เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ เม.ย. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเราส่วนใหญ่เวลาตายไป หลักการส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น เป็นแบบนั้นเพราะว่าเวลาตายออกไปแล้วมันต้องออกไป คนเราจะทำคุณงามความดีและทำความไม่ดีมันมีคละเคล้ากัน ถ้าทำคุณงามความดีกับไม่ทำคุณงามความดีคละเคล้ากัน มันต้องไปส่วนที่ว่า ไปตรงที่ว่าไปยมบาล ไปหาส่วนแยกก่อน แต่ถ้าทำคุณงามความดีมากมันก็ไปเลย แต่ถ้าทำคุณงามความดีถึงที่สุดไปสวรรค์เลย ไม่ผ่าน มันไม่ต้องเป็นอย่างนั้นทุกสิ่งไป แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น แต่ไม่เป็นแบบนั้น เห็นไหม

นั่นเขาถึงว่าถ้าเวลาคนเราตายแล้วต้องไปเป็นแบบนั้น คือว่าออกจากร่างไปจะเห็นเรานอนอยู่ที่เปล่า เห็นเราเป็นอย่างนั้นไหม? ถ้าเราทำคุณงามความดีมามากไม่ต้อง ไปจาตุม เหมือนในพระไตรปิฎก เห็นไหม เวลาจะตายขึ้นไปรถม้ามารับทุกชั้นเลย เปิดทุกชั้นให้คนเราไปได้ ถ้าเราทำคุณงามความดีมาก แต่ถ้าทำบาปอกุศลมากมันก็ต้องไปเลย มันก็ตกต่ำไปเลยเหมือนกัน ตกต่ำไปเลย แต่ถ้าคนเราครึ่งๆ กลางๆ ทำคุณงามความดีด้วย ทำบาปอกุศลด้วย มัน ๕๐-๕๐ ก็ต้องไปก่อน

เวลาไปก่อนเวลาไปอย่างนั้น ถ้ามันตายโดยที่ว่าไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่คนถ้าตายโดยมีสติสัมปชัญญะ เวลาโบราณเขาถึงสอนว่าเวลาใกล้ตายให้นึกถึงพุทโธ ให้ถึงนึกพระก่อน ทำคุณงามความดีไว้ คุณงามความดีก็เป็นความดี ทำความชั่วไว้ก็เป็นความชั่วในหัวใจ แต่ถ้าเราออกจากบ้านไป เราใส่ชุดไหนออกไปก่อน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราออกจากร่างไป ถ้ามีสติสัมปชัญญะเราจะออกจากร่างไปด้วยอะไร? ด้วยความดีก่อน มันเสวยบุญก่อนไง เสวยบุญ บาปอกุศลก็อยู่อย่างนั้น เสวยบุญก่อน เราเกิดมาถึงได้ลุ่มๆ ดอนๆ ไง เราเกิดมาเวลาทุกข์ เห็นไหม ถ้าเวลาเราทุกข์ เราทุกข์ของเรา ทุกข์มันมี ๒ อย่าง ทุกข์กายกับทุกข์ใจ แต่เราบำเรอร่างกายกัน เรามองกันเฉพาะว่าทุกข์ของกาย เราพยายามแสวงหาเรื่องของกาย เพื่อความอยู่ของกาย ให้กายนี้มีความสุข

โลกเศรษฐกิจจะเจริญ เจริญเพราะเรื่องของปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย แต่เขาลืมมองสิ่งหนึ่งคือว่าความสุข ความทุกข์อันแท้จริงคือหัวใจ หัวใจของสัตว์โลกเป็นสิ่งที่รับรู้ความสุขและความทุกข์อันแท้จริง แต่เครื่องอยู่อาศัย เครื่องบำรุงบำเรอชั่วครั้งชั่วคราวไง เพื่อให้มันผ่อนคลาย ความผ่อนคลายของโลกเขา เรามองทางโลกเขา เราถึงต้องสร้างคุณงามความดี เพราะการสละทาน ให้ทาน เพราะใจมันคิดมันถึงได้สละได้ ใจเราคิด เราสละแล้วออกจากหัวใจ ถ้าเราไม่คิดเราไม่สละ อย่างไรเราก็ทำไม่ได้ มันมีความคิดในหัวใจ คิดแต่ยังไม่ทำ ผัดวันประกันพรุ่งมันก็ทำไม่ได้

