เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ เม.ย. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เด็กเล็กๆ มันเหมือนกับผ้าขาว เด็กเล็กๆ พูดถึงความรู้ต่างๆ ถ้าซับสิ่งใดเข้าไปแล้วมันจะซับสิ่งนั้นเข้าไปเลย เด็กเล็กๆ ไง อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเด็กเล็กๆ มันรับรู้สิ่งต่างๆ เข้าไป สิ่งนี้ถูกต้องดีงาม มันจะเป็นสิ่งที่ดีงาม เงินนี่ ถ้าเงินจริงมีอยู่ตลอดเวลา เงินจริงตลอดเวลา เงินปลอมไม่เข้ามา เงินจริงใช้ได้ประโยชน์ ถ้าเงินปลอมเข้ามา เงินปลอมหาได้ง่าย หาได้สะดวก หาได้สบาย แต่เงินปลอมไม่มีคุณค่า ถ้ารู้ขึ้นมาเงินปลอมจะไม่มีคุณค่าเลย

อันนี้ก็เหมือนกัน ความรู้ของเราตั้งแต่เด็กๆ ขึ้นมา เราสะสมขึ้นไปมันจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ธรรมะปฏิรูปไง ธรรมะปฏิรูปคือความเห็นของเราเองมันไม่ถูกต้อง ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้อง ถูกต้องมันก็ขัดกับความเห็นของเรา ถ้าขัดกับความเห็นของเรามันขัดอย่างไร? ขัดกับความเห็นของเรา ขัดกับความสะดวกสบาย ความเห็นของเราต้องการความสะดวก ต้องการความสบาย ต้องการความที่ว่าชุบมือแล้วเปิบไง แต่ชุบมือแล้วก็เปิบไม่ได้ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย แต่ถ้ามันขัดขวางไป ขัดเกลาไป

การขัดเกลา เห็นไหม ทำไมเราต้องทำให้ตัวเองลำบากเดือดร้อน ตัวเองลำบากเดือดร้อนก็เพื่อคุณงามความดีของเรา เพื่อคุณงามความดีของเราไง ถ้าเพื่อกิเลสของเราแล้ว กิเลสมันจะพาไปตามความเห็นของมัน ตามความเห็นของมัน แล้วมันคิดว่าสิ่งนั้นเป็นผลเป็นประโยชน์ แต่สิ่งนั้นให้ผลเป็นโทษตลอดเลย ให้ผลเป็นโทษกับตัวเอง แต่ตัวเองพอใจทำ พอใจทำกับสิ่งที่กิเลสมันหลอกไป แล้วติดกับสิ่งนั้นไป นั่นเป็นผลของกิเลส มันไม่ใช่สิ่งที่ขัดเกลา

สิ่งใดทำแล้วคิดย้อนหลังแล้วสิ่งที่ว่าไม่ดีเลย สิ่งที่ว่าคิดแล้วเสียใจสิ่งนั้นไม่ดีเลย แล้วเราทำของเราขึ้นไปมันจะเป็นอย่างนั้น เสียดายโอกาส เสียดายเวลานะ ชีวิตเราเกิดมามีโอกาสขนาดนี้ โอกาสว่าชีวิตหนึ่งเราก็มีโอกาสได้ทำคุณงามความดี คุณงามความดีหรือทำตามใจของตัวเองได้ชีวิตหนึ่ง มีโอกาสเท่านั้น แต่พญามัจจุราชต้องเอาไปหมด แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนะ

“อานนท์ เราสอนเธอไว้หมดแล้วไม่ใช่หรือ? แม้แต่ตถาคตก็ต้องตายไป ร่างของตถาคตก็ต้องคืนธรรมชาติไป”

คืนธรรมชาตินี้ไปทั้งหมดเลย แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไป อันนี้ก็เหมือนกัน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องปรินิพพานไป แต่ปรินิพพานไปเพราะทำคุณงามความดีแล้วไง แต่พวกเราทำคุณงามความดียังไม่ถึงที่สุด ถ้าไม่ถึงที่สุด เราต้องพยายามขวนขวายของเราให้ถึงที่สุด ถ้าถึงที่สุดได้ ถ้าไม่ถึงที่สุดก็ต้องสะสมบารมีต่อไป

