เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ส.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วันป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาพูดถึงสังคม พวกเราเป็นห่วงนะ คนที่ใจเป็นธรรม เราห่วงลูกหลานของเรา เราห่วงสังคม อยากให้สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่สังคมมันอ่อนแอ สังคมมันไร้เดียงสา พอมันอ่อนแอ ไร้เดียงสานี่ คนมาตักตวงเอาผลประโยชน์เห็นไหม

เด็กมันโง่!

เด็กมันบอกว่า “อ้าว! ก็ทุกอย่างดีหมด ก็เห็นภาพนี้ดีมากเลย ทุกอย่างดีมาก”

เราบอก “มันไร้เดียงสา!”

ความไร้เดียงสาของเรานี่ เพราะเราไร้เดียงสา เราถึงไม่เข้าใจสิ่งใดเลย เราไปเห็นสภาวะที่เราเห็น จากที่เราสัมผัส เราก็ว่าสิ่งนั้นดี... สิ่งนั้นดี... ถ้าสิ่งนั้นดี ทำไมผลตอบสนองมา ทำไมพระที่ไปบวชแล้ว พระที่ไปปฏิบัติแล้ว ทำไมมันหลุด ทำไมมันมีความเสียหายล่ะ...?

ถ้ามันมีความเสียหาย สิ่งที่ดีมันก็ต้องสร้างคนให้เป็นคนดีขึ้นมาใช่ไหม สิ่งที่ดีแล้วทำไมสร้างคนขึ้นมา การสร้างสิ่งนั้นออกมาแล้วคนทำไมมันเสียหายล่ะ ถ้าคนเสียหาย มันต้องมีสิ่งใดผิดปกติแล้ว คนเรามันต้องคิดสิ แต่ทำไมคนไม่คิดว่าสิ่งที่ออกมาจากขบวนการกระทำนั้น แล้วมันเสียหายอย่างนี้ แล้วยังว่าสิ่งนั้นดีอีกหรือไง ทำไมมันไร้เดียงสาได้ขนาดนั้น

นี่!สังคมอ่อนแอนะ ดูสิ นักธุรกิจเขาบอกเลย “การทำธุรกิจของโลกไม่ใช่การสงเคราะห์” นี่ไง เรามองทางธุรกิจ ของเด็กเล่น สินค้าสำหรับเด็กนี่ เด็กไม่มีอำนาจซื้อนะ แต่มันมีอำนาจซื้อจากพ่อแม่เห็นไหม พ่อแม่มีอำนาจซื้อของให้เด็ก มีเท่าไรก็ซื้อให้ได้ ถ้าซื้อให้ได้ขึ้นมานะ แล้วการซื้อขายมาอย่างนั้น เขาทำธุรกิจ เขาไม่ได้มาสงเคราะห์

แต่คนที่มีใจเป็นธรรม ที่หวังให้ของเราเป็นคนดีนี่ หวังให้สังคมมันร่มเย็นเป็นสุข เห็นแล้วเรารับได้ไหมล่ะ ถ้าคนที่มีคุณธรรมในหัวใจบ้าง เขาทำสิ่งใดมามันก็จะเป็นประโยชน์ใช่ไหม แต่เขาไม่มีศีลธรรมเลย เขาก็ตักตวง

ดูสิ นมเมลานีน เขาก็เอามาขายกัน แล้วดูเด็กมันกินเข้าไปนี่ เด็กตายเลยอ่ะ ทำไมเขาทำกันได้...? ทำไมเขาอำมหิตกันขนาดนั้น..!!!

นี่ย้อนกลับมาเรื่องศาสนา ถ้าเรื่องศาสนานี่ เราก็รู้นะ

เรากล้าพูดว่า คนที่หลอก... รู้!!!

คนที่กระทำนะรู้ทั้งนั้นนะ รู้ตัวเอง นี่เราเองเรารู้ เราผิดเราถูก แล้วการภาวนาเราก็ต้องรู้ว่าเราจริงหรือไม่จริง เรานี่รู้... คนสอนน่ะรู้... แต่คนสอนทำไมไม่ยอมบอกว่า “เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ล่ะ” เราไม่รู้ก็ต้องไปหาคนที่รู้จริงไหม...?

