เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ เม.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นะ อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร เห็นไหม อย่าพูดอย่าจาบจ้วงกัน อย่าพูดจาส่อเสียด อย่าพูดจาทิ่มแทงกัน เราจะไม่พูดจาสิ่งที่ระคายหูต่อกัน เราจะทำคุณงามความดีเห็นไหม จะทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว

นี่โอวาทปาฏิโมกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงต่อพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ สิ่งที่ว่าเราจะไม่กล่าวคำจาบจ้วงกัน กล่าวคำเสียดสีกัน แต่ในปัจจุบัน ดูสิ เวลาสังคมมีปัญหากัน คำจาบจ้วงกระทำกัน มันกระทำกับสิ่งใด การกระทำนี่ ไม่จาบจ้วงกัน ไม่ต่างๆ เห็นไหม

เราก็เป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธศาสนา ถ้าผู้มีคุณธรรม ก็ต้องสงบเสงี่ยมเรียบร้อย จะไม่พูดจา แม้แต่พระด้วยเห็นไหม มันเป็นทุภาษิต มันเป็นภาษิตที่ไม่ควรจะพูด แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาพระที่ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ใครทรมานมา... ใครทรมานมา สิ่งที่ทรมานมานี้ มันต้องมีการกระทำใช่ไหม

อย่างเรา จะไม่มีการพูดจากระทบกระเทือนกันเลย แต่หน้าที่การงานของเราล่ะ เราจะเอาจอบ เอาเสียมฟันดินขึ้นมา ขุดดิน พรวนดิน เพื่อจะปลูกพืชผลขึ้นมา เพื่อเป็นอาหารของเรา

นี่ก็เหมือนกัน ในการชำระกิเลส ใครทรมานมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัยนะ ธรรมวินัยนี้ เพื่อคนที่ไม่ศรัทธา ให้ศรัทธา เพื่อคนที่ศรัทธาแล้ว ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข เพื่อข่มขี่ไอ้คนหน้าด้าน เพื่อให้คนที่เป็นสุขแล้ว คนที่เป็นธรรม อยู่เย็นเป็นสุข

ถ้าไม่อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าจิตใจมันดีแล้ว เขาจะไม่กล่าวคำจาบจ้วง กล่าวคำเสียดสีกัน แต่การแสดงธรรม เวลาเราจะต่อสู้กับกิเลสของเรา เราต้องมุมานะ ต้องมีความอุตสาหะ มีความพยายาม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ อย่ากล่าวเสียดสี อย่ากล่าวจาบจ้วง เราก็นอนตีแปลง กิเลสก็ขี่หัวอยู่อย่างนั้น เวลาการกระทำมันมีของมัน มันเป็นขั้นเป็นตอนของมัน ไม่ใช่ว่า แหม.. ไม่กล่าวจาบจ้วงเลย ก็ไม่ต้องทำอะไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาแสดงธรรม นี่โมฆะบุรุษ! โมฆะบุรุษ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยจาบจ้วงใครเลย ไม่ได้จาบจ้วงใครเลย แต่ข่มขี่ไอ้กิเลสที่มันขี่หัวคนน่ะ ไอ้กิเลสที่มันขี่หัวพระน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจาบจ้วงตรงนั้น กระทำตรงนั้น กระทำให้ไอ้กิเลสที่มันขี่บนหัวพระ บนหัวคนนั้น ให้มันอ่อนตัวลง

ฉะนั้นบอกว่า ไม่ให้มีการกล่าวคำจาบจ้วงเลย โอ๊ย... ต้องนิ่มนวล ไอ้นี่มันเรื่องโกหกมดเท็จ! มันไม่มีอยู่จริง แต่ถ้ามันมีอยู่จริงเห็นไหม ถ้ามันเป็นคุณงามความดีขึ้นมาแล้ว มันก็เป็นความดี คนเราถ้าหูตาสว่างแล้ว ทำอะไรก็เป็นคุณงามความดีไปทั้งนั้น

เหมือนพ่อแม่กับลูกเลย พ่อแม่กับลูก เราจะถนอมรักษาลูกเราอย่างไร ลูกเรา เราจะพูดมันก็มีหนักมีเบาเป็นธรรมดา เวลาลูกเรามันจะทำความผิดพลาด เราก็จะต้องพยายามจะให้มันถูกต้อง อันนี้เป็นการกล่าวคำจาบจ้วงหรือ

เห็นไหมเวลาเป็นมรรค เป็นมรรค.. อยากไม่ได้ อยากเป็นกิเลสหมด อยากทำคุณงามความดีเป็นมรรค ความอยาก อยากตัณหาความทะยานอยาก อันนั้นมันล้นฝั่ง การล้นฝั่งมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไง เราคิดแต่ตัณหาทะยานอยากมันล้นฝั่งไป นั่นน่ะกิเลส!