สิ่งนี้เป็นคุณประโยชน์มากนะ โลกนี้หมุนไป โดยธรรมชาติของมันจะหมุนไปตลอดเวลา แต่ธรรมะนี้มีเป็นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ทีหนึ่งก็ได้ ๕,๐๐๐ ปี ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วแต่องค์ไหนจะได้สร้างสมบารมีมามากมาน้อยขนาดไหน ๘๐,๐๐๐ ปี ๖๐,๐๐๐ ปี แล้วก็มา ๕,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปีมีศาสนาให้เราได้ก้าวเดิน ให้เราได้ศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเล่าเรียนเพื่อมาขัดกับความเห็นของตัว นั่นแหละสิ่งใดประกอบในเรื่องของโลกเขา

ความช่วยเหลือของโลกเขา มันช่วยเหลือกันประสาโลกเขา มันช่วยเหลือกันได้ โลกช่วยเหลือกันได้ แต่การชำระกิเลสออกจากใจมันช่วยเหลือกันไม่ได้ การดัดแปลงตนมันช่วยเหลือกันไม่ได้ มันต้องมีความพอใจ ความพอใจ ความเปิดใจของเรา ถ้าใจเราเปิดใจของเราขึ้นมา เราสามารถชำระกิเลสของเราได้ ถ้าใจเราไม่เปิดใจขึ้นมา สิ่งนั้นเหมือนไม่มีคุณค่านะ สิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลเลยมองเหมือนของไร้ค่า สิ่งที่ทางธรรมบอกว่าสิ่งนั้นเป็นของที่ไร้ค่า เป็นของประจำโลก เรากลับเห็นสิ่งนั้นมีคุณค่า

สิ่งที่มีคุณค่า คือว่าสิ่งใดที่แล้วแต่ หัวโขนๆ สิ่งที่เป็นหัวโขนขึ้นมาพยายามขึ้นไปนะ ทั้งชีวิตเลยเพื่อทำงานของเราขึ้นมาเพื่อให้ได้ตำแหน่งนั้น พอได้ตำแหน่งนั้นก็อยู่ชั่วคราวก็ต้องสละไป เปลี่ยนให้คนอื่นขึ้นไป เห็นไหม เวลาเกษียณราชการคนที่อยู่ตำแหน่งใหญ่ๆ โตๆ ขึ้นมาจะอาลัยอาวรณ์มากกับสิ่งนั้น อาลัยอาวรณ์มากกับสิ่งนั้นเพราะสิ่งนั้นให้อำนาจ ให้อำนาจในการปกครอง ให้อำนาจปกครอง

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า “มนุษย์ว่าตนเองฉลาดกว่าสัตว์ มนุษย์นี้เป็นสัตว์ประเสริฐ”

สัตว์ประเสริฐ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เหมือนกับว่ามีความต่ำต้อยกว่านกกา นกกามันจะบินไปตามธรรมชาติของมัน มันบินไปธรรมชาติของมัน มันมีอิสรเสรีของมัน ของเรานี่ติดในกติกาของสังคม อำนาจวาสนาเกิดขึ้นมาเพราะอะไร? อำนาจวาสนาเกิดขึ้นมาเพราะกติกาของสังคมใช่ไหม? อำนาจวาสนาเกิดขึ้นมาเพราะตรงนั้น มีอำนาจ มีวาสนาขึ้นมาเพราะว่าสังคมตราไว้เป็นอย่างนั้น ถ้าสังคมเปลี่ยนขึ้นไป ตำแหน่งนั้นหมดไป