นี่มันเข้าถึงใจ เข้าถึงใจตรงริเริ่มออกมาจากใจ ใจคิดออกมาจากสละทานอยากทำบุญกุศล นี่บุญกุศลมันเข้าถึงใจดวงนั้น ใจกินกุศลเป็นเรื่องของอารมณ์ เป็นเรื่องของบุญกุศล เป็นเรื่องของใจ เรื่องของใจกินบุญกุศลเป็นอาหาร กินอารมณ์เป็นอาหาร เรื่องของปากเรื่องของท้องกินปัจจัย ๔ เป็นอาหาร ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย มันอยู่อาศัยไปอย่างนั้น มันจะพึ่งพาอาศัยกันก็ได้ ใครจะหยิบยื่นให้ก็ได้ ตกทุกข์ได้ยากใครจะพึ่งพาอาศัยกันก็ได้ แต่เรื่องบุญกุศล เวลามันทุกข์ในหัวใจ คนจะปลอบได้แต่เรื่องภายนอก ปลอบประโลมได้แต่เรื่องของการปลอบประโลม แต่หัวใจมันก็ทุกข์ร้อนของมันอยู่อย่างนั้น มันเข้าถึงไม่ได้ถ้าเราไม่พยายามเปลี่ยนแปลงของเรา

ถ้าเราเปลี่ยนแปลงของเรา เราฉลาดขึ้นมา เราเริ่มทำบุญกุศลของเรา เริ่มสละทานออกไป บุญกุศลไม่เฉพาะให้ทาน การให้อภัย การให้วิชาการ การให้ธรรมนี้เป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง ให้วิชาการ ให้ทุกอย่าง การให้การสละทานออกไป อันนั้นเป็นเรื่องย้อนกลับมาถึงใจของเรา ใจของเราจะได้รับสิ่งนี้เป็นเครื่องอยู่อาศัย ใจของเรายึดมั่นถือมั่นเรื่องของมันได้ มันมีที่พึ่งอาศัย มันมีที่พึ่งที่เกาะที่เกี่ยว มันก็มีที่ปลงวางใจได้ แต่เดิมมันปลงวางใจไม่ได้ ใจเราคิดโดยขับไสไปตามกิเลส ความคิดของเรามันขับไสออกไป

เราคิด เห็นไหม เราคิด เรานึก เราคิดว่าเราคิดเรานึก แต่ความจริงมันมีกิเลสอาศัยอยู่ในหัวใจ ความคิดความนึกไปด้วย แล้วมันขับไส มันขับดันออกไปตามประสาของมัน แล้วมันอยู่ที่บุญกุศลของใจ บุญกุศลคือว่าความสะสมมา เป็นจริตนิสัย ความชอบของใคร ความสมใจของใคร ใครสะใจอย่างไรมันก็ทำอย่างนั้นเพื่อให้สมใจของมันเป็นแบบนั้น อันนี้เครื่องอยู่อาศัย ถ้าอย่างนี้มันพอปลงพอวางได้ แต่มันก็เป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นเรื่องของเปลือกๆ เห็นไหม เรื่องของเปลือกๆ เรื่องของเครื่องอยู่อาศัยเข้าไป แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งที่เป็นความสุขอย่างยิ่ง มันก็ไม่พ้นเรื่องทำความสงบของใจ

ถ้าความสงบของใจมันต้องฝืนใจ สิ่งที่ความคิดอยู่มันก็คิดได้ คิดไปตามประสาโลกมันคิดของมันไป แต่ถ้าเราทำความสงบเข้ามา เราจะฝืนความคิดของเราแล้ว เราเริ่มฝืนความคิดของเรา เราเริ่มจะควบคุมตัวเองของเราได้ แต่เดิมเราเป็นขี้ข้าของเราเอง เราคิดว่าเรานี่เป็นคนที่ฉลาด เราคิดว่าเราเกิดมาแล้วเราจะมีอำนาจวาสนา แต่เราต้องเป็นขี้ข้าของความคิด มันพอใจมันถึงคิดไป เพราะมันพอใจ เราไม่เข้าใจความคิดของเรา เราก็คิดว่าเราคิดถูกต้อง มันพอใจมันก็คิดของมันออกไป คิดออกไปกิเลสก็พาคิดออกไป ทำตามความคิดของเรา แล้วเราเริ่มจะเอาชนะมัน เห็นไหม เริ่มดัดแปลงตน เริ่มทำความเห็นของเราเข้ามา

