เทศน์เช้า

พลังงานที่มีชีวิต

๓o พ.ย. ๒๕๔๒

 

พลังงานที่มีชีวิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

จิตมันเป็นของจริง ความจริงไง จิตนี่เป็นของจริง แต่มันเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา การเกิดนั้นเป็นของปลอม ของปลอมครอบของจริงไว้ไง จิตนี้เป็นของจริง พลังงานที่เขาว่า พลังงานทางวิทยาศาสตร์ ทำให้มนุษย์นี้เป็นแค่ถ่านไฟฉายก้อนเดียว แต่ถ่านไฟฉายนั้นมันใช้แล้วมันหมดไหม ถ่านไฟฉายใช้แล้วหมดก็ไปตากแดด มันยังมีไฟขึ้นมาอีกหน่อย ก็ใช้แล้วหมดไป พลังงานอันนั้นมันเป็นพลังงานสมมุติ มันเป็นพลังงานเพราะว่าทางวิทยาศาสตร์อัดพลังงานเข้าไปในแบตแห้งไง

แต่พลังงานของจิตนี้ ไออุ่นเห็นไหม ชีวิตนี้คือไออุ่น คือตัวพลังงาน ไออุ่นนั้นตั้งอยู่บนอายุ ตั้งอยู่บนการสืบต่อที่ไม่มีวันที่สิ้นสุด ถ่านเป็นแบตเตอรี่แห้ง หรือพลังงานไฟฟ้าทั้งหลาย พลังงานนั้นต้องแปรสภาพหมด พลังงานนั้นเป็นสมมุติ พลังงานสมมุติกับพลังงานวิมุตติมันต่างกัน พลังงานที่เป็นวิมุตติ พลังงานมีชีวิต พลังงานสืบต่อ มันตั้งอยู่บนอายุ คือการสืบต่อตลอดเวลาที่ไม่มีวันที่สิ้นสุด กับพลังงานแบตแห้ง มันถึงว่ามันสิ้นสุด แต่ทำให้คนเป็นอย่างนั้น นี่คิดแบบวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คิดได้แค่นั้น วิทยาศาสตร์นี่เป็นสมมุติ สมมุติเพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ แต่วิมุตตินี่มันเทียบเป็นสมมุติไม่ได้เลย สมมุติบัญญัติไง จิตนี้ถึงเป็นของจริง นิพพานนี้ก็เป็นของจริง ถึงของจริงกับของจริงเข้าด้วยกัน

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายคือพลังงานแห้งอันนั้น มันให้พลังงานอยู่ แต่พลังงานนี้ต้องขับเคลื่อนไป ถ้าพลังงานไม่ขับเคลื่อนไป พลังงานนั้นก็จะหมดไป นี่เหมือนกัน ความเพียร ความตั้งใจอุตสาหะ มันต้องทำตลอดไป ไม่ใช่ว่าทำแค่...เดี๋ยวมันก็หมดไป ความตั้งขึ้นมาได้ เห็นไหม นี่ความจริง ความจริงเข้ากับความจริง ใจนั้นเป็นของจริงอยู่แน่นอน ใจนี่เป็นของจริง

ธรรมะก็เป็นของจริง แต่ธรรมะเป็นของจริง ธรรมะที่ว่าเป็นบัญญัติสืบต่อขึ้นไป ถึงสุดท้ายแล้วจริงเหนือจริงเลย เหนือสมมุติทั้งหมด นั่นน่ะ พ้นจากของปลอมไป ของจริงมันจริงอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่ไม่มีใครสามารถขุดคุ้ยขึ้นมาได้ ไม่มีใครสามารถเปิดเผยขึ้นมาได้ ธรรมะถึงมีอยู่ ธรรมะถึงไม่เคยเสื่อม ธรรมนี้ไม่เคยเสื่อม ไม่เคยแปรสภาพ ธรรมนี้มีอยู่ พระพุทธเจ้านี้พูดเป็นของจริง ธรรมนี้มีอยู่ดั้งเดิม พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมา ๓ องค์ในกัปนี้ไง สมณโคดมเป็นองค์ที่ ๔ พระศรีอริยเมตไตรยเป็นองค์ที่ ๕ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ตรัสรู้มาแล้วตายไป แล้วก็มาตรัสรู้ใหม่ นี่ ธรรมะนี้มีอยู่ดั้งเดิม

