เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ พ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาโยมจะมาวัด ต้องตื่นตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กว่าจะมาวัดได้ แล้วมาวัดมาทำบุญกุศล เวลาพระออกมาบิณฑบาต ดูสิ กิจกรรมวัตรในโรงฉัน ตกเย็นขึ้นมาต้องทำความสะอาด แล้วต้องเตรียมน้ำใช้ น้ำฉัน น้ำเขียงเท้า น้ำล้างเท้า นี่คือข้อวัตรของพระ

เวลาที่โยมอยู่ที่บ้าน ก็เข้าครัวทำอาหารมาเพื่อจะมาใส่บาตร พระก็ต้องมีกิจกรรมเหมือนกัน เวลาประเคน การประเคนมันมีผล ๒ อย่าง

อย่างหนึ่งของที่ประเคนแล้ว ถือว่าโยมได้เสียสละแล้ว เพราะภิกษุหยิบของค่าเกินบาตรไม่ได้

ของที่ไม่ได้ประเคน พระฉันก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ทุกคำกลืน

แต่ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาข้าวยากหมากแพงขึ้นมา พระไปเจอผลไม้ในป่า สามารถหยิบมาได้ พอมาเจอโยม วางไว้ แล้วให้โยมประเคนให้

แต่วินัยข้อนี้พระพุทธเจ้ายกเลิกไปแล้ว บางอย่างยกเลิกไป เพราะว่าของเขาเรียกว่าบังสุกุลเอา เวลาเข้าป่านะ ถ้าเราอดอาหารจนเต็มที่แล้ว มันจะตาย เพราะไม่มีใครใส่บาตรให้ ให้ถือบังสุกุล บังสุกุลของชักขึ้นมาได้ อาหารก็ชักบังสุกุลได้ ถ้า ! ถ้าถึงคราวจำเป็น ถ้าถึงคราวจำเป็นขึ้นมา

แต่มันจำเป็นตรงไหนล่ะ เพราะธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าวางไว้อย่างนี้ แล้วเวลาคนถือปฏิบัติ มันอยู่ที่ว่าโลกวัชชะ โลกเขาติเตียน แล้วเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติแล้วไม่ได้บัญญัติ สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลก “โลก” กับ “ธรรม” อยู่ด้วยกันนะ สิ่งใดเป็นโลก สิ่งใดเป็นธรรม

ถ้าสิ่งที่เป็นโลกทำเพื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งใดเป็นธรรมเพื่อขัดเกลามัน สิ่งขัดเกลาเห็นไหม เรื่องของโลก เรื่องของโลกเป็นของคู่ ชีวิตเราเป็นของคู่ เราเกิดมามีพ่อมีแม่ แล้วเกิดมาเป็นเรา พอเกิดมาเป็นเรา มันก็มีกายกับใจ พอมีกายกับใจ ก็มีความคิดกับตัวจิต นี่เป็นของคู่ทั้งนั้น

สิ่งที่เป็นของคู่ โลกเวลาจดทะเบียนสมรสเห็นไหม จาก ๒ คนเป็นคนๆ เดียวกัน แต่ความคิดของเรากับจิตของเรา ทำไมเป็นคนๆ เดียวกันไม่ได้

เวลาทำสมาธิหนึ่งเดียวนั่นล่ะเป็นบุคคลคนเดียว แต่เวลาออกมาเห็นไหม โลก ! มีสัญญา อารมณ์ มีอารมณ์ ๒

“อารมณ์ ๒” คือพลังงานกับความรู้สึก ตัวความรู้สึกกับตัวความคิด ตัวความรู้สึกกับตัวพลังงาน คือตัวจิต ตัวความคิดล่ะมันก็เป็นของคู่

ถ้าเป็นของคู่ เราบอกว่า เวลาเราปฏิบัติกัน โดยความไม่เข้าใจของเรา เราบอกว่า “นี่มันเป็นความว่าง ! ความว่าง ! เราปล่อยเฉย เราปล่อยไม่ให้มีอะไรเลย” ทะเบียนสมรส เขาต้องจดถูกต้องตามกฎหมายนะ ถึงจะมีผลตามกฎหมาย

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธ พุทโธ พุทโธ ดวงจิตมันเป็นหนึ่ง มันเป็นหนึ่งไหม