ตำแหน่งมีเพราะมีเรา เรามีอำนาจวาสนา เราสร้างสมของเราขึ้นมาเราถึงได้ตำแหน่งนั้น เราถึงได้อำนาจวาสนา คนเราเกิดมา ดูนักเรียนนายร้อย ออกมาจะเป็น ผบ.ทบ. ได้กี่คน? ห้องหนึ่งๆ แล้วแต่ละรุ่นจะได้กี่คน? ห้องหนึ่งได้คนเดียว แล้วคนเดียวก็ต้องจับพลัดจับผลูมาก็ได้ ไต่เต้าขึ้นมาขนาดไหน ต้องไต่เต้าขึ้นมา แล้วมาเป็น ๒ ปี ๓ ปีแล้วก็ต้องปลดเกษียณไป

อำนาจวาสนาทั้งชีวิตมาเพื่ออำนาจตรงนั้น อันนั้นของชั่วคราว สมบัติผลัดกันชมนะชั่วคราว แต่บุญกุศลไม่เป็นอย่างนั้นนะ มันสะสมไปลงที่ใจ มันแนบไปกับใจ มันตายไปกับใจ ใจนี้ตายไปแล้วบุญกุศลนั้นเกิดขึ้นไป เห็นไหม พอเราเกิดขึ้นมาถึงมีอำนาจวาสนา บางคนทำงานประสบความสำเร็จ บางคนทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ประสบความสำเร็จเพราะของเขาไม่ได้สะสมของเขามา

นี่เติมบุญเติมกุศลเหมือนรถเติมน้ำมัน เราให้ทานเหมือนกัน ให้ทานเพื่อบุญกุศลของเรา ถ้าสิ่งนี้เราเชื่อสิ่งนี้ใจมันมีที่พึ่ง ใจของเราว้าเหว่มากไม่มีที่พึ่ง ทุกคนไม่มีที่พึ่ง มีแต่ความว้าเหว่ ความอาลัยอาวรณ์ในหัวใจไม่ต้องพูดกันเลยนะ นั่งคอตกนะ เวลาให้พูดกันเรื่องปรับทุกข์ มันจะไหลออกมาเป็นมหาศาลเลย ไหลแต่ความทุกข์ออกมา ในหัวใจมีแต่ไหลออกมา นั่นแหละเวลาปรับทุกข์ขึ้นมา เวลาปรับทุกข์ขึ้นมาออกมาจากใจ ใจมันว้าเหว่ มันถึงไม่ต้องหาที่พึ่งให้มัน

หาที่พึ่งให้มัน ในเมื่อมันยังทำสิ่งอื่นไม่ได้มันก็ต้องมีทานก่อน ทานนี้เป็นบาทเป็นฐาน เป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าพูดถึงการกระทำนะ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่โตมากสำหรับผู้ที่เริ่มฝึกหัด แต่ถ้าทำไปแล้ว เพราะมีทานแล้ว เพราะเรามีทาน ทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลสงบหนหนึ่ง ศีลสงบร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิเกิดขึ้นมาจากใจหนหนึ่ง

นั่นล่ะสิ่งที่จะเกิดขึ้นมากับใจ ใจเป็นสมาธิเพราะอะไร? เพราะมันแนบแน่นไปกับใจ ใจนี้สัมผัสกับธรรมอันนั้น เป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะใจดวงนั้น คนอื่นจะว่า โอ๋ย! มันเวิ้งว้าง มันจะว่าง มันจะมีความสุขขนาดไหน พูดไปนะ กับคนที่เคยเป็นจะพูดแล้วจะซึ้งใจต่อกัน แต่คนที่ไม่เคยเป็น พอพูดไปสิ่งนั้นจะมีอยู่หรือ? เราจะลังเลสงสัยว่าสิ่งนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร? การชำระกิเลสจะเป็นไปได้อย่างไร? กิเลสจะออกจากใจไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปได้เพราะว่าเวลามันทุกข์มันพรั่งพรูออกมาจากใจ มันไหลออกมาจากใจเต็มไปหมดเลย นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

