เทศน์เช้า

ถังขยะ

๒o พ.ค. ๒๕๔๓

 

ถังขยะ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พระสารีบุตรแท้ๆ เลย เวลาพูดถึงว่าไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนพระเขาไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้า จนเรียกพระสารีบุตรมา

“สารีบุตร เธอไม่เชื่อเราหรือ”

“ไม่เชื่อหรอก”

“ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ”

“โอ๊ย แต่ก่อนแต่เดิมเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อมาก เชื่อด้วยความศรัทธา เชื่อ ศรัทธาก่อนเชื่อแล้วตามไป แต่ปัจจุบันนี้เชื่อไหม ไม่เชื่อ ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่เชื่อ”

“ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ”

“เพราะรู้แจ้งเห็นจริง ทำไมต้องเชื่อ”

ความรู้แจ้งเห็นจริงภายในของพระสารีบุตรนั้น มันตัดกิเลสได้ทั้งหมด มันเป็นอันเดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ความเชื่อมันเป็นความเชื่อเป็นการอาศัยกัน แต่ความจริงมันไม่ได้อาศัยกัน แล้วนี่ก็เหมือนกัน ว่าพระผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วนี่ความสงบน่ะ มันสงบอยู่ภายใน สงบอยู่แน่นอน แต่จะเอาอะไรมาตัดสินล่ะแล้วเขาโทรเข้าไป เขาบอกว่า เขาฟ้องปาราชิกอาจารย์มหาบัวกับกรมการศาสนา กรมการศาสนาไม่กล้าแตะต้อง

เราบอกว่า ถ้าเอาสัจจะความจริงมาว่ากัน ไม่ต้องฟ้อง ถ้าไม่เป็นมันขาดตั้งแต่อวดอุตริแล้ว การอวดอุตริมันขาดโดยธรรมชาติขาดโดยอัตโนมัติเลย ไม่ต้องฟ้องหรอก ผู้ที่ทำกรรมต้องได้กรรมอันนั้นแน่นอน เพราะกรรมอันนี้อยู่ที่การกระทำนั้นมันเด็ดขาด แต่ในเมื่อการฟ้องนี่เห็นไหม เปลือกแล้ว

ในเมื่อการฟ้องนี่เป็นสมมุติเป็นวินัย แต่ในเมื่อองค์พระอรหันต์ที่สิ้นไปแล้วนี่ มันเป็นสติวินัย ข้ามทั้งสมมุติและบัญญัติไป พอข้ามทั้งสมมุติและบัญญัติไป ข้ามพ้นไป ทีนี้ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาที่ว่าผู้ฟ้องนี่ไง ถ้าคำว่าผู้ฟ้อง ฟ้องไปนี่เพราะว่าการศึกษามา การศึกษามานี่มันเป็นถังขยะ นี่ไง อาจารย์มหาบัวถึงว่า ถังขยะไง ไม่เกี่ยวกับถังขยะ ในถังขยะนั้นมีแต่ของบูดเน่า ของเสีย แต่รูปแบบของถังขยะเห็นไหม จะทำให้สวยขนาดไหนก็ได้ นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของโลกเขาไง รูปแบบของถังขยะสวยงามมาก

การกล่าวโจทย์กล่าวฟ้องกันนี่ มันเป็นระบบ ระบบคือตัวกรอบมัน กรอบของถังขยะ แต่ไอ้ตัวอยู่ที่ถังขยะ คือความคิดที่เน่าเหม็น ความคิดที่เน่าเหม็นอยู่ภายในนั้น คือสิ่งที่อยู่ในสิ่งสกปรกนั้น ถึงได้เอาสิ่งสกปรกนั้นจะไปฟ้องร้องไง ไปกล่าวจาบจ้วง เห็นไหม

การศึกษาในระบบ การศึกษามา สุตมยปัญญาทั้งหมด ให้ขนาดไหนก็แล้วแต่ศึกษามานี่ กิเลส กิเลสคือในถังขยะนั้น ในถังขยะนั้นสิ่งอันนี้เป็นความสกปรกของเขา นี่ความสกปรกของเขา ความเข้าใจของเขา เขาถึงกล่าวจาบจ้วงไป เพื่อจะฟ้องร้องเห็นไหม เพื่อจะฟ้องร้องเพื่อจะชักเข้ามาอยู่ในระบบนั้น แต่พระอรหันต์นี้ เป็นสติวินัยข้ามพ้นไป

