ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

สันตติ

๒ พ.ค. ๒๕๕๓

 

สันตติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นปัญหา เขาถามปัญหาไว้ไง จะตอบให้มันจบแล้วจะเอาของใหม่มาตอบอีก

ถาม : อันนี้มันปัญหาที่ ๕๘ ขออุบายในการพิจารณากายและสู้เวทนา โยมมีโอกาสได้บวช ๔ พรรษา จำพรรษาอยู่ที่เมืองกาญจน์ มีโอกาสได้ฟังเทศน์เมื่อไม่นานมานี้ ชอบมาก มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการปฏิบัติ เกิดกำลังใจปลุกใจให้มีความเพียร ขอโอกาสให้ท่านอาจารย์ให้อุบายในการพิจารณา การปล่อยวาง เพราะปฏิบัติมาหลายปี โยมเดินจงกรม นั่งสมาธิ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ไม่ให้เนิ่นช้า ขอให้ท่านช่วยอนุเคราะห์แก้โยมด้วย เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป โยมกราบขอให้ตอบผ่านทางเว็บไซต์

หลวงพ่อ : อันนี้พูดถึงการต่อสู้กับเวทนา การพิจารณากายและการต่อสู้กับเวทนา การพิจารณากาย มันพิจารณากายได้ โดยพื้นฐานนะ การพิจารณากายนี้ครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านจะสอนเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วในวิสุทธิมรรคเห็นไหม ให้ไปเที่ยวป่าช้า เรามีความเข้าใจผิดกันว่า การพิจารณากายนั่นคือเป็นการวิปัสสนา การพิจารณากายโดยข้อเท็จจริง การพิจารณากายที่เรากำลังพิจารณากายกันอยู่นี้มันเป็นสมถะ เช่น หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านพูดบ่อย ให้พิจารณากาย ให้กำหนดไปตามข้อกระดูก เห็นไหม ให้จิตเรานี้อยู่ตามข้อกระดูก ถ้าจิตนี้มันอยู่ในข้อกระดูกนะ มันไปตามโครงสร้างของร่างกายได้เป็นชั่วโมงๆ นั่นจะเป็นสมถะ

เราพิจารณานะ เราก็บังคับให้จิตเรานึก นึกถึงข้อนิ้ว ข้อศอก ข้อมือขึ้นไปเรื่อย แล้วให้ไปตามข้อ ไปตามกระดูก ถ้าเรานึกได้ตลอด หมุนวนอยู่ในร่างกายโดยที่มันไม่แฉลบ ไม่แลบออกไปนอก นั่นคือสมาธินะ นั่นคือสมถะ ถ้าจิตมันหมุนอยู่ในร่างกายนี้ เราบังคับให้อยู่ในร่างกาย มันก็เหมือนกับการกำหนดพุทโธ โดยหลักการทำสมาธิคือทำสมาธิ แต่โดยอุบายวิธีการว่าเราจะใช้อะไรเท่านั้นเอง แต่ถ้ากำหนดตามข้อกระดูกไปเรื่อยๆ คือจิตมันเอากระดูกนี้เป็นที่อาศัยไง เหมือนกับคำบริกรรมเมื่อกี้นี้ที่ว่าเห็นไหม บอกว่าพุทโธๆ เพื่ออะไร พุทโธทำไม พุทโธก็คือแก้วน้ำไง พุทโธๆๆ มันเป็นภาชนะใส่ ถ้าพุทโธไปเรื่อยๆ มันจะมีน้ำ ถ้าไม่มีแก้วน้ำมันก็ใส่น้ำไม่ได้ แต่นี่พอเรากำหนดดูกันเฉยๆ เราปล่อยเฉยๆ มันไม่มีอะไร ไม่ได้บรรจุไว้ไง บรรจุอะไร บรรจุความรู้สึกของเรา ตอนนี้เรามีธาตุรู้นะ เรามีพลังงานนะ แต่พลังงานนี้มันกระจายตัวออกตลอดเวลา เหมือนไฟฟ้า ไฟฟ้าสถิตบนอากาศมันก็มีของมัน แต่เราเอามาใช้สอยประโยชน์อะไรได้ล่ะ เราจะใช้ไฟฟ้า เราก็ต้องมีเครื่องปั่นไฟฟ้าขึ้นมาเห็นไหม แล้วเรามีทั้งสายส่ง เพื่อเอาสายส่งนี้ไปให้เกิดประโยชน์

นี่ก็เหมือนกัน เราพุทโธๆ ก็เพื่อเหตุนั้น ฉะนั้นการพิจารณากาย ให้บอกอุบายในการพิจารณากายและสู้กับเวทนา ฉะนั้นเราจะบอกพื้นฐานก่อน การพิจารณากาย การกำหนดดูกายต่างๆ มันเป็นสมถะ เพราะเหตุใด สมถะเพราะจิตของเรานี้ยังไม่สงบเหมือนกับแก้วน้ำนี้ยังไม่มีน้ำ เห็นไหม เขามีแก้วน้ำแก้วหนึ่งตั้งไว้มีน้ำเต็มแก้วเลย เราก็ถือแก้วไว้ใบหนึ่ง เราก็มีแก้วเหมือนกัน แก้วของเขามีน้ำ แต่แก้วของเราไม่มีน้ำ

นี้ก็เหมือนกัน ก็พิจารณากายเหมือนกัน แต่เขาพิจารณากายเพราะว่าเขามีแก้วน้ำ เขาน้ำเต็มแก้วอยู่แล้วใช่ไหม น้ำเต็มแก้ว น้ำเต็มโถเลย เขาเทใส่โอ่งใส่ไห เขาเทใส่ภาชนะ ใส่กระทะ ใส่หม้อ เขาจะต้มแกงกินได้เลย เรามีแก้วอยู่ใบหนึ่งนะเราก็เทลงไป มันมีแต่อากาศ เทไปไม่มีอะไรเลย นี้ก็เหมือนกัน การพิจารณากายนั้นถ้าจิตมันสงบแล้วคือแก้วน้ำนั้นมีน้ำ ฉะนั้นนั่นคือการพิจารณากาย

การสู้กับเวทนา เห็นไหม เวทนาเกิดขึ้นมา พุทโธๆๆ เวทนาเกิดขึ้นมา ถ้าจิตเราไม่มั่นคง ก็เหมือนกับแก้วน้ำเปล่า มันไม่มีกำลัง พอเวทนาเกิดขึ้นมา แล้วบอกให้สู้กับเวทนา ยิ่งสู้ก็ยิ่งเจ็บ เห็นไหม แต่ถ้ามีน้ำเห็นไหม แก้วเรามีน้ำ จิตเรามีกำลัง พอมันมีกำลังของมัน เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา เพราะว่าแก้วน้ำกับน้ำมันคนละส่วนกัน ฉะนั้นเวทนากับเรามันก็คนละส่วนกัน พอคนละส่วนกันเห็นไหม แก้วน้ำกับน้ำมันไม่ใช่ภาชนะชิ้นเดียวกัน เวทนากับจิตมันไม่ใช่อันเดียวกัน ถ้าจิตมันมีกำลังขึ้นมา จิตมันสามารถจะพิจารณาเวทนาของมันได้ มันใช้ปัญญาแยกแยะได้ว่า เวทนามันมาจากไหน เมื่อก่อนมันไม่มีมันมาจากไหน เวลามันมีแล้วมันมาจากไหน

สิ่งต่างๆ พอมันพิจารณาไปแล้ว ด้วยปัญญามันจะขาดได้ มันจะปล่อยวางได้ แต่ถ้าในแก้วมันไม่มีน้ำเห็นไหม เพราะแก้วกับอากาศในแก้วมันก็เป็นอันเดียวกัน เวลาจิตเราไม่มีกำลัง เวลาเวทนาเกิดขึ้นมา เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา มันเป็นชิ้นเดียวกัน มันจะไม่ใช่อะไรล่ะ มันก็ยิ่งเจ็บสิ ยิ่งพิจารณาเวทนาก็ยิ่งเจ็บ โอ้โฮ ยิ่งเจ็บก็ยิ่งปวด ยิ่งปวดเพราะอะไร เพราะมันไม่มีกำลังเห็นไหม

เราจะบอกว่าพื้นฐาน เราศึกษาปริยัติกัน พอเราใช้ความรู้สึกของเราพิจารณากาย พิจารณาเวทนา เราก็คิดว่ามันเป็นวิปัสสนา เราถึงบอกว่าสติปัฏฐาน ๔ นี้โกหกหมดเลย ถ้าสติปัฏฐาน ๔ จะเป็นสติปัฏฐาน ๔ จริง ต้องเป็นแก้วน้ำที่มีน้ำ จิตกับขันธ์มันแยกจากกัน เพราะจิตมันสงบ ความสงบของจิต ความคิดเห็นไหม ความคิดนี่คือขันธ์ ๕ จิตมันเป็นตัวจิต ถ้าจิตกับขันธ์เป็นอันเดียวกัน เป็นอันเดียวกันหมายความว่าเป็นสามัญสำนึกที่เราคิดอยู่นี่เห็นไหม มันก็เป็นเนื้อเดียวกัน แต่ถ้าเวลาจิตมันสงบของมัน มันปล่อยความคิดเข้ามา มันก็ปล่อยความคิดเข้ามา มันก็เป็นน้ำ น้ำคือสิ่งที่บรรจุอยู่ในแก้วนั้น ถ้าน้ำบรรจุอยู่ในแก้วนั้นขึ้นมาได้เห็นไหม

