จิตพร่อง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
จิตของคนประเสริฐที่สุด ดูอย่างทางโลกเขานะ เขาจะให้เหรียญตรากัน ถ้าการได้เหรียญตราเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เห็นไหม คนดีเขาถึงได้เหรียญตรา ได้รางวัล แต่พอได้รางวัลขึ้นมา พอมันเป็นวัตถุขึ้นมา คนเรามันก็มีการหาทางลัด หาทางแบบว่าเล่นกันทางไอ้นั่นไป นั่นน่ะเพราะอะไร เพราะเหรียญตราเป็นเครื่องเชิดชูไง เหรียญตราเป็นเครื่องเชิดชูว่า คนนี้มีคุณงามความดี แต่ทางโลกเรา เราก็ยังแบบว่าทุจริตได้
แต่ถ้าเป็นทางหัวใจนะ ทางธรรมนะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำความดีเอง คนถ้าเขาทำทุจริตเอาไว้ สุดท้ายแล้วเขามีความทุกข์ร้อนในหัวใจของเขานะ เขาไม่มีความสุขหรอก เขาปั้นหน้าได้ เราเห็นบ่อย พระด้วยกัน เวลาเขาภาวนาไม่เป็นนี่ เขาทำเหมือนว่ามีความสุขของเขา เวลาคุยกัน แต่ลับหลังเขานั่งคอตก เราเห็นบ่อยๆ เลย เห็นมากเลย
เวลาเราไปอยู่คนเดียว มันมีความทุกข์ของเราคนเดียว เห็นไหม อันนี้เพราะอะไร เพราะจิตบกพร่อง จิตพร่องจากความดี จิตบกพร่อง จิตไม่มีสติสัมปชัญญะ เราถึงว่า ต้องทำทานไง กระแสของกรรม กรรมทำให้คนคิดทำแต่สิ่งที่ว่ารวบรัดไป คิดว่าทำในที่ลับแล้วไม่มีใครรู้ไง ทำที่ลับที่แจ้งมีโทษเหมือนกันหมด ไฟ เกิดในที่ลับในที่แจ้งก็มีโทษเหมือนกันหมด ทีนี้ว่าตัวเองคิดว่าตัวเองทำในที่ลับ พอตัวเองทำในที่ลับแล้วจะไม่มีใครรู้ แต่ตัวเองก็มีความรับรู้อยู่คนเดียว
เวลาออกมาสังคม เห็นไหม ถึงว่า ศีล ทำให้องอาจกล้าหาญ เข้าสังคมไหนก็เข้าสังคมนั้นได้ เพราะมีศีลอยู่ แต่ถ้าศีลเราบกพร่อง เราเข้าสังคมไหนเราก็เข้าด้วยความไม่มั่นใจ เพราะเรามีความผิดอยู่ข้างหลัง เห็นไหม นี่จิตบกพร่อง ถึงต้องมา
เราทำทาน ทาน การให้นี่ให้ต่างๆ อามิสทาน เพื่อให้ใจอิ่มเต็มไง ใจอิ่มเต็มมีสติสัมปชัญญะ เพราะอะไร ฟังสิ จิตบกพร่องมันต้องการหามาเติมใจมันให้เต็ม แต่มันไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอาหารของใจไง
บุญกุศลนี้เป็นอาหารของใจ พระพุทธเจ้าถึงให้พระบิณฑบาตตอนเช้า พระพุทธเจ้าวางไว้ พุทธวิสัย เห็นไหม พุทธจริต แล้วก็วางไว้ว่าตอนเช้านี่ พุทธวิสัย กิจ พุทธกิจ ๕ พระทำอะไรบ้าง แล้วสาวกะก็เดินตามกันมา เช้าขึ้นมาให้เราได้ทำบุญทำทานขึ้นมา ให้จิตมันอิ่มเต็มไง จิตมันอิ่มเต็ม จิตก็เป็นปกติ เห็นไหม เหมือนมีศีล ศีลทำให้จิตนี้ปกติ
นี่จิตบกพร่อง มันถึงว่าต้องการหามาให้เต็ม แต่หามาในความแสวงหาของกิเลส ความคิดของกิเลส มันต้องการความเชิดหน้าชูตาของมันโดยที่ว่า มันหาสิ่งอะไรที่ว่าทุจริตมาใส่ใจ เพื่อจะให้มันเต็มขึ้นมา...มันเต็มไปไม่ได้ ของนั้นมันเป็นของทุจริต ถึงว่าเหรียญตราที่เขาทุจริตกัน เห็นไหม