วิมุตติมีอยู่ดั้งเดิม ธรรมนั้นมีอยู่ดั้งเดิม แต่มันโดนปกคลุมไว้ด้วยของปลอม อารมณ์ ความคิด ความเกิดของเรา เกิดขึ้นมาได้สภาวะอะไรขึ้นมานี่ของปลอม ปลอมตรงนี้ไง ปลอมคือเราคิดของปลอม ของปลอมคือมันเหมือนกับแบตแห้งนั่นไง มันใช้แล้วหมดไป ความสุขหรือความคิดของเราเกิดขึ้นมาแล้วมันอยู่ได้ไม่นานหรอก อย่างมากก็อยู่สัก ๑๕ วันหรือเดือนหนึ่ง ถ้ามีความสุขอยู่มากๆ มันต้องจางไป แล้วต้องหาความสุขมาเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ของปลอมไง ของปลอมเข้ากับของปลอม ของจริงมีอยู่ แต่โดนของปลอมปกคลุมหุ้มห่ออยู่

ทุกคนมีจิต มีหัวใจ จิตนี้เป็นภาชนะเข้าไปรับธรรม พลังงานของจริงโดนของปลอมปกคลุมอยู่ไง แล้วเราพยายามจะมาชะล้างของปลอมออก เปิดของปลอมออกจากใจให้ได้ แล้วของจริงนั้นถึงจะเป็นอิสระกับตัวมันเอง แล้วของจริงสิ่งนี้มันอยู่ในหัวใจทุกๆ ดวงที่เป็นมนุษย์ อยู่ในหัวใจสัตว์ อยู่ในสิ่งมีชีวิต สิ่งนี้ต้องมีอยู่ สิ่งนี้ขับเคลื่อนอยู่ มันถึงเกิดตายๆ การเกิดตายๆ ไปนี่ มันมีของจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่การเกิดทุกครั้งของปลอมห่อหุ้มทันทีเลย เกิดในเทวดาก็วิญญาณของเทวดา ในขันธ์ของเทวดาห่อหุ้มจิตดวงนั้นไว้ เกิดเป็นพรหมเห็นไหม ขันธ์เดียว ขันธ์เดียวมันก็ยังมีสิ่งห่อหุ้มอยู่ มันเป็นเฉา เป็นพลังงานที่ชัวร์ๆ เลย ผัสสะนี่ ชีวิตของพรหมมันเป็นผัสสะ แต่ก็โดนของปลอมที่มันละเอียดอ่อนปกคลุมไว้

ยิ่งมันละเอียดอ่อน แล้วมันยิ่งทำยากขึ้นไปเพราะอะไร? เพราะนโยบาย กำหนดนโยบาย ผู้บริหารกำหนดนโยบายมา แต่แล้วผู้ที่ปฏิบัติล่ะ จิตมันคิดได้แต่มันไม่มีขันธ์สืบต่อ มันยิ่งลำบาก มาในเทวดาก็เหมือนกัน ความคิดได้แต่ไม่รู้ไง ความเศร้า ความหมอง ตอนเทวดาจะจุติ โอ้โห...ยิ่งทุกข์มากเลย แต่ไม่มีธรรมะ แต่พอมาเกิดเป็นมนุษย์ ถึงว่ามนุษย์สมบัติถึงเป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อย่างมาก เพราะว่ามันมีสุขมีทุกข์ มีสุขมีทุกข์มันเทียบเคียงได้ มันสัมผัสได้