ความเห็นของเรา มันจะคิดขนาดไหนให้มันคิดอยู่ในกรอบ พุทโธ พุทโธ พุทธานุสติ มรณานุสติ คิดถึงความตายคนเรามันสลดสังเวช คิดถึงความตายมันต้องหาที่พึ่งอาศัย คิดถึงความตายมันเคยคิดออกไปตามประสาของมัน มันคิดแต่ว่ามันจะไม่เคยตาย มันจะพยายามแสวงหาสิ่งของมัน ให้สะสมของมันให้ได้มากที่สุด ให้ได้มากที่สุด ให้มีความคิดของมัน แล้วมันพอใจของมัน นั่นแหละคิดหาแต่สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟ

การแสวงหามาต้องลงทุนลงแรง มันเป็นการเหนื่อยชั้นหนึ่ง การได้มายังต้องการเก็บรักษาอีกชั้นหนึ่ง แล้วความเก็บรักษาแล้ว ถ้าความคิดของเรามันตระหนี่ถี่เหนียวมันจะไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นบุญกุศล ถ้ามันเป็นคนที่ฉลาดขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เป็นสมบัติ นี่ที่โยมมาวันนี้โยมสละทานมามันมาจากไหน? มันมาจากแรงงานของเราใช่ไหม? มันมาจากการที่เราแสวงหามาใช่ไหม? แล้วเราแสวงหาขึ้นมา เราแสวงหามาเป็นสมบัติของเราแล้ว เรายังพลิกแพลงเอามันให้สละออกไป ให้เป็นบุญกุศลของใจเราใช่ไหม?

นั่นแหละสมบัติของเรา ถ้าเรามีหัวใจที่เป็นบุญกุศล มันสามารถพลิกแพลงมันให้เป็นประโยชน์กับเราได้ เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมาแล้วมันมีความชุ่มใจ มีความเย็นใจ คนเราหิวกระหายเขาบอกเลย จะทำประพฤติปฏิบัติต้องให้เราร่ำรวยก่อน ต้องให้เรามีความสุขก่อนเราถึงประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรายังทุกข์ยากอยู่เราต้องพยายามหาอยู่หากินของเราก่อน

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจชุ่มเย็น หัวใจมันมีสิ่งที่ว่าเรารักษามา เราเก็บต้องมา เราสละทานออกไป เห็นไหม การสละทานออกไปใจมันชุ่มเย็นขึ้นมา มันเริ่มสละทานออกไป มันมีการเปลี่ยนแปลงของใจ ใจแต่เดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วหมักหมม สิ่งที่หมักหมมให้แต่ความทุกข์ แล้วมันเร่าร้อน แล้วมันย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำ จะให้ทานไปก็ยังเสียดาย ยังคิดแต่อยากจะดึงจะรั้งไว้ แต่ถ้ามันมีความเคยให้ทานออกไป มันฝึกฝนขึ้นมา มันมีความชุ่มเย็นของใจขึ้นมา การสละทานออกไป

ทาน ศีล ภาวนา มันจะมีสละออกไปแล้ว ควบคุมใจไว้ให้ได้ แล้วพยายามภาวนาทำใจให้สงบขึ้นมา ถ้าใจสงบขึ้นมามันเริ่มปล่อยวาง มันปล่อยวางสิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามของใจ สิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามของใจ เวลามันคิดขึ้นมา เราคิดขึ้นมาเราก็คอตกนะ คิดอยู่คนเดียวขึ้นมาเราคอตก สิ่งที่ไม่มีอะไร ความเบื่อหน่ายของชีวิต ชีวิตนี้มีความสงบ มีความสุขมาก มีสมบัติมหาศาลก็แล้วแต่ แต่มันก็อาลัยอาวรณ์ ความอาลัยอาวรณ์ในความคิดของตัวเองมันก็หมักหมม นี่มันทิ่มแทงใจของเราเป็นอย่างนี้

นี่ความทุกข์เป็นอริยสัจ ความจริงมันเป็นอริยสัจของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่เพราะเราไม่เข้าใจ เราไม่แสวงหา เราไม่มีวิธีการรักษา แต่เราเกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนเรื่องของใจ ใจสำคัญมาก ใจสำคัญที่สุด แต่ใจสำคัญที่สุดทำไมเราต้องกินต้องอยู่ ต้องอาศัยล่ะ? สิ่งที่อยู่อาศัย เห็นไหม ก็บอกแล้วว่ามันพึ่งพาอาศัยกันได้ มันเจือจานกันได้ มันแสวงหา มันช่วยเหลือกันได้ แต่เรื่องของใจใครจะช่วยเหลือเรา ถ้าเราไม่ได้ช่วยเหลือตัวเราเอง

