เทศน์เช้า

ความรู้เห็นอนัตตาในกุปธรรมกับอกุปธรรม

๑๒ มิ.ย. ๒๕๔๒

 

ความรู้เห็นอนัตตาในกุปปธรรมกับอกุปปธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรื่องศาสนา นี่เรื่องศาสนามันเป็นพื้นฐานใช่ไหม? แล้วถ้าพอพื้นฐานของคน พื้นฐานของคน แล้วกิเลสของคน เรามีพื้นฐานอยู่ก่อน แล้วเราไปมองสัจธรรมมันเลยมองไม่ออกไง สัจธรรมมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก สัจธรรม สัจจะนี้ก็เป็นเรื่องของความจริงแล้วใช่ไหม? แล้วศาสนาพุทธเรานี่เป็นเรื่องของอริยสัจ

สัจจะกับอริยสัจจะ มันเหนือสัจจะปกติ สัจจะคือวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ แต่นี้มันเป็นอริยสัจ เหนือสัจจะที่พิสูจน์ได้ ขนาดไอน์สไตน์ยังขอ บอกว่าถ้าเกิดตายไปแล้วเกิดมาอยากนับถือศาสนาพุทธ เพราะมันมีเหตุผลอธิบายได้ไง เห็นไหม มันเหนืออริยสัจ แต่พื้นฐานของคนเรา มันมีพื้นฐานแล้วมันต่ำลง มันเลยไปมองอย่างนั้นไง

ทีนี้ย้อนกลับไปก่อน เราจะย้อนกลับไปดูก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ มันมีศาสนาดั้งเดิมอยู่ เห็นไหม พวกศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์เขาแบ่งชนชั้นไว้ ๔ ชนชั้นเลยล่ะ เช่น ผู้ที่ว่าเป็นพราหมณ์นี่เกิดจากปากของพรหม แพทย์เกิดจากมือของพรหม ศูทรเกิดจากเท้าของพรหม พวกจัณฑาลเกิดจากเบื้องต่ำ พวกจัณฑาลไม่มีวรรณะเลย เป็นคนที่ต่ำมาก ต่ำโดยธรรมชาตินะ เป็นธรรมชาติของเขาเลย แล้วห้ามอยู่ ห้ามกินด้วยกัน ใช้ภาชนะชิ้นเดียวกันก็ไม่ได้ อยู่ร่วมกันก็ไม่ได้

มันมีอยู่ นี่หนังสือพิมพ์เพิ่งลงเร็วๆ นี้เอง เราไปอ่านอยู่ มันมีรัฐมนตรีของอินเดียอยู่คนหนึ่งเขาเป็นวรรณะต่ำ เป็นรัฐมนตรีนะ แต่เขาต้องเอาหนังสือเข้าไปเซ็น ต้องผ่านเลขาฯ ของพวกคณะรัฐมนตรีด้วยกัน ทีนี้เลขาฯ เขาเป็นวรรณะที่สูงกว่า เขาเอาหนังสือมาเซ็นเสร็จเขาโยนให้ เพราะรัฐมนตรีเป็นวรรณะต่ำ เป็นวรรณะจัณฑาล รัฐมนตรีนี่เราจำชื่อไม่ได้ จนเขามาถือพุทธไง เขาพยายามจะเรื่องพุทธ

จนปัจจุบันนี้เหตุการณ์อย่างนี้ยังมีอยู่นะ ขนาดเป็นรัฐมนตรี แต่เอาของเขาไป เขาแบ่งกันโดยอัตตาไง โดยความเป็นจริง คนดี คนชั่วเกิดมา คนชั่วหรือคนดีเกิดจากตระกูล เกิดจากชาติ เกิดจากตระกูล พอเกิดแล้ว คนตระกูลดีเกิดแล้วเป็นคนดี ตระกูลที่ไม่ดี เกิดแล้วไม่ดี นี่พราหมณ์เขาแบ่งกันมาอย่างนั้น

ไม่ได้เป็นศาสนาเปรียบเทียบนะ อย่าไปว่าเขา เราไม่ได้ว่าเขาผิด แต่มันเป็นดั้งเดิม เพราะอันนี้มันเป็นการ เขาเรียกว่ามันเป็นชีวิตไง ชีวิตของบุคคลนี่เป็นชีวิต พอเป็นชีวิตใช่ไหม? การสะสมมาของชีวิตมันศึกษามา จำมา นี่สถิติ เขาเป็นอย่างนั้นมา พระพุทธเจ้าเกิดมาก็อย่างนั้น พระพุทธเจ้าเกิดมาในวรรณะกษัตริย์ เกิดมาในวรรณะกษัตริย์นะ แล้วเขาก็ปรนเปรอนะว่าอยากให้เป็นจักรพรรดิ เห็นไหม ไม่ยอม

แต่ด้วยบุญบารมีที่สร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์ ขณะเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็มมา แค่เห็นยมทูต นี่ยมทูต ๔ เห็นเทวดามาทำให้เห็นเด็กมันเกิด ก็คิดว่าเรานี่เกิดมาก็เป็นเรา นี่อัตตา ความคิดว่าเราเป็นกษัตริย์ สุขมาก มีปราสาท ๓ หลัง มีแต่พวกเครื่องแวดล้อม กามคุณทั้ง ๕ เต็มไปหมด เพราะพระเจ้าสุทโธทนะต้องการเอาลูกชายไว้เป็นกษัตริย์

ปรนเปรอนะ มีปราสาท ๓ หลัง ฤดูร้อนก็อยู่หลังนี้ ฤดูฝนอยู่หลังนั้น นี่อยู่ขนาดนั้น แต่คนเรามันเต็มไปด้วยบารมีที่เราสร้างกันอยู่ นี่ชาวพุทธสอนเรื่องสร้างบารมี แต่บารมีธรรมไม่ใช่บารมีวัตถุ บารมีธรรม พรหมวิหาร ๔ เห็นผู้ใดมีความสุข เราดีใจด้วย นี่บารมีธรรม หัวใจต่างหากมันสะสมธรรม ไม่ใช่อย่างอื่นหรอก ทีนี้พอบารมีธรรมเต็ม พอเต็มนี่เห็นเกิดก่อน เห็นยมทูตแสดงการเกิด แก่ พอเจ็บ แล้วตาย เอ๊ะ อย่างนี้เคยมีด้วยหรือ?