ดูทางการแพทย์ เขาส่งต่อๆ นะ ถ้าโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลที่เขาไม่มีเครื่องมือ เขาส่งต่อขึ้นไปโรงพยาบาลที่สูงขึ้นๆ เพื่ออะไร...? เพราะเขามีเครื่องมือของเขา นายแพทย์ของเขามีความชำนาญเฉพาะโรค เขารับได้ของเขา ทำไมเขาส่งต่อได้ล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ที่เราแก้เขาไม่ได้นี่ เราก็มีครูบาอาจารย์ ทำไมเราไม่ส่งต่อล่ะ เราก็ส่งต่อได้ถ้าเราไม่รู้... ถ้าเราไม่รู้เราไปสอนทำไม... เราไม่รู้เราไปแก้ไขทำไม... เราไม่รู้เราทำให้เขาเสียหายทำไม... นี่ไง มันรู้! ของที่มันรู้นี่ แต่มันน่าสงสารคนไข้ มันน่าสงสารสังคมไง

สังคมเห็นไหม ก็มันดีอ่ะ สิ่งที่ดีนี่ สังคมอ่อนแอ สังคมอ่อนแอเพราะเกิดจากอะไร เพราะเกิดจากกลุ่มชนที่อ่อนแอนั้น แล้วอ่อนแอมันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าอ่อนแอก็เป็นอย่างนี้ แล้วเวลาเรามีการศึกษากัน เราวางรากฐานศาสนาให้มั่นคง ถ้าศาสนามั่นคง พอศาสนามั่นคง มันก็เป็นเรื่องของกิเลสไง

พอเรื่องของกิเลส พอทำอะไรขึ้นมาเป็นความลำบาก...ไม่เอาแล้ว... โอ่... ทำไมนั่งหลังขดหลังแข็ง นั่งสมาธิก็ไม่เอาแล้ว อะไรง่ายๆ ก็เปิดช่องง่ายๆ มาทันทีเลย มันมักง่าย กิเลสมันมักง่ายอยู่แล้ว กิเลสมันชอบความสะดวกอยู่แล้ว ถ้ากิเลสมันชอบ ความสะดวกนั้น ความสะดวกสบายทุกคน...

ดูสิ สมัยโบราณเรา หุงข้าวหุงปลานี่ เช็ดด้วยน้ำนี่ กว่าจะได้กินข้าวลำบากลำบน เดี๋ยวนี้กดปุ่ม! กดปุ่ม! เพราะวิทยาศาสตร์มันเจริญขึ้นมา มันเจริญด้วยความสะดวกสบายอย่างนี้ ถ้ามันสะดวกสบายอย่างนี้ สังคมมันก็ยอมรับได้ มันเป็นไปได้นะ

เราจะบอกว่าในเมื่อใช้พลังงานมาก มันก็ต้องใช้...ดูพลังงาน ดูไฟฟ้าสิ ต้องหามาจุนเจือมันตลอด ไอ้อย่างนี้มันสะดวกสบายทางวิทยาศาสตร์ สะดวกสบายทางการดำรงชีวิต นี่เขาเรียกว่าคุณภาพชีวิต แล้วคุณภาพชีวิตนี่ ดูไอ้พระโง่ๆ นี่ คุณภาพชีวิตมันยังธุดงค์อยู่นั่นนะ มันยังลำบากของมันอยู่ทำไม คุณภาพชีวิตนี่โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว แต่คุณภาพชีวิตแล้วมันให้ผลอะไรกับชีวิตล่ะ แต่ถ้าเราอยู่กันธุดงควัตร เราอยู่โดยสัจจะความจริงนี่ มันบอกว่า ความจริงมันเป็นอย่างนี้

อาหารมันก็เกิดมาจากดินทั้งนั้นล่ะ มันต้องเกิดมาจากดิน มันต้องเกิดมาจากการเพาะปลูก ถ้ามันเกิดมาจากการเพาะปลูกแล้วนี่ เราจะแสวงหาอย่างไร เพื่อดำรงชีวิตของเราเห็นไหม ถ้าไปสู่ความจริง มันจะเป็นความจริงของมัน ถ้าโลกเขาจะเจริญ คุณภาพชีวิตของเขามันจะดีขนาดไหน มันก็เรื่องของเขา แต่คุณภาพชีวิตของเรานี่ เราจะค้นคว้า เราจะค้นเข้าไปสู่รากเหง้า เราจะค้นคว้าเข้าไปถึงหัวใจของเรานี่ มันจะทุกข์จะยาก ทุกข์ยากเพื่อดัดแปลงตน เพื่อชำระตนเห็นไหม