ถ้าเราช่วยเหลือตัวเราเอง เห็นไหม นั่นแหละ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนพยายามพึ่งตนเองได้แล้ว ตนยังจะเป็นที่พึ่งอาศัยของคนอื่นได้ มันชี้แนวทางได้ไง เราเดิน เราจะมาวัดเราต้องมากับถนนหนทางมา การทำใจก็เหมือนกัน มันต้องมีมรรคอริยสัจจังเครื่องดำเนิน แล้วเราก็จับผิดจับถูก ความจับผิดจับถูกของเรา เราพยายามทำของเราให้เข้าหลัก มันไม่เข้าหลัก เริ่มยากยากตรงนั้น ยากตรงกิเลสขับไสหนึ่ง ยากตรงกิเลสมันพลิกแพลงให้เราผิดพลาดหนึ่ง แล้วความคิดของเรา ความจริงของเรากิเลสมันขับไส มันพลิกแพลงไป มันก็พ้นออกไปจากหลักอริยสัจ หลักความเป็นจริง

ทุกข์ควรกำหนด เราไม่เคยกำหนดหรอก เราเป็นขี้ข้าของทุกข์ เวลาทุกข์เราได้แต่บ่นเอา เราบ่นนะว่าเราทุกข์เรายาก เราทุกข์เรายาก แต่ทุกข์ยากมันเกิดจากอะไร? ไม่กำหนด ถ้าทุกข์กำหนด ทุกข์นี้เกิดจากอะไร? นี่ทุกข์ที่มันเกิด ทุกข์นี้เกิดจากอะไร? จับทุกข์ไว้ได้ สาวไปหาเหตุมัน เหตุมันเกิดจากตัณหาความทะยานอยาก เราไม่ต้องการให้มันเป็นไปตามสิ่งที่มันเป็นสัจธรรมความจริง ความจริงมันต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน เพราะเราขวางธรรม เราขวางความจริง เราไปขวางทางน้ำไหล เห็นไหม น้ำป่ามาแล้วเราขวางไป เราต้องโดนน้ำป่าซัดไปเหมือนกัน

อารมณ์มันรุนแรงเกิดขึ้นมา ในความไม่พอใจของเรามันเกิดขึ้นมามันต้องซัดเราไป ซัดความคิด ซัดอารมณ์เราไป เราจะทุกข์ยากไปกับอารมณ์ของเรา ทุกข์ยากไป เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะตัณหา ตัณหาคือความไม่ต้องการให้มันเป็นตามความเป็นจริงหนึ่ง มันเป็นไปแล้วพยายามฝืนมันไว้หนึ่ง ตัณหา วิภวตัณหา นี่ตัณหาในหัวใจของเรา สมุทัยควรละ ละด้วยอะไร? ละด้วยมรรคอริยสัจจัง แล้วมรรคอยู่ที่ไหนล่ะ? เราหาไม่เจอ

มรรคเราอ่านในหนังสือมาเป็นชื่อของมรรค มรรคจะเกิดขึ้นมาต้องเกิดจากการกระทำของเรา เราทำความสงบของใจขึ้นมา มรรคจะเกิดจากเรา ถ้ามรรคไม่เกิดจากเรา เราไปซื้อของ เราไม่มีเงินในกระเป๋าเลย เราจะไปซื้อของได้อย่างไร? อันนี้ก็เหมือนกัน เราจะดับทุกข์ แต่เราไม่มีเครื่องดำเนินเลย เราไม่มีมรรคในหัวใจเลย เราจะเอาอะไรไปดับทุกข์มัน คิดแต่ดับทุกข์ คิดแต่ปรารถนา คิดแต่ต้องการ ความต้องการต้องการเฉยๆ แต่ไม่สมปรารถนา ไม่สมปรารถนาเพราะกิเลสมันพาคิด แต่คิดตามธรรม คิดตามธรรมต้องพยายามตั้งใจของตัวเอง

นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ทานนี่การสละออกไปมันก็ให้เห็นคุณของทานแล้ว ว่าสละออกไปมันมีความชุ่มเย็นใจมันขนาดไหน ศีลคือความปกติของใจ ที่มันดิ้นรนอยู่นี่เพราะมันไม่ปกติ มันคิดดัดแปลงตน อริยศีลไง ศีลจากภายใน มโนกรรม กรรมมันใคร่ครวญไป เพราะมันผิดศีล มันผิดความคิดมันถึงได้เร่าร้อน ถ้ามันถูกศีล มันถูกอยู่ในความคิด กรอบของศีลมันปกคลุมไว้ มันจะคิดออกไปได้อย่างไร? มันคิดออกไปไม่ได้ คิดออกไปไม่ได้เพราะอะไร? เพราะอำนาจของศีล เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่มีอำนาจเลย เราเชื่อตัวเราเองไม่ได้ เราต้องเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน

ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เรามาดัดแปลงตน จนมันถึงว่ามโนกรรมกระเพื่อมขึ้นมา รู้เลยว่าสิ่งนี้จะออกไปคิด มันจะตามทันความคิดของตัวเองทัน นั่นแหละเริ่มมีศีล พอมีศีล มีสมาธิ ใจตั้งมั่นขึ้นมา มรรคเกิดหรือยัง? มรรคเกิดขึ้นแล้ว แล้วเราใช้เป็นไหม? มรรคเกิดขึ้นมาเหมือนสมบัติเรา สมบัติเรา เราใช้ในทางที่ผิดเราจะเสียหายไปหมดเลย ใช้ในทางที่ถูกมันจะเป็นประโยชน์กับเรา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเกิดสัมมาสมาธิขึ้นมาตื่นเต้นไปกับมัน เห็นไหม มรรคเกิดขึ้นมาแล้ว สัมมาสมาธิเกิดขึ้นมาก็ใช้มันไม่ถูก ใช้มันไม่เป็น ใช้ไม่เป็นมันก็ใช้ในทางที่ผิดพลาด ถ้าใช้มันเป็นขึ้นมา จับขึ้นมาจับความทุกข์ที่ว่ามันทุกข์ๆ มันจะจับได้ จับความทุกข์จากภายใน จับความทุกข์จากความเป็นจริง แล้วมันตัดทุกข์ได้ นี่ทุกข์นี้ควรกำหนด มันมาจากเหตุ สาวไปหาเหตุ

สมุทัยควรละ ละก็เกิดความนิโรธะ นิโรธะคือความนิโรธ คือความปล่อยวางทั้งหมด หลุดพ้นออกไปจากกิเลส นั่นแหละใจมันพ้นได้อย่างนั้น เห็นไหม มันถึงว่าสอนลงที่ใจ ทำทุกอย่างแล้วต้องลงที่ใจ ทำทุกอย่างแล้วต้องลงที่ใจ ใจมันคิด เริ่มต้นคิดอย่างหยาบๆ ก่อน เรื่องของทาน เรื่องของการเสียสละ เรื่องของความคิด เรื่องของความนึกคิดพยายามสละออกไป นี่ศรัทธาหัวรถจักรมันดึงเรามา พอดึงเราขึ้นมา เราศึกษาใคร่ครวญในเรื่องของศีลของธรรมขึ้นมา

เราพยายามดัดแปลงตน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ลมหายใจเข้าออกพยายามผูกมัดมันไว้ ผูกจิตของเราไว้กับตัวเอง จิตเป็นของเรา ความรู้สึกเป็นของเรา แต่เราเป็นขี้ข้ามัน เราไม่เคยจับต้องมันได้เลย เราผูกมันไว้กับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก นี่ความนึกคิด ความรู้สึก สติสัมปชัญญะนั่นแหละผูกมันไว้ จับต้องมันไว้ นั่นแหละเริ่มต้นเข้ามา ถึงเห็นคุณค่าของตัวตน เห็นคุณค่าของเรา

เรามีคุณค่ามาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีหัวใจกับมีร่างกายเหมือนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาทางหลุดพ้นออกไปได้ เราเป็นลูกศิษย์ เราเป็นสาวกะสาวกผู้ได้ยินได้ฟัง มีสิ่งที่เป็นเครื่องดำเนินอยู่เรายังทำไม่ได้เลย เรามีคนบอกทาง คนชี้บอก ไปทางนี้ ไปทางนี้ เรายังเดินผิดพลาด เราคิดว่าเรามีอำนาจวาสนาไหม? เราน่าน้อยใจไหม?

มรรคอริยสัจจังมีอยู่ ศาสนา ศาสนธรรมมีอยู่ ทำไมเราไม่ทำ? ทำไมเราไม่หาความสุขใส่ตัว? เรียกร้องหาความสุขนะ อยากมีความสุข เบื่อหน่ายความทุกข์มาก แต่เวลาแสวงหา แสวงหาแต่ความทุกข์ ไม่แสวงหาความสุข เหตุให้เกิดความสุข มรรคอริยสัจจังเกิดขึ้นมา แสวงหาความสุขขึ้นมา เอาความสุขขึ้นมาใส่ในหัวใจ แล้วมันจะสุขสมความปรารถนา ความปรารถนาในการประพฤติปฏิบัติที่ว่าเรื่องของศาสนธรรม มันจะเป็นไปได้ตามความเป็นจริง ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากเรา เราจะทำได้ เอวัง