เทศน์เช้า

มลพิษในใจ

๘ เม.ย. ๒๕๔๔

 

มลพิษในใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันให้เราตั้งใจทำบุญนะ เราเป็นมนุษย์เกิดมานี่ประเสริฐที่สุด เราเป็นมนุษย์ เห็นไหม เรามีความคิด มนุษย์มีความคิด สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีความคิดนะ สัตว์เดรัจฉานกับเรามีชีวิตเหมือนกัน สัตว์เดรัจฉานมันก็ทำคุณงามความดี มันอยากทำของมัน มันก็ทำได้แค่นั้น เพราะว่าความคิดมันทำได้แค่นั้น แค่ประจบ

เวลาสัตว์เลี้ยงของเรามันจะเอาใจเรา มันประจบเรา มันนึกว่าเป็นความดีของมัน มันประจบ เห็นไหม มันทำความอย่างนั้นมันว่ามันเป็นความดี แล้วของเราล่ะ มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันโดนครอบคลุมไว้ด้วยการเกิดของเขา

เรานี่บุญพาเกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ต้องมีวาสนา ต้องมีศีล ๕ บริบูรณ์ ถ้าศีล ๕ บริบูรณ์ เขาเรียก “มนุษย์สมบัติ” ผู้ที่มีศีล เห็นไหม ไม่ปาณาติปาตา คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเกิดมาอายุสั้น คนไม่ลักทรัพย์เกิดมาแล้วทรัพย์สมบัติของเรา โจรมันจะเข้าบ้านเรามันก็ไปเข้าบ้านอื่นซะ มันพลาดไปพลาดมา มันคุ้มครองเรา เห็นไหม อทินฺนา ทาน กาเม สุมิจฺฉา นาร เห็นไหม มีศีล ๕ โดยสมบูรณ์

ถ้ามีศีล ๕ โดยสมบูรณ์ เราเกิดมนุษย์สมบัติ ศีลนี้มนุษย์สมบัติ ถ้าขาดศีลแล้วมันขาดมนุษย์สมบัติ จิตนี้มันต้องไปเกิดไปตายตลอด จิตนี้มันธรรมชาติของมัน มันไม่มีที่สิ้นสุด มันต้องไปธรรมชาติของมัน เห็นไหม สสารของธาตุรู้ไม่มีวันที่สิ้นสุด มันต้องเกิดดับเกิดดับตลอดไป

เกิดดับ... ขณะเกิดดับมา เราเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม พบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนให้ให้ทาน ให้ทำบุญกุศล ทำบุญกุศลนี่เราได้เกิดมนุษย์สมบัติต่อไป

มนุษย์สมบัติมันสำคัญตรงไหน? สำคัญกว่าสัตว์เดรัจฉานตรงมีปัญญาไง มีปัญญาใคร่ครวญ มีปัญญาทำคุณงามความดี สิ่งที่ละเอียดอ่อน เห็นไหม ไอ้แค่การไปหาพระแล้วถวายอาหารนี่เหรอ อันนี้เป็นบุญกุศลมากเหรอ?

เป็นบุญกุศลมากสิ...ทาน เห็นไหม ทานนี่มันออกมาจากใจ ใจนะ บ้านที่มันสกปรก บ้านที่ว่าอากาศอับชื้น คนเข้าไปในบ้านอับชื้นนั้น ความเป็นอยู่มันจะสุขสบายไหม?

หัวใจที่อับชื้นไง หัวใจที่หมักหมมด้วยความคิด หมักหมมไว้ในหัวใจ ทานนี่มันออกมาแสดงอย่างนั้น ทานเป็นสื่อออกมา เห็นไหม การจะไปให้ทาน มันเหมือนกับเปิดประตูเปิดหน้าต่างให้โล่ง ให้อากาศถ่ายเทออกไป พออากาศถ่ายเทออกไป ความตระหนี่ถี่เหนียว ความคิดความเห็นแก่ตัวมันเป็นมลพิษในหัวใจ มันอับไว้ในหัวใจ เราเปิดประตูเปิดหน้าต่างออกไป มลพิษนี้มันออกไป อากาศก็โล่ง อากาศก็สบาย นี่การให้ทาน การเปิดประตูออกไป เห็นไหม การให้ทาน มลพิษมันจะออกไปจากหัวใจ