ปาปมุต พ้นจากกิเลสหมายถึงว่า ท่านพ้นไปจากกิเลสโดยธรรมชาติเลย ไม่มีกิเลสในหัวใจนั้น พอข้ามพ้นไป มันก็อยู่ในสติวินัยที่ว่า รูปแบบระบบเข้าไปจับต้องไม่ได้

พระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์นะ พระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์ แล้วพอตาบอด พระจักขุบาลตานี่บอดก่อน พอตาบอดเสร็จแล้วรับกลับมาอยู่ที่ข้างๆ อยู่ที่เมืองที่ท่านเกิด รับกลับมาแล้วสร้างกุฏิไว้ให้ที่วัด เดินจงกรมอยู่เพราะตาบอด ทำเป็นราวแล้วเดินจงกรมอยู่เหยียบสัตว์ตายต่อหน้าเลย จนพระเขาเพ่งโทษไง ว่าพระจักขุบาลตอนที่ตาดีก็ไม่ภาวนา พอตาบอดนี่ก็มาภาวนา เหยียบสัตว์ตายต่อหน้านี่ สัตว์ตายเพราะตาบอดมองไม่เห็น

พอตาบอดก็เดินจับราว เดินภาวนาจับราวไป ทีนี้พอเหยียบ ตามหลักของกรอบ ตามหลักของถังขยะอันนี้คือปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์เพราะว่า พระภิกษุเหยียบสัตว์เดรัจฉานถึงแก่ชีวิตต้องเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เอาคำนี้ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ไม่ ไม่เป็น พระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์นะ ไม่มีอาบัติเลย อาบัตินั้นไม่มี”

นี้อยู่ในพระไตรปิฎก นี่ไงปาปมุตหมายถึงว่า ทำความผิดด้วยสัญชาตญาณ อย่างนี้สัญชาตญาณ ไม่ได้เผลอ ความสัญชาตญาณทำไป มันโดนไปนี่ความนั้นไม่เป็นอาบัติยกหมด เห็นไหมอาบัติไม่มี แต่ว่าถ้าพระอรหันต์แล้วไม่ผิดในกรอบไง เขาจะเอากรอบนี้มาจับพระอรหันต์ไง เอากรอบของเขาเอาถังขยะนี้มาจับพระอรหันต์ มันจับไม่ได้

มันจับไม่ได้เพราะว่า ใจดวงนั้นต่างหากที่พ้น ใจดวงนั้นพอข้ามพ้นไปแล้วมันพ้นจากอคติ พ้นจากความรูป ความอะไร “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา” พ้นจากมาร พ้นจากความดำริ ความคิดอันนั้นมันบริสุทธิ์ ความคิดอันนั้น แต่ความคิดในการที่ว่าสงบ ก่อนที่จะสงบ ก่อนที่ว่าพระที่สิ้นจากกิเลส มันต้องต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้กับมารภายในจนสิ้นหมดแล้ว

แต่การต่อสู้นั้น นั่นน่ะอาการหมายถึงว่า วินัยบังคับตรงนี้ไง วินัยมันก็บังคับเหมือนกับรถวิ่งมา กฎจราจรนั้นเป็นกฎจราจร รถจอดในอู่แล้ว กฎจราจรจะมีความหมายกับรถคันนั้นไหม รถคันนั้นจอดแล้ว รถคันนั้นออกไปขับเคลื่อนบนถนน กฎจราจรต้องทำตามกฎจราจร เราก้าวพ้นกำลังต่อสู้กับกิเลส เห็นไหม

เรากำลังต่อสู้กับกิเลส เราเริ่มต้นจากปุถุชนนี่ การวิปัสสนาการก้าวเดินของเราไป นี่ตามกรอบของวินัยเพราะอะไร เพราะมันมีปลิโพธ มันมีกิเลสซุกตัวอยู่ในหัวใจ ธรรมและวินัยนี้พยายามเป็นกรอบให้หัวใจก้าวเดินไป ถ้าเราไม่นับหนึ่งขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติมันจะไม่มี

การประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นตรงนี้ ถ้าทำความสงบ ท่านทำมาแล้วไง ขณะที่ทำความสงบนั้นอยู่ในป่า ทำความสงบมา ๙ ปี อยู่ในป่าสู้ขนาดที่ว่าเอาชีวิตนี้เข้าแลกๆ ๆ มาตลอด แล้วออกมาแล้ว ออกมานี่มันก็พ้นจากระบบแล้ว พอพ้นจากระบบเอาระบบไปจับ พอเอาระบบไปจับ จับไม่ได้ ระบบจับไม่ได้เพราะว่า ท่านบอกว่าท่านสิ้นกิเลสตั้งแต่วันไหน เดือนไหน อันนั้นเป็นการบอกกล่าว