อันนี้ก็เหมือนกัน แต่เวลาเราทำทานนี่ ถ้าเป็นหญ้าปากคอกนะ เราเห็นว่าเป็นของง่ายๆ ทำง่ายๆ ที่สละออกไปนี่ทำไมทำกันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องปกติของใจไง เรื่องปกติก็เรื่องสละออกไป มันจะทำให้ใจเรามันเย็นขึ้นมาเองโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นอาหารของใจโดยปกติ อาหารของใจ การสละออกไป ใจคิดสละออกไป
แต่การทุจริตนั้น ใจแสวงหาเข้ามา เพราะมันบกพร่อง มันต้องการสิ่งนั้นให้เต็ม นี่ความคิดของโลก แต่การสละออกไปคือการได้มา เจตนาที่สละทานออกไป ความสละออกไปนั้น ความอิ่มใจ เห็นไหม ปีติสุขเกิดขึ้น นี่มันจะเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมชาติจะย้อนกลับเข้ามา ถ้าเรามองตรงนี้ คนมองข้ามตรงนี้ไป มองข้ามกันที่ว่าการให้นั้นเป็นสิ่งที่ให้ที่วัตถุ แต่ไม่ได้มองที่การให้เป็นค่าของน้ำใจด้วย ค่าของน้ำใจ ใจคิดออกมา เห็นไหม ถึงคิดออกมา เจตนาตั้งขึ้นมา เราถึงได้ทำบุญทำกุศลได้ ถ้าไม่เจตนาตั้งขึ้นมา อะไรจะพาให้ออกมาทำ สิ่งที่ออกมาทำนี่ อาหารนะ ดูสิ ที่ร้านค้านี่เต็มยุ้งเต็มฉาง มันก็กองอยู่นั่นน่ะ มันมาเองไม่ได้
แต่เวลาเราทำบุญกุศลกัน ถ้าอย่างทางทุจริตเขาจะมองเลยว่า ของสิ่งนั้นมีราคา เราควรจะเก็บสงวนรักษาไว้ เห็นไหม เขามองคุณค่าของของนั้น แต่ทางศาสนามองคุณค่าของใจ ใจถึงวิเศษสุด ใจนี้วิเศษมาก พอใจวิเศษมาก ใจคิด ใจดีดดิ้น นั่นเป็นความบกพร่องของใจ ความแสวงหา การสละออกไปมันทำให้ใจอิ่มเต็มขึ้นมาด้วยสติสัมปชัญญะ พอใจเต็มขึ้นมา ใจปกติ พอใจปกติขึ้นมามันก็เริ่มออกไป เห็นไหม
ที่ว่า นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ความสว่างของปัญญานี่สามารถชำระกิเลสได้ การทำทานอันนี้เพียงแต่สร้างฐานของเราให้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์เราขาดตกบกพร่อง เห็นไหม มนุษย์เราขาดตกบกพร่องมันก็คิดแสวงหาไป จนเสียสติเสียสัมปชัญญะ เดินตามทางไปน่ะ มนุษย์เหมือนกัน แต่ขาดสติ พอขาดสติขึ้นไป จิตมีอยู่ จิตกับกายมีอยู่ แต่เป็นคนบ้าคนบอเดินอยู่กลางถนนนั่นน่ะ นี่จิตเฉยๆ ไม่มีสติสัมปชัญญะ
เรามีสติสัมปชัญญะ ระลึกได้อยู่ จะทำบุญกุศลอย่างไร จะมีเจตนาทำดีขนาดไหน นี่ใจอิ่มเต็มเข้ามา พอใจอิ่มเต็มเข้ามามันก็เริ่มมีปัญญา ปัญญาหยาบๆ ขึ้นมา แต่ปัญญาการชำระกิเลส เห็นไหม กิเลสนี่ทำให้เราทุกข์ยาก กิเลสทำให้เราลำบากเดือดร้อน ปัญญาตัวนี้ต่างหากถึงจะเป็นปัญญาตัวที่ว่า ปัญญาที่เป็นความแสงสว่างแห่งปัญญา
ปญฺญา อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ
เวลาธรรมจักรหมุนขึ้นไป ความหมุนเข้าไป นี่มันหมุนเข้ามา เป็นปัญญาหยาบๆ ขึ้นมาก่อน แล้วปัญญาละเอียดเข้าไปๆ ปัญญานี้ไปแก้จิต เห็นไหม เริ่มต้นจิตทำให้อิ่มเต็มด้วยตัวของมันเอง ต้องทำให้อิ่มเต็มก่อน ถึงสมประกอบขึ้นมา พอจิตนั้นสมประกอบขึ้นมา เราจึงควรแก่การงาน จิตไม่สมประกอบอยู่ มันพร่องอยู่ มันหา มันก็หาสิ่งที่เป็นความทุจริตมาให้พร่อง เห็นไหม จิตพร่องอยู่นี่ มันไม่บริบูรณ์ พอไม่บริบูรณ์มันจะเดินนะ
สัมมาสมาธิ จิตนี้เป็นเอก จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้ตั้งมั่นถึงควรแก่การงาน นี่สมถกรรมฐานสอนอย่างนั้น พอสอนอย่างนั้นก็ยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนานี่ต้องใช้ปัญญาอย่างเอกเข้าไปอีก ปัญญาอย่างนอกคือปัญญาคิดเข้ามาเฉยๆ คิดเอาตัวให้เราเข้าไปในกระแสนะ ความคิด เพราะสุตมยปัญญา ความเชื่อไง ศรัทธาความเชื่อขึ้นมานี่ เราเชื่อขึ้นมา เราเข้าไปใกล้ธรรมะ เราเข้าไปใกล้ธรรม ฟังธรรม แล้วพยายามปฏิบัติธรรม ใกล้ธรรม ใกล้ที่ไหน ใกล้ที่หัวใจนะ หัวใจสัมผัสธรรม หัวใจเข้าใจ พอศรัทธามันก็มุ่งมานะให้เราออกมาก็ได้ ความมุ่งมานะออกมา นั่นศรัทธาความเชื่อ
แต่เวลาเข้าไปสัมผัสความสงบของใจนั้นสัมผัส นี่ใกล้ธรรมเข้าไปเรื่อย ถ้าวิปัสสนามันจะเกิดขึ้น มันพอใกล้เข้าไป วิธีการ เห็นไหม การก้าวเดินไป ถนนหนทางมันมีทางแยกทางแพร่งให้เราเดิน ก้าวเดินว่าจะเข้าแยกไหน ซอยไหน จิตนี้เวลาวิปัสสนาขึ้นไปมันก็เหมือนกัน เวลามันปล่อยวาง มันปล่อยวางอย่างไร มันเป็นทางแยกทางแพร่งขึ้นมา มันถึงมีสัมมาไง มีมิจฉาทุกอย่าง เห็นไหม การงานชอบ สัมมา มีมิจฉาไปด้วย การงานชอบกับการงานผิด วิริยอุตสาหะชอบกับวิริยอุตสาหะผิด มรรคนี่มีมิจฉากับมีสัมมาขึ้นไปตลอด ความมีสัมมานี่มันจะเข้ามาสัมผัสที่ใจ
แต่ในเมื่อพื้นฐานของหัวใจเรามีสิ่งที่เป็นกิเลสอยู่ สิ่งที่กิเลสก็คือความเห็นแก่ตัว เห็นไหม นี่เล่ห์เหลี่ยมเทคนิคของกิเลสมันจะพลิกแพลงให้ความคิดของเราเห็นว่าสิ่งนั้น คือว่าให้เราก้าวเดินเข้าไปไม่ถึงจุดอิ่มเต็มนั้นไง จุดอิ่มเต็มที่ว่าจิตนี้ปกติขึ้นมานั้น จิตนี้ปกติขึ้นมา แต่จิตนี้มันมีการเกิดการตายมา เห็นไหม การเกิดการตายสะสมมาของใจนี่ กระแสของใจมันสะสมมา ความสะสมมามันไม่เท่ากัน ความไม่เท่ากัน จริตนิสัยถึงแยกแยะต่างกัน