พอหัวใจมันเริ่มสุขเริ่มสบายขึ้นมา มลพิษในหัวใจมันเริ่มน้อยลงๆ พอน้อยลงๆ เริ่มจะมาให้ทานให้บุญกุศลเกิดขึ้นโดยธรรมชาติโดยอัตโนมัติ เราว่ามันสำคัญขนาดไหน สำคัญที่หัวใจมันปลอดโปร่ง หัวใจมันอับชื้น หัวใจมันพ้นจากมลพิษ มันเป็นความสุข แต่เราไม่เข้าใจเพราะมันเรื่องของหัวใจ มันละเอียดลึกซึ้ง ธรรมะนี้มันถึงละเอียดมาก ลึกซึ้งมาก กว้างขวางมาก แล้วเราไม่สามารถจะค้นคว้าได้ ไม่สามารถเห็นได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม แล้วถึงเอาอันนี้มาเผยแผ่ไง ของเราทำได้ กันแค่ระงับนะ ทำความสงบนี่มันแค่ระงับหัวใจไว้เฉยๆ มันระงับ มันไม่ได้ชำระกิเลสหรอก แล้วมันก็เวียนตายเวียนเกิด เห็นไหม มันชำระความเกิดความตายไม่ได้ ความเกิดความตายมันละเอียดอ่อนจนว่าเราต้องมีความคิด ความระงับดับไปของความคิดของเรา เห็นไหม มันทำความสงบเข้ามาของใจ

ถ้าใจมันสงบเข้ามาแล้ว มันถึงจะมีโอกาสเข้าไปค้นคว้าไง สัตว์มันประจบสอพลอ มันก็แค่ไอ้ระงับความดี ระงับหรือว่าเป็นอารมณ์ความรู้สึกของมันว่ามันประจบสอพลอเพื่อเอาใจเจ้าของ เพื่อให้เจ้าของให้รางวัลกับมัน ถ้ามันได้รางวัลมันก็ดีใจ มันดีใจนะ ความดีของสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานเกิดมาได้ขนาดนั้น

อย่างไอ้พวกวัวพวกควาย เห็นไหม เวลาเขาทำการทำงาน เขาโดนบังคับใช้โดยหน้าที่ของเขา เขาต้องลากแอกลากไถไป แล้วเขาก็พยายามทำคุณงามความดี ทำเพื่อเอาใจเจ้าของ เพื่อให้เจ้าของให้รางวัลเขา ความดีของเขาได้ขนาดนั้น แต่เขาก็ทำความดีเพื่อจะเอาความสะดวกสบายของเขาเท่านั้นเองนะ เสร็จแล้วเขาก็ต้องโดนฆ่าไป เห็นไหม เวลาโดนฆ่าไป เขารู้สึก เขามีความรู้สึกนะ แต่รู้สึกได้แค่นั้น

แต่ปัญญาของคนมันเข้าไปถึงความสงบของใจได้ ให้ทาน ทำทาน มีรักษาศีล เข้าใจสมบัติของตัวไง อย่างเช่นการทำบุญวันเกิด เกิดมาจากอะไร เกิดมาจากคุณงามความดี เห็นไหม ทำบุญวันเกิดนะ ในศาสนานั้นประเสริฐนะ ทางตะวันออกนี่ประเสริฐมาก ประเสริฐเพราะอะไร? มันเอาเรื่องหัวใจเป็นหลักไง