แต่เราทำหน้าที่การงานของเรา มันเป็นกิเลสที่ไหน ความเพียรชอบ ความวิริยะ ความอุตสาหะ มันเป็นกิเลสเหรอ มันเป็นมรรคเห็นไหม ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มันเป็นมรรคนะ แต่ความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ โดยอะไรล่ะ

ถ้าโดยธรรม โดยความถูกต้องดีงาม มันก็เป็นคุณธรรม แต่โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม อยากเสเพล อยากจะเอาแต่ตามใจตัว นั่นกิเลสทั้งนั้นล่ะ แต่อยากยับยั้งมัน อยากดัดแปลงมัน อยากจะต่อสู้กับมัน สิ่งนี้ถูกต้องเห็นไหม เราต้องมีการกระทำเห็นไหม นี่ทุภาษิต

มีคนถามบ่อย “หลวงพ่อพูดอย่างนี้ ไม่ใช่กล่าวเสียดสีเขาเหรอ” มันไม่ได้เสียดสีใครเลย เวลากิเลสของคน เหรียญมี ๒ ด้านนะ เวลาเราพูดถึงคุณงามความดี พูดถึงชี้ถูกชี้ผิด เวลาคนไปหาหมอ ทุกคนเลย “หมอหายไหม...? หมอหายไหม..?” คำแรกที่จะถามเลยแหละ “หมอหายไหม...?หมอหายไหม...?”

นี่ก็เหมือนกัน เราจะวินิจฉัยได้อย่างไร ไอ้คำพูดนั้นเป็นคุณธรรม หรือเป็นกิเลส เวลาพูดออกมามันเป็นกิเลสทั้งนั้น และถ้าเป็นคุณธรรม เป็นคุณธรรมเพราะเหตุใด ถ้ามันเป็นคุณธรรมขึ้นมาน่ะ มันเป็นคุณธรรมเพราะอะไร เพราะความปรารถนา สิ่งที่ปรารถนาเพื่อความเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุข เพื่อสังคม ปรารถนาเพื่อคน ๆ นั้นเป็นคนดี แต่ถ้ามันเป็นกิเลสล่ะ มันก็ฉ้อฉลไง มันฉ้อฉล มันเป็นเล่ห์เหลี่ยมเห็นไหม

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก มหาโจรนะ เวลาโจรเขาปล้นน่ะ พวกฆราวาสญาติโยมเขาปล้นกัน เขาแย่งชิงกัน นั่นเป็นการปล้นของเขา เวลาการปล้นของภิกษุเห็นไหม มหาโจรน่ะ เขายกยอปอปั้น สอพลอเขาน่ะ ให้เขาเอาสิ่งที่มันเป็นประโยชน์

แต่เรา ที่เรามาทำบุญนี่ เราสอพลอไหม มันเป็นเจตนาของเราใช่ไหม เราทำเพื่อเราใช่ไหม เราทำเพื่อเรานะ เรามีความศรัทธา เรามีความเชื่อที่ไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เทวดามาถามองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า

“ควรทำบุญที่ไหน...?”

“ควรทำบุญที่เธอพอใจ”

เธอพอใจนะ เพราะอะไร ถ้าเราไม่พอใจ ไม่มีศรัทธาความเชื่อ กิเลสมันขี่หัว มันไม่อยากให้ใครหรอก มันไม่ยอมให้ใคร ให้ใครไม่ได้ แต่ถ้ามีศรัทธา เรามีความเชื่อองค์นี้ เรามีความเชื่อ “เธอทำบุญที่ควรพอใจ”

แต่ถ้าวัดผลล่ะ ถ้าทำบุญแล้วได้บุญล่ะ อันนี้อีกกรณีหนึ่งแล้ว เพราะความพอใจของเธอ ความพอใจของเรานี่ “จริงหรือเท็จ” เราพอใจ เราก็ศรัทธา “จริงหรือเท็จ” มันจริงก็ได้ มันเท็จก็ได้ ถ้ามันเท็จขึ้นมาเห็นไหม ถ้ามันจะมีศรัทธาความเชื่อ เราก็ทำเต็มที่ เราจะได้บุญกุศล ถ้าไปทำกับโจร มันจะได้บุญกุศลไหม