ถ้าเป็นการบอกกล่าว มีอยู่ในพระภิกษุ ภิกษุบอกกล่าวกับอนุปสัมบัน เป็นอาบัติปาจิตตีย์ เขาตีความหมายตรงนี้ไง ตีความหมายว่าถ้ามีจริง การบอกกล่าวนั้นเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เขาว่าอย่างนั้นนะ แต่นั้นมันอยู่ในกรอบ แต่ความจริงอันนี้ท่านบอกว่า เปรียบเทียบเหมือนธรรม นี้วินัยวางไว้อย่างหนึ่ง กรอบวางไว้อย่างหนึ่ง

ธรรมคือความเป็นธรรมชาติ ธรรมนี่ ธรรมคือธรรมชาติสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเราดูสภาวะตามความเป็นจริงแล้วปล่อยไป ธรรมนี้มันถึงกว้างขวางกว่ากรอบระเบียบ กรอบระเบียบนี้เป็นวินัย กฎหมายกับธรรม กฎหมายอย่างหนึ่ง ธรรมนี้เป็นอย่างหนึ่ง

ธรรมหมายถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใต้ต้นโพธิ์นั้น ท่านก็บอกไว้ นี่อาจารย์มหาบัวท่านยึดตรงนี้ ยึดที่ว่า ถ้าไม่บอกกัน มันต้องเป็นการบอกกล่าวสอนกัน การบอกภายในนี่ เหมือนพ่อแม่กับลูก พ่อแม่บอกลูกเลยว่า “ลูกนะ พ่อมีมรดกอย่างนี้ๆ อยู่ที่ไหนๆ” จะบอกลูกไว้หมดเลย มรดกเห็นไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน บอกว่า ธรรมในหัวใจเป็นอย่างนี้ๆ เคยทำอย่างนี้ๆ แล้วก็สอนลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมา อันนี้เป็นการเอาสมบัติของท่านมาเป็นเครื่องเชิดชูจรูญใจของลูกศิษย์ลูกหาให้ขึ้นไป คือว่าเป็นการกล่าวสอนกันไง เป็นการกล่าวสอนภายใน แต่ในเมื่อท่านเอาออกมาช่วยชาติแล้วนี่ การเปิดออกมา อันนั้นก็เป็นธรรมของท่าน

เปิดออกมาก็ว่า พอเปิดออกมามันเป็นอาบัติ ถ้าตามกฎ เอาตามกฎแล้ว เขายึดกฎยึดระเบียบ ถ้ายึดกฎยึดระเบียบเขายึดตรงนี้ แล้วเขาไม่เปิดกว้าง ในความเป็นสัจจะความจริงอีกอันหนึ่ง สัจจะความจริงอันหนึ่งคือ ธรรมในหัวใจอันนั้น อันนั้นไม่มีใครสามารถเข้าไปชี้ได้ เขาถึงบอกไง แล้วใครเป็นคนตรวจสอบ ใครเป็นคนชี้ไง ก็จะสรุปว่า ถ้าตรวจสอบชี้ไม่ได้ก็ต้องบอกว่า กรรม ใช่ไหม เพราะว่า ถ้าผู้ที่พูดถึง ผู้ที่อวดอุตรินี่มันเป็นปาราชิก เป็นปาราชิกกรรมต้องให้ผล เป็นตาลยอดด้วนตั้งแต่ตรงนั้น

ฉะนั้น ก็ต้องยกประโยชน์ให้ตรงนั้นด้วยสิ ในเมื่อผู้ทำนั้นทำด้วยความว่า ทำออกมาโดยความเป็นจริงของการกระทำเกิดขึ้น ถ้าการกระทำเกิดขึ้นนะ การกระทำเกิดขึ้น กริยาเกิดขึ้น กรรมต้องเกิดขึ้น นี่สำหรับปุถุชน แต่สำหรับของท่าน การทำอันนั้นเห็นไหม พระอรหันต์พระพุทธเจ้านี้ยกเว้น พระพุทธเจ้านี้แก้ได้ทั้งนิสัย แก้ได้ทั้งหมด แก้ได้ทั้งสันดาน แก้ได้ทั้งกิเลส แก้ได้ทั้งหมด