แต่ถ้าทางภาคทางอื่นไป เขาจะเอาเรื่องวัตถุ เรื่องความเห็นใจเขาก็พูดของเขาแค่ศีลธรรม ความเห็นศีลธรรมของเขาก็ทำความดีขนาดนั้นไง แต่ในทางตะวันออกของเรา มันเอาหัวใจเป็นหลักคือว่าขนาดเป็นศีลธรรมแล้ว ยังมีความเมตตาเจือจานกันนะ แล้วมันเข้าถึงหัวใจไง ถ้ามันเข้าถึงหัวใจ มันเห็นช่องทางดับไปของอวิชชา ของความขุ่นเคืองใจ ความระงับของใจมันระงับได้ชั่วคราว พอระงับได้ชั่วคราว จะทำอย่างไรให้มันสิ้นไป สิ้นไปถึงการเกิดและการตายนะ นี่ในศาสนาพุทธนี้เท่านั้น ถึงว่าดับถึงสิ้นการเกิดและการตาย ไม่นับถือพระเจ้าต่างๆ ไม่นับถือใดๆ ทั้งสิ้นเลย ให้นับถือตัวเองเป็นใหญ่

เวลาเรารักตนๆ นะ เรารักตน เราว่าเราจะหาสมบัติให้ตน แล้วเราก็พยายามหาสมบัติมา หามลพิษมาให้ใจ ให้ทับถมใจอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราเริ่มชะล้างของเราออกไป พระเจ้าก็เกิดจากเรานี่แหละ

ใจนี่ เห็นไหม มนุสสเปโต มนุษย์นี่เป็นเปรต กายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นเปรต มนุสสเดรัจฉาโน เห็นไหม หัวใจความคิดเหมือนสัตว์เดรัจฉานเลย แต่หัวใจเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าบอกเลย “มนุษย์ ๑๐ อย่าง” อยู่ในว่าเราจะเป็นมนุษย์ในอะไร ถ้าจิตใจเป็นเทวดา มันก็เป็นเทวดาในขณะที่ร่างเป็นมนุษย์ แต่เราก็เป็นเทวดาเพราะหัวใจประเสริฐ

แล้วหัวใจประเสริฐ ถ้าปัจจุบันประเสริฐ มันดับลงไปเดี๋ยวนี้ เวลามันตายไป ใจดวงนี้มันออกจากไป หัวใจมันประเสริฐ มันสวมสมบัติที่ว่าเป็นมนุษย์เป็นเทวดาอยู่ในหัวใจแล้ว หัวใจนี่จะไปเกิดเป็นอะไร? ก็ต้องเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพระเจ้า เกิดเป็นสิ่งต่างๆ ใจดวงนี้มันเป็นเสียเอง แล้วมันก็มีเวลาของมันที่จะเป็นไป มันจะหมุนเวียนไป หมุนเวียนของมันออกไปนะ ใจนี้หมุนเวียนออกไป นี่มันถึงคุณงามความดี มันก็พาเกิดพาตายสิ่งที่ดี เห็นไหม

เราไม่สามารถชำระกิเลสได้ ใจดวงนี้มันต้องแสวงหาไป เราก็ต้องมีสมบัติให้กับใจดวงนี้ไปเรื่อยๆ ใจดวงนี้ไปเกิดดีขึ้นมา พอเกิดดีขึ้นมามันก็มีคุณสมบัติเป็นที่อยู่อาศัยของใจดวงนั้นไป แต่ถ้ามันเกิดไม่ดีล่ะ แล้วถ้าเกิดไม่ดีมันเกิดไปเพราะอกุศล

แล้วถ้าเกิดไม่ดี เราไม่ต้องไปห่วงใคร เราห่วงตัวเราเอง สัตว์โลกทั้งหมดเลยที่เขาไม่เชื่อเวรเชื่อกรรมมีมหาศาล เขาต้องไปตามการกระทำของเขา กรรมนั้นให้ผลแน่นอน ทำที่ไหนก็แล้วแต่ เราทำบุญหรือทำบาปแล้ว เราจะหนีไปอยู่ดาวอังคารจะหนีไปไหนนะ ไอ้นี่มันเป็นวัตถุเวลามันมีร่างกายหนีไป

แต่เวลามันดับขันธ์ปั๊บ หัวใจมันจะหนีไปไหน หัวใจมันตามกระแสของกรรมที่มันเป็นไป มันจะหนีไปไหนไม่ได้เลย กรรมนั้นบังคับทันทีเลย แล้วเขาทำของเขาไป เราทำคุณงามความดี เราทำบุญกุศลของเรา มันมีส่วนน้อยไง มันมีส่วนน้อยในทำคุณงามความดี