มักน้อย! ได้มาเท่าไรก็มักน้อย... ยังต้องสันโดษนะ... สันโดษแล้วยังต้องมักน้อยอีก สันโดษตามมีตามได้ พอตามมีตามได้นะ ตามมีตามได้ก็เต็มบาตรมาทุกวันล่ะ จะฉันบาตรหนึ่งมันก็ท้องแตก นี่!สันโดษไง ได้บิณฑบาตมาแล้วยังมักน้อยอีก เอาพอเฉพาะอย่าให้ง่วงเหงาหาวนอน เอาพอชีวิตนี้ดำรงอยู่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้นะ เวลากินข้าวนี่ ให้กินเหมือนยอดเกวียน ให้ล้อเกวียนไม่มีเสียงดังเท่านั้นน่ะ นี่เราดำรงชีวิตของเราเท่านั้นเอง ถ้าดำรงชีวิต ไอ้สิ่งนั้นมันเป็นส่วนเกินทั้งนั้นเลย ถ้าส่วนเกินขึ้นมานี่ ไม่มีมันเราก็ไม่ทุกข์ เห็นไหม

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาบวชพระ บริขาร ๘ บริขาร ๘ ก็ปัจจัย ๔ อ่ะ

บาตรก็คืออาหาร

ผ้าก็คือสิ่งนุ่งห่มอาศัย

กลดต่างๆ นี่มันก็แค่หาที่นอน

แล้วฉันยาด้วยน้ำมูตรเน่า

การดำรงชีวิตมันต้องมีปัจจัย ๔ การดำรงชีวิตมันต้องมี ถ้าดำรงชีวิตไม่ได้ ชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าชีวิตอยู่ไม่ได้จะเอาอะไรไปประพฤติปฏิบัติ

การประพฤติปฏิบัติต้องมีชีวิตมาประพฤติปฏิบัติ มีหัวใจมาประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธปัจจัย ๔ นะ แต่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันพุ่งไปข้างหน้า แล้วพอพุ่งไปข้างหน้านี่ เราถึงตอบว่าเราจะมักน้อยสันโดษของเรา เราจะดำรงชีวิตของเราเห็นไหม นี่พอขึ้นมานี่ มันลำบาก

ถ้าอะไรมันง่าย พอเสียงว่าคำว่ามันง่าย แล้วมันง่ายขึ้นมาแล้วมันจะมีมรรคมีผล แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ

อาหารนะ ดูสิ หุงด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าต่าง ๆ มันสะดวกสบายจริงไหม? จริง! แล้วกินเข้าไปทำไม กินเข้าไปก็ถ่ายออกหมดล่ะ มันก็เท่านั้น

แล้วหัวใจล่ะ หัวใจมันมีอะไรขึ้นมาล่ะ เกิดในปัจจุบันนี้ พลังงานไม่มีในโลกเลย อดตายครึ่งโลกแล้ว มันหุงข้าวไม่เป็น มันทำไม่ได้แล้ว คนมันต้องหุงหาของมันนะ ถ้ามันไม่มีพลังงานเลย เขาต้องหุงหาด้วยฟืน ด้วยถ่าน จะหุงข้าวกันเป็นไหม หุงข้าวกันไม่ได้แล้ว นี่มันดำรงชีวิตก็ดำรงชีวิตนะ แต่วิชาการ แต่การดำรงชีวิตของเรา เราต้องมี ฉะนั้น ไอ้ความว่าเรียบง่าย ไอ้ความว่าสะดวกสบายนี่...

แล้ว อู๋... เขาบอกว่า “พระโสดาบันเต็มวัดเลย!”

กูบอก “โซดาตราสิงห์ ไม่เชื่อหรอก!!!”

