ตายไม่สูญ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
สรุปลงว่า ในเมื่อตายแล้วไม่สูญก็ต้องทำพระนิพพาน เห็นไหม ตายแล้วไม่สูญ คนเรามันตายแล้วไม่สูญ มันเวียนว่ายตายเกิด ตายแล้วไม่สูญ เห็นไหม เพราะตายไม่สูญแล้วก็ต้องไปทุกข์ๆ ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ถ้าทำพระนิพพานขึ้นมา ทำพระนิพพาน เพราะจิตนั้นตายแล้วไม่สูญ ทำพระนิพพานขึ้นมาก็จิตนั้นจะได้มีความสุขไง อยู่กับพระนิพพานนั้น ถ้าเข้าถึงพระนิพพานได้จริงนะ
เขาถึงบอกว่าต้องทำสมาธิ เขาจะสอนหลักการทำสมาธิไง แล้วสอนกันพื้นๆ ตามหลักทำสมาธิ นั่นเขาคิดกัน เห็นไหม ถ้าทำสมาธิของเขา ดูอย่างทางอเมริกาเขาสอนสิ พวกโยคะทำสมาธิ เห็นไหม นั้นก็ทำสมาธิอยู่ แต่ทำสมาธิแบบนั้นเพื่อให้เห็นเรื่องของเพียงแต่พิสูจน์กันว่าจิตมีหรือไม่มีไง ว่าเวลาวิญญาณมีไหม? ว่าคนตายแล้วก็แล้วกัน ส่วนใหญ่คิดว่าตายแล้วก็แล้วกัน มันจบกันไป
ทีนี้ถ้าทำสมาธิขึ้นมา ก็ถึงว่าจับต้องจิตได้ไง จับต้องจิตได้ เห็นไหม จับต้องคือว่าพิสูจน์ได้ว่าจิตนี้มีจริง ร่างกายนี้มีจริง จิตนี้มีจริง หัวใจมี หัวใจกับร่างกายมี ถ้าทำสมาธิมันจะรู้แค่นั้น
แต่ถ้าจะเข้าถึงพระนิพพานได้ มันต้องเริ่มตั้งแต่ว่าจิตนี้สงบแล้ว เห็นไหม เข้าใจว่ามีจริง สิ่งที่มีจริงย้อนกลับมา ย้อนกลับมาเพื่อจะดูใจของตัวเอง ต้องย้อนกลับมาดูใจของตัวเอง
อันนี้ไม่ใช่ว่าฝึกทำสมาธิ ฝึกทำสมาธิส่วนฝึกทำสมาธินะ ฝึกทำสมาธินั้นพื้นๆ ธรรมดา เพราะว่าฝึกไม่ฝึกมันมีอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อก่อนคนไม่เชื่อ พอคนเชื่อว่าจิตนี้มีก็เข้าใจว่าการทำสมาธินี้เป็นการพิสูจน์กันว่าครบวงจรแล้ว
ไม่ครบเลย...เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบสนี่ก็ทำสมาธิอยู่แล้ว เพียงแต่เข้าใจมีหลักแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เข้าใจหมายถึงว่าจะหาทางพ้นทุกข์อยู่แล้ว เห็นความเป็นทุกข์ในครอบครัว เพราะในครอบครัว ในกษัตริย์ เห็นไหม ราหุลเกิดแล้วมีความทุกข์มาก แล้วยังแบกภาระไปกันหมด
ถ้ามันมีอย่างนี้แล้วมันมีทุกข์ มันมีความผูกพัน มันต้องมีทางแก้ออกได้ มันมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ต้องมีไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็มีพื้นฐานคือว่ามีความเข้าใจอยู่แล้ว แต่พอไปเรียนเรื่องสมาธิแล้วมันก็ไปไม่ได้