ธรรมดาเห็นไหม ก้อนเมฆในอากาศนี้มีน้ำไหม มี เวลาฝนตกแล้วน้ำมาจากไหน มันก็มาจากน้ำที่ระเหยขึ้นไปบนอากาศแล้วรวมตัวกัน มันมีของมัน ความรู้สึกของเรามีไหม มี แล้วในแก้วน้ำมีน้ำไหม ไม่มี ไม่มีเพราะอะไร ไม่มีเพราะว่าธรรมชาติของความรู้สึกมันก็เหมือนอากาศที่มันแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เราจะใช้ประโยชน์กับมันไม่ได้ ความรู้สึกของเราก็มี แต่ยังใช้ประโยชน์มันไม่ได้ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันไม่สงบไง ฉะนั้นถ้าเราพิจารณากายหรือพิจารณาเวทนานี่นะ มันก็กลับมาสู่ความสงบนี้แหละ เราถึงบอกว่าสติปัฏฐาน ๔ โกหกไง โกหกเพราะอะไร โกหกเพราะว่าในแก้วมันไม่มีน้ำไง โกหกเพราะว่าจิตมันไม่สงบไง พอจิตมันไม่สงบมันจะไปพิจารณาอะไรได้ล่ะ

ถ้ามันจะพิจารณาไป มันก็พิจารณาสักแต่ว่าทำไป แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ แต่ถ้าเราปฏิบัติโดยมีครูบาอาจารย์เห็นไหม การพิจารณากายกับการสู้กับเวทนานี้ ถ้าเราจะพิจารณากาย ก็พิจารณาได้เลย แต่มันเป็นสมถะหมด การปฏิบัติทุกแขนง เราพูดเน้นประจำ การปฏิบัติทุกแขนงผลของมันคือสมถะหมด ทั้งๆ ที่เข้าใจผิดว่าเป็นวิปัสสนานั่นแหละ เข้าใจผิดนะ เข้าใจว่าใช้ปัญญาแล้วเป็นวิปัสสนานะ แต่ผลของมันก็คือสมถะ เพราะผลของมันคือการปล่อยวาง แต่เพราะความเข้าใจผิดเป็นมิจฉา พอเป็นมิจฉามันก็นึกว่าเป็นวิปัสสนาแล้วไง เพราะมันใช้ปัญญาไง พอใช้ปัญญาพอมันปล่อยเข้ามานะ ธรรมดานี้เราพุทโธขึ้นมาให้เป็นแก้วน้ำเพื่อเอาไว้บรรจุน้ำไง พอเวลาน้ำมันมานะ มันก็ไปตกนอกเขื่อนไง ไปตกที่อื่น แก้วมันไม่มีน้ำเลยเพราะความเข้าใจผิด เพราะเข้าใจผิดมันเลยไม่เห็นว่าในแก้วนี้บรรจุน้ำ เพราะน้ำไปตกที่อื่น มิจฉา พอมันมิจฉา พอมันสงบขึ้นมา พอมันปล่อยวาง มันว่างขึ้นมา ว่างๆ ว่างๆ แล้วอะไรล่ะ ไม่รู้ ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ ไม่รู้ เห็นไหมมันมิจฉาเห็นไหม

แล้วสติปัฏฐาน ๔ มันจะเกิดได้อย่างไร คนเราจะมีสติปัฏฐาน ๔ จิตมันต้องพร้อม สติมันต้องพร้อม เหมือนสามัญสำนึกของคนดี จะทำสิ่งใดก็ทำด้วยความชัดเจน จิตถ้ามันสงบเข้ามานะ มันมีความแตกต่าง นี่พูดถึงอุบายในการพิจารณากายและอุบายในการสู้กับเวทนา ปัญหาที่ ๕๘ ขออุบายในการพิจารณากาย การพิจารณากายนั้นพิจารณาได้ไหม ได้ เมื่อวานพูดถึง เรื่องสมควรแก่เหตุ บอกว่าใช้ปัญญาได้ไหม หลวงตาท่านก็สอนให้ใช้ปัญญาไปเลย ใช้ความคิดไปเลย แต่พอมันสงบเข้ามา ความนึกคิดมันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ฉะนั้นไม่ใช่ว่าต้องรอให้จิตสงบเต็มที่เลย โอ้โฮ จิตต้องลง เป็นโลกุตตรปัญญา แต่นี่เป็นโลกียปัญญา ทุกคนเกิดจากโลกียปัญญา ทุกคนเกิดจากโลก

ต้นไม้ดอกไม้ทุกดอกเกิดขึ้นมาจากแผ่นดิน เพราะดินเป็นที่เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร คนเกิดมาในโลก เขาเรียกว่าโลก เขาเรียกว่าโลกียะ เราเกิดมาในโลกจะปฏิเสธไม่ได้ ฉะนั้นในการปฏิบัติก็เริ่มต้นจากโลกียะ เริ่มจากความคิดของเรานี่แหละ ทีนี้ถ้าความคิดมันคิดไม่ได้ หรือความคิดที่ว่ามันคิดแล้วมันฟั่นเฟือน ถึงให้กำหนดพุทโธ ให้ใช้คำบริกรรมแทน ไม่ใช่คิด ใช้คำบริกรรมพุทโธๆๆ นี่ใช้คำบริกรรม แต่ถ้าเป็นพุทธจริต การใช้คำบริกรรมนี้เรามันไม่มั่นคงพอ เราถึงต้องใช้ปัญญา ปัญญานี่คือปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาไล่ต้อนความคิดไง

มันจะคิดเรื่องอะไร มันจะมีปัญหาอะไร เอาสติตามไป ตามความคิดนี้ไป ธรรมชาติของความเกิดดับ ธรรมชาติของความคิดมันมีเกิดแล้วต้องมีดับ คราวนี้มันเกิดดับไหม เราถึงบอกว่าเกิดนี่รู้เพราะเกิดมันจะมีอารมณ์ความรู้สึก ดับนี่หายไป ไม่รู้เรื่องเลย ธรรมชาติของความคิดมันเกิดดับ แต่มันคิดนี่รู้ แต่เวลาดับไม่รู้ ไม่รู้มันก็เลยเหมือนแก้วน้ำไม่มีน้ำไง มันระเหยไป แห้งเหือดไป ไม่มีอะไรเลย แต่สติปัญญามันตามไปเห็นไหม เวลามันเกิดก็รู้ว่าเกิด เวลาดับ เอ๊อ! เอ๊อ! เอ๊อ! มันเห็นต่อหน้า มันเห็นต่อหน้า มันดับ เอ๊อะๆๆ มันมีสติพร้อมไง แล้วมีสติพร้อมไปเรื่อยๆ นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ

แล้วถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันบ่อยครั้งเข้าๆ จนจิตมันสงบแล้วนะ พอไปเห็นกาย จะโอ้โฮ เห็นกายนี่มันจะขนพองสยองเกล้า เพราะอะไร เพราะเราเห็นใช่ไหม เราเห็นสัตว์มันอยู่ตรงหน้า แล้วเราก็คิดว่ามันเป็นสัตว์ที่ไม่มีพิษ เราก็ไม่ตกใจ แต่ถ้าเขาบอกว่าไอ้ตัวนี้มันกัดแล้วตายเลยนะ ถ้าเข้าไปใกล้มันยังไม่ได้กัดหรอก แค่แสงโดนลำตัวนี่จะตายเลยนะ เราก็ตกใจตายเลย แต่ถ้ามันยังไม่รู้นะ ก็นึกว่าสัตว์นี้ไม่มีพิษใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกันมันก็อยู่กับเราปกตินี่ กายกับจิตก็อยู่กันโดยปกตินี่แหละ แต่พอจิตมันสงบเข้ามาพอไปเห็นกายมันรู้เลย โอ้โฮ นี่สัตว์พิษ นี่คือสิ่งที่มีพิษ มันตกใจ คำว่าตกใจมันเลยขนพองสยองเกล้า เพราะมันรู้ว่าพิษนี่เขาถึงเรียกว่าเห็นกิเลสไง หลวงตา หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราจะบอกเลยว่าการปฏิบัติ การขุดคุ้ยหาจำเลย การขุดคุ้ยหากิเลสเป็นงานอย่างหนึ่ง การวิปัสสนาฆ่ากิเลสนั้นเป็นงานอีกอย่างหนึ่ง แต่พวกเรานี่นะฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลส กิเลสตายคามือเลยนะ แต่ไม่เคยเห็นกิเลสนะ ไม่เคยเห็น ไม่เคยเจอมัน เพราะไม่เคยเจอมันถึงไม่รู้เรื่องไง