ความผิด ถ้าแยกแยะต่างกันด้วยจริตนิสัย อันนั้นไม่ผิด ไม่ผิดหมายถึงว่า จริตนิสัยต่างๆ การเข้าไปนี่มันไม่ผิด ไม่ผิดในการก้าวเดินไง แต่การถึงจุดนั้นน่ะ มันผิดเพราะว่า ถ้าจะผิด ผิดเพราะกิเลสมันเสี้ยม นี่เล่ห์เหลี่ยมของกิเลส เหลี่ยมคูของกิเลสทำให้เราเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เป็นจุดหมายเป้าหมายแล้ว แต่ถ้าเป็นเป้าหมายแล้วมันจะอิ่มเต็มไปคนละอย่าง ความอิ่มเต็มมาจากข้างล่าง ความอิ่มเต็มข้างล่างเราคิดว่าอันนั้นเป็นอิ่มเต็ม มันมีพื้นฐานขึ้นมาใช่ไหม พอจิตมันอิ่มเต็มที่สูงกว่า มันเข้าใจว่าอันนั้นเป็นผล...มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่สามารถแทงทะลุได้ไง
ถ้าปัญญานี้ เห็นไหม นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภานี่ ความสว่างแทงทะลุ แทงทะลุจนไม่มีเงาไง ไม่มีเงา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมที่มันจะหลอกลวงได้ในหัวใจนั้น อันนั้นน่ะปัญญาแทงทะลุ ถ้าแทงทะลุไปมันจะเวิ้งว้าง มันจะมหัศจรรย์ต่างกันขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง นั้นถึงว่าเป็นปัญญาที่ว่าชำระกิเลส ปัญญาอย่างเราสร้างสมบุญกุศล นี่จิตบกพร่องมันจะเต็มขึ้นมาเรื่อยๆ เราไม่ใช่ว่าจะต้องใช้ปัญญาตัวนั้น ต้องวิปัสสนาทั้งหมด
เราจะวิปัสสนา นี่มันเริ่มก้าวเดิน เป็นงานของผู้ใหญ่ จิตนี้ยังเป็นเด็กอยู่ ยังต้องก้าวเดินอยู่ ต้องอาศัยความศรัทธาความเชื่อ เราก็เห็นว่าความบกพร่องของใจ ใจนี้พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่เคยเต็มเลย พอไม่เคยเต็มเลยมันก็สั่นไหว พอมันสั่นไหวนี่เสียงมันดังโครมคราม เวลามันเกิดอารมณ์ขึ้นมาในหัวใจ นี่ใจสั่นไหวอยู่ท่ามกลางหัวใจของตัวเองขึ้นมา
ทาน ศีล ทำให้ใจเป็นปกติขึ้นมา จิตนี้ปกติ จิตนี้ตั้งมั่น พอจิตนี้ตั้งมั่นขึ้นมานี่เราทำสมาธิเข้าไปๆ ทีนี้ถ้ามันถึงตรงนั้นขึ้นไปมันก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นๆ มันจะสบประมาท มันจะดูถูกกัน เขาว่าแข่งบุญวาสนานี่มันแข่งกันไม่ได้ บุญอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล อำนาจวาสนาของบุคคลนี้ใช่ไหม บุคคลนอกนี้ไปแข่งอำนาจวาสนากันไม่ได้ คนจะไปดี คนจะภาวนาดี มีความเป็นไปได้ นี่อำนาจวาสนาข้างนอก
แล้วอำนาจวาสนาของเรา อำนาจวาสนานี่มันจะเจริญขึ้นมา แต่ความคิดน้อยใจของเรา เห็นไหม มันน้อยใจ ความคิดน้อยใจอันนี้มันมีโดยธรรมชาติของมัน มันลังเลสงสัย มันหน่วงใจอยู่ตลอดเวลา หน่วงใจของเราเองไว้ให้อยู่ในอำนาจของมัน นี่แหละพระพุทธเจ้าถึงบอกว่า นี่เขาเรียกว่ากิเลสๆ กิเลสคือความเคยใจ ใจที่มันสะสมมา แต่ความปรารถนาดีเราก็มีอยู่ ความคิดมีความสุข
เพราะว่าเรามีตัวอย่างไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลก เป็นครูบาอาจารย์ของเรา แล้วผ่านพ้นไปได้ แล้วบอกว่าวิมุตติ เห็นไหม ความสุขของความสงบ ความสงบอย่างยิ่ง ความสุขของใจอันนั้น เราเชื่ออันนั้น เราถึงจะก้าวเดินตามอันนั้น เอวัง