คิดดูสิว่าไม่เคยเห็น พระเจ้าสุทโธทนะปิดไว้ไม่ให้เห็น พอเห็นแล้วมันสะเทือนใจไง นี่ฟังธรรม ถ้าคนมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามว่าคนเราไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถึงมีใจออกไง ถึงมีใจเริ่มออกศึกษาไง แล้วก็ไปเห็นพราหมณ์ เห็นพราหมณ์ เห็นผู้ปฏิบัติ ถึงว่าออกมาประพฤติปฏิบัติ ก็ออกมาแล้ว นี่ทุกคนออกมาต้องมีความลังเลสงสัยเพราะเป็นกิเลส

คนเกิดทุกๆ คนนี้เกิดมาด้วยกิเลส กิเลสพาเกิด กิเลสนี่เป็นตัวทำให้ลังเลสงสัย ก็ต้องไปหาครูบาอาจารย์ เห็นไหม ไปหาหมด ไปหาหมด เขาก็ประกาศตนกันว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย ที่ไหนก็ว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นที่สอน ไปเรียนกับอาฬารดาบสได้สมาบัติ ๘ จนเจ้าลัทธิก็ประกันนะว่านี่สำเร็จแล้ว ให้อยู่กับเราเพื่อจะสอนกันอยู่ แต่ด้วยบารมีเต็มไง คนที่ไม่เห็นแก่ตัว สุภาพบุรุษไง อย่างเรานี่เรารู้อยู่ เวลาจิตมันสงบมันร่มเย็น เวลาเราสบาย กินข้าวอิ่มทุกคนสบายหมด

เหมือนคนกินเหล้า พอกินเหล้าเมาเต็มที่นะ นี่มื้อสุดท้ายแล้ว ไม่กินอีกแล้ว อิ่ม พอมันหิวเดี๋ยวก็กินอีก สมาธิรวมลงแล้วมันเสื่อมได้ มันถึงคราวเข้ากับว่าสัพเพ ธัมมา อนัตตา แต่อันนี้ยังไม่เกิดนะ เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่ได้เกิด พระพุทธเจ้าเกิดแล้วมาปฏิบัติไง ถึงว่าสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลาย สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องตั้งอยู่ สมาธิเกิดอยู่มีความสุข แล้วต้องแปรสภาพไปเป็นธรรมดา

ศาสนาพุทธยอดตรงนี้ไง แต่ลัทธิต่างๆ ที่เมื่อก่อนเขามีกันอยู่ เขาบอกว่าทุกอย่างคงที่ไง คงที่ด้วยความว่าเกิดมาดีด้วยชาติ ดีด้วยตระกูล ดีหมด แต่อมทุกข์กันตลอด อมทุกข์เพราะทุกคนรักษาหน้าว่าข้ามีสุข แต่ในใจมีแต่ทุกข์ แต่พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ จะออกจากทุกข์ ยอมรับความจริงว่าทุกข์ แม้แต่สมาบัติก็ทุกข์ ถึงต้องแสวงหาเองเพราะเป็นพระพุทธเจ้า

ธรรมะนี้มีอยู่ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นสยมภูไง ตรัสรู้ด้วยตนเอง ไม่มีใครสอน ถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเอก เป็นหนึ่งไง หนึ่งเดียวที่ไม่มีใครสอน ถึงยอดมาก แล้วมาเห็นการเกิดการดับของตัวเอง เกิดดับแบบธรรมชาติ เกิดดับแบบไม่รู้ เกิดดับแบบตามความเป็นจริง คือว่าสมาธิเกิดแล้วดับไง จนวันสุดท้าย กินข้าวมื้อสุดท้ายของนางสุชาดา มื้อนี้เป็นมื้อสุดท้าย ถ้าไม่ตรัสรู้ คือว่าถ้าไม่ได้พ้นทุกข์ เพราะมันเจ็บปวดมาก มันทุกข์มาก

ความทุกข์ในหัวใจของคนเรา เรานี่ทุกข์มากๆ มันจะทุกข์ขนาดไหน? แล้วนี่ขนาดเป็นถึงกษัตริย์ แล้วออกมาทุกข์ เป็นกษัตริย์ปรนเปรอด้วยกามคุณทุกอย่างพร้อมเลย แต่ออกมาทุกข์ ออกมาไม่มีศาสนา มันก็เหมือนคนจัณฑาลคนหนึ่ง ขอทานน่ะ แล้วทุกข์ไหม ๖ ปีนี่ทรมานอยู่ อดอาหารจนขนร่วง “ถ้าคืนนี้ไม่ตรัสรู้ ถ้าคืนนี้ไม่รู้ธรรมนะ จะไม่ลุก” กระดูกจะแห้งไปเลย ก็ไม่ยอม

นี่พอเข้ามาถึงเป็นมัชฌิมยาม ยามต้น ได้บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตมันสงบเข้า มันเข้าถึงข้อมูลเดิมของจิต เข้าถึงสัญญา นี่ข้อมูลเดิมของจิต สัญญาเดิมในปฏิจจสมุปบาท ย้อนเข้าไปเห็นอดีตชาติหมดเลย แต่มันก็ไม่มีที่สิ้นสุดเพราะมันเร็ว จิตนี้เวลามันลงมันจะเร็วมาก พั่บๆๆ เห็นภาพเร็วมาก เพราะมันเป็นนิมิต มันจะเร็ว ไม่เหมือนกับเราสร้างภาพคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ยังเร็วสู้ไม่ได้ แสงของจิตไวมาก ไล่ไปตลอดเลย ไม่ใช่ ไม่มีที่สิ้นสุด

นี่กลับมา กลับมากำหนดจิตอีก ดูตัวรู้ที่ตัวเองอีก ดูจิตของตัว พิจารณาดูของตัว จุตูปปาตญาณเกิดขึ้น รู้ว่าตายไปแล้วไปเกิดที่นั่นๆ นี่ถึงว่าวัฏวน จิตตายแล้วมันจริงตามที่มันมีอยู่ แต่มันปลอมเพราะกิเลสมันปิดอยู่ เอ๊ะ ก็ไม่มีที่สิ้นสุดอีก คนนั้นเกิดก็ไปตาย เกิดก็ไปตาย ถ้ามีความดีก็ไปเกิดดี กลับมา กลับมาถึงยามรุ่งอรุณ ยามสุดท้ายปัจฉิมยาม ถึงยามสุดท้ายกำหนดถึงอาสวักขยญาณ เห็นไหม สิ้นสุดเลย อ๋อ มันไปกำจัดเชื้ออวิชชาปัจจยา สังขาราในจิตที่มันมีอยู่

จิตนี้มันมีอยู่ มันเกิดตายมาตลอด แต่มันโดนอวิชชาครอบงำอยู่คือความไม่รู้ ความไม่รู้คือรู้ประสามันไง รู้ประสามันคิดไง รู้อยากนี่อวิชชา อยากนู่น อยากนี่ รู้อยู่ เพราะเราก็รู้ แต่รู้ด้วยความอยาก นี่คืออวิชชา อวิชชามันพาไสไป เพราะจะทำความดีขนาดไหนมันก็สะสมเป็นบุญ ต้องเวียนเกิดเวียนตาย แต่วิชชามันไปพลิกอวิชชาจนหมดเลย อวิชชาความอยากโดยที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อใดอีก

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือรู้ทุกอย่างที่สติพร้อม รู้โดยอัตโนมัติไง รู้โดยที่ว่าทำความชั่วไม่ได้แม้แต่อณูเดียว จิตนี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เบียดเบียนใคร ไม่มีการเคลื่อนไป ไม่มีการเคลื่อนมา ไม่มีการเกิดและการตายอีกแล้ว วัฏฏะนี้คว่ำลงแล้ว ได้ชำระวัฏฏะหมดออกไปหมดไง เสวยวิมุตติสุข สุขอันนี้ไม่มีในสามโลกธาตุ ศาสนาไหนๆ ที่ว่าปฏิญาณตนเป็นพระพุทธเจ้าไม่มี แต่พระพุทธเจ้าสำเร็จอันนี้แล้ว ถึงว่ารู้ขึ้นมาโดยไม่ได้ถามใครเลยว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเสวยวิมุตติสุขอยู่ก่อน เห็นไหม