เพราะการประพฤติปฏิบัติของคนเรา ดูนะ ดูสัตว์สิ สัตว์เดรัจฉานนะ ดูฟาร์มไก่ ฟาร์มสัตว์ เขาเลี้ยงสัตว์ ทั้งสัตว์บกสัตว์น้ำนี่ เขาเลี้ยงมหาศาลเลย มันแปลงเป็นคนได้ไหม... สัตว์น้ำมันเป็นคนได้ไหม... สัตว์น้ำมันคือสัตว์ใช่ไหม... มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน เอาไว้เป็นอาหาร แต่มันก็มีชีวิตนะ มันก็รักชีวิตของมันนะ

คนเห็นไหม ปุถุชนแล้วเปลี่ยนแปลงเป็นพระโสดาบัน พระอริยบุคคลนี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร... สัตว์เดรัจฉานมันจะเปลี่ยนเป็นคนได้ไหม... สัตว์เดรัจฉานมันเปลี่ยนเป็นคนไม่ได้ แต่หัวใจของคนน่ะ ปุถุชนมันเปลี่ยนเป็นพระโสดาบันได้ แต่การเปลี่ยนเป็นโสดาบันนี่ มันเหมือนสัตว์เดรัจฉานเปลี่ยนเป็นคน ถ้าในเมื่อสัตว์เดรัจฉานเปลี่ยนเป็นคนนี่ มันจะเปลี่ยนง่ายๆ อย่างนั้นใช่ไหม

โสดาบันเต็มวัดเลย... เรียบง่ายแล้วโสดาบันเต็มวัดเลย... การปฏิบัตินี่ ๓ ปี เป็นพระอรหันต์หมดเลย... เพราะหนึ่งเรียบง่าย คำว่าเรียบง่ายรัดสั้นนะ คำว่ารัดสั้น... รัดสั้น...ต้องมีผลใช่ไหม...?

พวกเรามันลำบากลำบน พวกธุดงควัตร พวกปฏิบัตินี่มันไอ้พวกหลังเขา ไอ้พวกไม่ยอมรับความเจริญของโลก

ยอมรับ! ทำไมจะไม่ยอมรับ เรายอมรับความเจริญของโลก โลกก็คือโลก แต่หัวใจกิเลสเรามันทุกข์มันยาก ถ้าหัวใจกิเลสเราทุกข์เรายาก นี่เครื่องมือเห็นไหม อริยสัจ สัจธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ เครื่องมือที่จะไปชำระกิเลส มันไม่ใช่เครื่องมือแบบโลกๆ นี้นะ เครื่องมือแบบโลกๆ นี่คุณภาพชีวิตก็ดำรงชีวิตได้สะดวกสบายเท่านั้นล่ะ ยิ่งสะดวกสบายกินอิ่มนอนอุ่น กิเลสก็ตัวอ้วนๆ โอ๊ย... โสดาบันนะ... โสดาบันปฏิบัติเรียบง่ายนะโสดาบัน ตีหน้าผากเลย... เอาโซดาตราสิงห์แปะไว้หน้าเลย... เพราะเรียบง่าย

เรียบง่ายต้องมีผลใช่ไหม ถ้าเรียบง่ายไม่มีผลเขาก็ไม่ไป ทำไมมันไร้เดียงสาอย่างนั้นล่ะ ในการทำธุรกิจเขาบอกว่าไม่ใช่การสงเคราะห์ ไม่ใช่การทำทานนะ ทำธุรกิจของเขาๆ ก็ต้องมีหวังผลกำไร เขาต้องหวังให้ธุรกิจของเขาอยู่ได้ เขาจะอยู่ของเขาได้เห็นไหม

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ในการกระทำสัจจะความจริง เราลงทุนลงแรงขึ้นมานี่ การกระทำของเรานี่ มันเปี่ยมไปด้วยอริยสัจ มันสัจจะความจริง ด้วยอริยมรรคนี่ มันจะเกิดขึ้นมา เราต้องเตรียมความพร้อมของเรา ถ้าเราทำเตรียมพร้อมของเรานะ มันก็มนุษย์

ดูสิ เรามาจากแตกต่างหลากหลายพื้นที่ พื้นที่ลุ่มเหมาะกับการทำนา ดูสิ ทุ่งอยุธยา ทุ่งภาคกลาง ทุ่งปทุมฯ นี่ พื้นที่นี้เหมาะสมในการทำนา