เห็นไหมนี่พูดถึง นี่บอกว่าอุบายวิธีการในการพิจารณากาย พิจารณาเวทนา ให้พิจารณาไปเรื่อยๆ ต่อสู้ไปเรื่อยๆ ทำไปอย่างนี้แหละ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ เราต่อสู้ไปตลอดเวลา เราทำของเราไปตลอดเวลา มันทำไปถึงที่สุดแล้ว สันทิฏฐิโกไง จิตมันจะรู้เอง อย่างเช่นอาหารนี่นะ รสชาติมันจืด พอเราชิมเราก็รู้ใช่ไหม เราเติมเครื่องปรุงลงไปนะพอเราชิมอาหาร อาหารรสเข้มขึ้นมาเราก็รู้ใช่ไหม จิตเวลามันพัฒนาขึ้นไปมันจะรู้ของมัน จืดชืดมันก็รู้ของมัน เข้มข้นมันก็รู้ของมัน วิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันจะรู้ของมัน อาหารนั้นเราต้องใส่เครื่องปรุง ต้องปรุงแต่งมันตลอดไป แล้วอาหารนั้นจะมีรสชาติดีขึ้น

การปฏิบัติของเรานี้ เราก็ต่อสู้กับมันไปเรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วไปเรื่อยๆ อย่าไปเฉื่อยชากับมัน เดี๋ยวจะรู้ เดี๋ยวจะรู้ขึ้นมาชัดเจนเลย ชัดเจนตลอดเวลา นี้คืออุบายในการพิจารณากายและสู้กับเวทนานะ นี่บอกไว้ก่อน เขาขออุบาย แล้วให้ตอบทางเว็บไซต์ด้วยนะ แล้วให้บอกด้วยในอีเมลล์ เขาจะโหลดเอาเอง นี่ปัญหาที่ ๕๘

คำชมมันก็มีเยอะมาก ปัญหาที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นคำชมหรือการที่แบบว่าจะมาที่วัด จะมาอะไร อันนี้แล้วแต่ อันนี้ไม่ตอบ เลยมาอันที่

ถาม : ๖๔. อาการตกภวังค์ โยมอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อถึงอาการตกภวังค์ เมื่อโยมนั่งปฏิบัติภาวนาไปฟังเทศน์หลวงพ่อไปด้วย โดยโยมใช้นั่งพุทโธๆ แล้ว พอนั่งไปสักพักมีอาการเหมือนตกภวังค์

หลวงพ่อ : มีอาการเหมือนตกภวังค์นี่เข้าข้างตัวเอง มันตกอยู่แล้ว ไม่เหมือนหรอก

ถาม : มีอาการเหมือนตกภวังค์ แต่โยมจะรู้ตัวอยู่ แต่น้ำลายมันไหล โยมก็เอะใจว่าน้ำลายมันไหลแปลว่าเราตกภวังค์ เพราะว่าโยมเคยฟังเทศน์หลวงพ่อเรื่องที่คนปฏิบัติแล้วนั่งหลับทั้งคืน แต่ไม่รู้ตัว แต่นี้เรารู้ตัวว่าตกภวังค์นะ แต่น้ำลายมันไหล มันไม่ได้มีแค่ครั้งนี้ มันมีอาการมาเป็นอาทิตย์ เป็นทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน ทั้งๆ ที่โยมฟังเทศน์หลวงพ่อไปด้วย

โยมมีอาการตกภวังค์คือนั่งน้ำลายไหล ก่อนหน้านี้โยมนั่งภาวนาจะไม่มีอาการแบบนี้ เมื่อออกจากนั่งปฏิบัติโยมก็มานั่งคิดว่า ตัวเองมีอาการนี้มาเป็นอาทิตย์แล้วจะแก้ไขอย่างไร จะต้องงดข้าวเย็น แต่โดยปกติของทุกวันโยมก็ทานมื้อเย็นน้อยอยู่แล้วและยังมีอาการของตอนเช้านี้คือนั่งน้ำลายไหล โยมคิดอีกที ทำไมอาการถึงเป็นมาเป็นอาทิตย์ โยมขอความเมตตาช่วยแนะนำด้วย

หลวงพ่อ : อาการตกภวังค์จะมีตลอดไป ร่างกายของเรานี้ เวลาเราไม่ได้ผ่อนอาหารนี่นะ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ทับจิต แต่พวกเรานี้ไม่รู้ โยมไม่รู้นะเพราะโยมปฏิบัติเหมือนกับเป็นนักกีฬาสมัครเล่น แต่ถ้านักกีฬาอาชีพ ร่างกายเขาจะต้องฟิตตลอดเวลา ดูอย่างนักฟุตบอลนี่นะ เรื่องอาหารการกินของเขา เขาจะต้องมีนักโภชนาการที่คุมอาหารให้เลย เพื่อจะไม่ให้ร่างกายมันแถออกไป

ฉะนั้นกรณีอย่างนี้เราเคยอยู่ในป่านะ โดยปกติอยู่ในป่ากัน มันก็ข้าวเหนียว บิณฑบาตกับชาวบ้าน แล้วส่วนใหญ่ก็เก็บของป่า มีเณร มีปะขาวนี้เก็บของป่า ก็เอามาต้มมานึ่ง จิ้มแจ่วกันอยู่อย่างนั้น กินแต่ของป่าตลอดเวลา แล้วมีอยู่วันหนึ่ง มีพวกโยมเข้าไปเยี่ยม เขาก็เอาพวกไส้กรอกไปผัดกับข้าวเฉยๆ นะ แต่พอเราฉันนะ เพราะว่าเราเคยกินแต่ของป่ามาตลอดใช่ไหม พอมาฉันข้าวที่ผัด ผัดน้ำมันกับใส้กรอกนั้น แปลกนะ มันจะหลับคาขณะกินข้าวเลย ไขมันนี่แหละ โอ้โฮ มันเห็นชัดเจนมากนะ ฉันๆ อยู่นี่เหมือนกับตานี่ปรือไปเลยนะ มันเห็นความแตกต่างเลย เพราะอะไร เพราะเราอยู่กับอันนั้นจนชิน เราจะบอกว่า นี่พูดถึงการตกภวังค์ไง

ที่เราบอกว่า ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันทับจิต พวกเราก็จะบอกว่ามันจะขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าคนยังไม่เคยไปเจอเหตุการณ์อย่างนั้นนะ มันก็จะคิดว่าคงไม่มีอะไรที่เป็นโทษขนาดนั้น แต่เป็น ฉะนั้นพอบอกว่าเรื่องการตกภวังค์นี้ อาหารเย็นก็กินน้อยอยู่แล้ว ทุกอย่างก็กินน้อยอยู่แล้ว นี่คือมันเข้าข้างตัวเองทั้งนั้นเลย มันจะมากมันจะน้อย จิตนี่ถ้ามันตกภวังค์นะ

เวลาเราพูด จะพูดถึงพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเห็นไหมเป็นพระโสดาบันแล้ว พระสารีบุตรไปพูดถึงว่าธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ พระพุทธเจ้าสอนให้ดับที่เหตุนั้น ฟังจากพระอัสสชิมา พระโมคคัลลานะก็เป็นพระโสดาบันเหมือนกัน พอเป็นพระโสดาบันแล้วก็มาบวชกับพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะนี้ ๗ วันก็ได้เป็นพระอรหันต์ พระโสดาบันนะนั่งสัปหงก พระพุทธเจ้ามาด้วยฤทธิ์เลย โมคคัลลานะเธอจงเอาน้ำลูบหน้า เธอจงตรึกในธรรม นี่วิธีแก้ตกภวังค์ เธอจงตรึกในธรรม เห็นไหม แล้วเธอจงแหงนหน้าดูดาว แล้วถ้ามันง่วงนักก็นอนซะ แล้วค่อยมาปฏิบัติใหม่