เสวยวิมุตติสุข แล้วก็กำหนดดู นี่ฟังนะ กำหนดดู พอถึงออกมากำหนดว่าเรานี่มีความสุขมาก สุขในศาสนาพุทธมีเฉพาะในศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นไม่มี แล้วเรานี่จะสอนใครก็สอนไม่ได้ เพราะว่ามันลึกซึ้งมากจนไม่มีใครรู้ สุดท้ายแล้วพรหมมานิมนต์หนึ่ง อีกหนึ่งอย่างก็คิดว่าแล้วเรามาจากอะไร? คิดถึงคุณของอาฬารดาบส นี่ว่าเราเคยไปปฏิบัติกับเขาอยู่ คนที่จะรู้ธรรมต้องมีจิตผ่องใส จิตใสแล้วถึงจะเห็นตัวปลา

อาฬารดาบสมีสมาบัติ ๘ ถ้าอาฬารดาบสได้ฟังเทศน์ให้ว่าจิตใสๆ นั้นน่ะมาหาปลา หากิเลส เจอกิเลส นี่ชำระกิเลสจะได้เป็นพระอรหันต์ กำหนดดูอาฬารดาบส กำหนดดู โอ้ น่าเสียดายเนาะ เพิ่งตายไปเมื่อ ๗ วันที่แล้ว คนตายไปแล้วไม่ไปสอน สอนคนเป็น สอนคนมีกิเลส กลับมาดูอุทกดาบสอีกคนหนึ่ง อ๋อ เพิ่งตายไปเมื่อวาน อีกคนหนึ่งตายไปก่อน ๗ วัน อีกคนหนึ่งตายไปเมื่อวาน

กำหนดดูต่อ นี่กำหนดดูต่อ ดูไปอีก อ๋อ ถ้าอย่างนั้นแล้วคนที่มีคุณกับเราก็ปัญจวัคคีย์ เห็นไหม เดินไปหาปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ไปหาปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่ นี่ศาสนานะ เดิมพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น อัญญาโกณฑัญญะเป็นพราหมณ์คนหนึ่งใน ๘ คนนั้น มาดูพุทธบัญญัติแล้วว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า บอกว่าเป็นพระพุทธเจ้า มีอัญญาโกณฑัญญะคนเดียวที่บอกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่พราหมณ์อีก ๗ คนบอกว่า ถ้าบวชเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าอยู่ในโลกนี้เป็นจักรพรรดิ

๗ คนนั้นยังพยากรณ์เป็นสอง แต่อัญญาโกณฑัญญะพยากรณ์เป็นหนึ่ง แล้วอัญญาโกณฑัญญะเป็นคนหนุ่ม ฉะนั้น บอกว่าจะรอพระพุทธเจ้าออกบวช ออกบวชแล้วพยายามจะ... เพราะว่าคำว่าพระอรหันต์ คำว่าวิมุตติสุขมันเป็นสิ่งที่ว่าทุกคนรู้ ทุกคนร่ำลือมาแต่ไหนแต่ไร เพราะมันเป็นสิ่งที่คงอยู่ แต่ทุกคนเข้าไม่ถึงมัน ก็เลยว่าถ้าพระพุทธเจ้าออกบวชจะตามไปอุปัฏฐาก จะเป็นลูกศิษย์ จะขอสอน คืออยากได้วิชานี้โดยเด็ดขาด

พอรู้ว่าออกปั๊บก็ไปชวนกันออก ๘ คน ๗ คนนั้นตายแล้ว พราหมณ์แก่ตายหมดแล้วเหลือแต่ลูก ชวนลูก ลูกมา ไม่มา มา ๔ ไม่มา ๓ เพราะว่าเปลี่ยนใจแล้ว เพราะพ่อสั่งไว้ก็เปลี่ยนใจ ก็เลยเป็น ๔ รวมทั้งอัญญาโกณฑัญญะเป็น ๕ มาอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา อุปัฏฐากอยู่

สมัยนั้น เห็นไหม สมัยก่อนที่ยังไม่มีศาสนา ทางพราหมณ์เขาจะทรมานตน อย่างเช่นนอนบนเหล็ก นอนบนอะไร อดอาหาร ทำอะไรทุกอย่าง ถ้าอยู่ในความเพียรคนนี้เขาก็มั่นใจ โลกมั่นใจ นี่โลกมอง ฟังสิ โลกมองว่าคนพ้นทุกข์ต้องทำด้วยความอุกฤษฏ์ ต้องทำด้วยสิ่งที่เหนือโลก พระพุทธเจ้าก็ทำ ทั้งอดอาหารจนขนหลุด นี่หมด จนตายแล้วฟื้น ๓ ครั้ง อดอาหารจนช็อกไป ก็เหมือนกับช็อกไปก็คือตายไป ฟื้นถึง ๓ ครั้ง

จนมาสุดท้ายว่า อ๋อ นี่ไม่ใช่ นี่มันเรื่องของกาย กิเลสมันอยู่ที่เรื่องของจิต แล้วก็มีเทวดามาดีดพิณให้ฟังด้วย ก็เลยออกมาฉันข้าว ฉันข้าวเพื่อให้ร่างกายนี้แข็งแรงขึ้นมา แล้วมันมีพื้นฐานรองรับจะได้ไปวิปัสสนาได้ อัญญาโกณฑัญญะกับปัญจวัคคีย์ เห็นไหม พระพุทธเจ้าเป็นคนที่ว่าจากคนที่จะออกจากกิเลส จากคนที่มุมานะหันกลับมามักมาก หันกลับมาในกาม ก็เลยทิ้งไง บอกว่าไม่จริงแล้ว คนไม่จริง คนถอย คนไม่เอาจริง หนีไปหมดเลย

ทีนี้พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเสวยวิมุตติสุข แต่เห็นคุณของเขาที่อุปัฏฐาก คือว่าช่วยเหลือมาตลอด ก็จะไปโปรดเขาไง เขานัดกันเลยนะ พระพุทธเจ้ามาแล้วน่ะ สงสัยว่าไม่มีคนอุปัฏฐาก อยู่คนเดียวเหงา จะมาหาเราไง สัญญากันไว้ว่ามาที่เราอย่ารับนะ ก็เลยว่าไม่รับ แต่ด้วยสัญชาตญาณคือว่าคนเคยอยู่ด้วยกัน ถ้าอย่างนั้นเราก็ปูที่นั่งไว้ให้ ปูอาสนะไว้ให้ ถ้ามาก็นั่งเถิด

พอมาก็นั่ง แล้วจะพูดอะไรให้ฟัง...ไม่ฟัง เพราะคนมันค้านแล้วว่ากลับมามักมาก ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่สัจจะ “ฟัง! ปัญจวัคคีย์ เธอทั้งหลายต้องฟัง พวกเธอเคยฟังคำนี้ไหม? ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา...” ขนลุกนะ?

“...ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เราไม่เคยบอกว่าเป็นพระอรหันต์เลย เราไม่เคยบอกว่าเรามีมรรค มีผลในหัวใจ” เพราะคนเป็นสุภาพบุรุษไม่เคยบอกว่าสิ่งที่ไม่มี ไม่บอกว่ามี

“บัดนี้เราเป็นพระอรหันต์ จงฟังเรานะ...”

