครั้งแต่ละคราว หนึ่งเดียวแต่สิ่งใดก็ได้
แล้วเนี่ยครูบาอาจารย์หลายองค์มาก พิจารณากาย กายๆๆ กายโสดาบัน กายสกิทา กายอนาคา กายถึงพระอรหันต์ก็มี พิจารณาเวทนา พิจารณาจิตเนี่ย สิ่งใดสิ่งหนึ่ง บางองค์พิจารณาแต่ละขั้นตอนไม่เหมือนกัน เนี่ยพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิตแต่ละขั้นตอน เนี่ยพิจารณากายอันหนึ่งเป็นโสดาบัน พิจารณาจิต พิจารณาเวทนาเป็นสกิทา เนี่ยพิจารณาธรรมเป็นอนาคา พิจารณาจิตเป็นพระอรหันต์ เนี่ยบางองค์ก็ใช้สติปัฏฐาน ๔ ครบคือแต่ละขั้นตอนใช้อันใดอันหนึ่ง
แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราเห็นไหม สิ่งใดที่เผชิญหน้า สิ่งใดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าจิตมันขึ้นมาในปัจจุบันแล้วเป็นสัจจะความจริงอันนั้นเราต้องพิจารณาสิ่งนั้นและทำสิ่งนั้นตามความเป็นจริง แล้วตามความเป็นจริงที่โดยตั้งสติ มหาสติ สติอัตโนมัติมันจะละเอียดลึกซึ้งเข้าไป ละเอียดลึกซึ้งเข้าไป โสดาบันเป็นโสดาบันนะ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อรหัตตมรรค อนาคามรรค อรหัตตมรรค มันจะละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เป็นสติ มหาสติ สติอัตโนมัติ ญาณการเกิดขึ้นมาญาณหยั่งรู้ต่างๆ มันจะเกิดมันจะเป็นไป ถ้าคนมีคุณธรรม
การประพฤติปฏิบัติมันจะหลากหลาย และวิวัฒนาการมันจะพัฒนาของมันขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่เป็นข้อเท็จจริง ในวงการปฏิบัติในครูบาอาจารย์ของเราปฏิบัติจริงๆ รู้จริงๆ มันจะมีคุณสมบัติจริงๆ คุณสมบัติจริงๆ เวลาพูดออกมาเนี่ยมันจะเข้าใจได้หมดเลย เข้าใจว่าในปัญญาอย่างนี้ ในการวิปัสสนาอย่างนี้มันอยู่ในขั้นตอนไหน ขั้นตอนโสดาบัน ขั้นตอนสกิทา ขั้นตอนอนาคา ขั้นตอนพระอรหันต์ มันมีวุฒิ มันมีกำลัง มันมีความแตกต่างๆ
เห็นไหมเวลาหลวงตาท่านพูดเลย ถ้าไม่รู้พูดไม่ได้ ไม่รู้ถามไม่ได้ เวลาถามครูบาอาจารย์เขาถามกันด้วยธรรมะ เนี่ยพิจารณากายยังไง พิจารณาเวทนายังไง พิจารณาจิตยังไง พิจารณาโสดาบันยังไง สกิทา อนาคายังไง มันไม่เหมือนกันหรอก มันไม่มีๆ สูตรสำเร็จหรอก มันเป็นไปไม่ได้หรอก สูตรสำเร็จที่ว่ามันจะพิจารณาของเขาเป็นสูตรสำเร็จเป็นไปไม่ได้ สิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้เลยแต่ถ้าเป็นความจริงนะ เป็นความจริงเนี่ย มันเหมือนคนเป็นงานน่ะทำอะไรก็ถูกต้องไปหมด เนี่ยคนไม่เป็นทำอะไรก็ผิดไปหมด ถ้าผิดไปหมดแต่พยายามตะแบง พยายามจะเอาธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ้างอิง แล้วก็พูดจานิ่มนวล พูดจาอ่อนหวาน เวลาครูบาอาจารย์ของเราเนี่ยโอ้โฮกระโชกโฮกฮาก พูดจานี่ไม่น่าจะเป็นธรรมะเลย แต่เป็นธรรม
กำลังของธรรมนะ เวลาธรรมมันออกมาเนี่ย เวลาออกมานะดูสิ ในการประพฤติปฏิบัติในความจริงจัง ความมุมานะ แล้วเรามาทำเล่น ทำอ่อนข้อย่อหย่อนกับกิเลส แล้วบอกว่านี้เป็นการประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ทำจริงผู้ที่เห็นจริงดูไม่ได้หรอก ดูไม่ได้ ดูไม่ได้เห็นไหม เวลาภาคปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปัจจุบันนี้มีปัญหา ปัญหาเพราะว่าปริยัติเข้ามาในภาคปฏิบัติเยอะ แล้วพอปฏิบัติไปแล้วเนี่ย ก็ปฏิบัติไปโดยสัญญาอารมณ์ แล้วพอภาคปฏิบัติจะแสดงตัวออกมา ก็บอกว่านี่เป็นกิเลส อันนี้เป็นอารมณ์ฉุนเฉียว ต้องพูดจานิ่มนวลอ่อนหวาน นี่ไงปริยัติล้วนๆ แต่อ้างอิงว่าปฏิบัติ หมาห่มหนังเสือ เป็นหมา แต่อยากเป็นเสือ เสือมันก็คือเสือ เอวัง