ถึงว่าเขาพูดว่าในเมื่อตายแล้วไม่สูญ ต้องทำพระนิพพาน แล้วทำพระนิพพานนั้น อันนี้ถูกต้อง แต่บอกว่าจะเริ่มต้นการฝึกสอนทำสมาธิไง ทีนี้ถ้าการฝึกสอนทำสมาธิ มันก็เริ่มต้นแบบที่ว่านะ มันเริ่มต้นหมายถึงว่าถ้ามันทำแล้วมันเป็นสัมมาสมาธิ มันก็ก้าวเดินไปได้
แต่ถ้าเริ่มต้นแล้วทำตรงนี้ว่าเป็นหลักเกณฑ์ มันก็จะเป็นความเป้าหมายผิดอีกเป้าหมายหนึ่ง คือว่าเริ่มต้นน่ะเริ่มต้นดี ความคิดนี่คิดดีมากเลย แต่ทำไปแล้วมันต้องเข้าใจถึงว่าอันนั้นเป็นหลักวิชาการพิสูจน์เฉยๆ
ความพิสูจน์อันนั้นพิสูจน์ให้เข้าใจ แต่ถ้าจะถึงพระนิพพาน จะแก้ไขได้ มันยังต้องโอ้โฮ... ว่าโอ้โฮเลยนะ จับดู ต้องจับดูก่อน ต้อง...พอจิตสงบแล้ว มันเป็นจิตสงบแล้วมันเป็นเครื่องมือการทำงานไง เป็นจิตเครื่องมือทำงาน เป็นมรรค ๘ เท่านั้น เป็นสัมมาสมาธิ
สัมมาสมาธิแล้ว สงบแล้วดูเข้ามาภายใน ต้องให้เห็นด้วยนะ ดูเข้ามาภายในให้เห็นกายและเห็นจิต เห็นกายนะ เห็นกายนอกเป็นกายนอก เห็นกายนอกก็แค่ทำสมาธิอย่างหนึ่ง การพิจารณากายนอก การสลดสังเวชนะ ทำสมาธิอย่างหนึ่ง การทำสมาธิมีถึง ๔๐ ประเภท เห็นไหม ๔๐ ประเภท ๔๐ อย่าง แล้วทำเข้ามาแล้ว เป็นสมาธิเข้ามาแล้วค่อยมาพิสูจน์กันไง ค่อยมาพิสูจน์หลักความจริงขึ้นมาว่าสิ่งนั้นพิสูจน์หลักความจริง พิสูจน์ พิสูจน์เพื่อให้ใครรู้ล่ะ?
ให้จิตมันรู้ไง จิตมันไม่เข้าใจตัวมันเอง มันเป็นอวิชชา จิตที่เป็นอวิชชามันจะส่งออกไปข้างนอก มันจะรู้ว่ามันรู้มันฉลาดหมด นี่เวลากิเลสมันครอบงำไง
ทีนี้พอพิสูจน์ว่าจิตนี้สมาธินั้นสงบลง อวิชชาตัวนี้เพียงแต่มันเปิดให้จิตนี้เป็นอิสระชั่วคราวเท่านั้นเอง พอเป็นอิสระชั่วคราว นี่เหมือนคนไข้ คนไข้เข้าห้องไอซียูนี่กลัวตายนะ แต่พอว่าคนไข้นี้จะเริ่มทำผ่าตัด เขาต้องให้คนไข้นี่แข็งแรงก่อน เวลาคนไข้ขึ้นมาแข็งแรงแค่แป๊บเดียวมันก็ลืมตัวแล้ว
คนไข้พอคิดว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้ว มีกำลังงานคือว่าไข้มันลดน้อยลง ไม่เข้าใจหรอกว่าหมอเขาให้ยาเพื่อจะให้คนไข้มีภูมิต้านทาน แล้วเวลาทำการผ่าตัดใหญ่ ร่างกายนี่ไม่ถึงกับว่าจะต้องทรุดไปตามโรคข้างเคียงนั้น
นี่ก็เหมือนกัน พอจิตเป็นสมาธินี่มันก็เหมือนกับแค่เอง แค่สงบตัวลงเฉยๆ ไข้นี่ไม่ได้แก้ไขเลย ไข้ไม่ได้รักษาเลย ตัวไข้นั้นยังเต็มอยู่เต็มที่ พอตัวไข้นะ แล้วไข้เป็นไข้อะไร เห็นไหม ต้องวิเคราะห์ก่อนว่าเป็นโรคอะไร ถึงจะต้องมียารักษาเข้าไป