ทางเมืองจันทร์พื้นที่เหมาะสมกับการทำสวนผลไม้

พื้นที่แต่ละพื้นที่มันก็ไม่เหมือนกัน พื้นที่แต่ละพื้นที่เขาก็ทำประโยชน์อย่างนั้น หัวใจของคนนะ พื้นที่ในใจของคนมันทำงานมันจะเอาอะไรมาเหมือนกัน มันเหมือนกันเป็นไปไม่ได้หรอก ความเหมือนเป็นไปไม่ได้

นี่ เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะสั่งสอน ท่านจะดูพื้นที่ ท่านจะดูความเป็นไป ความเป็นจริงของหัวใจ มันจะทำได้จริงหรือไม่ได้จริง ว่าเรียบง่ายๆ มันก็เอาข้าวพลาสติกไปปักไว้บนเขานั่นไง มันก็ได้แต่ข้าวพลาสติก หรือดอกไม้เทียม ดอกไม้สิ่งเทียมความจริงมันเป็นพลาสติกใช่ไหม...? มันไม่บูดไม่เน่า แต่ข้าวมันเป็นสิ่งที่มีชีวิต มันต้องเจริญงอกงามของมัน มันจะออกรวงของมัน มันจะออกมาเป็นอาหารของมัน อาหารของเราเพื่อดำรงชีวิตของเรา

ในการประพฤติปฏิบัติ ในการกระทำของเราขึ้นมา เราต้องได้ลิ้มรสของความสุข เราต้องได้ลิ้มรสของสัมมาสมาธิ เราได้ลิ้มรสของปัญญา ปัญญาที่เข้ามาชำระล้าง เข้ามาถอดถอน เข้ามาทำลายของเรา มันมีการทำเหมือนเราได้ปลูกข้าว ได้กินข้าว ได้หุงข้าว

ไอ้ของเขานี่ ไอ้ต้นไม้พลาสติกเห็นไหม ดูสิ ไปปักไว้นี่ หลอกให้เขามาชมสวน หลอกคนให้มาเก็บกินได้ นี่เรียบง่ายไม่ต้องทำอะไรเลย มันไม่บูดไม่เน่า ปักไว้น่ะ มันอยู่อย่างนั้นเลยนะ เขาไปเที่ยวนะ เขาไปเห็นหมดเลยนี่ แล้วมันเป็นความจริงไหมล่ะ

เราถึงบอกว่าสังคมมันอ่อนแอ เด็กมันไร้เดียงสา ทั้งๆ ที่เรียนปริญญาตรีกันนะ มันอ่อนแอ พออ่อนแอเห็นสภาวะแบบนั้นนะ ก็เชื่อถือมั่นคง เชื่อว่าเป็นความจริง แล้วเวลาเราไปพูดนี่ เขาเสียใจนะ บางคนเสียใจร้องไห้

“ก็หนูว่ามันดี! ก็หนูว่ามันดี!”

เราบอก “ไอ้เด็กโง่!! มึงทำไมไม่ใช้ปัญญาของมึงเลย”

ความดีของเรานะ จริง! ไอ้เด็กโง่นี่มันก็เข้าใจของมันใช่ไหม...? จิตใจอ่อนแอใช่ไหม...?

เหมือนคนเรานี่ คนจิตใจอ่อนแอ เขาตกทอง เขาเอาทองปลอมมาหลอกว่าเส้นใหญ่ๆ ถอดทองจริงให้เขาไปเลย

แต่ไอ้คนเข้มแข็งนะ ไม่มีใครหรอกที่จะเอาลาภมาให้เรา ถ้าทองคำของเรานี่ เราซื้อมาด้วยมือของเรา ยังไงๆ ก็ไม่ออกจากคอหรอก ไอ้ลาภอย่างนั้นต้องมาดูก่อน ไอ้ทองคำเส้นนี้มันของจริงนี่ ซื้อมากับมือนี่ ไม่ให้ออกจากคอเด็ดขาดเลย แต่เพราะไอ้ความโลภเห็นไหม ไอ้เส้นนั้นเส้นใหญ่ มันถอดจากคอให้เขาเลย!! เพื่อไปเอาของปลอมนั้นมา ถ้าจิตใจมันไม่มั่นคง ถ้าจิตใจมันอ่อนแอ ด้วยความโลภเห็นไหม เห็นทองเส้นใหญ่ถอดเลย