ถ้าเธอทำคนที่เธอพอใจ มันเป็นขั้นตอนหนึ่ง ขั้นตอนที่ว่าเราต้องชนะตัวกิเลสของเราก่อนแล้ว ความตระหนี่ถี่เหนียว ความที่มันไม่ยอมเสียสละ อันนี้ถ้ามีโอกาส เราได้ทำก่อนแล้ว แต่ถ้าเอาวัดผล วัดผลมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย วัดผลเห็นไหม เธอทำบุญกับใคร นี่เนื้อนาบุญของโลก ถ้าเอาบุญกุศล มันเป็นขั้นตอนๆ ขึ้นมา ถ้าเธอจะเอาวัดผล

วัดผลน่ะมันจะเหมือนเนื้อนาบุญ ถ้าเนื้อนาดินมันดี น้ำดี ทุกอย่างดี หว่านพืชลงไป ผลมันก็จะตอบสนองที่ดี แต่ถ้าเนื้อนานั่นมีแต่กรวด มีแต่หิน มีแต่ทราย หว่านพืชลงไป มันก็ไม่ได้ผล... มันก็ไม่ได้ผลเห็นไหม ได้ผลก็ได้ผลแต่น้อย

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งต่างๆ เวลาขั้นตอนการกระทำเหมือนกัน เรานี่ พูดจาอย่างนี้เสียดสีหรือ ทุกคนจะพูดนะ อยู่บ้านนี่ ทุกคนเบื่อมากเลย โอ้...ไปวัดพระก็ด่า กลับบ้านแม่ก็เทศน์ ไปวัดพระก็ด่า กลับบ้านแม่ก็เทศน์ ก็ด้วยความรักนะ

...ความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ เท่ากับความรักของพ่อแม่ไม่มี...

...ความรักของพ่อแม่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด... พ่อแม่รักลูกมาก สายเลือด เลือดในหัวอกของเรา เราคลอดมา เราดูแลมา ความรักของพ่อแม่สะอาดบริสุทธิ์มาก

ความรักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาธรรม! เมตตาธรรมค้ำจุนโลก “ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ แต่พ่อแม่ก็มีรัก รักเพราะอะไร รักเพราะสายเลือดของเรา รักเพราะสายบุญ สายกรรมของเรา เพราะอะไร

เป็นพระอรหันต์ของลูกใช่ไหม ได้ชีวิตนี้มา พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา เวลาคลอดมา ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงดูมา ใครจะเลี้ยงดู สัตว์นะเวลามันคลอดออกมา มันออกมาจากพ่อแม่ของมัน มันหาอยู่หากินได้เป็นบางประเภท คนออกมานะ ตายหมด ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงตายหมด

แต่เวลาคนมันโตขึ้นมาเห็นไหม ศักยภาพของมนุษย์ เอาสัตว์ทุกชนิดมาใช้งานได้หมดเลย มนุษย์นี่มีปัญญา แต่มนุษย์นี่ถ้าเอากิเลสใช้ มีกิเลสในหัวใจ กิเลสนี้ไปเพื่อปัญญา เพราะมนุษย์เวลาโกงกันนะ เวลาฉ้อฉลกัน มันโกงกันทั้งประเทศ โกงกันทั้งโลก มันฮุบโลกได้เลย

แต่สัตว์เวลามันโกงกัน มันทำร้ายกัน มันก็ทำร้ายกันแต่ความบาดเจ็บเท่านั้นเอง มนุษย์..เพราะมนุษย์มีปัญญามาก ถ้าจิตใจของคนมีจิตใจที่เลวทราม มันทำลายคนได้ทั้งหมดเลย แต่ถ้าจิตใจมันสูงส่ง เห็นไหม จิตใจเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ เป็นที่ประเสริฐได้