สิ่งนี้เกิดขึ้น เห็นไหม เกิดขึ้นจากความยึดของแต่ละบุคคล แต่ละบุคคลนะ ถ้าคนใดเดือดร้อนกับสิ่งใดแล้วยึดสิ่งนั้น คนนั้นจะเดือดร้อนมาก แต่คนที่เขาไม่ทำอาชีพนั้น คนที่เขาไม่เล่นสิ่งนั้น เขาไม่ชอบใจสิ่งนั้น เขาว่าสิ่งนั้นไม่มีคุณค่าเลย ยึดเพราะจริตนิสัย ยึดเพราะความเห็นของตนที่มันยึด พอยึดตรงนั้น เห็นไหม ยึดนี่ทุกข์เกิดเพราะอะไร? เพราะสมุทัย ตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยาก

ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ละด้วยมรรค มรรคอริยสัจจัง นั่นล่ะมรรคอริยสัจจังถึงแต่ละบุคคลต้องละด้วยความเห็นของตัวเอง ละด้วยมรรคของแต่ละบุคคล เพราะแต่ละบุคคลเห็นไม่เหมือนกัน แต่ละบุคคลยึดไม่เหมือนกัน ติดไม่เหมือนกัน ความติดไม่เหมือนกัน นั่นล่ะความติดเพราะเราเข้าใจของเราว่านี้เป็นความถูกต้องของเรา ความติดเพราะเป็นอำนาจวาสนา ความติดเพราะเป็นบารมีของเรา เราสะสมสิ่งนั้นมาเราถึงติดสิ่งนั้น ถ้าเราติดสิ่งนั้น คนอื่นเขาไม่ติดเขาก็ไม่เดือดร้อนกับเรา แต่เราเดือดร้อน เราเดือดร้อนเราต้องแก้ไขของเราเอง ถ้าเราไม่แก้ไขของเราเองเราจะทำอย่างไร? ถ้าเราแก้ไขของเราเองเราจะแก้ไขได้

นี่มรรคเกิดขึ้น มรรคของส่วนบุคคล มรรคของแต่ละสัตว์โลก เห็นไหม นี่ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ มันไม่มีรอยเท้าบนอากาศ ถ้าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล มรรคที่มันลอยลมไง มรรคของคนอื่นเป็นมรรคของคนอื่น ความเห็นของคนอื่น สมบัติของคนอื่น เราไปเห็นสมบัติของเขา สมบัติของคนอื่นเป็นสมบัติของคนอื่นที่เขาสะสมขึ้นมา เขาทำของเขาได้ แต่สมบัติของเรายังไม่เกิดขึ้น ถ้าสมบัติของเราเกิดขึ้นเราจะมีผลงานของเรา ถ้าสมบัติของเราไม่เกิดขึ้น ผลงานของเราไม่มี

นั่นล่ะมรรคนั้นมันถึงเป็นมรรคที่ว่าสัมผัสด้วยใจ ใจนี้เป็นมรรคขึ้นมาเอง ความดำริเกิดขึ้นจากใจ ความเห็นเกิดขึ้นจากใจ แล้วชำระลงที่ใจ ถ้าใจเห็นสิ่งนั้น นั่นแหละ แล้วปฏิปทาเครื่องดำเนินที่จะดำเนินเข้าไปตรงนั้นมันเปิดกว้างไว้ แล้วพอคณะสงฆ์ออกมาต่างๆ มันจะรวบรัดเข้ามา มันจะปิดให้มันแคบลงๆ ถ้าเราเปิดกว้างไว้ โอกาสของคน คนที่เคยใช้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ เห็นไหม คนที่เคยใช้ปฏิปทาเครื่องดำเนินเป็นประโยชน์จะหวงแหนสิ่งนี้มาก ต่อไปจะปิดกั้นให้มันแคบลงๆ แคบลงเอาถึงว่าบวชเป็นพระว่าเป็นพระแล้ว