การประพฤติปฏิบัติ การที่จะเห็นข้อวัตรปฏิบัติ เขาดีหรือไม่ดีนี่ มันเป็นจริงหรือเปล่า เราอ่อนแอเราจะเชื่อเขานะ เราบอกการเชื่อเขานี่...เรารับรู้ข้อมูลไว้เยอะ ผู้ที่ไปปฏิบัติแล้วหลุด แล้วบ้านี่ มันหลายคน เราบอกว่า เพราะมันบ้าแล้ว เราถึงบอกว่า ถ้าเราหลงใหลกันไปอย่างนี้ ชีวิตของเรากับที่เห็นว่ามันเรียบง่าย มันสะดวกสบาย กับหลุดบ้าไปนี่ ชีวิตเรานี่ เราแลกด้วยชีวิตเรามาทั้งชีวิตเลย... ไอ้ทองนี่มันถอดทองให้เขา ชีวิตมันยังอยู่นะ ไอ้นี่แลกชีวิตเราเลย! หลุดเลย! เสียคนไปเลย!

เวลาเราเตือนนี่ มันเห็นชัดๆ ของมันเห็นอยู่นี่ มันควรจะคิดได้อยู่แล้ว แล้วเวลาไปเตือนนี่มันมีเหตุมีผลให้เห็นๆ ใช่ไหม แล้วทำไมตัวเองยังเชื่ออยู่นะ ทำไมมันอ่อนแอขนาดนี้ ทำไมมันไม่มีวุฒิภาวะขนาดนี้ เห็นแล้วเศร้าใจ สงสารก็สงสาร พอสงสารพูดออกไป เขาก็เสียใจ เขาเสียใจของเขา เขาเจ็บปวดของเขา แต่คนที่โดนหลอกมา คนที่หูตาสว่าง ยุใหญ่เลยนะ ให้พูดเยอะๆ ยุใหญ่เลย ข้างหนึ่งเสียใจ อีกข้างหนึ่งยุใหญ่เลย เพราะอะไร เพราะเขาต้องการของเขา นี่จิตใจของคนไม่เหมือนกัน

ดูสังคมสิ ดูความเป็นไปสิ แล้วย้อนกลับมาดูเรา ดูเวลาเราคิดผิดสิ ดูเวลาเราคิดถูกสิ ดูหัวใจเรา แล้วดูหัวใจนะ แล้วดูตั้งสติของเรา เราอย่าพึ่งเชื่อสิ่งใด เราต้องพิสูจน์เห็นไหม

กาลามสูตรนี่ย้ำประจำ กาลามสูตร! กาลามสูตร! พิสูจน์ตรวจสอบเพื่อประโยชน์กับชีวิตเรา อย่าให้มันถึงกับเสียหายไป เวลาเขาสอน เราก็เข้าใจ เวลาอริยสัจ เวลามรรค เราก็พูดไปตามมรรคใช่ไหม แต่เขาโน้มน้าวไปไง

นิพพานจะเป็นว่างๆ... นิพพานมันอยู่สุขาวดี... สภาพเป็นอย่างนั้นนะ

ไอ้นี่ก็จินตนาการเลยนะ โอ้โฮ... นิพพานนะ…

เดี๋ยวก็หลุด!

แต่ถ้ามันเป็นความจริง ครูบาอาจารย์เขาไม่เทศน์อย่างนั้น เขาเทศน์เริ่มตั้งแต่พื้นฐานเลย เอ็งมีเท้าไหม? มีเท้าก็ยืนขึ้นมาสิ เท้าเอ็งยืนขึ้นมาแล้วเอ็งจะเดินอย่างไร ก้าวเท้าออกไปสิ แล้วก้าวเท้าเป้าหมายมึงถึงไหม นี่ไง มันเกิดจากหัวใจ เกิดจากการกระทำ สัมมาสมาธิเราก็ต้องสัมผัส เราก็ต้องรู้ของเรา แล้วพอจิตมันพัฒนาของมัน มันต้องรู้การพัฒนาของมัน แล้วเราเป็นคนก้าวเท้าเอง ใครจะมาบอกว่าเราไม่ได้ก้าว เราเป็นคนยืนขึ้นมาเอง แล้วใครบอกว่าเอ็งไม่ได้ยืน

จิตของเราเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นสัมมาสมาธิขึ้นมาเอง ใครจะพูดอย่างไร เราก็ยืนอยู่นี่ !