พระอัญญาโกณฑัญญะถึงได้น้อมใจลงฟังไง เทศน์เลย ธัมมจักฯ เริ่มต้นเลย

“เทฺวเม ภิกฺขเว ภิกษุทั้งหลายทางสองส่วนทำไม่ได้ ไม่ควรทำ อัตตกิลมถานุโยค คือการทำเกินกว่าเหตุมันไม่เป็นกลาง กามสุขัลลิกานุโยคก็ไม่ใช่ ให้มัชฌิมาปฏิปทา”

มัชฌิมาปฏิปทาคือทางสายกลาง กำหนดระหว่างกิเลสมันอยู่ที่ใจ ระหว่างกายกับใจ แล้วตั้งใจให้เป็นกลาง ให้ใสเป็นตัวปลาแล้วค้นหากิเลสไง หากาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณาเข้าไป เทศน์สอนนะ เทศน์ธัมมจักฯ ขนาดเทศน์ธัมมจักฯ เทศน์สอนปัญจวัคคีย์อยู่ แต่พระพุทธเจ้าประกาศธรรมจักร สิ่งนี้คือเป็นเทคโนโลยี เป็นสิ่งที่ว่าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ออกจากโลก เทวดานี่เลื่องลือขึ้นไป ๑๖ ชั้น

“บัดนี้ธรรมจักรเกิดแล้ว บัดนี้ทางอันเอก มัคคะอริยสัจจังเกิดขึ้นในโลก ทางที่จะให้พ้นทุกข์ ทางที่จะให้จิตนี้ออกจากิเลสเกิดแล้ว”

พระพุทธเจ้าประกาศธรรมจักรแล้ว เทวดานี้ดีใจ ส่งกระแสข่าวขึ้นไปเต็มที่เลย มนุษย์ ๕ คน ปัญจวัคคีย์ฟังอยู่ อัญญาโกณฑัญญะฟังอยู่ เพราะอัญญาโกณฑัญญะทำจิตอยู่ คนสมัยนั้นเขาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว จิตเขาสว่างอยู่ จิตเขาเป็นน้ำใสอยู่แล้ว พอบอก ในธัมมจักฯ เห็นไหม

“กิจที่ควรทำเราทำแล้ว ถ้ากิจ ๑๒ อย่างนี้เรายังไม่ได้ปฏิบัติ เราจะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า บัดนี้กิจก็คือทุกข์ไง ทุกข์ควรกำหนด เรากำหนดแล้ว กิจที่ควรทำเราทำแล้ว กิจที่ควรสละเราได้สละ กิจที่ควรสละ สมุทัยเราควรสละ เราได้สละแล้ว กิจเราทำจบ ๑๒ อย่างครบวงรอบ เราถึงประกาศตนเป็นพระอรหันต์”

พระอัญญาโกณฑัญญะฟังไปด้วย

“สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีการเกิดขึ้น กิจที่เรากำหนด เรากำหนดแล้ว กิจที่ละเราได้ละแล้ว ญาณกำหนดเราได้กำหนดรู้แล้ว ปัญญาเป็นธรรม แสงสว่างยิ่งกว่าปัญญา อาโลโก อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ ปัญญามันเกิดกับเรา ปัญญาเป็นแสงสว่าง ปัญญาที่ชำระกิเลสหมดแล้ว บัดนี้เราถึงปฏิญาณตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์”

อัญญาโกณฑัญญะฟังเพราะจิตนั้นสงบ จิตนั้นรื้อไปด้วย จนเห็นว่า “ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายนั้นต้องดับเป็นธรรมดา” ดับไปหมด เห็นไหม พระพุทธเจ้าเปล่งอุทานออกมาเลย

“พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นอนัตตาแล้วหนอ”

เห็นอนัตตานะ พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นอนัตตาแล้วหนอ พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นธรรมไง พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นแล้วหนอ พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นแล้วหนอ เห็นธรรมนี่ เป็นอกุปปธรรม ฟัง! แต่เดิมอยู่นี่เป็นกุปปธรรม คือธรรมมันเป็นสภาพของแดดขึ้น แดดออกมันเป็นธรรมดา ธรรมชาติหมุนเวียน สสารนี้เคลื่อนไปตลอด แต่สสารนั้นไม่ให้ประโยชน์กับใคร ให้ประโยชน์กับเราเอาไปใช้งานอยู่ เรารับรู้เรื่องของคนอื่นสิ เงินในแบงก์น่ะ เงินของคนอื่นไม่ใช่เงินของเรา

อนัตตามันเป็นอยู่โดยธรรมชาติ แต่ไม่มีใครเคยเห็นอนัตตานี้เลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนัตตาด้วยใจของพระพุทธองค์ ใจของพุทธองค์ตรัสรู้อนัตตา เห็นอนัตตา แล้วใจมันรับรู้อนัตตา ใจมันเห็นอนัตตาแล้วมันปล่อยวาง คือดวงใจที่เห็นอนัตตา คือดวงใจที่ทิ้งอนัตตา ถึงกลายเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรม แต่อนัตตาที่ว่าอนัตตานั้นไม่ใช่เรา อนัตตานั้นไม่ใช่เรา มันไม่ใช่หรอก เพราะมันไม่ใช่เรา เราถึงไม่ได้อะไรเลย

นี่อนัตตานี้ไม่ใช่เรา ดิน ฟ้า อากาศเป็นเราไหม? ฝนตกแดดออกเป็นเราไหม? ไม่ใช่ แต่ถ้าเราเอาตุ่มโอ่งรับฝน รับแดด เห็นไหม แสงแดดพลังงานเราได้ใช้ นี่มันไม่ใช่เรา เพราะเราไม่มีจิตไปรับรู้มัน มันไม่ใช่เราเพราะเราไม่รู้มัน มันถึงไม่เป็นประโยชน์ไง อนัตตาไม่ใช่เรา นี่การปฏิบัติมีอยู่ฝ่ายหนึ่งที่บอกว่า ให้กำหนดรู้ตลอดเวลา กำหนดการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา กำหนดไปๆ กำหนดจนไปหมดไง ว่างหมด ไม่มีผู้รับผลไง

อกุปปธรรม เป็นธรรมที่ไม่เสื่อม อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอเป็นอกุปปธรรม เป็นพระโสดาบัน เป็นสงฆ์องค์แรกที่เกิดขึ้นมาในโลก เมื่อก่อนมีพระพุทธ แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม มีพระพุทธ พระธรรม มีโยมอยู่ ๒ คนที่ไปถวายบาตร ถวายบาตรพระพุทธเจ้าครั้งแรก ได้เป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรมคนแรก แต่อัญญาโกณฑัญญะนี้เป็นพระสงฆ์ คือพระโสดาบัน พระสงฆ์คือพระโสดาบันขึ้นไปถึงว่าเป็นพระสงฆ์

พระสงฆ์ที่บวชในปัจจุบันนี้คือสมมุติสงฆ์ ไม่ใช่สงฆ์ ต้องรวมเป็น ๔ ถึงทำกิจของสงฆ์ได้ แต่สงฆ์โดยธรรมชาติคือพระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอรหันต์ นั้นคือสงฆ์ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ เป็นอกุปปธรรมที่ไม่เสื่อมจากพระโสดาบันลงมา เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าก็สอน เทศน์สอนอัสสชิ เทศน์สอนปัญจวัคคีย์อีก ๔ จนบรรลุเห็นธรรมด้วยกันทั้งหมด

ถ้าอกุปปธรรมเป็นธรรมที่ไม่แปรสภาพ พระอัญญาโกณฑัญญะต้องเป็นพระโสดาบันตลอดไป เป็นพระสกิทาคามีไม่ได้ เป็นพระอนาคามีไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ทำไมพอสอนอัสสชิ สอนทั้งหมดจบแล้วถึงได้สอนอนัตตาไง สอนอนัตตลักขณสูตร

“ขันธ์นี้เป็นเราหรือไม่เป็นเรา?” ถามปัญจวัคคีย์

“ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ”

“ไม่ใช่เรา มันให้สุขหรือให้ทุกข์?”