แต่อัครสาวก แม้แต่พระสารีบุตรยังแก้เฉพาะกิเลสได้ สันดานแก้ไม่ได้ สันดานความเคยชินอันนั้น ความเคยชินอันนั้นเป็นสันดาน พระอรหันต์นี้แก้กิเลสได้ แต่ไม่สามารถแก้สันดานได้ ทีนี้ในครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน ตามแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน อย่างเช่น การเมตตาสงสาร การสงสารสงเคราะห์สัตว์ ในการเห็นประเทศชาติพ้นภัย

ความรักชาติ ความเห็นแก่ส่วนรวมก็เห็นไม่เท่ากัน ความเห็นไม่เท่ากัน อันนี้พอออกมาเห็นว่าคุณค่า อันนั้นก็มีคุณค่าเสมือนกับว่า ท่านเคยพูดอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่มีโครงการนี้ ธรรมอันนี้จะดับไปพร้อมกับหัวใจอันนั้น จะไม่มีการเปิดออกมา แต่ในเมื่อท่านมีของท่าน ท่านก็เปิดออกมาเพื่อสังคมของโลกเขา เพื่อสังคมนะ เพื่อช่วยโลก ก็เอาธรรมอันนั้นมาแบกโลกอีกทีหนึ่ง

ฉะนั้น ถ้าพูดออกมาเป็นอวดอุตริ ก็ต้องเป็นกรรมของท่าน ทีนี้ถ้าเวรกรรมท่านไม่มีแล้วเราไปกล่าวจาบจ้วงนี่ การย้อนกลับมา กล่าวตินะ กล่าวจาบจ้วงพระอริยบุคคลขึ้นไปเป็นกรรมอย่างมหาศาล แต่เขาคิดว่า เขาศึกษาในระบบแล้ว เขาคิดว่า ไอ้ที่ถ้าว่าเป็นจริง ถ้ากล่าวจาบจ้วงจริงมันก็ต้องเป็นกรรมไป แต่เพราะความไม่เชื่อตรงที่ว่ากรอบมันมาวัดกันตรงนี้ไง กรอบที่บอกว่า

ถ้าพระอรหันต์เป็นปาปมุตหมายถึงว่า จะไม่ทำผิดพระธรรมวินัยเลย แต่นี้ทำผิดวินัยตามกรอบผิด เพราะพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัล อนุปสัมบันไง อันนี้เป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่ถ้าท่านมีจริงเป็นแค่อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาจิตตีย์มันปลงได้ อาบัติที่ว่าปลงได้เป็นอาบัติเล็กน้อย ไม่ใช่เล็กน้อย ใหญ่เหมือนกันแต่มันเป็นอาบัติที่ปลงได้ ไม่ใช่เป็นอาบัติที่ว่าจะทำไม่ได้เลย ถ้าได้ทำแล้วขาดจากพระไปเลย อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้ามีจริง แล้วถ้าไม่มีจริงใครตรวจสอบ ตรวจสอบก็นี่ไง ถ้าตรวจสอบเราบอกตรวจสอบมีอยู่ ยกอย่างหลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว ท่านดับขันธ์กันไปแล้ว เผาแล้วเป็นพระธาตุแล้วหลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ขาวได้คุยกับอาจารย์มหาบัว ได้ตรวจสอบกัน จนอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังเองนะ พอคุยกับหลวงปู่แหวนเสร็จ

“อ้าว มหาว่ามา ของมหาว่ามา”

ตรวจสอบกันอยู่แล้ว ตรวจสอบนี่พวกเราเชื่อมั่น นี้พูดถึงความเชื่อมั่น พวกเราเชื่อมั่นกันมาก เราศรัทธากันมาก แต่ในเมื่อเขาพูดมาเขาว่ามา เราฟังมาเขามีเหตุผล เขาพูดฝ่ายเดียวใช่ไหม ไอ้นี่เราก็บอกว่าไม่ได้พูดเพื่อจะจาบจ้วงครูบาอาจารย์ซ้ำสองนะ ไม่ได้พูดเพื่อจาบจ้วง พูดเพื่อให้เห็นหลักการไง