ฉะนั้นเวลาตกภวังค์นี้จิตมันยังไม่ลง ถ้าตกภวังค์มันยังไม่เข้าสมาธิ ถ้าเข้าสมาธิมันจะไม่ตกภวังค์ ฉะนั้นเวลาจิตปกติเราพุทโธๆๆ ไปมันเหมือนกับเราขับรถไป จิตนี้เหมือนรถวิ่งไปบนถนน บนถนนนี่มันจะมีสะพาน ถ้าสะพานนั้นคอสะพานขาดรถเราจะตกลงคอสะพาน ข้ามสะพานนั้นไปไม่ได้ ถ้าตกลงสู่คอสะพานนั้น นั่นคือลงภวังค์ ปุ๊บ หายไปเลย แล้วรู้ตัวอีกทีหนึ่งเหมือนสะดุ้งตื่น แต่ถ้าเราตั้งสติดีๆ พุทโธๆๆ เหมือนกับเรารู้ว่ามีคอสะพานใช่ไหม คอสะพานมันขาดใช่ไหม เราพยายามถมคอสะพานนั้นให้เต็มด้วยพุทโธๆๆๆๆ ถ้าคอสะพานนั้นเต็ม รถมันวิ่งมา เพราะคอสะพานไม่ขาด มันก็จะวิ่งเข้าสู่คอสะพานใช่ไหม พอสุดคอสะพานมันก็จะข้ามไปสู่ถนนอีกฟากหนึ่งใช่ไหม

พุทโธๆๆๆๆๆ ไป พอจิตมันมา โดยปกติถ้าเราพุทโธโดยมีสติปัญญาพอ สตินี้ จิตนี้มันจะข้ามสู่คอสะพานนั้น ขึ้นสู่สะพานนั้น ข้ามจากสะพานนั้นเข้าไปถนนอีกฟากหนึ่งคือเข้าสมาธิไง ถ้าเข้าสมาธิ รถวิ่งไปนะ ฟังให้ดีนะ รถมันวิ่งไปตลอดบนถนนเวลามันข้ามคอสะพานแล้วเราอยู่บนสะพาน ข้ามสะพานไปแล้ว คนขับรถจะรู้สึกตัวไหม รู้สึกตัวตลอดเวลา เราจะบอกว่าสมาธิมันจะมาลงขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลาจิตมันมีพุทโธๆ ลงไปนี้ สติมันจะพร้อมตลอด ไม่มีแวบๆ ไม่มีหรอก ไอ้ที่แวบแป๊บๆ มันยังไม่เข้า แวบๆ กิเลสมันดื้อ จิตมันดื้อ พอจิตมันดื้อมันจะแวบออก แวบออกตลอด พอพุทโธๆ แล้วมันแฉลบไปโน่นแฉลบไปนี่ นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา

ทีนี้ถ้าเรามีสติพอพุทโธๆไป แล้วมันแฉลบ แฉลบมันก็แฉลบไปสิ มันเป็นอาการ แต่กูไม่ไป พุทโธๆ กูอยู่นี่ เอ็งจะแฉลบไปไหน มึงจะไปไหน กูไม่ไปกับมึง พุทโธๆๆ ไป พอตัวหลักมันไม่ไปนะ ไอ้ที่ตัวล่อคือแฉลบไปแฉลบมามันจะหายไปเอง มันหายไปเอง

แต่โดยปกตินะเวลาพุทโธๆ ตัวหลักมันอยู่นี้นะ เวลามันแฉลบไป เอ๊อะ อะไรว่ะ อยากดู ไอ้แฉลบนี่มันของปลอม เราต้องพูดอย่างนี้ แปลกนะ ไอ้ตัวหลักมันเสือก ไอ้ตัวแฉลบไปมันของปลอม ไอ้ตัวหลักมันดันอยากไปรู้กับเขา มันแฉลบออกหมดนะ แต่ถ้ามันแฉลบไปเห็นไหม ไอ้ตัวแฉลบไปมันเป็นของปลอมนะ มันเป็นอาการ แต่มันอยากรู้อยากเห็นนะ ไอ้ตัวหลักนี่มันเลยเผลอไปกับเขา นี่แหละที่มันจะตกภวังค์ที่มันจะออกรู้ล่ะ แต่ถ้าเราพุทโธๆๆ ไป มันแฉลบ ฉะนั้นไอ้แฉลบนี่เวลาคนปฏิบัติพุทโธๆๆ ทุกคนจะบ่นว่ามันลำบาก โอ้โฮ มันดิ้น มันแลบ มันออก มันอะไรไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องธรรมดา

ธรรมดาเพราะอะไร ธรรมดาเพราะเรามีอวิชชาไง อวิชชาคือความไม่รู้ในตัวมันเองไง ไม่รู้อะไรเลยนะ เห็นนู่นก็อยากรู้ เห็นนี่ก็อยากรู้ เห็นนู่นก็อยากรู้ เห็นอะไรก็อยากไปหมดเลย แต่ถ้าเราตั้งสัจจะเลยนะ อะไรจะเกิดก็ช่างมึง มีพุทโธกับข้าเท่านั้น โลกนี้มีเพราะมีเราทั้งนั้น มีพุทโธกับเรา พุทโธๆๆ อะไรจะเกิดก็ช่างหัวมัน พุทโธๆๆๆๆๆ พุทโธไปอย่างนั้นนะ เพื่อถมคอสะพาน รถพอมันข้ามสะพานนั้นไป เราขับรถใช่ไหม เมื่อก่อนพอถึงคอสะพานจะวูบไม่รู้ตัวเลย วูบๆ วูบตลอด พอวูบก็อย่างที่ว่า มันวูบไปเห็นไหม

คำว่าตกภวังค์นี้คือจิตเรายังอยู่นะ แต่มันเป็นอาการที่มันไม่รับรู้ตัวมันเอง พอไม่มีการรับรู้ตัวมันเองเห็นไหม โดยปกติของเรา จิตเราปกติใช่ไหม ศูนย์ประสาทสมองเพราะสติมันพร้อมใช่ไหม มันควบคุมสมอง สมองมันสั่งร่างกายเราเป็นปกติใช่ไหม น้ำลายมันก็ไม่ไหล เวลามันตกภวังค์พั้บ จิตเราก็อยู่นี่แหละ แต่จิตมันไม่ปกติ เพราะมันเป็นภวังค์ ไม่มีสติพร้อม พลังงานนี้ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ใช้ไปที่สมอง สมองนี้น้ำลายไหลเพราะอะไร น้ำลายไหลเพราะว่าเวลาคนที่เส้นเลือดสมองแตก เส้นเลือดสมองที่มันอุดตันเห็นไหม มันบังคับไม่ได้เห็นไหม ปากซีกหนึ่งจะบังคับไม่ได้ น้ำลายไหล นั่งอยู่น้ำลายก็ไหลเพราะสมองมันบังคับไม่ได้ แต่ถ้าสมองบังคับได้น้ำลายจะไหลไหม

ฉะนั้นพอจิตมันตกภวังค์ จิตมันไม่เป็นปกติ มันไม่ได้ใช้งาน ทั้งๆ ที่จิตมันปกตินะ เส้นประสาททุกอย่างปกติหมดนะ แต่จิตมันตกภวังค์ พอจิตมันตกภวังค์จิตมันไม่รับรู้ จิตมันไม่ได้ใช้ควบคุมสมอง สมองมันไม่ได้ควบคุมปาก ไม่ได้ควบคุมน้ำลายมันก็ไหลเห็นไหม นี่คืออาการภวังค์ แต่ถ้าจิตมันปกติเราไม่ตกภวังค์ เราเป็นคนปกติ กูก็บังคับได้มีระบบประสาทพร้อม น้ำลายจะไหล กูรู้สึกตัว ก็กลืนเลย มันก็ไม่ไหลเห็นไหม

เราจะบอกว่าอาการที่ตกภวังค์ก็อย่างหนึ่ง อาการที่จิตมันเข้าสมาธิ มันไม่ใช่ภวังค์ มันเป็นอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเวลาเราถึงคอสะพานมันวูบหายไปเลยเห็นไหม มันวูบหายไปเลยนะ นี่พูดถึงอาการแก้ภวังค์ โดยหลักมันเป็นอย่างนี้ แต่วิธีแก้ เราก็ต้องค่อยๆ แก้ของเราไป พุทโธของเราไป นี่เป็นมาร่วมอาทิตย์แล้ว โอ้โฮ ลำบากมาก ทุกข์มากเลย เห็นไหมเวลาปฏิบัติ เวลาเกิดนะ เวลาเกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ ทุกข์แล้วทุกข์เล่ามันก็ทุกข์ของมัน เวลาเราจะปฏิบัติเห็นไหม เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคนี่ทุกข์ไหม ทุกข์ เวลาไปหาหมอ หมอผ่าตัด หมอเย็บแผลเจ็บไหม เจ็บ แต่ทำไมไปหาหมอล่ะ เพราะอยากหายไง

ในการปฏิบัติทุกข์ไหม ทุกข์ ทุกข์แบบนี้มันทุกข์แบบธรรม ทุกข์แบบจะสู้กับกิเลส ทุกข์ไหม ทุกข์ แต่ทุกข์ที่จะสู้กิเลส ก็ต้องสู้ ต้องทำ นี่มีทางนี้ทางเดียวที่เราจะต่อสู้กับตัวเอง จะเอาชนะตัวเอง เพราะตัวเองไม่เข้าใจตัวเอง ตัวเองเผลอตัวเอง แต่ขณะที่มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา เราจะต่อสู้กับตัวของเราเอง ฉะนั้นเราถึงบอกว่าทุกข์ก็ต้องว่าทุกข์ ทุกข์ก็ต้องสู้ นี่คือการแก้ภวังค์นะ