บวชเป็นพระสมมุติสงฆ์ เห็นไหม แต่ในเริ่มต้นของพระปฏิบัติ การบวชนั้นเป็นการเริ่มต้น เริ่มต้นได้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จากอุปัชฌาย์ให้มา แล้วยังต้องไปขวนขวาย ยังต้องไปปฏิบัติ ไอ้ตรงปฏิบัตินี่ถ้าเราเปิดกว้างไว้ โอกาสของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันก็จะเป็นไปได้ ถ้าสิ่งที่ว่าโอกาสปฏิปทาเครื่องดำเนินปิดให้มันแคบลง สิ่งใดให้แคบลง จริตนิสัย มรรค ความเห็นของคนไม่เหมือนกัน จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน ความกว้างขวางของใจไม่เหมือนกัน กิเลสมันก็ดิ้นรนไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันต้องให้มัคคามันพอดีของใจดวงนั้นไง

มัคคาจากใจดวงนั้นเกิดขึ้นจากใจดวงนั้น ให้ดับกับใจดวงนั้น แต่ปฏิปทาเครื่องดำเนิน ธรรมวินัยนี่เป็นเครื่องดำเนินตลอดไป ต้องยึดอันนี้ไว้ ยึดอันนี้ไว้ เห็นไหม ถ้ามันผิดพลาดไป มันทำอะไรผิดพลาดไป มันจะดึงกลับมามันก็แก้ไขได้ ถ้ามันไม่ผิดพลาดไป มันถูกต้องไป แต่เราไม่เข้าใจ ยึดเข้ามา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มันต้องเป็นอันเดียวกัน สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา

อันนี้เห็นเหมือนกันหมดเลย แต่การเข้าถึงอันนี้ต่างคนต่างเดินไปหมด เหมือนกับคนเข้ากรุงเทพฯ ถนนเข้ากรุงเทพฯ มันจะไปกี่สายก็แล้วแต่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางที่กรุงเทพฯ เหมือนกัน ความเห็นของใจต้องเหมือนกัน แต่ปฏิปทาเครื่องดำเนินไม่เหมือนกัน ถึงต้องเปิดกว้างไว้ให้คนเข้าถึงให้ได้ อันนี้โอกาสของการรักษาใครจะมีคุณค่า ใครจะมีความเห็น คนที่เคยผ่าน คนที่เคยทุกข์เคยยากมามันจะเห็นใจคนรุ่นหลังนะ เห็นใจว่าจะทำอย่างไรให้รักษาสิ่งนั้นไว้ให้คนรุ่นหลังได้เป็นเครื่องดำเนิน

นั่นล่ะครูบาอาจารย์ถึงว่าถ้าเห็นสิ่งนี้มากมันถึงดิ้นรนมาก ไอ้เราไม่เคยเห็นประโยชน์กับสิ่งนั้นเราก็นอนใจไง ว่าสิ่งนั้นของเล็กน้อยๆ มันไม่เล็กน้อยหรอก ผงเข้าตาของคน เห็นไหม ดินพอกหางหมู เขื่อนแตกเพราะอะไร? เพราะตามด

นี่ก็เหมือนกัน ของเล็กน้อย ถ้าเกิดเล็กน้อย เห็นว่าเล็กน้อยๆ ไป มันจะปิดกั้นผลงานอันยิ่งใหญ่ของใจของสัตว์โลก งานอันยิ่งใหญ่คืองานการชำระกิเลสจากใจของสัตว์โลกไปได้ ใจดวงนั้นยืนยันกับหลักธรรมว่ามีความจริงหนึ่ง ยืนยันกับความสุขในหัวใจนั้นหนึ่ง เป็นปัจจัตตังรู้จากใจดวงนั้น ยังสอนให้ใจดวงนั้นเป็นผู้ที่ว่าชี้ทางของสัตว์โลกต่อไป

นั่นล่ะใจยิ่งใหญ่อย่างนั้นเพราะการประพฤติปฏิบัติตามมัคคา ตามมรรคอริยสัจจังที่เข้าถึงใจดวงนั้น นั่นล่ะมันถึงต้องสงวน ต้องรักษา แล้วใครจะสงวนรักษานั้นให้ความร่วมมือเป็นไปตามธรรมของแต่ละบุคคล เอวัง