มันไม่เป็นหนึ่งใช่ไหม ปล่อยให้มันหายไป ว่างๆ ว่างๆ มันไม่มีผลไง มันไม่มีผลเพราะมันไม่เป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิเห็นไหม บุคคล ๒ คน แล้วจดทะเบียนสมรสเป็นบุคคลคนเดียวกัน

พุทโธ พุทโธ พุทโธ นี่อารมณ์ความคิดกับความรู้สึก สัญญาอารมณ์กับความรู้สึก

พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนเป็นหนึ่งเดียว

ถ้าเป็นหนึ่งเดียว มันมีผลตามกฎหมาย ของสิ่งนั้นจะไปแจกแยกให้ใครไม่ได้ ถ้าคู่สมรสไม่ได้ยินยอม ของๆ นั้นเราไปแจกไม่ได้ มันไม่ใช่ของๆ เรา มันเป็นสินสมรส สินสมรสต้องมี ๒ คน บุคคลต้องเซ็นรับทราบด้วย ของๆ นั้นจึงเป็นของคนอื่นได้

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธ พุทโธ พุทโธ จาก ๒ คน จากสัญญาอารมณ์ กับจิตมาเป็นหนึ่งเดียว

ถ้าเป็นหนึ่งเดียวถึงเป็นสัมมาสมาธิ แต่ถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิ ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ กันไป เหมือนกับเราอยู่กันโดยไม่มีผลทางกฎหมาย เวลามีปัญหาขึ้นมา มันไม่มีผลต่อสิ่งใดตามกฎหมายหรอก มันไม่มีผล !

นี่เหมือนกัน มันไม่มีผล มันก็เป็นของคู่อยู่วันยังค่ำ เพราะของคู่มันปฏิเสธไง ปฏิเสธสัจจะความจริง ปฏิเสธหลักการ นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

“เหตุและผลรวมลงเป็นธรรม”

ถ้าไม่มีเหตุมีผล กิเลสมันไม่ยอมหรอก นี่เวลาปฏิบัติกัน อู้ฮู.. มรรคผลนิพพาน ตะครุบเอาเลยนะ ตะครุบเอา .. มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันสร้างภาพให้ตะครุบเอา แล้วมันไม่ได้หรอก

แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงนะ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกนะ ให้เทวดา อินทร์ พรหม มาค้านเลยว่าสิ่งนี้ไม่ถูก ใครก็ค้านไม่ได้ ถ้ามันเป็นความถูกต้องทั้งหมด แล้วความถูกต้องมันอยู่ที่ไหนล่ะ ความถูกต้องเป็นสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกที่ไหน จิตมันสัมผัสเห็นไหม

ดูสิ สัมมาสมาธิ ถ้าเราทำสมาธิกันไม่ได้นะ เวลาไปวัดนะ

“อย่างนี้มันเป็นสมาธิหรือเปล่าครับ”

“อย่างนี้มันเป็นอะไรครับ”

นี่ไง ตะครุบเงาไง ตะครุบเอา แต่ถ้าเป็นความจริงนะ พอมันเป็นความจริงขึ้นมา โอ้โฮ ! โอ้โฮ ! เลยนะ แล้วพูดมา เพราะมีคนไปถามครูบาอาจารย์เยอะมาก

เวลาอธิบายถึงการปฏิบัตินะ “ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูด” เพราะคนพูด มันพยายามจะพูดสิ่งที่สัมผัสมา สันทิฏฐิโก ! มันพูดออกมาไม่ได้ไง พยายามจะอธิบาย แต่คนที่มันสัมผัสแล้ว “ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูด รู้แล้ว !”

แต่ถ้าไอ้คนที่ไม่รู้นะ มันพูดเป็นนกขุนทองเลย จ้อยๆๆ เลย ไม่มีเนื้อหาสาระเลย ไม่เป็นความจริงเลย

แต่ถ้าเป็นความจริงของมันขึ้นมา สิ่งที่เป็นความจริงขึ้นมา “โลก” กับ “ธรรม” ความจริงโลกกับธรรม เราเกิดขึ้นมากับโลก เราก็อยู่กับโลก โลกกับธรรมนะ แต่ถ้าสัจธรรมนะมันเป็นในหัวใจของเรา

ถ้าสัจธรรมเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นสันทิฏฐิโก มันสัมผัสได้ มันเป็นความจริงขึ้นมาจากใจของเรา ถ้าใจมันเป็นความจริงขึ้นมา เราต้องขยันหมั่นเพียร เวลาทางโลกเขาต้องมีความขยันหมั่นเพียร แล้วขยันหมั่นเพียร ถ้าไม่มีการประหยัดมัธยัสถ์ของเขา เขาก็เก็บทรัพย์สมบัติของเขาไม่ได้หรอก

คนเราใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยนะ จะเก็บหอมรอมริบไม่ได้ เราจะหามาได้มากหรือได้น้อย เราเป็นคนรู้จักใช้รู้จักสอยเห็นไหม

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว สอนไว้ทุกอย่างตั้งแต่ฆราวาสธรรม ผู้เป็นฆราวาสควรประพฤติตัวอย่างไร เวลาประพฤติปฏิบัติควรประพฤติตัวอย่างไร เป็นฆราวาส เราขยันหมั่นเพียรของเรา ทรัพย์สมบัติของเราๆ ต้องดูแลรักษา

เวลาเป็นพระมาปฏิบัติแล้ว ข้อวัตรปฏิบัติของสงฆ์ เพราะสงฆ์ไม่มีสมบัติส่วนตัวนะ สมบัติส่วนตัวไม่มีอะไร ของใช้ของสอยก็เป็นของสงฆ์หมด ภิกษุเข้ามาในอาวาสแล้วใช้ของสงฆ์ แล้วจากไปโดยที่ไม่ได้บอก ไม่ได้เก็บ ไม่ได้ดูแลรักษา ปรับอาบัติปาจิตตีย์หมดเลย ของของสงฆ์ ที่นอน หมอน มุ้ง นี่ของของสงฆ์ นี่พูดถึงพระนะ ถ้าพูดถึงโยม เดี๋ยวโยมบอกว่า โอ้โฮ.. เป็นอย่างนั้นด้วยหรือ

ถ้าพระเอาของของสงฆ์มาใช้ แล้วจากไปโดยที่ไม่ได้เก็บซักให้เรียบร้อย แล้วไม่ได้บอกกล่าว ถ้าเรามีความจำเป็น เราจะต้องจากที่นี่ไปด้วยความจำเป็น ด้วยธุระจำเป็น แล้วเราซักไม่ทัน เราต้องบอกกล่าวกับพระองค์ใดองค์หนึ่งว่า

“นี่เป็นของของสงฆ์ ผมเอามาใช้ แล้วผมจะรีบไปด่วน ให้ดูแลรักษาให้ด้วย เก็บรักษาให้ด้วย” ต้องเก็บรักษา ถ้าไม่เก็บรักษา จากไปโดยที่ไม่ได้เก็บรักษาเป็นอาบัติปาจิตตีย์

ในสมัยพุทธกาล วัดยังไม่มี.. เหมือนสมัยหลวงปู่มั่นของเรา หลวงตาบอกว่า ไปตามหมู่บ้าน ชาวบ้านเขาจะทำแคร่ไว้ มันเหมือนวัดเลย ไปตามหมู่บ้าน ตามชายป่า ชายทุ่ง เขาจะทำแคร่ไว้ เวลาพระธุดงค์มาจะพักที่นั่น เวลาจะจากไปเห็นไหม แคร่นั้นถ้ามันยกได้ ไม่ซ้อนกัน ไม่ทำให้พ้นจากปลวก เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ภิกษุไม่มีสมบัติส่วนตน แต่เป็นสมบัติของสงฆ์

ดูสิ สมเด็จพระเจ้าตาก พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เวลากู้ชาติขึ้นมา แล้วถวายเป็นพุทธบูชา นี่ไง มันก็เท่ากับสมบัติของสงฆ์หมดแหละ สมบัติของสงฆ์ สมบัติส่วนกลางไง ถวายเป็นพุทธบูชา ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราใช้มันเป็นของกลาง ภิกษุไม่มีสมบัติส่วนตน

ในอาวาสต่างๆ เป็นสมบัติของกลาง เป็นสมบัติของสงฆ์ทั้งหมด สงฆ์มีสิทธิใช้ แต่สงฆ์ก็ต้องดูแลรักษาด้วย ถ้าสงฆ์ไม่ดูแลรักษา สงฆ์จากไปโดยที่ไม่เก็บ ไม่ดูแลรักษา สงฆ์ปรับอาบัติหมดเลย

แต่นี่เรียกร้องสิทธินะ “โอ๋... เป็นพระนะ ทุกคนต้องศรัทธานะ เป็นพระพูดแล้วทุกคนต้องเชื่อนะ” แต่พระโกหกเยอะแยะเลย โกหกทั้งนั้น ! พระโกหกเพราะอะไร เพราะโกหกตัวเองก่อน ตัวเองไม่มีศีลมีธรรม มันก็โกหกกันไป