การแก้ภวังค์มันเป็นเทคนิคของแต่ละคน ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งก็สอนไปอย่างหนึ่ง ครูบาอาจารย์อีกองค์ก็สอนไปอีกอย่างหนึ่ง แต่เรื่องการตกภวังค์นี้ครูบาอาจารย์ทุกองค์ตกมาเยอะมาก แล้วตกมากตกน้อยแล้วมีเทคนิคในการแก้ การแก้คือการแก้ตัวเองก่อน ถ้าตัวเองเคยแก้ไขได้แล้ว มันก็สอนตามประสบการณ์นั่นแหละ ถ้ามีประสบการณ์สอนได้มันจะเป็นความจริง ฉะนั้นนี่พูดถึงโดยหลักแล้วแก้ไป ค่อยๆ ทำไป มันเหมือนกับว่าเราทำงาน มันก็ต้องมีการผิดพลาด มันต้องมีอาการเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา การภาวนามันก็มีอาการตกภวังค์บ้างอะไรบ้าง จะบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา มันมีของมันอยู่แล้วไง

แต่ถ้าเราแก้ไขได้ เราก็จะแก้ไขให้เราหายได้ แล้วถ้าแก้หายได้แล้วนะ เดี๋ยวมันก็จะมีมาอีก เพราะอะไร เพราะการทำงานเรายังมีไปอีกใช่ไหม เราทำงานทั้งชีวิตเรายังเหนื่อยล้าไปข้างหน้านะ แต่ถ้างานเสร็จแล้วเราจบแล้ว เราทำเรียบร้อยแล้วนะเราจะมีความสุขมาก ฉะนั้นถึงบอกว่าให้เข้มแข็งนะ ๖๕. อันนี้สำคัญ ไอ้คนเขียนนี่ พูดดักไว้ก่อนเลยนะ วราพรเนาะ ก็ยังค่อยยังชั่วหน่อย เรากลัวหน้าม้าเขียนไง กลัวหน้าม้าเขียนมาให้เราด่าคนอื่น ไอ้พวกเราเองนี่ตัวดี เวลามันเขียนมันเขียนหลอกให้เราด่าเขา

ถาม : อยากทราบว่าสันตติคืออะไร เคยอ่านหนังสือประมวลธรรมของหลวงพ่อองค์หนึ่งบอกว่า ถ้าสติปัญญาแก่รอบกว่านี้จะเห็นเลย จิตเกิดที่ตาแล้วดับไป จิตเกิดที่หูแล้วดับไป จิตเกิดที่ใจคิดไป ไปคิดไปนึกก็ดับไป จิตหลงเกิดแล้วก็ดับไป แล้วท่านก็บอกในหนังสือว่า การที่เห็นมันเกิดแล้วมันดับ มันเกิดแล้วมันดับ ขาดออกไปเป็นท่อนๆ (หลวงพ่อ : ตรงนี้เป็นปัญหา) ขาดออกไปเป็นท่อนๆ ไม่ใช่จิตดวงเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย จะเห็นจิตขาดเป็นท่อนๆ เป็นตัวๆ เป็นดวงๆ ที่เขาเรียกเป็นดวงๆ เห็นอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อให้มันเห็นว่ามันไม่ใช่อันเดิม ท่านสรุปว่าสันตติคือการสืบเนื่อง สันตตินี่แหละสร้างภาพลวงตาขึ้นมา ถ้าสันตติขาด เราก็จะเห็นของจริง

คำถามคือ เคยได้ยินคำสอนของหลวงพ่อเองและ หลวงพ่อท่านอื่นด้วยที่ว่าจิตมีดวงเดียว ไม่เกิดดับ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น สันตติมันคือการเกิดดับต่อเนื่องของอะไรคะ ขอให้หลวงพ่อช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ด้วยค่ะ

หลวงพ่อ : เห็นไหม คำว่าสันตตินี้มันตีความแตกต่างกัน คำว่าสันตติ เวลาเมื่อก่อนปฏิบัติกัน ก็ไม่ได้คิดว่ามันมีอะไรเป็นความสำคัญหรือไม่มีความสำคัญ

แล้วเวลาหลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติไปแล้วเห็นไหม เวลาคนไปถามว่าอวิชชามันอยู่อะไร ทุกอย่างเกิดได้ต้องมีพ่อมีแม่ แล้วอวิชชาความไม่รู้มันเกิดจากอะไร หลวงปู่มั่นบอกว่าอวิชชาเกิดจากฐีติจิต แล้วบอกว่าถ้าจะแก้อวิชชาเห็นไหม อโลโก อุทปาทิ วิชชาอุทปาทิ วิญญาณัง อุทปาทิ วิญญาณมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเกิดขึ้นมา นี่มันพูดถึงเวลาการแก้กิเลสนั้นแก้อย่างไร

พูดถึงว่ามีครูบาอาจารย์อย่างเช่นหลวงปู่มั่น ในเมื่อสังคมยังไม่มีความเชื่อถือใช่ไหม ผู้ที่บริหารปกครอง ผู้ที่มีการศึกษาเขาจะไปถามปัญหาหลวงปู่มั่นเยอะแยะไป ฉะนั้นท่านถึงบอกว่าจิตนี้เป็นอย่างไร ที่ว่าจิตนี้มีกี่ดวงๆ อันนี้มันคืออภิธรรม ที่ว่าจิต ๑๐๘ ดวงหรือกี่ดวงนี่มันเป็นอารมณ์ ดวงๆ หนึ่ง อย่างเช่นน้ำ น้ำผสมสีอะไรก็จะเป็นสีนั้น

จิตมันคิดอะไรก็เป็นดวงๆๆๆ อย่างนั้น แล้วตัวน้ำมันมีกี่ดวง น้ำก็คือน้ำ นี่แล้วสันตติล่ะ ในน้ำมันระเหยไหม ในน้ำมีการพัฒนาไหม น้ำนั่นคือน้ำ ในปัจจยาการเห็นไหม อิทัปปัจจยตา สิ่งนี้มีถึงมีสิ่งนี้ มันเกี่ยวเนื่องกัน มันเกี่ยวเนื่องกันเพราะอะไร แต่เวลามันเป็นความคิด เห็นไหมความคิดเกิดดับๆ เกิดดับเป็นดวง เป็นกองไง สังขารความคิดความปรุงความแต่งไง สันตติเป็นอันเดียว คำว่าปัจจยาการเห็นไหมเวลาขันธ์ ๕ พระอนาคามี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นกอง พอมันเป็นกองขึ้นมา เป็นกองนี่เป็นเปลือก พอเป็นเปลือก แต่ตัวพลังงานมันเป็นหนึ่งเดียว

ถ้าหนึ่งเดียว พลังงานหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวมันอยู่ไม่ได้ หนึ่งเดียวมันอยู่ไม่ได้ หนึ่งเดียวก็อยู่ได้นะเขาว่านะ หนึ่งเดียวถ้าพูดถึงเป็นวิทยาศาสตร์ หนึ่งเดียวมันมีย่อยสลายแล้วมันจะมีอะไรต่อไปล่ะเพราะมันเป็นแร่ธาตุใช่ไหม แต่คำว่าสันตติมันเป็นหนึ่งเดียว แต่พอหนึ่งเดียวนี้ พอมันมีแล้วมันต้องแปรปรวนไป มันมีสิ่งเกิดใหม่ พอสิ่งเกิดใหม่มันเกิดซ้ำเหมือนจุดเทียน จุดเทียนมาเป็นไฟ สันตติคือดวงเดียว ไม่มีท่อนๆ หรอก ไอ้ท่อนๆ นี้

คำพูดอย่างนี้เวลาหลวงตาท่านมาที่วัดนรนาถ สมเด็จวัดนรนาถเห็นไหม มหาดูนี่สิ ปัจจยาการ อวิชชา ปัจจยา สังขารา.. ไม่ดู ไม่ดู เพราะอะไร เพราะความจริงมันไม่เป็นอย่างนี้ คำว่าเป็นปัจจยาการ อวิชชา ปัจจยา สังขารา.. ปัจจยาการคืออวิชชา อวิชชาที่ปัจจยาการมันออกมาเป็นภพชาติ มันเป็นพุทธวิสัย มันเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า มันถึงเห็นได้ถึงสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าพูดถึงสาวกสาวกะหรือผู้ที่เห็นจริง มันจะเห็นอย่างนั้นไม่ได้ อย่างเช่น เชื้อโรคหรือทฤษฎีต่างๆ ในทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม มันเห็นด้วยตาเปล่าไหม มันไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่านะ