“ให้ทุกข์พระเจ้าค่ะ”

“ให้ทุกข์แล้วยึดมันทำไม? ทำไมไม่ปล่อย?”

“ปล่อยพระเจ้าค่ะ”

“เวทนานี้เป็นเราหรือไม่เป็นเรา?

“ไม่เป็น”

“ไม่เป็นเรายึดไว้ทำไม? ทำไมไม่ปล่อย”

“ปล่อยพระเจ้าค่ะ”

ปล่อยจนหมด ปล่อยไง ปล่อยขันธ์ทั้งหมด ขันธ์นี้เป็นทุกข์ ขันธ์ทั้ง ๕ ไม่ใช่เรา มันเป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ แล้วใครเห็นขันธ์ ๕ ล่ะ? ถ้าขันธ์ ๕ นี้เป็นทุกข์ ไอ้ทีวีก็ต้องเป็นทุกข์ คอมพิวเตอร์ก็ต้องเป็นทุกข์เพราะมันเกิดดับอยู่ ทีวีเปิดมันมีภาพ เห็นไหม มันให้ความรู้หมดเลย ขันธ์ความคิดก็เหมือนกัน แต่ไอ้จิตที่มันมารู้ขันธ์ ไอ้น้ำใสๆ ไอ้ตัวที่มันรู้ มันรู้ขันธ์ ๕ มันพิจารณาขันธ์ ๕ เพราะว่าเป็นอกุปปธรรมก็ยังมีจิตอยู่

อกุปปธรรม พระโสดาบันยังมีกามราคะ ปฏิฆะอยู่ พระอนาคามียังมีรูปราคะ อรูปราคะ มานะ มานะคือตัวอัตตา ตัวมานะคือตัวอัตตาใหญ่ พระอนาคามียังมีมานะ ๙ ยังมีอุทธัจจะ ยังมีอวิชชา พระอนาคามีก็ยังมีมานะอยู่ ยังมีอกุปปธรรมอยู่ นี่อกุปปธรรมมันมีอยู่ มันเสื่อมไม่ได้ แต่อกุปปธรรมนี้เจริญขึ้นได้

นี้คือศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ไง ศาสนาอื่นไม่มี อนัตตาของเขา คือแปรสภาพแล้วไม่มีใครได้ผลประโยชน์อะไรเลย เพียงแต่ว่าหลอกกันว่าฉันเป็นศาสดา ฉันเป็นอรหันต์ ฉันมีคำสอน คือว่าเขาเป็นครู เขาเป็นอาจารย์ เขาเป็นศาสตราจารย์ เขาจำตำราได้เขาไว้สอนกัน แล้วคนเชื่อกัน คนเคารพกัน แต่พระพุทธเจ้าไม่ใช่จำตำรา พระพุทธเจ้ามีจิตเข้าไปรู้ตามความเป็นจริง ตัวจิตตัวรู้จริง แล้วถึงสอนเทศน์ในเรื่องอนัตตลักขณสูตร จนพระอัญญาโกณฑัญญะ พระอัสสชิสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย

จากอกุปปธรรมในธัมมจักฯ เห็นไหม ก็สำเร็จขึ้นมาเป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เป็นพระอรหันต์ไง จนปัญจวัคคีย์นี้เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นี่มันขึ้นมานะ ขึ้นมาจากอกุปปธรรม อกุปปธรรม อกุปปธรรม ฟังสิ อกุปปธรรมสิ่งหนึ่งมันยังมีอยู่ไง แต่มันยังเสื่อมไปไม่ได้ ถ้ากุปปธรรมคือว่าสิ่งที่เป็นไป อนัตตามันเป็นอนัตตา ทุกอย่างนี้เป็นอนัตตา แล้วใครๆ ก็รู้ วิชาการใครก็รู้ แต่มันให้ผลกับใคร?

สิ่งที่จะให้ผลนั้น เรื่องอนัตตาคือว่าต้องทำจิตให้สงบ ทำจิตนะ จิตนี้เป็นพื้นฐาน เป็นภาชนะที่จะใส่ธรรมไง อาหารจะใส่ถ้วย ใส่ชาม ถ้ามีถ้วย มีชามใส่อาหารได้ เราเข้าป่าไปสิ มะขามป้อมเอย ทุกอย่างเลย พวกเห็ด พวกสิ่งที่เป็นอาหารในป่า มันเกิดขึ้นในป่า แล้วมันก็บุบสลายไปในป่า มันทลายไป เห็ดเกิดขึ้นมาแล้วมันก็มอดไหม้ไปในป่า พวกเราได้เคยกินเห็ดนั้นไหม? ทำไมเราต้องไปเก็บเห็ดมากินล่ะ? เพราะเราไม่มีภาชนะ เราไม่ไปเก็บมาไง

มันไม่มีตัวจิตตัวนี้ ตัวจิตตัวรับรู้นี่ พอพระพุทธเจ้าเทศน์สอนปัญจวัคคีย์ เห็นไหม นี่ขันธ์ ๕ ....นิพพินทะติ เวทนา นิพพินทะติ นิพพินทะติคือเบื่อหน่ายๆ อาสะเวหิ ฟังนะ อาสวะสิ้นไป จิตตานิ จิต ดวงจิต อาสวะสิ้นไป จิตตานิ วิมุจจิงสูติ จิตตัวเป็นพื้นฐานนี้วิมุตติ นิพพานจึงเป็นนิพพานไง นิพพานเป็นนิพพาน แต่นิพพานไม่ใช่จิต ถ้ามันเป็นตัวจิตคือตัวอวิชชาล้วนๆ

แต่ก่อนที่ว่าอาสะเวหิ เห็นไหม จิตมันมีอาสวะทั้งหมด อาสวะที่อยู่ในจิตมันสิ้นไป ตัวจิตมันเลยสะอาด ก็วิมุตติไป แต่วิมุตติไปโดยที่ไม่มีอาสวะ มันเลยเป็นนิพพาน จะกลับมาเป็นอะไรอีกไม่ได้เลย แต่ไม่ใช่อัตตา ถ้าเป็นอัตตานะ โมฆราช ในบาลี พระโมฆราชไปถามพระพุทธเจ้า มองสิ่งใดสิ่งนี้ว่างหมดเลย นี่ใจว่างหมด มองอะไรก็ว่างหมด ไปถามพระพุทธเจ้า พราหมณ์สั่งให้มาถาม

พระพุทธเจ้าบอกว่า มองในเรื่องโลกนี่ว่างหมดเลยนะ ทุกอย่างนี้ว่างไม่มีอะไรเลย เราก็ว่าง อะไรก็ว่าง เวลาจิตมันสงบมันมองเราก็ว่าง กายทะลุหมด มองว่างหมดเลย มันว่างหมดเลยเพราะมันเป็นนามธรรม มันเป็นจิตใส พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ “กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิที่ไปเห็นว่าว่าง” ไอ้มานะ ๙ อยู่กลางหัวใจ ที่ในน้ำใสๆ นั่นน่ะ น้ำมันใส จิตมันสงบ จิตมันใส เห็นไหม ความว่างหมดเลย แต่กิเลสที่มันใสกว่าน้ำนั้นเรามองไม่เห็นไง ให้โมฆราชกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิในสิ่งที่เห็นนั้น ถอนอันนั้นออกมาปั๊บ พระโมฆราชเป็นพระอรหันต์เลย พ้นจากกิเลสไป