คุณงามความดีนี้เป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสมันใช้แล้วหมดไป มันหมดไปตามที่ว่าเวลามันใช้มันหมดไป เห็นไหม มันเหมือนกับที่ว่าเราเกิดเป็นเทวดาเกิดอะไรอยู่ในวัฏฏะ มันวนไปไง พระพุทธเจ้าสอนถึงการไม่เกิดและไม่ตายเลย

ถ้าไม่เกิดไม่ตาย มันจะมีประโยชน์อะไรกับหัวใจดวงไหน? มันจะมีความสุขได้อย่างไร?

ความสุขมหาศาล...ความสุข...เราเห็นแต่ความสุขว่าเราพอใจ เป็นอามิสทานนี่เราเห็นนะ เพราะมันหยาบไง เราได้สมบัติมา ได้ของมานี่พอใจเรา เราก็มีความสุข ไอ้นี่เป็นความสุขของเรา เราได้อย่างนั้นมามันเป็นอามิส เห็นไหม มีความสุข แต่ความสุขการแสวงหา กว่าจะได้ความสุขอันนี้มา มันทุกข์ขนาดไหน

มันทุกข์แต่เราไม่เห็นความทุกข์ เพราะเราพอใจ เราพอใจมันเลยบังทุกข์ไว้ไง ว่าเราพอใจ เราแสวงหามาเพื่อประโยชน์ของเรา เราทำได้ ไม่เห็นว่าทุกข์เลย แต่ถ้าเราโดนคนอื่นบังคับใช้งาน เราจะมีความทุกข์ไหม? ความทุกข์จะเกิดขึ้นทันทีถ้าเราทำงานโดยที่สมบัติไม่ใช่เป็นของเรา ของคนอื่นเราทำงาน อันนี้มันจะเป็นความทุกข์

มันก็มีเป็นความทุกข์เหมือนกัน แต่เพราะความหลง สิ่งที่เราหลงไปว่าอันนั้นเป็นความสุข เพราะมันต้องการปรารถนาเอามาเป็นของเรา มันแสวงหาออกมา งานอย่างนั้นมันก็แสวงหามาเพื่อเรา เพื่อของเราๆๆ ทั้งหมดเลย เพราะเพื่อเรามันก็สะสมมา

ถ้ามันเห็นถูกมันก็เอาบุญกุศลมาให้เรา เห็นไหม ถ้ามันเห็นผิดล่ะ? ทำไม่สมประกอบของเรามันจะต้องออกทางทุจริต พอออกทางทุจริต เห็นไหม สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหยื่อล่อให้เรา เห็นไหม พระพุทธเจ้าบอกเลย “ปลาตายเพราะเหยื่อ” เหยื่อเพราะความอยากได้สิ่งนั้นมาเพื่อประดับเกียรติ จะได้มาทางทุจริตหรือสุจริตก็ไม่แล้วแต่ ต้องหาสิ่งนั้นมา อันนั้นก็เป็นเหยื่อ

เรากินเหยื่อเข้าไป เบ็ดมันก็เกี่ยวปากเรา เพราะหาสิ่งนั้นมาด้วยทางทุจริต มันก็จะได้สิ่งนั้นมา ได้สมบัติมา แต่กรรมที่ตามมานั้น เบ็ดที่เกี่ยวกับปากดวงนั้น เห็นไหม แล้วถ้าตายไปมันจะไปไหน? มันก็ต้องไปตามเบ็ดที่เกี่ยวไว้แล้ว เบ็ดมันเกี่ยวเอาไว้เลย กรรมมันเกี่ยวหัวใจไว้เด็ดขาด ไม่ไปไหนเลย