อย่างเช่นดีเอ็นเอต่างๆ ที่เวลาเขาตรวจสอบกันด้วยอะไร เขาตรวจสอบกันด้วยกล้องจุลทรรศน์ เขาตรวจสอบกันด้วยเครื่องขยาย เขาไม่ได้ตรวจสอบกันด้วยตา นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันจะเข้าไปเห็นสภาวะอย่างนั้น สันตติ หนึ่งเดียว หนึ่งเดียว ไอ้เป็นท่อนๆๆ ไอ้นี่มันเป็นนิยาย มันเป็นจินตนาการไง ถ้าเป็นสันตติใช่ไหม ก็เหมือนกับแบบอวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง ใช่ไหม มันจะแยกออกจากกันได้แล้ว ไม่มีทาง

มันไม่มีทางเพราะอะไร เพราะว่าถ้าเป็นปัจจยาการมันเป็นอารมณ์เกิดดับพร้อมกัน แต่ถ้าเป็นความคิด เป็นขันธ์อย่างนี้ อย่างเป็นความรู้สึก ความคิด ความคิดกับความรู้สึกคนละอันนะ ถ้ามันไม่คนละอันกันแล้วทำไมเราคิดเรื่องนี้ แล้วคิดซ้อนได้ล่ะ เราคิดเห็นไหม เราคิดแวบๆๆ ความคิดมันคิดได้หลายๆ เรื่องในสมองคนเดียวกัน เห็นไหม เขียนหนังสือด้วย พูดไมโครโฟนด้วย เห็นไหมทำไมเขาแยกได้ล่ะ อันนี้คือความคิดไม่เป็นตัวจิต แต่ถ้าตัวจิตทำอย่างนี้ไม่ได้ ตัวจิตมันเป็นตัวของมันอันเดียวเอง

ฉะนั้นถึงบอกว่าสันตติคือการเกิดดับของจิตในดวงเดียว ในดวงเดียว ไม่มี!ฉะนั้นคนที่พูดอย่างนี้เพราะว่าตัวเองไม่เคยภาวนา ตัวเองไม่มีความรู้จริง พอไม่มีความรู้จริงปั๊บ ก็พยายามเอาคำพูดคำสอนของอาจารย์แล้วมาสาธยายไง

สันตตินะ ถ้ามันยึดกันมันก็ฆ่ากิเลสไม่ได้ใช่ไหม เหมือนไส้เดือนเลย ตัดท่อนหัวกับท่อนหาง ไส้เดือนสองท่อนก็ดิ้นของมันไปใช่ไหม ไส้เดือนนี่ตัดสักสิบท่อนนะ ไส้เดือนมันก็ได้สิบตัวขยายออกไปเลย นี่ก็เหมือนกัน นี่มันไส้เดือน สันตติของไส้เดือนท่อนๆ สันตติจริงไม่เป็นอย่างนั้น สันตติมันเกิดดับๆ ในตัวมันเอง แล้วเกิดต่อเนื่อง การเกิดต่อเนื่องจิตถึงไม่เคยตายไง

จิตไม่เคยตาย ไม่เคยตายอย่างไร ทำไมจิตมันไม่เคยตาย พลังงานอะไรที่ใช้ไม่เคยหมด พลังงานในโลกนี้ทุกอย่างใช้หมดเลย ธาตุรู้ไม่มีวันหมด พลังงานของจิตนี้มหาศาล ดูสิ ที่เขากำลังหาพลังงานมาใช้กันอยู่ พลังงานอะไร เอาพลังงานมาใช้ แล้วพลังงานของจิตเห็นไหม ดูเวลาจิตสงบขึ้นมา เวลาจิตสงบเข้าสมาบัติ ทำไมแค่ดวงจิตดวงเดียวนี้ ทำไมเหาะเหินเดินฟ้าได้ ทำไมมันถึงเกิดอภิญญารับรู้ทั่วโลกไปได้ ดูพลังงานของจิตสิ

แล้วมาบอกว่าเป็นกี่ดวงๆ ไอ้คำว่าท่อนๆ นี่นะ เขาคิดเองแล้วแบบว่าจินตนาการไง ก็จินตนาการว่าถ้าเป็นสันตติมันก็เหมือนสิ่งใดที่มันเกาะเกี่ยวกันอยู่ ถ้าแยกออกมันก็จบ เขามีความคิดอย่างนี้ เราจะบอกว่าโลกเขาคิดกันอย่างนี้ กิเลสมีเพราะยึด ถ้าไม่ยึดกิเลสก็ไม่มี ฉะนั้นเราก็นอนหลับกันซะ ไม่ยึดแม่ง นอนไป กิเลสไม่มีเพราะนอนหลับหมดแล้ว ไม่ยึด มันคิดกันไปเองไง ว่าถ้ายึดมันถึงมีกิเลสนะ ถ้าไม่ยึดมันก็ไม่มี แล้วไม่ยึด ไม่ยึดอย่างไร

พูดอย่างนี้มันพูดแบบวิทยาศาสตร์ไง พูดแบบสสาร สสารทางเคมีเราเอามาผสมกันทำให้เกิดเคมีตัวใหม่ขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าแยกเคมีออก แยกสารเคมีออก แยกออกจากกันมันก็จบ แล้วมันจบจริงไหมล่ะ เพราะอะไร เพราะว่าเคมีนี่ด้วยกรด ด้วยสิ่งต่างๆ ใช้กรด ใช้ปฏิกิริยามันจะแยกออกจากกันได้ มันจะคืนสู่ตัวมันได้ แต่กิเลสมันมีชีวิต กิเลสมันมีความรู้สึก กิเลสมันหลบหลีก มันเป็นเหมือนกับสิ่งที่มีชีวิต จะไปทำลายเท่าไร มันก็ฟื้นขึ้นมาได้ มึงทำลายมัน มันก็มีของมันขึ้นมาได้ แล้วมึงจะเอาอะไรไปทำลายมัน การฆ่ากิเลส ฆ่ากันอย่างนั้นหรือ สันตติเป็นท่อนๆ พอแยกออกจากกันแล้วจะเห็น มันไม่ใช่ตัวเดิม มันจะเห็น

ก็นี่ไงก็บอกอยู่ที่เขาพูดว่า เห็นนิพพาน เห็นแว้บๆๆ มันก็จะได้มรรคได้ผล การพูดอย่างนี้ คำพูดคำสอนอย่างนี้เห็นไหม ที่หลวงตาบอกว่า ผู้รู้มีอยู่ ผู้รู้หมายถึงว่าคนที่ผ่านประสบการณ์ คนที่พิจารณามา คนที่ทำมา เขาเห็นของเขา เขาแยกของเขาได้ เขาฆ่ากิเลสได้ เขาถึงทำจริงของเขาได้ แต่นี้ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้แยก แต่พยายามจะพูดทฤษฎีให้มีหลักมีเกณฑ์ไง จะพูดทฤษฎีขึ้นมาให้เห็นว่ากิเลสมันเป็นอย่างนี้ แล้วตายอย่างนี้ กิเลสเป็นท่อนๆ อย่างนี้ แล้วพอแยกออกไป พอแยกออกไปปั๊บ มันเข้าใจได้ใช่ไหม เพราะยึดถึงมีกิเลส ถ้าไม่ยึดก็ไม่มีใช่ไหม เราถึงพูดบ่อยนะว่านิพพานอย่างนี้ นิพพานของควาย เวลามันกินหญ้าเสร็จมันก็ไปนอนแช่น้ำ โอ้โฮ สงบเย็น สงบเย็น โอ้โฮ มันกินหญ้าเสร็จมันก็นอนแช่น้ำนะ

มันไม่มีเหตุไม่มีผล แต่ถ้าคนมีเหตุผลนะเริ่มต้นอย่างที่ครูบาอาจารย์สอน มีสติ ทำความสงบเข้ามา แล้วพอจิตจะสงบเข้ามา เริ่มตั้งแต่การใช้อุบาย การพิจารณากาย พิจารณาเวทนา ถ้าจิตสงบเข้ามานะมันจะเห็นเวทนานอก เวทนานอกเห็นไหมดูสิ ตอนนี้สังคมปั่นป่วนเรามีความทุกข์ไหม นี่เวทนานอกมันมาจากข้างนอก แล้วใจที่ทุกข์นี่เวทนาใน มันมีเวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา เวทนามีอีกหลายชั้นนะ จนตัดเวทนาขาดหมด ขันธ์ ๕ ไม่มีในจิต จิตเป็นเอกภาพ จิตเป็นหนึ่งเดียว สันตติ อยู่เฉพาะจิตเดิมแท้ผ่องใส ผ่องใสนั่นคือสันตติ จิตเดิมแท้นี่สันตติ จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส ไม่มีอะไรกระทบมันเลย มันก็หงอย มันก็เหงา มันก็เศร้า มันก็สร้อย มันก็อาลัยอาวรณ์ นี่เวทนาละเอียด