แล้วเวลาปัญญามันก้าวเดินออกไป เราก็รู้อยู่ หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์เห็นไหม เทศน์ถึงสัมมาสมาธิ เทศน์ถึงขั้นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล เป็นมรรคเป็นตอนขึ้นไปนะ แล้วพระนั่งไป ภาวนาอยู่ ปฏิบัติอยู่ จิตใจของคนอยู่ที่ระดับไหนนะ มันจะรอเกาะแต่ละระดับที่สูงขึ้น ๆ ๆ เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่! ครูบาอาจารย์เวลาท่านเทศน์ ท่านสอนอย่างนี้ ! สัจธรรมมันเป็นอย่างนี้ !! อย่างนี้!! อย่างนี้!!

แล้วหัวใจเราเวลาประพฤติปฏิบัติ ขั้นตอนของมันจะเป็นอย่างนี้ๆ ขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนอย่างนี้ มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก จากใจดวงนั้น มันเป็นของมันเองด้วยการกระทำ มันเป็นของมัน

ไม่ใช่ว่าแหม.. เพริศแพร้วนะ โอ้ยย สุขาวดีนู่นน.. นิพพาน นู่นน..

ไอ้นี่ก็จินตนาการไปเลยนะ บ้า!

มันอัดอั้น เพราะมันมีผลกระทบกลับมา เพราะว่าเห็นสังคมไง แล้วเวลาไปพูด ฝ่ายหนึ่งก็เสียอกเสียใจ อีกฝ่ายหนึ่งก็.. รู้แล้ว เพราะโดนหลอกแล้ว เข้าไปสัมผัสแล้ว สึกออกมา บางคนบอกว่า ผมบวชแล้ว แล้วสึกออกมาแล้ว ก็มานั่งอยู่นี่ นั่งต่อหน้า เขาก็พูดของเขา เพียงแต่ว่า พวกนี้เขาไปรู้ของเขา แต่เขาเหมือนกับเด็ก มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายใช่ไหม เรารู้อยู่ว่าผิด แต่จะอธิบายอย่างไรว่ามันผิดล่ะ เรารู้อยู่ว่าอันนี้มันไม่ถูก แล้วจะพูดว่ามันไม่ถูกอย่างไร ก็พูดไม่เป็น

เราถึงพูดให้ฟัง แล้วเราพยายามยืนหลักให้ฟังว่า ถูก-ผิดอย่างนี้ แล้วทำอย่างนี้ แล้วว่ากันไป ตอนนี้เป็นอย่างนี้เยอะ แต่เดิมคนไม่เชื่อเรื่องมรรคผลนิพพาน เขาบอกว่า ไปปฏิบัติแล้วบ้าหมด หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิต เพื่อพิสูจน์ความสัจจริง ท่านเทศนาว่าการให้สังคมยอมรับว่า มรรคผลมันมีจริง

แล้วพวกบ้าบอคอแตกก็ ว่างๆ ว่างๆ บ้าบอคอแตกกันนี่

เพราะว่าสังคมเขาเชื่อแล้วไง พอความเชื่ออันนี้มันก็เชื่อถลำไปว่ามันต้องเป็นความจริงอย่างนั้นๆ แต่เชื่อนี่มันก็ต้องพิสูจน์ให้มันเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงได้ก็เป็นจริง ถ้ามันเป็นจริงไม่ได้ เราก็ต้องตรวจสอบก่อน ให้ฟังข้อมูลหลายๆ ด้าน เราแนะนำเลย บอกว่าให้ฟังข้อมูลหลายๆ ด้านสิ ไปหาครูบาอาจารย์สิ ฟังข้อมูลความตรงข้าม แล้วมาตรวจสอบกัน แล้วเราใช้ปัญญาของเรา ใคร่ครวญของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อชีวิตของเรา เพื่อความจริงของเราเนาะ เอวัง