นี่ไงถึงว่าการเห็นกายกับจิตภายใน เห็นกายนอกมันทำสมาธิอย่างหนึ่ง แค่ฟื้นฟูร่างกายให้เข้มแข็งขึ้นมาเพื่อจะทำการผ่าตัดใหญ่ การผ่าตัดใหญ่ต้องทำผ่าตัดใหญ่ด้วยมัคคอริยสัจจังหมุนเข้าไป มัคคอริยสัจจังเกิดขึ้นจากการเราต้องสร้างขึ้นมาเอง มัคคะคือความเข้าใจไง มัคคะคือปัญญาไง มัคคอริยสัจจังคือปัญญาความเข้าใจ เข้าไปหาเหตุหาผลให้หัวใจมันเข้าใจ ให้หัวใจมันฉลาดขึ้นมาๆ
ความฉลาดขึ้นมา มรรคอันนี้มีเฉพาะในศาสนาพุทธไง ในศาสนาพุทธนะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นก่อน รื้อค้นไม่ใช่รื้อค้นเปล่า รื้อค้นขึ้นมา มันมีอยู่ สัจธรรมมีอยู่ตามความเป็นจริง ใครจะมารู้ไม่มารู้มันก็มีอยู่อย่างนั้นเป็นสัจจะ แล้วมันลึกล้ำมาก ขนาดว่าจะเข้ารู้ได้อย่างไร
แต่พอเข้าไปรู้ขึ้นมา เพราะรู้แล้ว ผู้รู้จริงมันชำระกิเลสได้จริงไง ต้องรู้ต้องเห็น ต้องชำระได้หมดถึงจะเป็นการรู้จริง ถ้าการรู้จำก็อย่างรู้อย่างนี้ ในศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่นี้ พวกเรารู้จำมา รู้หมดนะ เกิดแล้วต้องตาย เกิดมาต้องตายหมด ตายแล้วต้องเกิดหมด ถ้าเชื่อ ถ้าไม่เชื่อยังว่าเอ้อ...มีจริงหรือเปล่า? มีจริงหรือเปล่า? อันนั้นอวิชชามันก็ปิดบังอยู่แล้ว
ความที่ว่ารู้แต่ไม่ใช่รู้จริง รู้จำ ถ้ารู้จริงต้องรู้แบบนั้น รู้แบบนั้นถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้จริงก่อน เห็นจริงตามความจริง แล้วมีความจริงเสร็จแล้วยังมาเสวยความสุข เห็นไหม
ถึงบอกว่าถ้าจิตนี้ตายแล้วไม่สูญต้องทำพระนิพพาน พระนิพพานคือจิตดวงนั้นดวงที่เสวยวิมุตติสุขอันนั้น เสวยวิมุตติสุขนี่รู้จริงเห็นจริง แล้วก็วางไว้ตามหลักความเป็นจริง
แต่เราจำขึ้นมาก่อน จำขึ้นไปเรื่อยๆ จำขึ้นไปเรื่อยๆ จำแล้วต้องวางไว้ไง ความจำอันนั้นมันเหมือนกับว่าเวลาเราตั้งเป้าหมาย เห็นไหม เช่น เราเล็งศูนย์ไปอะไรแล้วแต่ เราตั้งเป้าหมายไว้ ยิงไปตรงนั้น เราตั้งแล้วล็อกตายตัวเลย แต่เป้ามันเคลื่อนที่ได้ คือว่าอวิชชาคือความเห็นของเรามันเคลื่อนที่ได้ มันหลบหลีกได้ไง เพราะอะไร? เพราะว่าคือยิงเป้าคือยิงเรา ยิงคือทำร้ายคือทำร้ายเรา ขัดใจกิเลสคือขัดใจเรา เรานี่พอใจเราไปตลอด เราพอใจเราว่าเราฉลาดตลอด