ฉะนั้น “พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก” ชีวิตนี้ที่ได้มา ที่มาเป็นเรานี้ พ่อแม่ให้มา ดังนั้นพ่อแม่ถึงเป็นพระอรหันต์ของลูกเห็นไหม แต่พ่อแม่รัก พ่อแม่ทะนุถนอม พ่อแม่ถึงต้องทุกข์ไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเมตตาธรรมค้ำจุนโลก เมตตานะ.. เผื่อแผ่เมตตา แต่ถ้าเขาให้.. เขาบอกเขาแล้วเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทำหน้าที่แล้ว ได้เทศนาว่าการแล้ว ได้ชักนำแล้วเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ร้องไห้แล้ว ...ร้องไห้อีกเลย “ดวงตาของโลกดับแล้ว! ดวงตาของโลกดับแล้ว! โลกมันมืดบอด!” เห็นไหม ดวงตาของโลกส่องสว่างอยู่ ใครจะทำอะไร ถ้าทำไม่ได้ ต้องไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อชาตศัตรูจะไปรบกับลิจฉวี แพ้ หรือ ชนะ ต้องไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “รบคราวนี้ แพ้หรือชนะ” ไปทำนี่ คือไปรบนะ พระพุทธเจ้าก็ไม่บอกตรง ๆ เห็นไหม ถามพระอานนท์ “ที่เราบอกเขาไว้ว่า ..สามัคคีธรรม.. การหมั่นประชุม มาประชุมร่วมกัน เลิกประชุมพร้อมกัน ให้เด็กเคารพผู้ใหญ่ ให้มีความกตัญญูกตเวที ถ้าสามัคคีธรรมอย่างนี้ รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง”

อชาตศัตรูถึงให้พราหมณ์ไปยุไปแหย่เห็นไหม ไปยุไปแหย่ให้แตกความสามัคคีกัน แล้วก็ไปปราบ.. ไปรบ.. ไปยึดเอาพื้นที่.. เห็นไหม

นี่ดวงตาของโลกไง ดวงตาของโลกรู้ไปหมด ใครมีสิ่งใดก็ไปพึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์ร้องไห้ พระโสดาบันนะ!! เพราะพระอานนท์ก็ต้องการองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอยู่นะ “ดวงตาของโลกดับแล้ว! ดวงตาของโลกมอดแล้ว!”

แล้วพวกเราเกิดมานี่ เห็นไหมดวงตาของโลกดับแล้ว แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน บอกพระอานนท์ไว้ “อานนท์! เราบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอธรรมวินัยที่เราตรัสไว้แล้ว จะเป็นศาสดาของเธอ” ธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ ที่เป็นร่องเป็นรอยนี่ จะเป็นศาสดาของเรา จะเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่คอยสอนเรา คอยเตือนเรา

ไม่ใช่ว่านกแก้วนกขุนทอง ไปจำคำพูดมา แล้วก็พูดตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พฤติกรรม ความประพฤติของตนแหลกเหลว เพราะคำสอน ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำขึ้นมาเพื่อให้เปลี่ยนแปลงความประพฤติของเรา ความประพฤติ ความนึกคิด ความเห็นของเรา ให้มันเอาธรรมนี่มากองไง พอบอกเป็นคนดี ทุกคนเป็นคนดีหมดเลย ดีอะไร ดีตรงกิเลสเห็นไหม

เราปล้นเขา เขาก็เป็นคนดี มีคนถามจริงๆ นะ ปล้นนี่เป็นบุญไหม อ้าว! ทำไมไม่เป็นบุญเหรอ เพราะปล้นแล้วก็มาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เขาว่านะ โอ้.. คิดได้อย่างนั้น คนคิดได้อย่างนั้นก็มีเนอะ ปล้นนี่เป็นบุญ เป็นบุญเพราะอะไร เพราะเอามาเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย เขาเห็นว่าการเลี้ยงลูกนี่มันเป็นบุญ แต่ไอ้การปล้นมันไม่เห็นนะ

นี่คนคิดด้านเดียว คิดเอาแต่ใจตัวเองเห็นไหม แล้วก็ความดีของใครล่ะ ถ้าความดีของโจร ปล้นมาก็เป็นบุญโว้ย! ก็จะปล้นมาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ปล้นมาให้พ่อให้แม่ โอ้โฮ...ทำไมจะไม่เป็นบุญ พ่อแม่ก็เป็นพระอรหันต์ของลูกใช่ไหม ก็ปล้นมาให้แม่น่ะ มันก็เป็นบุญสิ มันไม่เป็นบุญเห็นไหม.. เพราะไม่มีศีล นี่ดีหรือชั่วก็เอาศีลมากรอง ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗

ศีลเห็นไหม ปาณาติปาตา ไม่ล่วงเกินกัน ไม่จาบจ้วงกัน ไม่รังแกกัน แต่ไม่รังแกกัน คนมาทำไม่ดี เราจะเตือนเขาไหม อนูปวาโท อนูปฆาโต เขาจะปล้น เขาจะไม่พูดเลย เดี๋ยวมันจะผิดศีล เพราะอะไร เพราะพูดแล้วมันจาบจ้วงเขา เขาจะปล้น เขาจะทำสิ่งไม่ดี เราก็เตือนเขา ไม่เสียหายหรอก

ถ้ามันเตือนแล้ว ถ้าทำไม่ได้นะ คนเราเนี่ยมันเป็นจริตนิสัย ...คนชั่ว ทำความชั่วง่าย ทำความดียาก ...คนดี ทำความดีง่าย ทำความชั่วยาก ทำแต่คุณงามความดี พอจะทำสิ่งที่มันขัดแย้งกับความรู้สึก มันขัดแย้งน่ะ มันทำไม่ลงเห็นไหม

นี่มันเกิดจากอำนาจวาสนา เกิดจากเราฟังธรรม ปัญญาจะเกิดขึ้นมาจากพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธนี่เกิดปัญญานะ เวลาพุทโธ พุทโธเห็นไหม เวทนา เจ็บปวดนี่ เรามีปัญญาต้องต่อสู้แล้ว แล้วเราคิดพุทโธ พุทโธนะ โอ้ย.. เดี๋ยวจะเมื่อย จะปวด จะหิว จะอะไร

นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ทำให้เกิดเป็นมนุษย์สมบัติ เพราะมนุษย์สมบัติน่ะศีล ๕ มนุษย์สมบัติเพราะมีศีล ถึงได้มีมนุษย์สมบัตินะ

สมาธิ สมาธิเกิดเพราะความตั้งมั่น มีความร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม ถ้าเราเกิดปัญญา ปัญญาเกิดจากเชาว์ปัญญา เกิดปัญญาขึ้นมาเห็นไหม

เราทำทานขึ้นมาเพื่อเป็นอามิส เป็นอามิสเพื่อเพิ่มพลังงาน เพื่อได้มาฟังธรรมอย่างนี้ ฟังธรรมอย่างนี้เพื่อย้อนกลับมา ฟังธรรมเห็นไหม พุทธศาสนาสอนเรามาที่นี่ สอนกลับมาที่ใจของแต่ละบุคคล ให้คนๆ นั้นเป็นคนดี แล้วเราดีจริงหรือเปล่าล่ะ เราดี เราดีได้มากน้อยขนาดไหน

เวลาพูด เวลาหลวงพ่อสอนทุกอย่าง ให้คนมีเมตตา เวลาพูดออกมานี่อย่างกับไฟ อย่างกับไฟสิ เพราะมันไฟนี่เห็นไหม ไฟมันเป็นประโยชน์นะ มันให้ความอบอุ่นคน มันทำให้อาหารสุกได้ แต่ถ้าไฟเอาไปเผาบ้าน เผาเรือนเขา มันมอดไหม้เสียหายไปหมดเลย ถ้าไม่มีไฟ ชีวิตเราจะไม่ได้มานั่งอยู่นี่หรอก ไฟนี่ให้อาหารเรา ไฟทำให้อาหารสุก มันเป็นประโยชน์กับเรา

นี่อย่างกับไฟ ไฟ มันเป็นไฟแบบไหนล่ะ ถ้าไฟโลภะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไอ้ไฟอย่างนี้ ไฟมันจะฆ่ากิเลสน่ะ มันเห็นกิเลสแล้วมันจะขย้ำกิเลส แต่เราไม่ได้ กิเลสต้องไว้บนหัว เวลาธรรมะนี่เอาไว้ใต้ฝ่าเท้า แล้วก็บอกอย่างนี้มันเป็นไฟ ..นั่นน่ะมหาโจร

แต่ถ้ามันเป็นอย่างคุณงามความดี หลวงตาท่านพูดบ่อย บอกว่า ดูสิ เช่นหลวงปู่ฝั้น ท่านนุ่มนวลมาก ท่านนุ่มนวลมาก เป็นคุณธรรมมาก หลวงปู่ฝั้นท่านนิ่มมาก นุ่มนวล นั่นเป็นจริตนิสัย