พระอนาคามีนะทิ้งทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ติดในสิ่งใดๆ เลยนะ แต่ไปอยู่คนเดียวมันก็เหมือนดวงไฟที่จุดไว้ เราจุดกองไฟไว้สิ กองไฟมันจะมอดนะ เพราะเชื้อเพลิงมันไม่มี มันจะมอดไป นี่คือกองไฟนะ เพราะกองไฟมันมีขึ้นมาเพราะมันมีเชื้อเพลิงใช่ไหม แต่สันตติมันติดของมันอย่างนี้ตลอด แต่เพราะด้วยความทรงตัวของมัน มันจะอาลัยอาวรณ์ ทุกข์ของพระอนาคามีคือความอาลัยอาวรณ์ อาลัยอาวรณ์ตัวมันเองไง เหมือนกับเวลาที่เราเหงา เราเศร้า เราสร้อยนี่แหละ แต่เหงาเศร้าสร้อยนี่มันเพราะว่าเหงาเศร้าสร้อยเพราะกิเลสอย่างหยาบๆ แต่นั่นมันใส แต่มันก็เฉาของมันนะ เพราะผ่องใสคู่กับเศร้าหมอง สะอาดคู่กับสกปรก จะใสขนาดไหนนะ เพราะมันใสใช่ไหม ดูสิ อย่างจุดพลุขึ้นไป พลุมันจุดขึ้นไปเห็นไหม แล้วพลุมันอยู่ได้ไหม มันก็ตก เป็นธรรมดา ไอ้นี่ใสขนาดไหนนะ มันใสของมัน แต่มันสันตติคือมันเกิดตลอดเวลา แต่ความรู้สึกมันก็เศร้าสร้อย

เห็นไหมเวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา เวทนาของจิต เราถึงบอกว่านี่คือกายของจิต รูปของจิต ไม่มีใครรู้หรอก ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น อ่านตำราจนหัวแตก ให้คอมพิวเตอร์จำไว้อีก ๕๐๐ เครื่อง มันก็ไม่รู้ ไม่มีทางรู้ได้ รู้ได้ด้วยการพุทโธ

ใครอยากรู้ต้องกลับมาพุทโธ อย่างที่เคาะกระโหลก เคาะแล้วจะรู้เลยว่าไปเกิดที่ไหน ก็อยากไปสู้กับพระพุทธเจ้าไง พระพุทธเจ้าให้ทายหัวกระโหลกไง เคาะกระโหลกก็รู้ เคาะกระโหลกก็รู้ พอพระพุทธเจ้าเอากระโหลกของพระอรหันต์มาให้เคาะ เคาะเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เห็นไหมเคาะอย่างไรก็ไม่รู้ อยากรู้ไหม อยากรู้ไหม อยากรู้ อยากรู้มาพุทโธซะ มาพุทโธ แล้วก็มาให้พระพุทธเจ้าสอนพุทโธๆ จนสุดท้ายรู้หมดเลย พอรู้แล้วไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว สันตติ สันตติ ไม่รู้แล้วอย่าพูด อายเขา พูดออกไปมันประจานตัวเอง สันตติเป็นท่อนๆ ถ้าเอามาตัดเป็นท่อนๆ แล้วมันจะเห็นกิเลส กิเลสมันเกิดดับ แล้วถ้ามันดับไปแล้ว

เราถึงพูดเห็นไหม เกิดน่ะรู้ แต่ดับไม่รู้ เกิดดับๆ ใครเป็นคนรู้ เจ้าของ เพราะจิตไม่สงบ จิตไม่มีใครรับรู้ เวลามันดับถึงไม่มีใครรู้อะไร อย่างนี้เรามาเรารู้ แล้วเราไปที่ไหน มันมีเราอยู่ตลอดเวลานะ นี่ก็เหมือนกันถ้ามันรู้จริงของมัน มันไม่เป็นท่อนๆ อย่างนี้หรอก มันจะชำระล้างของมันเข้ามา มันจะสำรอกออก คายออกสำรอกออก คายออกสำรอกออก คายออก คายตัวมันออกมาเรื่อยๆ นะ คายสักกายทิฐิออกไปเป็นโสดาบัน คายอุปาทานออกเป็นพระสกิทาคามี คายกามราคะออกไป กามราคะนี่คายออกไป พอคายออกไปเป็นพระอนาคามี มันสำรอกคายออก คายออกด้วยมรรคญาณ แล้วคายออกอย่างไร คายออกไปจนเหลือความสะอาดของมันเอง

นี่สันตติ สันตติ คือตัวจิตเดิมแท้ พอมันคาย มันสำรอกออกไปหมดแล้ว ตัวมันเองเป็นจิตเดิมแท้ที่ผ่องใส จิตผ่องใสคืออวิชชา นี่จิตเดิมแท้เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้คือกิเลสแท้ๆ จิตเดิมแท้นี้คือตัวอวิชชา แล้วจิตเดิมแท้ถ้ามันทำลายตัวมันเองเห็นไหม นี่สันตติ แล้วมันทำลายตัวมันเองอย่างไร ที่มันสำรอกๆ ออกไปยังไง แล้วที่มันทำลายตัวมันเอง ทำลายตัวมันจนสิ้นไป สันตติ

ฉะนั้นถึงบอกว่าบอกจิตเป็นดวงเดียว ใช่ ดวงเดียวแน่นอน จิตเป็นดวงเดียวอย่างไร ดวงเดียวเวลาทำสมาธิไง เวลาจิตมันสงบเข้ามานี่หนึ่งเดียว นี่จิต ทำสมาธินี่คือตัวจิตแท้ จิตนี้พร้อมกับกิเลสทั้งตัว แล้วจิตดวงนี้แล้วค่อยสำรอกมัน คายมันออก คายมันออกด้วยการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าทำถูกต้อง ทำวิธีการถูกต้อง ทำด้วยสมเหตุสมผลของมัน ด้วยมรรคญาณมันจะสำรอกตัวของมัน นี่จะเป็นโสดาบัน แล้วเป็นโสดาบันเพราะอะไร ขณะจิตที่มันเปลี่ยน จิตที่เป็นปกติกับจิตที่เป็นโสดาบันต่างกันอย่างไร จิตที่เป็นโสดาบันกับจิตที่เป็นสกิทาคามีต่างกันอย่างไร จิตที่เป็นสกิทาคามีกับจิตที่เป็นอนาคามีต่างกันอย่างไร จิตอนาคามีกับจิตพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีจิต ถ้ามีจิตก็คือภพ จิตอนาคามีกับธรรมธาตุที่เป็นอรหันต์มันต่างกันอย่างไร มันต้องมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ฟ้ากับดินแตกต่างกันมาตลอดเลย แล้วความแตกต่างนี้ขณะจิตที่มันเปลี่ยน ถ้าขณะจิตที่มันมี ขณะจิตที่มันมีนะ เราเป็นใคร เราก็รู้ตัวเราอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม เราเป็นใคร ทะเบียนบ้านเป็นใคร เราก็รู้ตัวเราตลอดเวลา จิตที่มันเป็นบุคคลใหม่แล้วมันไม่รู้ตัวมันเองหรือ นี่บุคคล ๘ จำพวกไง จิตมันเป็นได้ถึง ๘ ชนิด เวลามันเทศนาออกไปแล้ว โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล.. ๘ จำพวก มรรค ๔ ผล ๔ คือ ๘ นี้ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แล้วนิพพาน ๑ หนึ่งอย่างไร

ฉะนั้นไอ้ที่บอกว่าเป็นดวงๆๆ ถ้าคนมันปฏิบัติมันจะเข้าใจไง เวลาพระพุทธเจ้าพูดถึงปัจจยาการ พูดถึงอวิชชาเห็นไหม พระพุทธเจ้ายังแบ่งเป็น ๑๓ ระดับ แต่เวลาเราไปเห็น มันเหมือนกับเราจุดน้ำมัน จุดน้ำมันนะบอกว่าเอ็งเกิดทีละหนึ่งนะให้ ๑๓ ระดับแล้วไฟค่อยติดนะ ไม่มีหรอก พึ้บ พึ้บ พึ้บเลย เวลาจุดมันติดพร้อมเลย น้ำมันจุดทีเดียวมันจะติดทันทีเลย

แต่นี่พอจิตมันละเอียดเข้าไปเห็นไหม ระดับความละเอียดของมันแตกต่างกัน ฉะนั้นเวลามันสำรอกเข้าไป ที่ว่าเวลาออกมาความรับรู้ที่ว่ากี่ดวงๆ พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ ไอ้จิต ๑๐๘ ดวง เวลาภวังค์เห็นไหม ตกภวังค์ระดับนั้นเป็นอย่างนั้น ตกมาเป็นอย่างนั้น เวลาพระพุทธเจ้าพูดถึง เวลาท่านพูดถึงนะว่าเราเคยเป็นพระเวสสันดร เราเคยเป็น เคยเป็น เราเคยเป็นเมื่อเสวยชาตินั้น แต่ในปัจจุบันเป็นพระพุทธเจ้า