สิ่งนี้มันเป็นว่าถ้าเราฉลาด เรามาฟังธรรม ธรรมจะเรื่องสิ่งนี้ให้เรา เราจะมีสิ่งนี้ประดับหัวใจของเรา มันจะเป็นไปได้ ถ้าเรามีธรรมประดับใจ มีปัญญาเข้าในหัวใจ สิ่งนั้นเราอดออมเอาไง ถ้ามันแสวงหาในทางสุจริต อันนี้เขาเรียกบุญกุศล อำนาจวาสนาบารมีของคนไม่เหมือนกัน

การทำธุรกิจ การประกอบการงานต่างๆ นี่ประกอบเหมือนกัน บางคนประสบความสำเร็จ บางคนทำขนาดไหนก็ไม่ประสบความสำเร็จ วาสนานะ จังหวะและโอกาสของเขาไม่ถึง เห็นไหม อำนาจวาสนาบารมีของเขาไม่มี เขาทำแล้วเขาไม่ได้ อันนั้นเรื่องของเขา

ถ้าเราทำได้เราไม่ปฏิเสธ ถ้ามันได้มาโดยสุจริตโดยธรรม อันนี้เป็นอำนาจอันกรรมดีของเราสะสมมา มันเป็นไปธรรมชาติไง ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยอันนี้ไม่ใช่กิเลส แต่ถ้ามันไม่ได้มาแล้วเราพยายามขวนขวาย พยายามดีดดิ้น พยายามจะให้ได้มา มันทุกข์ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เห็นไหม อันนั้นสิ่งนั้นที่ไม่ได้มานะ อันนั้นเป็นกิเลสเพราะเราดีดดิ้น มันสะสมมาแล้วมันเจ็บปวดมาก

กิเลสคือว่ามันไม่ตามความเป็นจริง ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นจริงแล้วมันเกิดขึ้นโดยธรรมของมัน อันนี้ถึงว่าเป็นบุญกุศล แล้วมันได้ของมาเราก็หาของเราเข้ามา นี่สะสมอันนี้เป็นอามิส แล้วมันก็ใช้หมดไป เพราะมันใช้หมดไป ถึงเวลาพลังงานมันหมดมันก็ต้องหมดไป มันเป็นอามิสไป

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจขึ้นมา เห็นไหม ปัจจัตตัง จิตที่สงบจากสิ่งนั้น มันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นมาโดยหัวใจ หัวใจมันอิ่มเต็มของมันเอง ถึงเมืองพอไง ถึงเมืองพอ จิตมันตั้งมั่น วัตถุเครื่องอยู่อาศัยเป็นเครื่องอยู่อาศัย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นเรือนของใจขึ้นมา เราสร้างขึ้นมาได้แล้ว มันเป็นเรือนใจของเราขึ้นมา อันนี้เป็นสัมมาสมาธิเฉยๆ นี่กิเลสระงับระงับอย่างนี้ มันระงับเฉยๆ ยังไม่ได้กำจัด

พอระงับแล้วเราถึงว่าค่อยกำจัดมัน ยกขึ้นวิปัสสนาในที่เดิม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม หัวใจประเสริฐขึ้นมาเกิดจากร่างกายที่สกปรกโสมมนี่แหละ ถ้าเราค้นคว้าในร่างกายในความสกปรกโสมมขึ้นมา มันจะทิ้งร่างกายนี้ คนเราปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางทิฏฐิมานะ มันจะไม่ทำความชั่วหรอก เพราะมันปล่อยมานะทิฏฐิ ปล่อยความเห็นแก่ตัว ใครจะว่าอย่างไรมันก็ไม่เจ็บปวด

ถ้าคนเรามันจะไม่พอใจ เขาบอกเพราะตัวตนนี่สำคัญที่สุดเลย ตัวตนของเรามี กระทบตัวตนของเรา เรากระทบตัวตนของเรา เราก็ต้องพยายามจะหาสิ่งนั้นมาตอบแทน เห็นไหม มันเบียดเบียนกัน มันเริ่มทุจริตออกไปจากหัวใจตรงนี้ ตัวตนในใจนั้นไม่มี ตัวตนไม่มี สิ่งที่กระทบไม่มี อะไรผ่านมามันว่างไปหมดเลย เห็นไหม ชำระกิเลสด้วยวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นอย่างนั้น