นี่มานะ ๙ ไง นั่นน่ะอกุปปะ ฉะนั้น คำว่าอกุปปธรรมถึงไม่ใช่นิพพาน ถึงว่าอกุปปธรรมนี้เป็นบันไดไง เป็นบันได ๔ ขั้นที่ขึ้นมา แต่กุปปธรรมนี่เสื่อมทั้งหมด เราถึงเน้นประจำนะ สัพเพ ธัมมาเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาทั้งหมด สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเป็นอนัตตาทั้งหมด แต่อนัตตามันมีอยู่ อนัตตาตามสมมุตินะ ฟังนะ บุญกุศลนี่สร้างมา เราเตือนประจำ เตือนโยมประจำ บุญกุศลสร้างมา เหมือนเราเอารถมานี่เราเติมน้ำมันใส่รถ น้ำมันใส่รถน้ำมันมันต้องหมด

โยมมาทำบุญกุศล นี่โยมได้บุญกุศล ถ้าตายไปกับบุญ โยมไปเกิดเป็นเทวดาแน่นอนเลย ก็ใช้น้ำมันไป ขับเคลื่อนไป จนน้ำมันหมดแล้วโยมก็ต้องกลับมาเกิดที่มนุษย์นี้อีก หรือถ้าไม่มีพื้นฐานรองรับโยมอาจจะไปเกิดข้างล่างเลย มันเป็นพลังงานที่ใช้หมดไง มันถึงเป็นอนัตตา มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏจักร ถึงบอกว่าสัพเพ ธัมมาเป็นอนัตตา ความดีหรือความชั่วต่างๆ มันมีอยู่ แล้วมันต้องแปรสภาพไปเด็ดขาดเลย แต่มันเป็นของมัน แต่เราเห็นตามความเป็นจริงไหม?

เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ แล้วมันแก้ไขกิเลสได้ แล้วเราภาวนา เห็นไหม ถึงบอกว่าสัพเพ ธัมมา อนัตตา คำนี้เตือนว่าอย่ามั่นใจ อย่าคิดว่าเราทำความดีแล้วเราจะดีไป เราทำความดีไว้แล้วเราต้องให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งที่เป็นความดีมันมีมากไปกว่านี้อีก แล้วพอเกาะธรรม อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ เป็นพระโสดาบัน เป็นอกุปปธรรม

อกุปปธรรมอันนี้ไม่เสื่อมจากพระโสดาบัน พระโสดาบันไม่ตกอบายภูมิ พระโสดาบันอย่างน้อยมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะสุกไปข้างหน้า พระโสดาบันถ้าปฏิบัติในชาตินั้น สำเร็จในชาตินั้น พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระโสดาบันเพราะอกุปปธรรมเกาะธรรมก่อน แต่ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นเลย เป็นสาวกองค์แรกของพระพุทธเจ้า แล้วเข้าไปอยู่ในป่าเลย แล้วกลับมาลาพระพุทธเจ้าไปนิพพาน ตอนออกจากป่ามานั่นน่ะ

นี่ถ้าเป็นโสดาบันแล้วประพฤติปฏิบัติต่อไปไม่ยอมหยุดนะ เพราะเห็นว่าสัพเพ ธัมมานี้เป็นอนัตตา มันยังแปรสภาพอยู่ สิ่งที่แปรสภาพอยู่ยังมีอยู่ เราต้องขวนขวายขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์! ถึงที่สุดแห่งทุกข์นี้คือยอดของศาสนา เป้าหมายของศาสนาเราคือนิพพาน มีอยู่เฉพาะในศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธศาสนาเดียว ศาสนาอื่นไม่มี ศาสนาอื่นเป็นจริยธรรม เป็นการทำคุณงามความดี ทำความดีได้บุญก็เป็นน้ำมันเติมรถไง

ทำดีต้องได้ดี จะเป็นพุทธ จะไม่พุทธไม่เกี่ยว ดีคือดี ชั่วคือชั่วโดยเนื้อหา โดยธรรม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อยู่ในดีและชั่วมาตลอด แล้วไม่เชื่ออาฬารดาบสไง ต้องมาประพฤติปฏิบัติเองจนหัก หักกิเลสออกไป หักวัฏฏะ หักห่วงโซ่ หักทุกอย่างที่ในหัวใจพ้นออกไปจากสามโลกธาตุ พ้นออกไป แล้ววางศาสนาไว้ แล้วมันจะมาเป็นอนัตตา มันจะเป็นอัตตาอีกได้อย่างไร? มันจะมาเป็นอัตตาอยู่ได้อย่างไร? อนัตตาเป็นอนัตตาสิ อัตตาเป็นอัตตา นิพพานเป็นนิพพาน คนละเรื่องเลย แต่คำว่านิพพานไม่ควรเอามาเถียงกัน

ความจริงคำว่านิพพาน พระพุทธเจ้าไม่อยากบัญญัติด้วย แต่ไม่บัญญัติไม่ได้ เพราะคำว่านิพพานนี่มันเป็นสมมุติแล้ว พอคำว่าสมมุติมันก็มาเถียงกันได้ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในป่า ใครไม่เคยเห็นไม่มีใครมาว่าอะไรหรอก ลองเอาสิ่งนั้นมาวางแล้วมาตั้งชื่อมันสิ คนอื่นไปเห็นเขาก็ว่าเป็นสิ่งอื่นไปได้ ของที่ในป่าที่ว่าไม่เคยเห็นเราเอามาตั้งไว้ เราตั้งชื่อเลย ไอ้นี่เป็นไอ้แดงมาตั้งไว้ คนอื่นเขามาดูบอกไม่ใช่หรอกมันสีชมพู เห็นไหม

สมมุตินี่พอตั้งว่านิพพานปั๊บก็จะมาเถียงกัน แต่พระพุทธเจ้าก็ยังตั้ง ตั้งไว้เป็นเป้าหมายปูนทางให้กับชาวพุทธ ถึงว่าถ้าคนตาสว่างทั้งหมด จะไม่เถียงกันเรื่องนิพพานแม้แต่นิดเดียว รู้หมด คนตาบอดเท่านั้นเถียงเรื่องนิพพาน เพราะมันเอาของในป่านั้นมาสมมุติ แล้วเอามาตั้งกัน พระพุทธเจ้าถึงบอก “มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑”

โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล อรหัตตผลกับนิพพานอันเดียวกันไหม? อรหัตตผล ผลของพระอรหันต์ กับนิพพานอันเดียวกันไหม? ทำไมอรหัตตผลมีแล้ว ทำไมไปนิพพาน ๑ อีกล่ะ? เพราะอรหัตตมรรค อรหัตตผล อนัตตากำลังทำตัวมันเองอยู่ไง อนัตตากำลังแปรสภาพอยู่ ก่อนที่จะเป็นอรหัตตผล นี่อรหัตตมรรคหมุนเต็มที่เลย แล้วเป็นอรหัตตผลออกไปไง