หลักการความเห็นของเขาเป็นอย่างนั้น ถึงบอกว่าอาจารย์พูดคำนี้ซึ้งใจว่า ถังขยะ ถ้าคนที่ผ่านมาแล้วเห็นเป็นถังขยะ ถังขยะหมายถึงว่ากรอบความคิดอย่างหนึ่งคือตัวถังขยะ การศึกษามาไง ถ้าศึกษามา ตัวเองมีการศึกษามา ยึดระบบระเบียบขึ้นมาอันนั้นยึดตายตัวนี่ สุตมยปัญญามันไปไม่ได้เลย พอจินตมยปัญญา นักวิทยาศาสตร์ จินตมยปัญญาเห็นไหม จินตมยปัญญา จินตนาการปัญญามันก้าวเดินไป เวิ้งว้าง มันคิดอย่างไรก็ได้ นักวิทยาศาสตร์คิดเข้าไป ค้นคิดเท่าไรก็ได้ จินตมยปัญญา มันยังไม่ใช่เลย มันต้องเป็นภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญา นักจินตมยปัญญา คิดค้นขึ้นไปมันมีเรา เราอยู่ในจินตมยปัญญานั้น วนขึ้นไปๆ จนเป็น อย่างที่เขาทดลองทางวิทยาศาสตร์ในอวกาศ ไม่มีแรงดึงดูดใดๆ ทั้งสิ้น ความคิดนี้เป็นเพราะมีสมาธิเข้ามาแยกออกไป พอมีความเป็นสมาธิแยกออกไปเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาอันนี้อันเดียวเท่านั้น ปัญญาอันนี้ที่กลับมาชำระกิเลส ถ้าปัญญาอันนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ชำระกิเลสไม่ได้

กิเลสมันแค่พอจินตมยปัญญาขึ้นมา ความคิดเจริญงอกงามขึ้นมา ไอ้กิเลสมันจะสงบตัวลง มันหลบเฉยๆ ความหลบอยู่นั้นประเดี๋ยวมันจะตีกลับมาเห็นไหม นี่ตทังคปหาน ความชำระกิเลสชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีกเหมือนกับหินทับหญ้าไว้ กดไว้เฉยๆ แต่ภาวนามยปัญญาอันนี้เกิดขึ้น ทีนี้ภาวนามยปัญญาอันนี้เกิดขึ้น คนที่เกิดภาวนามยปัญญา คนที่เห็นภาวนามยปัญญาต้องเป็นโสดาบันขึ้นไป เพราะว่าภาวนามยปัญญาตัวนี้ เป็นตัวตัดกิเลสไง

แล้วปุถุชนไม่มีปัญญาอย่างนี้ จะเอาปัญญาอย่างนี้มาคิดได้อย่างไร มันไม่มีปัญญาตัวนี้ ไม่มีปัญญาตัวนี้ก็ใช้ความคิดของตัว คือถังขยะ ถังขยะคือว่ากรอบของความคิดมันเป็นโทษไง เราคิดอยู่ในกรอบของคุก อาจารย์มหาบัวบอกว่า ความคิดของเราคิดอยู่ใน คนของคุก กรอบของกำแพงคุกเข้ากับสายตา เข้ากับกำแพงคุก กรอบของขันธ์ ๕ กรอบของสัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ กรอบของสังขารคือการศึกษามาจำได้ปัญญาของตัวขนาดไหนขนาดนั้นเอง

จินตนาการออกไป ออกจากความคิดเดิม ออกจากการจินตนาการออกไป แล้วจินตนาการออกไป ยังมีฐานออกไป แต่ภาวนามยปัญญามันหมุนขึ้นไป เหมือนลูกข่าง ลูกข่างแต่แรงเหวี่ยงของมัน มันจะอยู่ได้ ถ้าแรงเหวี่ยงของลูกข่างเบาลงมันก็จะล้มลง แล้วลูกข่างนอนอยู่ สุตมยปัญญา ลูกข่างที่ว่าแรงเหวี่ยงไม่ปกตินั่นน่ะคือจินตมยปัญญา

ลูกข่างที่หมุนด้วยธรรมชาติของมัน นั่นคือภาวนามยปัญญา นี่คือ ธรรมจักรไง จักรของธรรมจะเคลื่อนออกไปจากเราส่งเสริมขึ้นไป เราส่งเสริมปัญญาเราขึ้นไป ปัญญาขึ้นไป เราส่งเสริมปัญญาเราขึ้นไป จนมันเป็นธรรมชาติของมันไม่ใช่เรา ถ้ามีเราแล้ว สามัคคีไม่ได้ มัคคะไม่รวมกัน มัคคะจะรวมต้องไม่มีเราอยู่ในปัญญานั้นเลยมันจะเป็นธรรมจักร สัมมาสมาธิหมุนออกไป นั้นคือภาวนามยปัญญา นี้ถึงว่าพ้นจากถังขยะไง ถ้าเป็นถังขยะเห็นด้วย เอวัง