ในศาสนาพุทธของเรามีอย่างนี้ แล้วเราเป็นชาวพุทธ พบพระพุทธศาสนา เกิดเป็นมนุษย์นี้บุญกุศลมาก พบพระพุทธศาสนาด้วย แล้วพระพุทธศาสนาในการเจริญรุ่งเรือง ในการประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติเพื่อจะออกจากกิเลส ไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติเพื่อให้กิเลสมันสุมหัวในหัวใจของเราขึ้นมาอีก ฉะนั้นเราถึงว่าเราเป็นคนประเสริฐไง

วันพระ สร้างพระขึ้นมาในหัวใจขึ้นมาให้ได้นะ วันนี้วันพระของเรา ถ้าเราทำบุญกุศลขึ้นมา บุญกุศลของเรา ใจปรารถนาสร้างเอง แล้วมันก็เป็นผลของตัวเอง เห็นไหม ถึงว่า “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ตนมีความพอใจ ตนอยากค้นคว้า ตนอยากกระทำ ตนเป็นคนเปิดประตูเปิดหน้าต่างออกไป อากาศจะถ่ายเทเข้ามาในหัวใจของเรา

ถ้าตนเราไม่เปิดออกมา เห็นไหม ที่ว่าทำบุญกุศลเหมือนกันแล้วไม่ได้บุญ ใหม่ๆ พ่อแม่ต้องพยายามพาลูกมา ลูกใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยอยากมา หรือมาก็มาด้วยความบังคับ เห็นไหม ด้วยความบังคับมันเปิดประตูแง้มๆ มันเปิดไม่หมด เห็นไหม บุญกุศลถ้าไม่ถึงกัน

“ศรัทธา ความเชื่อ” ถ้าความเชื่อมีมากขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงธรรม เห็นไหม เวลาผู้ที่เข้าใจแล้วเปรียบเหมือนกับหงายของที่คว่ำอยู่ ภาชนะที่คว่ำอยู่ ฝนตกเท่าไหร่น้ำฝนนั้นจะไม่เข้าภาชนะนั้นเลย ถ้าเราหงายภาชนะนั้นขึ้นมา เห็นไหม ฝนตกขึ้นมาภาชนะนั้นขึ้นมา

หัวใจเราเหมือนกัน ใหม่ๆ เราโดนบังคับมา โดนพ่อแม่บังคับมา เราโดนคนดึงมาชวนมา อันนั้นมันยังไม่เปิดไม่หงายไง แต่ถ้าเราพอใจ เราหงายของเราขึ้นมาเอง สิ่งนี้มันจะตกผลึกในหัวใจของเราทั้งหมด หงายภาชนะขึ้นมา เปิดหัวใจให้กว้าง

เวลาครูบาอาจารย์แสดงธรรม เราฟังไว้ พระพุทธเจ้าบอก กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้เชื่อแม้เป็นอาจารย์เรา ไม่ให้เชื่อเพราะการจดจำมา ไม่ให้เชื่อ...ไม่ให้เชื่อ...ให้เราพยายามปฏิบัติ ให้เราค้นคว้าลงไปที่ในหัวใจของเรา ให้เราพิจารณาพิสูจน์กันในหัวใจเลยว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงไหม?

ถ้ามันเป็นอย่างนั้นไม่จริง ๒,๕๔๔ ปีนี่ยืนหยัดมาได้อย่างไร? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วสอนออกไป แล้วอัครสาวกรู้ตามไปๆ ไม่มีใครไปค้านองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้แต่คนเดียว แม้แต่องค์เดียวที่ไปค้านองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าสอนผิดนะ

นี่มันมีพระพุทธเจ้าสำเร็จไปแล้วเป็นองค์แรก แล้วยังมีผู้ตามไปอีกทั้งหมด มันถึงเป็นเรื่องของความจริง เราพิสูจน์ขึ้นมาได้ ถ้าเราพิสูจน์ขึ้นมาจะเป็นสมบัติของเรา เป็นสมบัติของเราก็เป็นพระในหัวใจของเรา เราสร้างพระขึ้นมาได้สมใจเรา เอวัง