เพราะว่ามันมีอิสรเสรี เพราะมันทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์เพราะอะไร? เพราะร่างกายกับใจมันต่างกัน ใจอยู่เฉยๆ แต่ใจมันไม่เคยตาย หิวโหยขนาดไหนก็ไม่ตาย มันกินอารมณ์เป็นอาหาร แต่มันตายไม่ได้หรอก แต่ที่พอมันสวมเข้าในมนุษย์สมบัติ ไอ้ร่างกายนี่มันจะทำให้ตาย ร่างกายนี่ถ้าเราขาดอาหารร่างกายนี่ต้องแปรสภาพ ขาดน้ำเดี๋ยวก็ตายแล้ว นี่ไอ้สุขกับทุกข์ กายกับใจมันอยู่ด้วยกัน มันถึงจะเทียบเคียงได้ ถึงให้วิปัสสนาไง ให้เห็นที่กายนี่สำคัญที่สุดเลย ที่นี้จิตมันสงบอยู่ ความจริงมันเกิดขึ้นชั่วคราว เห็นไหม พลังงานนี่ใช้หมด มันเข้ากันได้กับไอ้แบตแห้งอันนั้น

แบตแห้งมีอยู่ ไม่ใช้เก็บไว้มันก็เสื่อมสภาพ มันต้องหมดไป แบตแห้ง ถ่านไฟฉายเก็บไว้มันจะมีไฟตลอดไป เป็นไปไม่ได้ มันต้องหมดไป ความเพียรที่เกิดขึ้นมา มันก็เกิดขึ้นมา มันมีความสุขอยู่ชั่วคราว มีความอิ่ม มีความพอใจอยู่ชั่วคราว แต่มันไม่เป็นอกุปปะ ถึงเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ก็จริงอยู่ แต่เป็นอกุปปะที่ไม่ตกมาจากความเสื่อมนั้น การเกิดอกุปปะได้ขึ้นมาก็ต้องวิปัสสนาตรงนี้ไง ตรงกายกับใจ ตรงเหตุฐานที่เกิด เพราะสิ่งนี้มันมีความจริงโดนปกคลุมไว้อยู่ ความจริงของใจโดนของปลอมปกคลุมไว้อยู่ แต่เราไม่สามารถเปิดของปลอมออกได้ ต้องใช้วิปัสสนาญาณนี้ เห็นไหม

กิจที่ควรทำ เราได้ทำแล้ว สัจจะความจริงที่มีอยู่นี่ อริยสัจนี้ สัจจญาณ กิจจญาณ สัจจะมีอยู่ เราไม่สามารถจับสัจจะนั้นได้ สัจจะมีอยู่ เห็นสัจจะไหม สัจจะ อริยสัจ สัจจะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นกายเห็นใจไหม ใครเห็นกายได้คือเห็นสัจจะ นี่สัจจญาณเกิดไง สัจจะเกิดขึ้น อู๊ย...ขนพองสยองเกล้านะ อู้หู อู้หู ไอ้ตากับมือล้างหน้าทุกวัน ไอ้ตากับหนังตามันติดกันอยู่ตลอดเวลา ไอ้ตากับเปลือกตานี่มันเห็นกันอยู่ แต่มันไม่เห็นกาย เพราะว่าตานี่มันก็เป็นวิญญาณกระทบ รูปะ รูป กระทบกับดวงตา มันกระทบกันอยู่ แต่ไอ้วิญญาณรับรู้ของใจนี่สิที่มันไม่เห็นกัน มันใกล้เกลือกินด่าง