แต่ถ้าเข้าไปกำจัดกิเลสคือเข้าไปกำจัดเรา ความกำจัดเรา เห็นไหม เราคิดกิเลสมันรู้ทันไปพร้อมกันๆ ถึงต้องมีสัมมาสมาธิตัวให้กิเลสการแสดงตัวมันน้อยลง เห็นไหม การแสดงตัวของกิเลสมันน้อยลงเพราะว่าอะไร? เพราะสัมมาสมาธินี่มันแยกออก แยกเรากับอารมณ์กับจิตออกจากกัน จิตนี้มันเป็นอิสระ อารมณ์มันจรมา อารมณ์นั้นทำให้ฟุ้งซ่าน แต่สัมมาสมาธิเข้าไปให้จิตกับขันธ์แยกออกจากกัน
พอจิตกับขันธ์แยกออกจากกัน จิตกับขันธ์เป็นอิสระขึ้นมา กลับมาใช้ขันธ์ ขันธ์นั้นก็เป็นปัญญา เห็นไหม คือว่าคิดปั๊บกิเลสมันคิดตาม แต่ถ้ามีสัมมาสมาธิเข้ามาแยกออกๆ นี่ปัญญามันเกิดมันเกิดตรงนี้ไง
นี่ล็อกเป้ามันถึงล็อกเป้าตายไม่ได้ เพราะล็อกเป้าตายนี่อวิชชามันมีชีวิตอยู่ มันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมมันหลบหลีก ขนาดเป็นสัมมาสมาธิสมาธิที่อย่างแน่นหนาแล้วนะ มันยังหลบอยู่ในสมาธินั้นได้เป็นหินทับหญ้า แม้แต่สมาธิแน่นหนามั่นคงในหัวใจ เพราะว่าไม่มีอะไรจะมาหลอกใจตัวเองได้เลย มันก็หลบอยู่ในนั้น
นี่ถึงว่ามันล็อกตายไม่ได้ ความจำคือการล็อกตาย เป็นระบบที่ล็อกตายตัว แล้วกิเลสมันก็อาศัยล็อกตายตัวเลี่ยงไปเลี่ยงมา เห็นไหม มันบังเงาไง มันบังเงาในการกระทำของเราตลอดเวลา ถึงต้องหมั่นถากหมั่นไถ หมั่นคราด ต้องหมั่นทำไปตลอด ทำเข้าไปเรื่อยๆ จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรของบุคคลคนนั้นไง บุคคลคนนั้นต้องหมั่นถากหมั่นไถ หมั่นทำเข้าไป อันนี้ต่างหากถึงจะถึงพระนิพพาน
ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็เห็นด้วย ที่พูดนี้เพราะว่าเขาพูดเองว่าเพราะจิตนี้ไม่เคยสูญ ถึงต้องทำพระนิพพาน แล้วก็สรุปลงที่ว่าการทำพระนิพพานคือการทำสมาธิ เราถึงว่าโอ้โฮ...ถ้าอย่างนั้นแล้วนะ อันนี้ก็จะเป็นอันหนึ่งที่ว่าต่อไปก็จะมีปัญหากันต่อไป เพราะว่าความไม่เข้าใจตรงนี้ไง ว่าทำสมาธินี่เป็นถึงพระนิพพาน
ทำสมาธินี้ทำให้จิตสงบ เป็นการยืนยันหลักศาสนาทางหนึ่ง อาจารย์มหาบัวบอกว่า ถ้าจิตสงบนี้พออยู่พอกิน จิตของเราฟุ้งซ่านทุกข์ยากมากเลย ถ้าจิตเราสงบพออยู่พอกิน คือมันทรงตัวเองมันได้ไง อันนี้ก็ประเสริฐ ถ้าพออยู่พอกิน ความทรงตัวเองได้ว่าอันนี้เป็นผล อันนี้ก็ถึงว่ามันก็ยังเป็นที่ว่าจะเป็นปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง เอวัง