นี่มันยังเป็นการที่สื่อได้ ยังสามารถพูดได้ ยังชี้ให้เห็นได้ คือว่าอรหัตตมรรค อรหัตตผล ถึงเป็นนิพพาน ๑ ไง นิพพานนี่พูดถึงไม่ได้เลย ไม่ได้เลย ถ้าพูดถึงไม่ได้ เอามาพูดทำไม? ที่เอามาพูดนี่เป็นที่ไง เป็นที่ที่ว่าเป็นเป้าหมายของศาสนาไง ถึงว่าศาสนาพุทธเราถึงเยี่ยม เอกในศาสนา ถึงต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง เชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายแปรสภาพ แต่แปรสภาพเป็น ๒ อย่าง ถ้าเป็นกุปปธรรมมันแปรสภาพอยู่แล้ว แล้วมันยังไปตามกระแสกิเลส คือว่าตกนรกก็ยังได้ กุปปธรรมไง ทำความชั่วยังตกนรกอยู่นะ แต่ถ้าเป็นอกุปปธรรมแล้วนะมันจะแปรสภาพขึ้นสูง ไม่มีทางแปรสภาพลงต่ำ ไม่มีทาง! ไม่มีทาง เพราะว่ามันตัดเชื้อออกไปแล้วไง เราเป็นหนี้อยู่ ๑ บาท ๔ สลึง เราได้ใช้หนี้ไปแล้วสลึงหนึ่ง เราเหลืออยู่อีก ๓ สลึงที่เราต้องทำต่อไป

ถ้าไม่มีเงิน ๑ บาท ไม่สามารถตีตั๋วหรือสามารถทำอะไรได้ ทำงานสิ่งที่ผ่านประตูไปทางอื่นได้ เห็นไหม เราหักไง เราหักสิ่งที่ว่าเราจะไปทางอบายได้ พระโสดาบันไม่ตกอบายเด็ดขาด อย่างมากมาเกิดอีก ๗ ชาติ อย่างมากนะ แต่ถ้าอย่างธรรมดาสำเร็จในชาตินั้น ชาตินั้นเลย เห็นไหม ถึงว่าการแปรสภาพในสัพเพ ธัมมา อนัตตามันก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ฉะนั้น เวลาปฏิบัติแล้วถึงว่า “มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด” ไง

มรรคหยาบๆ เริ่มต้นนี่มรรคหยาบๆ ข้างบนนี่มรรคละเอียด มรรคหยาบๆ ก็คือธรรมหยาบๆ สัมมาอาชีวะนี่เลี้ยงชีพชอบ พวกนี้เป็นคนดีหมดเลย สัมมาอาชีวะ ทำไมพระไม่ไถนาล่ะ? ทำไมพระไม่ประกอบอาชีพล่ะ? ...มิจฉาอาชีวะ อาชีวะของพระนั่งหลับตา กำหนดจิต จิตนี้กินอารมณ์เป็นอาหาร จิตนี้กินความรู้สึกเป็นอาหาร ถ้าเลี้ยงจิตให้ดีจิตนี้จะเป็นสมาธิ จิตนี้จะใส จิตนี้จะเห็นกิเลส สัมมาอาชีวะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพระสาวกให้กำหนดดูจิต เลี้ยงหัวใจจนชอบ เลี้ยงหัวใจจนอยู่ในศีล เลี้ยงหัวใจจนอยู่ในธรรม

ร่างกาย ปากที่ต้องอาศัยชาวบ้าน ชาวบ้านเขาเลี้ยงเอง ชาวบ้านเขาเห็นว่าเขาอยากจะมีธรรม อยากจะรู้คุณธรรม เขาไม่มีเวลาเพราะเป็นคนที่มีงานมาก เขาก็จะประกอบอาชีพ แล้วเขาจะหาส่วนหนึ่งมาถวายพระให้พระได้ฉันอาหารของเขา แล้วทำคุณงามความดีให้บุญนั้นเกิดกับเขา เกิดกับเขานะไม่ใช่เกิดกับพระ เกิดกับเขา เขาได้ถวายอาหารนั้น พระได้ทำจิตนั้นสงบ จิตนั้นผ่องใส จิตนั้นหลุดพ้นจนเป็นพระอริยเจ้าขึ้นไป บุญกุศลมันมหาศาลเลย แล้วคนที่เขาให้บุญกุศลอันนั้นมา เขาพร้อมเสมอที่จะส่งเสริม

ถึงบอกว่าถ้าพระไปประกอบอาชีพ มิจฉาอาชีวะ เป็นอาชีวะที่ต่ำทราม เป็นอาชีวะที่ไปแย่งโลกเขาทำ หน้าที่ของโลกเขาคือประกอบอาชีพ นั่นคือสัมมาอาชีวะของโลกเขา สัมมาอาชีวะของสงฆ์ ของพระคือทำใจให้สงบ เลี้ยงใจให้ชอบ มันมี ๒ อย่าง โยมเรานี่กินด้วยปาก พระก็ต้องอาศัยให้ร่างกายพออยู่ไป แต่จริงๆ แล้วเวลาโยมกินด้วยใจ เวลามันทุกข์ทำไมไม่คายออก เวลาจิตมันโทมนัส มันทุกข์ใจจนแทบบ้าคลั่งทำไมไม่คายออก

นี่เวลาใจมันกินทุกข์ เห็นไหม ใจของพระกินทุกข์ แต่ในเมื่อเราเลี้ยงชีพด้วยมัคคะอริยสัจจัง เลี้ยงทุกข์ด้วยตบะธรรม เลี้ยงทุกข์ด้วยมงคล ๓๘ ประการในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เลี้ยงชีพชอบถึงจะเห็นธรรมชอบ เลี้ยงชีพชอบไง การงานชอบ ดำริชอบ สมาธิชอบ มรรคชอบไง เป็นสัมมามรรคไม่ใช่มิจฉา ถ้าทำผิดมันเป็นมิจฉาไง มิจฉาสมาธิ อันนี้มันเป็นสัมมาสมาธิไง เป็นสัมมาปฏิบัติ เป็นผู้ที่อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลูกศิษย์ของตถาคต

บริษัท ๔ ไง พุทธชิโนรส โอรสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระ ทั้งภิกษุณี ทั้งอุบาสก ทั้งอุบาสิกา เราทั้งหลายนี่เป็นลูกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ นี้ แล้วเราเป็นชาวพุทธหรือไม่ได้เป็นชาวพุทธ? ถ้าเราเป็นชาวพุทธเราต้องยกใจขึ้นมาเชื่อในศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไปเชื่อในเรื่องศาสนาดั้งเดิมก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้านั่นไง ลัทธิศาสนาอื่นเขาสอนอย่างนั้น

เศร้าใจมากถ้าคนเราไม่มีหลักเกณฑ์ หนังสือพิมพ์ลง ที่สีลมน่ะ วัดของเขามีอยู่วัดหนึ่ง ถ่ายรูปมาเลย เห็นไหม เขาเอารูปพระพุทธเจ้าไปอยู่ข้างล่าง เขาบอกเป็นปางหนึ่งของเขา แล้วเราก็ไปว่าเขาไม่ได้ ที่สีลมน่ะไปดู นี่เพราะอะไรล่ะ? เพราะชาวพุทธเราไม่ใช่ชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธเป็นชาวพุทธต้องต่อต้านเขา ต้องไม่ใช่สิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เอง ไม่ใช่อวตารมาจากของเขา

มี ที่สีลมมี เขาถ่ายมาให้เห็นเลย แล้วบอกไม่ได้ เพราะลัทธิศาสนาเขาถืออย่างนี้ ยิ่งเป็นเมืองนอกเต็มไปหมดเลย เขาเอาของเขาพระนารายณ์ไว้ข้างบน แล้วเอาพระพุทธรูปมาเรียงไว้ข้างล่างไง เขาบอกพระพุทธเจ้าเป็นปางๆ หนึ่งที่เขาอวตาร เขาเกิดมาชั่วคราว เข้าไหม? เข้ากับเขาหรือยัง? แล้วที่ปฏิบัติกันอยู่นี่เข้ากับเขาหรือยัง?

เขาเองเขาก็มีหลักการอย่างนี้อยู่แล้ว แล้วชาวพุทธเรานี่ขี้เท่อ ไม่รู้จักว่าพุทธ ไม่พุทธเลย ถึงว่าพอไม่รู้จักว่าพุทธ ไม่พุทธ อันนี้ไม่ใช่ว่านะ อันนี้มันเป็นกิเลส พอมีกิเลสปั๊บ พออ่านธรรมะของพระพุทธเจ้านี่โอ้โฮ ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านเป็นพระอรหันต์นะ ท่านวางไว้เป็นหลักเกณฑ์ ท่านปิดช่องทางเพื่อไม่ให้พวกเราตกไปทางต่ำหมดเลย แต่กิเลสในหัวใจเรา เวลาอ่านมันก็วิเคราะห์ไปในทางผิดทางถูก ถึงพยัญชนะเป็นอย่างนั้น แล้วกิเลสมีอยู่ก็อย่างนั้น

เราไม่ได้ค้านพระไตรปิฎก เราไม่ได้ค้านพยัญชนะ พยัญชนะเขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ แต่เราตีถึงความหมายไง ถึงว่าถ้าภาคปฏิบัติมันถึงเข้าถึงเนื้อของศาสนาไง หัวใจเสวยธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ใจ ใจพระพุทธเจ้ากราบธรรม เพราะใจพระพุทธเจ้ากับธรรมเป็นเนื้อเดียวกัน เนื้อที่เป็นธรรมเข้าถึงเนื้อของศาสนา หัวใจนี้เป็นภาชนะใส่ธรรม หัวใจนี้ใส่ความรู้ ใส่ความเป็นจริง ไม่ใช่ความรู้ความจำ ความรู้ที่คิดนี่เป็นความจำ เป็นจินตมยปัญญา

ภาวนามยปัญญานี่ไม่ใช่ปัญญาของเรา เป็นปัญญาของธรรม ปัญญาของธรรมนี้ชำระกิเลส แล้วเข้าไปอยู่กับใจเราเป็นธรรมเดียวกัน ธรรมทั้งแท่งไง ถึงไม่ใช่อกุปปธรรมไง ธรรมทั้งแท่ง เอโก ธัมโม ธรรมอันนี้เหนือการแปรสภาพ ธรรมอันนี้เหนือกิเลส ธรรมอันนี้เหนือธรรมชาติ เราถึงบอกว่าธรรมแท้ๆ นี้เหนือธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเป็นของคู่ ธรรมชาติยังแปรปรวน แต่ธรรมของพระพุทธเจ้านี้เหนือธรรมชาติ เหนือ! เหนือ! เหนือทั้งหมด! เหนือทั้งสิ้น!

นี่มันธรรมแท้ไง เอโก ธัมโมไง แต่พวกเราเข้ากันไม่ถึง ชาวพุทธเราเข้ากันไม่ถึง ถึงให้เชื่อ ให้เชื่อศาสนา ให้เชื่อครูบาอาจารย์ ให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิด เราเป็นชาวพุทธ เป็นชาวพุทธ แต่เราศึกษาไม่ถึง ในเมื่อความลังเลสงสัยของเรา เราลังเลสงสัย คนพ้นจากความลังเลสงสัย ฟังสิ พ้นจากความลังเลสงสัยคือพระอรหันต์เท่านั้น พระอนาคายังลังเลสงสัยเลย

ในเมื่อมีความลังเลสงสัยอยู่ เราไม่โทษความลังเลสงสัย เราโทษกิเลส ความเห็นแก่ตัว ความไม่รอบคอบ ความไม่ไปใคร่ครวญไปไต่ถามครูบาอาจารย์ที่รู้ อันนี้เราผิด แต่ความลังเลสงสัยไปว่าไม่ได้ เพราะมันมีโดยความเป็นจริง มันมีโดยธรรมชาติ อันนี้มี เพราะเราไม่ใช่พระอรหันต์ พระอรหันต์เท่านั้นถึงจะพ้นจากความลังเลสงสัย เห็นไหม อันนี้คือเรื่องของกิเลส

ฉะนั้น เราเป็นชาวพุทธ แล้วเราเกิดท่ามกลางกึ่งพุทธกาล ศาสนาเจริญมาก ครูบาอาจารย์มีมาก แล้วความเจริญจะเจริญ แล้วนี่สัพเพ ธัมมา อนัตตานะ นั่งอยู่นี่ มาทุกคนนี่ตายหมด ถามตัวเองว่าจะไปไหน? ถามตัวเองว่ามีที่เกาะหรือยัง? เห็นไหม ต้องถามตัวเอง นี่แล้วถึงจะเป็นประโยชน์กับเรา เราเป็นชาวพุทธทั้งหมด เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้เขาพยายามจะแปรให้มันผิดไป ธรรมะนี่พยายามจะทำให้มันผิด

แผนที่ผิด เป้าหมายผิด เข็มทิศเขาก็หักผิด แล้วมันจะชี้ไปไหนกัน? เข็มทิศผิดนะ มองไปในอากาศสิ มองเข้าไปในหัวใจสิ เห็นไหม ที่นักบวชเขาจะไปเทศน์สอนกัน

“จะไปไหน?”

“ไปศาลา”

“หนูๆ ศาลาแสดงธรรมอยู่ที่ไหน?”

“ทำไมล่ะ?”

“ก็จะไปสอนเขาไปสวรรค์”

โอ้โฮ ศาลายังไปผิดเลย แล้วจะสอนเขาไปสวรรค์ แล้วสวรรค์จะไปทางไหนล่ะ? ก็ศาลามันถนนใช่ไหม? มีถนนไปมันยังสอนผิดเลย แล้วจะไปสอนไปสวรรค์ อ้าว ถนนมันผิด แต่สวรรค์ไม่ผิดหรอก เพราะสวรรค์มันอยู่ที่ใจ มองเข้ามาที่ใจสิ

นี่ก็เหมือนกัน จะบอกว่าให้กำหนดลงมาที่ใจ ใจมันอยู่ที่ใจไง อยู่ที่ใจ ใจมันไป ถนนไม่ได้ไปหรอก ฉะนั้น เราถึงบอก ไอ้ที่ว่าพระนาคเสน มิลินทปัญหาถามพระนาคเสน

“พระอรหันต์หลงในอะไร? ไม่หลงในอะไร?”

พระนาคเสนตอบว่า “หลงในบัญญัติ” หนังสือนี่ หลงในบัญญัติ หลงในแผนที่

“พระอรหันต์ไม่หลงในอะไร?”

“ไม่หลงในอริยสัจ”