นี่ก็เหมือนกัน กายกับใจอยู่ด้วยกัน อาศัยอยู่ด้วยกัน ของปลอมกับของจริงมันปกคลุมกันอยู่ แล้วถ้าพิจารณาจิตก็เหมือนกัน แม้แต่จิตก็ยังมีขันธ์ปกคลุมมันอยู่ ถ้าพิจารณาจิต ขันธ์คือความคิดของเรานี่ ปกคลุมความจริงอยู่ ความคิดของเรานี่เกิดดับๆ นี่มันเป็นของปลอมหมดเลย ของปลอมปกคลุมความจริงอยู่ แล้วเราจะไปอาศัยของปลอมเป็นของจริงได้อย่างไร อาศัยของปลอมคือว่า ขี้เกียจ ไม่อยากทำ ความอยู่กับอารมณ์ของตัวเอง นี่ของปลอม ของจริงมันเห็นไหม ความวิริยะ อุตสาหะ เป็นมรรคไหม มัคคะอริยสัจจัง เห็นไหม ความเพียรชอบ การงานชอบ นี่สัมมากัมมันโต การงานชอบ

ความเพียรชอบ ความเพียร การงาน ความดำริชอบ ดำรินี่ความขยันหมั่นเพียร มันถึงจะเป็นของ เป็นบัญญัติ มันพ้นจาก ยกขึ้นมาสูงกว่าของปลอมแล้วนะ ของปลอมคือความคิดของเรา ความเห็นของเรา นี่เป็นของปลอมทั้งหมดเลย มันปกคลุมความจริงอยู่ แล้วบัญญัตินี่ สุตะ จินตะ ภาวนามยะ เห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ตอนนี้มันเป็นได้สุตมยปัญญามา แล้วความเห็นเกิดขึ้น แต่ถ้ามันยังไม่เจอสัจจะ เจอสัจจะคือเห็นกายกับใจ ไอ้หนังตากับเปลือกตาอยู่ด้วยกันมันไม่เห็น แต่เห็นกายจะขนพองสยองเกล้า การเห็นกายนี่จะขนพองสยองเกล้า แล้ววิปัสสนา นั่นล่ะกิจที่ควรทำ

กิจที่ควรทำจะเข้าไปหาหลักความจริงไง หลักความจริงโดนของปลอมปกคลุมอยู่ นี่ธรรมะมีอยู่แล้ว มีอยู่กับไอ้สัจจะ มีอยู่กับไอ้ความจริงอันนี้ แต่มันโดนของปลอมปก ของปลอมคือความคิดของเราไง เห็นตามจริงหมดเลย คนเราเกิดมาแล้วต้องตาย สลดสังเวชนะ มันเปลือกเกินไป มันไม่เห็นสัจจะ มันไม่ใช่สัจจญาณ มันเป็นของปลอมปกคลุมไง ของปลอมหลอกของปลอม ว่าฉันรู้ ฉันเห็น ฉันเข้าใจ เห็นไหม ความเข้าใจนี้เข้าใจจากสุตะ เพราะว่ายืมพระพุทธเจ้ามา ฟังครูบาอาจารย์มา แล้วไตร่ตรองมา แต่ถ้าความจริงมันจะเกิดขึ้น คือเห็นสัจจะอันนี้ขึ้นมาก่อน เห็นสัจจะ

ฟังนะ! เห็นสัจจะ เห็นสัจจญาณเกิดขึ้น กิจจญาณเกิดขึ้น สัจจะเกิดขึ้นแล้วต้องวิปัสสนาให้ได้ การวิปัสสนานั่นล่ะเป็นบัญญัติ มันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป แต่ต้องเกิดขึ้น เพราะตัวมันเองเป็นไตรลักษณ์อยู่แล้ว เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ความเพียรนี้ ความอุตสาหะ ทุกข์มาก... ความทุกข์ในการสร้างคุณงามความดี ทุกข์มากเพราะกิเลสมันขัดขวาง นี่ความทุกข์เกิดขึ้น ความเพียรเกิดขึ้น มันหมุนไปไง นี่วิปัสสนามันจะเกิดขึ้น ความเกิดขึ้น เกิดขึ้นที่ไหน? เกิดขึ้นที่ใจ มันเป็นบัญญัติที่หมุนไป จะล้างความปลอมของมัน