นี่ก็เหมือนกันกี่ดวงๆ เราเคยคิดอย่างนั้น เราเคยคิดอย่างนี้ แต่ปัจจุบันก็กูอยู่นี่เว้ย ถ้าปัจจุบันกูบ้ากูก็ไม่รู้จักตัวกูเองน่ะสิ ถ้าปัจจุบันกูเป็นคนดีเห็นไหม กูมีสติพร้อมก็ดวงนี้แหละเว้ย จิตมีหนึ่งเดียวก็นั่งอยู่นี่แหละเว้ย แต่เวลาคิดเวลาจะทำอะไรมันก็เป็นอีกตำแหน่งหนึ่ง แล้วจิตกี่ดวงๆ อันนี้ประสาเราว่า มันเป็นการเอาไว้พูดกันทางวิชาการ เอาไว้พูดกัน พูดถึงเรื่องธรรมะแบบวิชาการ เราคุยกันได้ เหมือนคนเวลาทางวิชาการในการทำสวน แล้วเวลาลงไปทำสวนแล้วเขาไม่ต้องวิชาการหรอก เอาจอบมา เอาจอบมาขุดแม่งไปปลูกก็เสร็จ แต่ถ้าวิชาการนะ โอ้โฮ ต้องหาเม็ดพันธุ์พืช ต้องปรับพื้นที่ พูดกันไป ๕ ปียังได้กระดาษแผ่นหนึ่ง แต่ถ้าลงไปทำสวน จอบเล่มเดียวเท่านั้น ขุด เดี๋ยวกูปลูกขึ้นมา ข้าวโพด อ้อยได้กินหมด

นี่ก็เหมือนกัน จิตกี่ดวงๆ ไว้พูดทางวิชาการไง จิตเป็นอย่างนั้นนะ ทำสวนต้องมีเมล็ดพันธุ์พืชนะ ต้องมียาฆ่าแมลงนะ ต้องมีปุ๋ยนะ ต้องมีพลังงาน ต้องมีคน ต้องมีน้ำ ต้องมีอากาศ ต้องมีแดด อีก ๕๐๐ ปี จิต ๑๐๘ ดวง ถ้าจิตดวงเดียวมันทำได้หมด เรารู้ได้หมด แล้วเขาจะเข้าใจได้

เห็นไหมนี่พูดถึงสันตตินะ คนเขียนมาทีแรก เพราะมันมีเข้าไปในเว็บไซต์กันหลายคน เรากลัวว่าเราจะเป็นเหยื่อไง จริงๆ ตอบปัญหานี่กลัวเป็นเหยื่อนะ กลัวเขาเขียนหลอก เขียนหลอกให้ ฉะนั้นนี่วราพรนี่คือผู้หญิง แต่ผู้หญิงผู้ชายมันก็หลอกได้เนาะ ไอ้เรื่องอย่างนี้พูดถึงมันเคลียร์แล้ว แต่วันนี้เห็นว่าไอ้คำว่าสันตติเราก็พูดไว้บ่อย แต่มันไม่เป็นอย่างนี้ วันนี้ตั้งใจพูดให้มันชัดเจน ถ้าอย่างนี้มันไม่มีหรอก มันเป็นทางวิชาการ เป็นทางวิชาการหมายถึงว่าเราจินตนาการได้ เราคิดคาดหมายได้ แต่ถ้าเป็นความจริงไม่เป็นอย่างนี้หมดเลย

ฉะนั้นทางวิชาการนี่ปริยัติ โดยตามเป็นจริงปริยัติศึกษามาแล้วจะกลัวปฏิบัติ กลัวปฏิบัติเพราะปฏิบัติมันจับต้องตัวเป็นๆ ไง กิเลสก็กิเลสตัวเป็นๆ เวลาฆ่าก็ฆ่ากิเลสตัวเป็นๆ แต่ถ้ามันเป็นปริยัติ กิเลสมันอยู่ในกระดาษ แล้วจะฆ่ามันเขาบอกว่าในกระดาษมันฆ่าเสร็จแล้ว แต่เราไม่รู้เรื่อง ในกระดาษมันฆ่าเสร็จเลยนะเพราะพระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วว่ากิเลสเป็นอย่างนี้ มรรคฆ่ากิเลสอย่างนี้ กิเลสมันเกิดในกระดาษ แล้วก็ฆ่ากันในกระดาษ ไอ้คนศึกษามันไม่รู้เรื่อง พอไม่รู้เรื่องมาพูด มันถึงจะงง แล้วมันถึงกลัวปฏิบัติ

ทีนี้ถ้าปฏิบัติเป็นข้อเท็จจริง มันก็จริง ถ้าปฏิบัติไม่เป็นข้อเท็จจริง มันก็เป็นฤๅษีชีไพรนะ เป็นนิยายธรรมะ แล้วพอเป็นนิยายธรรมะ ดูสิ เวลาเทศน์กัน พระที่เทศน์ออกมา มันเป็นเรื่องนิยาย เรื่องจินตนาการ พอเรื่องจินตนาการมันเลยตัดรากถอนโคนคือไม่มีข้อเท็จจริง แต่ครูบาอาจารย์ของเรานี้ มันมีที่มาคือข้อเท็จจริงตามธรรมนั้น

เวลาพูดธรรมะออกมาจากผู้รู้จริง จับกิเลสตัวเป็นๆ ฆ่าเป็นๆ ตัวเป็นๆ ฆ่ามันตายต่อหน้าเห็นไหม หลักเกณฑ์อันนี้ถามมา หลวงตาท่านจะพูดคำนี้ ท่านไม่บอกว่าท่านรู้ แต่ท่านต้องการให้คนสงสัยถามท่าน เพราะคำถามคือถามด้วยความสงสัย คำตอบที่เป็นความจริงอันนั้นจะไปแก้ความสงสัยของคนถาม อันนั้นจะเป็นความจริง แต่ถ้าบอกว่ารู้ รู้อะไร ฆ่ากิเลสฆ่าอะไร กิเลสตัวเป็นๆ มันมีกี่ขา หัวกิเลสมันเป็นอย่างไร พูดกันอย่างไรมันก็ไม่จบ แต่ถ้าคนสงสัย กิเลสมันเป็นอย่างไร มึงถามกูมาสิ พออ้าปากมานั่นก็กิเลสมึงไง ก็มึงสงสัย มึงอ้าปากมาเพราะมึงสงสัยใช่ไหม นี่กิเลสเป็นอย่างนั้น กิเลสมันมีฟันเหมือนมึง มีลิ้นเหมือนมึง กิเลสก็อยู่ในใจมึง นี่ธรรมะปฏิบัติมันทันกันอย่างนี้ไง มันพูดปิดช่องทางที่จะแถได้เลย

ฉะนั้นถ้าเป็นจริง เห็นไหมหลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์ที่เป็นจริง ท่านเทศนาว่าการเราจะเคารพบูชามาก แล้วพอเราปฏิบัติแล้ว เราจะไปเจอความจริงนั้น แล้วเราจะซึ้ง เราซึ้งในบุญคุณของครูบาอาจารย์มาก แต่ถ้าเราไปศึกษามาแล้วเอามาเป็นท่อนๆ เอามาเป็นแยกแยะ เอามาเป็นสมบัติของเราโดยที่ไม่รู้จริง ขายหน้าเขานะ ขายหน้าเขา แล้วถ้าเป็นปฏิบัติจริง มีครูมีอาจารย์ เช่น หลวงตาเห็นไหม หลวงตาเวลาพระองค์ไหนที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ท่านจะสั่งเลยบอกว่าเราสั่งไม่ให้เทศน์ เราสั่งไม่ให้สอน หลวงตาถ้าองค์ไหนผิดนะท่านจะบอกเลยว่าองค์นี้ให้หยุดซะ แล้วเราก็เชื่อกัน เคารพบูชากันเพราะเราถือนิสัย ถือความเคารพบูชา กตัญญูกตเวทีกับครูบาอาจารย์กัน

นี่ในวงกรรมฐาน ในวงกรรมฐานเขาจะเชื่อฟังกัน อาวุโสภันเต เขาจะเคารพบูชากัน แต่ถ้ามันไม่มีนิสัยมันก็แถออกไปอย่างนี้ แล้วก็บอกว่าถ้าในวงกรรมฐานเขาเคารพบูชากัน แล้วทำไมเรากัดเขาเยอะมากเลย เรากัดเขาด้วยความเคารพนะ ไอ้เรานี่กัดด้วยความเคารพ คือกัดให้เขารู้สึกตัวว่าไอ้คนที่พูดนี้ให้มีสติปัญญาบ้าง ไอ้ที่เรากัดเราก็กัดด้วยความเคารพ เราไม่ได้กัดด้วยกิเลสหรอก เราไม่ได้กัดด้วยตัณหาความทะยานอยาก เรากัดด้วยความเคารพ เอวัง