แต่เวลาหลวงปู่มั่นนะ ท่านจะกินเลือดกินเนื้อเลย ทุกคนอยากเห็นหลวงปู่มั่นมาก แต่ละครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง หลวงปู่มั่นนี่ดุมาก... ดุมาก... ดุจนร่ำลือ แต่ทำไมพวกเรารักเคารพบูชาตอนนี้ล่ะ รักเคารพบูชาเพราะผลงานของท่านใช่ไหม ท่านเป็นผู้บุกเบิกกรรมฐานของเราใช่ไหม ท่านเป็นผู้บุกเบิกให้เราได้ลิ้มรสของธรรมะใช่ไหม ไม่อย่างนั้นธรรมะก็อยู่ในตัวหนังสือน่ะ อ่านกันแล้วก็มาเถียงกัน ของใครถูก ของใครผิดใช่ไหม

แต่หลวงปู่มั่นท่านมีความรู้สึกของท่าน ท่านนำความรู้สึกของท่านวางให้เราพิสูจน์เลย นี่เราเคารพบูชาเพราะตอนนั้น แต่ถ้าไปเจอตอนนั้นเพราะความพิสูจน์อย่างนั้น เพราะท่านทำของท่านมาอย่างนั้น ท่านถึงพยายามรักษาลูกศิษย์ พยายามปั้นมา ปั้นให้เป็นศาสนทายาท ธรรมทายาทเพื่อประโยชน์กับพวกเราในพุทธศาสนา

นี่ไง เห็นไหมสิ่งต่างๆ เราต้องนึก ต้องคิด ถ้าต้องนึก ต้องคิด มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เราเข้าใจของเรา ไม่ใช่ให้ใครมาจูงเราตลอดเวลา “กาลามสูตร” ไม่เชื่อใครทั้งสิ้น ให้เชื่อสัจจะความจริง คำพูดนั้นตกผลึกแล้วมีประโยชน์กับเราไหม

แต่คำพูดที่หวาน คำพูดสอพลอนี่เห็นไหม “มิตรเทียม” คนเทียมมิตร จะพูดแต่สิ่งดีงามกับเรา ดีไปหมดเลย

แต่ “มิตรแท้นะ” จะพูดแต่สิ่งเจ็บปวดกับเรา เอ็งทำไม่ดี เอ็งผิดอย่างนั้น เอ็งผิดอย่างนี้ มิตรแท้นี่มันทิ่มทุกทีเลย ไอ้มิตรเทียมนี่ โอ้โฮ! ยกยอปอปั้น ใครชอบมิตรแท้... ไม่มีล่ะ ชอบมิตรเทียม! มิตรเทียมมันพูดยกยอปอปั้น

แต่มิตรแท้น่ะ มันทิ่มมันแทงตลอดเลย ไปเที่ยวไม่ได้ เดี๋ยวพ่อแม่เอ็ดเอา ทำอะไรก็ไม่ได้! ไม่ได้! มิตรแท้จะพูดแก้ไขเรา ต่อเมื่อลับหลังคนติฉินนินทาเรา มิตรแท้จะแก้แทนเราได้

ถ้ามิตรเทียมต่อหน้ามันยกยอปอปั้นเรา พอลับหลังคนมาทิ่มแทงเรา มันกระทืบซ้ำเลย ใช่! เอ็งพูดน่ะน้อยไป มันต้องมากกว่านั้นอีก เห็นไหม มิตรเทียม

นี่เอาศีลเอาธรรมของเราเข้ามาพิสูจน์ ให้เป็นความจริงของเรานะ ดีไหม ความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมและวินัยไว้ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา ยังเคารพบูชา เพราะปู่ ย่า ตา ยาย ของเราก็ยังไม่สามารถเอาตัวเองเอาไว้ในอำนาจของเรา

กิเลสของคนมันมี โทสะ โมหะ มันมีธรรมดา มันแสดงออกบ้างเป็นครั้งเป็นคราว เพราะท่านก็มีของท่าน แต่ท่านก็เมตตาเรา ท่านก็รักเรา เราต้องคิดอย่างนั้นเห็นไหม กตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี เราเกิดมาใครมีคุณกับเรา เราต้องมีกตัญญูกตเวที ต้องระลึกถึงคุณของท่าน นี่พ่อแม่ของเรา เราต้องนึกถึงคุณของพ่อแม่ เอวัง