จะล้างความปลอมของใจให้ความจริงคือหัวใจพ้นออกไปจากขันธ์ ขันธ์นี่ขาดออกไปจากใจนะ กิจจญาณเกิดขึ้น แล้วสัจจญาณ กิจจญาณ จนวงรอบของ ๑๒ วงรอบ ๑๒ ธรรมจักรน่ะ พระพุทธเจ้าถึงได้ปฏิญาณตน ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าปฏิญาณตนแล้ว เพราะกิจนี้ทำแล้ว ให้ปัญจวัคคีย์น้อมใจเชื่อลงฟัง แล้วพอพระอัญญาโกณฑัญญะทำตามความเป็นจริง ยังเปล่งอุทานออกมาอีกเห็นไหม มันเป็นเครื่องยืนยันว่าคนอื่นก็ทำได้ แต่เดิมว่านี่มันสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่มีใครสามารถทำได้

พระพุทธเจ้าถึงว่า “ไม่อยากสอน” แต่พอมาสอนแล้วพระอัญญาโกณฑัญญะรู้ขึ้นมา มันอุทานขึ้นมาเลยนะ “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” เห็นไหม มันสามารถรู้ได้ จิตดวงอื่นสามารถรู้ได้ ไอ้ความรู้ได้ในหัวใจเราก็มีอยู่ นี่ความรู้ไง ถึงว่าพลังงานตัวนี้มันไม่ใช่พลังงานแบตแห้ง พลังงานแบตแห้งนี่ พลังงานไฟตัวนั้นมันหมดไป มันเป็นอนิจจังเหมือนกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป แต่มันไม่มีธาตุรู้อีกตัวหนึ่ง มันเป็นธาตุ มันเป็นพลังงาน แต่ไอ้ธาตุรู้ ไอ้ความรู้ ไอ้ตัวรู้ ตัวชีวิตไง มันไม่มีชีวิต มันไม่มีตัวสัมผัส มันไม่มีตัวชีวิตตัวรับรู้ แต่ของเรามันมีธาตุ ๖ อากาศธาตุ แล้วมีธาตุรู้อีกตัวหนึ่ง

ตัวธาตุรู้เป็นธาตุมีชีวิตแล้วรับรู้อยู่ เป็นสสารเลย จิตตัวนี้เป็นสสารเลย แล้วมันรับรู้ตัวนี้ไง แต่มันเป็นโดนของปลอมปกคลุมอยู่เฉยๆ แล้วนี่กิจจญาณเกิดขึ้น หลุดออกไป ธรรมจักรเกิดขึ้น หมุนเข้าไป เป็นไตรลักษณ์ซ้อนไตรลักษณ์ ของจริงมันเป็นไตรลักษณ์อยู่ มันก็เป็นไตรลักษณ์ แต่ของปลอมมันเป็นไตรลักษณ์อยู่ เห็นไหม ของจริงหมายถึงว่า ในเนื้อหาสาระของมันก็เป็นไตรลักษณ์ มันเป็นไตรลักษณ์โดยธรรมชาติของมัน ของจริงคือตัวมันเองต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

แต่นี่ว่าไอ้ธาตุรู้ไปเห็นความเป็นจริงเลย นี่สัจจญาณเกิดขึ้น จนหัวใจมันเห็นความเป็นจริง มันขาดออก ขาดเพราะอะไร? เพราะความฉลาดมันเกิดขึ้น วิชชาเกิดขึ้น พอวิชชาเกิดขึ้นว่า สิ่งที่ถูกงัดอยู่นี้ สังโยชน์มันปิดไว้เพราะมันไม่รู้ คนรู้มันต้องสละได้ มันหมุนเข้าไป พอมันสละ มันรู้จริง มันเห็นจริง มันจะสลัดทิ้งทันทีเลย มันสลัดโดยธรรมชาติของมัน ธาตุนี้หลุดออกมาชั้นหนึ่ง สังโยชน์ขาดออกไป นี่ไง ถึงว่าตัวจริงคือตัวของมัน มันก็เป็นไตรลักษณ์ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ตัวเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เราต้องสร้างขึ้นมา นี่ตัวจริงคือตัวไตรลักษณ์ แล้วความที่ว่ามันแนบอยู่กับจิต นั้นก็เป็นไตรลักษณ์อีก เป็นของปลอมคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม ถึงว่าฝ่ายมรรคและฝ่ายกิเลสไง