ถ้ามีศีลมีธรรม เรากล้าพูดไหม มุสานี่ ! มันก็ผิดตั้งแต่มุสาแล้ว แล้วศีลมันไม่มี เอาศีลอะไรไปให้เขา “โยม ! รับศีลนะ”

หลวงตาบอกว่า “มันมีแต่สูญ” รับไปไม่มีหรอก ไอ้คนให้ก็ไม่รู้เรื่องอะไร ไอ้คนรับก็รับเป็นพิธีเฉยๆ

แต่ศีลขอได้ด้วยการอาราธนา เราขอศีล แล้วเราวิรัติเอา แล้วศีลเกิดจากอริยมรรค อริยผล ศีลอันนี้เป็นอธิศีล ศีลอันนี้มันเกิดมาจากใจ ถ้าใจมันเป็นความจริงแล้ว ดูความคิดเราสิ เราคิดดีคิดชั่ว เราก็รู้ใช่ไหม เราคิด เรารู้เลย กุศล - อกุศล นี่อธิศีล มันเกิดมาจากจิต

ถ้าจิตมันคิดออกนอกลู่นอกทาง มันรู้แล้ว ! มันรู้แล้ว ! เห็นไหมอธิศีล คนเราจะทำความคิดทำอย่างไร มันมาจากไหน มันมาจากความคิดทั้งนั้น ถ้าความคิดมันมีอธิศีลอยู่ของมัน กุศล - อกุศล มันรู้ของมันนะ

อย่างเรานี่รู้ไหม นี่ไง ของคู่ สัญญาอารมณ์กับความคิด กับพลังงาน เวลามันคิดออกมา เรารู้ไหม ทั้งๆ ที่เป็นของๆ เรานะ ความคิดมันมาจากไหน ? ความคิดมันลอยมาจากฟ้าเหรอ ? ความคิดมาจากคอมพิวเตอร์ไหม ? ความคิดเกิดภวาสวะ เกิดจากจิต ถ้าไม่มีตัวภวาสวะ ไม่มีฐาน ความคิดเกิดไม่ได้

ความคิดในสมองของคนอื่น กับความคิดของเราก็แตกต่างกัน ความคิดของแต่ละบุคคลมันก็ไม่เหมือนกัน ความคิดแต่ละบุคคลก็เกิดจากฐีติจิต เกิดจากปฏิสนธิจิตของแต่ละบุคคล

ปฏิสนธิจิตนั้น พุทธะ ! พุทธะตัวนี้มันได้สร้างบุญกุศลและอกุศลมา มันเกิดตามอำนาจวาสนาของมัน มันเกิดปฏิภาณไหวพริบของคนที่แตกต่างกัน จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน

พระโพธิสัตว์เห็นไหม พระโพธิสัตว์สร้างมาจากไหน สร้างพระโพธิสัตว์มา พระเวสสันดร สร้างมาจากไหน ก็สร้างมาแต่ละภพ แต่ละชาติ มาซับสมลงที่ภวาสวะ นี่ความคิดเห็นไหม มันถึงเป็นสองไง

สองคือปัจจุบันนี้ กับความคิดในปัจจุบันนี้ แต่มันย่อยสลายแล้วไปสู่ฐีติจิต มันย่อยสลายไปอยู่ภวาสวะ ย่อยสลายไปอยู่ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันได้สะสมบุญญาธิการของมันมา พระโพธิสัตว์จึงเกิดอย่างนี้ไง

ฉะนั้น ความคิดที่เกิดจากจิต ความคิดที่เกิดจากเรา แต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แตกต่างกันโดยจริตนิสัย แตกต่างกันโดยสภาวะแวดล้อม แตกต่างกันโดยกรรม แตกต่างกันโดยทุกๆ อย่างเลย ความแตกต่างอันนี้ มันถึงต้องใช้สติ สตินี้คืออริยสัจเข้าไปควบคุมได้หมด

ถ้าควบคุมได้หมด มันจะย้อนมาอยู่ในความสงบของมัน ถ้าย้อนสู่ความสงบของมัน นี่ไงเป็นธรรม สิ่งที่เป็นโลกอยู่นี่ ธรรมะก็มาจากโลกนี้แหละเห็นไหม บอกว่า สมมุติ ! สมมุติ ! ก็มาจากสมมุตินี่แหละ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมาจากพ่อจากแม่ ทุกๆ คนก็เกิดจากพ่อแม่ เกิดมาจากโลก การเกิดมาจากพ่อจากแม่ การเกิดนี้เกิดบนโลกหมดนะ การเกิดบนโลก เกิดจากวัฏฏะ สิ่งนี้เป็นโลกหมด สิ่งที่เป็นโลกเป็นสมมุติทั้งนั้น สมมุติคือวาระชั่วคราว มนุษย์ต้องมีอายุขัย นี่คือสมมุติ !