ฝ่ายกิเลสมันก็เป็นของปลอมอยู่แล้ว ฝ่ายมรรคขึ้นมา ในตัวของมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่ามันยังเป็นพาหะอยู่ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา อยู่ ที่ต้องขับเคลื่อนขึ้นไป แต่ไอ้ตัวที่ชำระเข้าไปแล้ว ไอ้ของปลอมที่ปกอยู่ที่ใจนี่ มันโดนพลังงานตัวนี้เข้าไปสะสางออก มันก็เลยเป็นธาตุรู้พ้นออกไปอีกอันหนึ่ง มันถึงว่าไม่ใช่ตัวพลังงานตัวนั้น ตัวพลังงานนั้นตัวมันเอง มันเผาไหม้ตัวมันเอง แล้วมันจะใช้มันเองแล้วหมดไป อันนี้ทำความสะอาดแล้วมันเหลืออยู่ไง เหลือตัวธาตุรู้อยู่ อาจารย์มหาบัวบอกว่า “ธรรมธาตุ” ตัวธรรมธาตุนี้เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเป็นเพราะความฉลาดเกิดขึ้น

ความเกิดขึ้นไป เกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากความสามารถของใจดวงนั้นนะ เกิดขึ้นจากปัจจัตตังรู้จำเพาะตน ครูบาอาจารย์นี้สอนแนะแนวทาง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ชี้ให้คนเดินไป บางคนก็ถึง บางคนก็ไม่ถึง” ชี้ความจริงนี่แหละ บางคนก็ถึง บางคนก็ไม่ถึง บางคนก้าวเดินตาม มันต้องถึง ถ้าชี้แล้วไม่ก้าวเดินตาม ชี้ขนาดไหนมันก็ไม่รู้ มันก็ไม่ถึง นี่การก้าวเดินไป ถึงว่าเกิดจากใจดวงนั้น เกิดจากใจดวงที่ประพฤติปฏิบัติ เกิดจากใจดวงที่จะก้าวเดินออกไปจากใจของเราเอง ก้าวเดินออกไปแล้วย้อนกลับมาดู

ก้าวเดินคือธรรมะมันก้าวออกไป แล้วย้อนกลับมาดูใจของตัว แต่นี่มันไม่ได้ก้าวเดิน มันไหลลงต่ำ สมมุตินี้ทำให้ไหลลงต่ำ พอเราดันขึ้นมาหน่อยมันก็ไหลลงต่ำ ไหลลงต่ำๆ อยู่ตลอดเวลา แต่พอขึ้นถึงระดับกลางนะ มัชฌิมาปฏิปทา! ก้าวขึ้นไป นี่ก้าวออกไป ย้อนกลับมาดู มันต้องขาดได้ ของปลอมเข้ากับของปลอม ของจริงเข้ากับของจริง ของปลอมเข้ากับความขี้เกียจ ความมักง่าย ความไม่เอาไหน แต่ของจริง เห็นไหม จะเข้าหาของจริงต้องมีความวิริยะอุตสาหะ มันถึงเป็นมรรค การงานชอบ ความเพียรชอบ ความดำริชอบ ปัญญาต้องหมุนเข้าไปโดยชอบ ถ้าปัญญามันไม่ชอบ...

(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)