ถ้าเป็นความจริง สัจจะความจริงมันไม่เป็นสมมุติ คำว่าไม่สมมุติมันคงที่ ความคงที่ วิมุตตินี่มันคงที่ของมัน แต่คงที่ยังไง

คำว่า “สมมุติ” มันจริงไม่ได้ มันจริงชั่วคราว มันจริงแล้วเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงเขาเรียกว่าโลก

“โลก” คือความจริงโดยสมมุติ คือความจริงชั่วคราว จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่เป็นคนแก่คนเฒ่า เกิดมาแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด จริงไหม ? จริง จริงตามสมมุติไง !

นี่ธรรมะ ! ธรรมะที่จะเกิดก็เกิดจากสมมุตินี่แหละ แต่สมมุติทำให้เป็นวิมุตติ ทำให้เป็นสัจจะความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

ความไม่เปลี่ยนแปลง ความคงที่ของมัน จากสอง มีรูป ! มีนาม ! ที่ไหนมีรูป ที่นั่นมีนาม พอมีนาม มีความว่าง รูปก็หมุนไปเห็นไหม

การเกิดของวัฏฏะ มันมีรูปและมีนาม มันต้องหมุนไป “รูป” กับ “นาม” แล้วถ้าจิตมันสงบสงัดเข้ามา มันเป็นอะไร มันเป็นหนึ่งเดียว มันเป็นรูปหรือเป็นนาม มันจะเป็นรูปหรือเป็นนาม นี่มันจะสงัดของมัน มันจะเป็นหนึ่งเดียวของมัน !

ถ้าหนึ่งเดียวของมัน ถ้าความเป็นหนึ่งเห็นไหม จากของกูเป็นหนึ่ง.. เป็นหนึ่งแล้วเป็นอะไร เป็นสัมมาสมาธิ

ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าไม่ออกไปวิปัสสนา สมาธิคือสมาธิ สมาธิคือภวาสวะ คือตัวภพ คือตัวฐานของข้อมูล มันเป็นหนึ่ง แต่ความเป็นหนึ่งแล้วก็ต้องใช้วิปัสสนาออกไป วิปัสสนาเพื่อชำระมัน ถ้าไม่ชำระมัน พอมันเป็นหนึ่งแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ฤๅษีชีไพรเขาก็เป็นพระอรหันต์หมดแล้ว ฤๅษีชีไพรเป็นพระอรหันต์ไม่ได้เพราะอะไร เพราะเขาไม่มีปัญญา แล้วปัญญาเกิดจากอะไร

ปัญญาที่เราใช้อยู่เป็นโลกียปัญญา ปัญญาจากภพ ปัญญาจากกิเลส ปัญญาจากวิชชา ปัญญาที่ใช้กันอยู่นี่ แต่พอสงบเข้าไปแล้ว ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมา ปัญญาไม่ได้เกิดจากอวิชชา ปัญญาเกิดจากหนึ่ง ไม่ใช่สอง

“สอง” เห็นไหม เป็นของคู่ ระหว่างธรรมะกับกิเลส ! ระหว่างธรรมกับอธรรม ! เพราะคนเรามันต้องมีความเห็นแก่ตัวทุกๆ คน

ความเห็นแก่ตัวนี่คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทีนี้พอตรึกในธรรมะ ก็ตรึกด้วยความอยากของตัว ตรึกด้วยจินตนาการของตัว ไม่ได้ตรึกด้วยความจริง แต่พอจิตมันสงบเข้าไปมันเป็นหนึ่งเดียว มันไม่มีของคู่ ไม่มีใครมาแบ่งแยก มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เวลาถ้ามันออก มันจะเป็นโลกุตตรปัญญา คือไม่มีใครมาแบ่งมันว่าเป็นของคู่ ไม่ได้แบ่งว่าดีหรือชั่ว มันจะเป็นสัจจะความจริงที่มันหมุนไปโดยธรรมชาติของมัน

ถ้าธรรมชาติของมัน เราพาออกใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้จะเข้ามาชำระกิเลสบ่อยครั้ง ..บ่อยครั้งเข้า จากสิ่งที่เป็นวิมุตติมันเกิดจากสมมุติ สัจจะความจริงที่คงที่ มันเกิดจากความเรรวนของเรานี่แหละ เพราะความเรรวนของเรามันมีตัวใจอยู่ ตัวใจคือตัวคุณงามความดี ตัวสร้างบุญญาธิการมา

ความรู้สึก เวลาทุกข์ ทุกข์อันละเอียดก็คือทุกข์ที่หยาบๆ ทุกข์อย่างหยาบ

ทุกข์อย่างละเอียดก็คือความทุกข์ ความเศร้าหมองในหัวใจ

ทุกข์อย่างหยาบๆ คือ ความทุกข์ที่กระทบกระแสรุนแรงของโลก

ทุกข์อย่างละเอียด คือ ทุกอย่างมีพร้อมแล้ว แต่ก็ยังเศร้าสร้อยเหงาหงอยอยู่ในหัวใจ

ทุกข์อย่างหยาบ ทุกข์อย่างละเอียด ถ้าทุกข์อย่างละเอียด ปัญญาอย่างหยาบ ปัญญาอย่างละเอียด ปัญญาอย่างของจริงขึ้นไป มันเกิดขึ้นมาจากเรา ถึงว่าเป็นของคู่

โลกเป็นของคู่ สิ่งต่างๆ ธรรมะ.. มืดก็คู่กับสว่าง ทุกข์ก็คู่กับสุขต่างๆ .. เกิดมาเป็นของคู่ มีรูป ! มีนาม ! แล้วหมุนไป

แต่ถ้ามีเป็นหนึ่งเดียว เป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา แล้วสัมมาสมาธินี้ถึงเป็นฐานเริ่มต้นของพุทธศาสนา “พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” ผู้เบิกบานนั้น มีความรื่นเริง องอาจกล้าหาญในการกระทำ มันจะเกิดพุทธปัญญา มันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาอันนี้จะเข้าชำระกิเลส มันถึงเป็นธรรม

โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน นี่เป็นเรื่องของโลก เราก็ต้องใช้เรื่องของโลก ไม่ใช่พอบอกว่า เป็นเรื่องของธรรม เราทำอะไรไม่ได้เลย ธรรมก็มาจากโลกนี่แหละ ธรรมมาจากเรานี่แหละ ธรรมมาจากสุขจากทุกข์นี่แหละ ธรรมมาจากหัวใจของเรานี่แหละ ทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

ไม่ใช่ “ทำสักแต่ว่าทำ” โน้นก็สักแต่ว่า ธรรมะก็สักแต่ว่า โลกนี้เป็นสักแต่ว่า ทุกอย่างสมมุติเป็นสักแต่ว่าหมดเลย

ไอ้การกระทำเป็นสักแต่ว่าไง ไม่มีเจ้าของ ไม่มีสติ ไม่มีใครบริหาร ไม่มีใครจัดการ ไม่รับรู้อะไรเลย “สักแต่ว่า” เอาหัวเหมือนไก่ป่า มันเอาหัวซุกใบไม้ไว้ มันบอกไม่มีใครเห็นมันไง นี่ก็สักแต่ว่า โลกนี้ไม่มี แต่ตัวเราทั้งตัว ทุกข์อยู่ทั้งคน มันบอกสักแต่ว่านะ

แต่ถ้ามันทำลายจริงๆ ขึ้นมา มันเห็นจริงของมัน มันจะเป็นประโยชน์กับมัน เพื่อการประพฤติปฏิบัติของเรา นี้เรื่องของธรรม ธรรมะเกิดจากโลก ธรรมะเกิดจากสมมุติ วิมุตติเกิดจากสมมุติ เกิดจากชีวิตของเรานี่แหละ ไม่ต้องไปค้นหาที่ไหน ไม่ต้องไปวิตกวิจารณ์ว่าเราทำแล้วจะผิด

มันจะผิดจะถูกก็เริ่มต้นจากเรา สุขทุกข์เกิดจากเรา ธรรมะเกิดจากเรา ผิดก็เกิดจากเรา ถ้าถูกมันก็จะเกิดจากเรา เกิดจากการจัดการ เกิดจากการใช้สติปัญญา เกิดจากการใคร่ครวญ เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง