บวกหรือลบเข้าไม่ถึงธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตามศาสนาเรานี่ว่าห้ามพูดตามอารมณ์ ห้ามพูดตามความรู้สึก เพราะอารมณ์ของคนมันเปลี่ยนแปลง ต้องยึดพระไตรปิฎก ยึดธรรมะเป็นของแท้ แต่ธรรมะนั้นถ้าเข้าจริงแล้วก็คือธรรมแท้ไง พูดถึงพูดที่ตามอารมณ์ก็คือพูดธรรมแท้ๆ ไง อย่างเช่น เวลาเขายกย่องอาจารย์มหาบัว เขายกย่องว่าเป็นพระตัวอย่างนะ เป็นบุคคลตัวอย่างแห่งปี ดีใจมากเลย เราก็มีความดีใจมาก เพราะท่านทำประโยชน์กับโลก
เห็นไหม แล้วเขาก็เขียนประวัติออกมา ท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือจะเป็นอะไรไม่เกี่ยว เขาไม่มองตรงนั้นไง เขามองว่าเพราะตอนนี้ยอดบัญชีที่เอาเข้ากองทุนเพื่อไทยนี่ ๑,๑๐๐ ล้านแล้ว พันกว่าล้านขึ้นไปแล้ว เขามองตรงนี้ไง เขาประกาศเกียรติคุณให้เป็นบุคคลแห่งปี แล้วเขาให้รางวัลสังข์เงิน ให้อะไรด้วยนี่ เราบอกว่าเขาคัดเลือกให้เป็น แต่เป็นไปไม่ได้หรอกที่ท่านจะมารับรางวัล
นี่พูดถึงในแง่ที่ดีไง ในแง่ที่เป็นประโยชน์ เราว่าเพราะว่า ถ้าพระทั่วไปหรือพระที่ว่าจะให้พวกสื่อเขายกย่องว่าสิ่งที่ดีนี่ ต้องพูดกั๊กไง พูดไว้ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็ให้ถือว่าพระองค์นี้เป็นอย่างนั้นๆ แต่ท่านประกาศตนเลยนะ เวลาท่านประกาศออกทีวีเห็นไหม ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว ท่านไม่ต้องการสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ที่ท่านออกมานี่ท่านประกาศตนเลยไง ที่นี้พวกที่จะเข้าไปค้ำว่าท่านเป็นพระอรหันต์จริงนี่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปค้ำประกัน
ก็เลยจะบอกว่าจะเป็นหรือไม่เป็นยกไว้ แต่ท่านทำประโยชน์ที่ว่า ๑,๑๐๐ ล้านบาท แล้วมีคนไปถามไง เมื่อก่อนมีคนไปถามบ่อยว่าท่านประกาศว่าเป็นพระอรหันต์นะ นี่เพราะอะไร เพราะต้องการจะมาเป็นกองทุนไทยเพื่อไทยใช่หรือเปล่า ท่านบอกว่าไม่ใช่ ท่านพูดก่อนว่าท่านเป็นพระอรหันต์มานี่เป็นปีๆ แล้วนะ ตั้งแต่ปี ๔๐ แล้วนะ ก่อนจะเกิดวิกฤตนี่ ท่านพูดมาตลอดเลยว่าท่านสิ้นแล้ว ท่านสิ้นแล้ว ประกาศ ไม่เคยพูด เพราะสิ้นตั้งแต่ปี ๙๓ แต่ปีนี้เปิดแล้วตั้งแต่ปี ๔๐ ปี ๔๐ คือว่าตอนนั้นยังไม่ลอยตัวค่าเงิน แล้วท่านก็พูดมาเรื่อยจนมาลอยตัวค่าเงิน จนมีเหตุการณ์ขึ้นมานี่ แล้วท่านพยายามจะออกมาช่วยโลก แล้วคนเขาไม่ให้ พวกดอกเตอร์... พวก... ดึงไว้ไง ว่านักการเมืองไม่ดี สู้ไม่ได้ แต่ท่านก็พิจารณาของท่านจนแบบว่าทนไม่ไหวแล้ว ท่านก็เลยออกมาเพื่อจะช่วยโลก เห็นไหม
ฉะนั้นที่ท่านประกาศว่าพระอรหันต์ ไม่ใช่ว่าเอาคุณค่าของธรรมะที่เป็นพระอรหันต์ จิตที่เป็นธรรมนี่มาแลกกับไอ้เศษกระดาษพันๆ ล้านนี่ไง ไอ้เศษกระดาษ ไอ้เงินทองจะกี่ตันก็แล้วแต่มันเป็นวัตถุ มันไม่มีค่าเท่ากับธรรมดวงนั้นหรอก ธรรมดวงนั้นประเสริฐ โยมเขาถามว่า แล้วทำไมท่านประกาศว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านบอกว่า ปิดมาตั้งแต่ปี ๙๓ จนปีนี้ปี ๔๒ นี่ มันเกือบ ๖๐ ปีแล้ว ปิดมาตลอดเลย ท่านไม่พูด เพราะว่าพูดออกไปแล้วมันเหมือนกับการเรียกร้องผลประโยชน์ เหมือนตนเองอยากมีชื่อเสียง อยากมีเกียรติศักดิ์ไง สิ่งนี้เป็นขี้ทั้งนั้น แต่หัวใจของท่านเป็นธรรม
แล้วท่านพูดทำไม? เหตุที่ท่านประกาศออกมา ท่านบอกว่าท่านอายุก็มากแล้ว ถ้าท่านตายไปพร้อมกับสิ่งนี้ก็ตายไปเปล่าๆ ไง คือท่านต้องประกาศให้ชาวโลกเข้าใจว่าสวรรค์มีจริง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมมีจริง คือว่าให้ศาสนาเรามั่นคง ศาสนามีผลไง ผลของธรรม ผลของจิตที่สิ้นไป เห็นไหม
จิตตัวนั้น ภพ ใจที่เป็นนิพพานอันนั้นมันมีคุณค่ามหาศาลกับทุกๆ อย่าง ท่านไม่เคยหวังกับชื่อเสียง เกียรติศักดิ์ ไม่เคยหวังเรื่องเงินเรื่องทอง ทองคำจะกี่ตันก็เป็นทองคำอยู่ในโลกนี้ มันเกิดดับ มันเวียนเปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อยๆ มันไม่มีใครเป็นเจ้าของตายตัวหรอก ฉะนั้นมันไม่มีค่าเท่ากับดวงใจของท่านหรอก ไม่มีค่ากับดวงใจดวงนั้นหรอก
ฉะนั้นคนถึงยกย่องไง ยกย่องว่าพันกว่าล้าน ให้เป็นบุคคลแห่งปี นี่พูดถึงว่าในแง่ของคุณงามความดี คนที่เห็นด้วยนะ คนที่ยกย่องท่านเป็นบุคคลแห่งปีก็ยังเข้าไม่ถึงธรรมแท้ตรงนั้นไง เห็นคุณค่าแค่พันกว่าล้าน เห็นคุณค่าแค่ทองคำไง แต่ไม่เห็นคุณค่าของหัวใจ ท่านพูดเอง มีคนไปถามว่า
แล้วท่านประกาศทำไม
ประกาศไว้ให้เป็นประโยชน์กับโลก ประกาศไว้ให้เป็นประโยชน์กับศาสนา
คำว่า โลก กับคำว่า ศาสนา คือหัวใจของมนุษย์ไง คือหัวใจของผู้ที่จะเข้าไปสัมผัสธรรมว่าธรรมมันมีจริง ความลังเลสงสัยของคนว่า กึ่งพุทธกาลแล้วมันจะหมดกาลหมดเวลาของผู้ที่อยากจะปฏิบัติไง แล้วพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสมควรแก่ธรรมตามความเป็นจริงของธรรม มันไม่มีไง อยู่กันแบบหลอกๆ หลอนๆ กันไง อยู่กันแบบล่อลวงกัน แต่ผู้ที่ปฏิบัติจริงก็มี คุณค่าของศาสนาที่จะอยู่ต่อไป ท่านพูดเพื่อตรงนั้น ท่านพูดเพื่อให้เราลงใจในศาสนาว่าศาสนานี้มีมรรค มีผล มีผู้ที่ปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ทำมาเพื่อเงินพันๆ ล้านนี่ ไม่ใช่
ท่านทำมามากกว่านั้นมหาศาล ถ้าคนวงในจะรู้ นี่พูดถึงแง่ของผู้ที่เป็นฝ่ายบวกที่ว่าก็เข้าไม่ถึงธรรมเห็นไหม แล้วตอนนี้ที่เราพูด เพราะว่ามีหลายฝ่ายเลยพยายามจะบอกว่าสิ่งที่ผิดอยู่นี่ คนอื่นเขาผิดกันอยู่นี่ผิดเล็กๆ น้อยๆ เพราะผิดในแง่ของวินัยไง ผิดในอาบัติที่ปลงได้ แต่มีผู้ที่ผิดคืออวดอุตริที่ว่าไม่มีไง
บอกเลยแบบว่านึกเอาเอง ผู้ที่เข้าไม่ถึงนี่ว่านึกเอาเอง นึกว่าตัวเองสำเร็จแล้วเห็นไหม นึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์แล้วเอาความสำเร็จนี้มาหลอกลวงโลก เอาเงินของคนจนๆ เอาเงินของชาวไทยนี่ไปช่วยเหลือคนที่มั่งมีศรีสุข ไปช่วยแต่คนที่มีเงินเห็นไหม เขาคิดอย่างนั้น นี่คิดในแง่ลบ เห็นไหม
แล้วพยายามจะเปรียบเทียบนะ เขียนเป็นคอลัมน์มาจะเปรียบเทียบว่าผู้ที่ผิดมาก ทำไมไม่ติเตียน ผู้ที่ผิดน้อยอยู่ ที่ว่าผิดอยู่นี่ทำไมไม่ติเตียน เพราะผิดอย่างนี้มันผิด ผิดคือผิดตามกิเลส คือว่าผิดนี้มันไม่ถึงกับว่าขาดจากปาราชิก คือว่าไม่ได้อวดอุตริใช่ไหม แต่ความจริงมันขาดยิ่งกว่าขาดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขาจะเบี่ยงเบนประเด็นไง ผู้ที่ไม่เห็นด้วยว่าท่านนึกเอาเอง
นี่ก็เหมือนกัน ที่พูดเมื่อกี้นี้เห็นไหมว่านี้มันเหนือวัตถุทุกๆ สิ่งในวัตถุ ในเงิน ในทอง แต่ที่ออกมาช่วยโลกนี่มันเหมือนกันคนหนึ่งที่เป็นหมอนะ เป็นหมอที่เก่งมาก หมอนี่สามารถผ่าตัดหรือทำให้คนไข้นี่ฟื้นได้ แล้วมันมีคนไข้มา คนไข้ที่มานี้คนนี้เป็นคนดีมากเลย ประสบอุบัติเหตุมา ถ้าเราช่วยคนดีนี้ไว้ คนดีนี้ก็จะทำให้เป็นผู้นำสังคม เห็นไหม จะช่วยสังคมไปได้มาก หมอก็ช่วยคนนี้ใช่ไหม
แต่ถ้าคนๆ นี้เป็นคนเลวมากเลย ประสบอุบัติเหตุมาแล้วหมอจะไม่ช่วยได้ไหม จรรยาบรรณของหมอต้องช่วย แต่จรรยาบรรณของหมอไม่ได้สืบไปว่าคนๆ นี้ดีหรือคนๆ นี้เลวไง หน้าที่ของหมอคนไข้มาถึงหมอ หมอต้องรักษาใช่ไหม เป็นปัจจุบันขณะนั้น จรรยาของหมอใช่ไหม แล้วนี่คนที่เป็นผู้ที่มีคุณธรรม อาจารย์มหาบัวเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ท่านพยายามแสวงหาคนที่จะมาช่วยกอบกู้เศรษฐกิจไม่มี เวลาท่านเทศน์ออกมาฟังมาตลอดนะว่า ท่านมองแล้วมองอีกหาว่าใครจะช่วย ไม่มี มองไปมองมาสุดท้ายก็มาเป็นท่านเห็นไหม สุดท้ายก็คือเราเองที่จะต้องออกมาช่วยกอบกู้ กอบกู้ชาติไง กอบกู้ชาติเพื่อจะให้ศาสนานี้อยู่ได้ ศาสนานี้ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดินนี้เป็นอาณาจักร เป็นพุทธจักร ท่านถึงหันออกมากอบกู้
แต่เป็นนิสัยของท่านนะ ท่านตั้งสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน แล้วท่านเป็นรอง แล้วก็ในหลวงท่านเป็นประธาน ถ้าทางโลกในหลวงเป็นประธาน แล้วในทางศาสนาตั้งสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน แต่จริงๆ คนที่ออกมาหาหรือคนที่ออกไปนี่ก็ต้องเป็นท่าน แล้วที่ท่านประกาศว่าท่านสิ้นแล้วๆ นี่ท่านประกาศก่อนหน้านี้ ท่านประกาศว่าต้องการให้โยมมีที่พึ่ง ให้โยมมั่นใจ แล้วพอถึงโอกาสนี้ท่านก็เลยเอาอันนี้ออกมาประกาศด้วย ว่าท่านไม่ต้องการสิ่งใดๆ เพื่อจะให้คนที่จะช่วยสังคมมั่นใจในการโกงในการกิน ในการรั่วไหลไง ท่านพูดก็เพื่อตรงนั้น ท่านไม่ได้เอาธรรมของท่านมาแลกกับเงินทอง แต่ท่านต้องการเอาบารมีของท่านมาช่วยชาติ
คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย หมอจะผ่าตัดคนๆ นั้น หมอนั้นผิดเหรอ หมอนั้นผิดไหม คนไข้มานี่แล้วหมอต้องรักษาคนนั้น หมอนั้นผิดไหม แต่เขาก็ว่าเอาเงินของคนจนๆ เอาเงินของคนทุกข์จนเข็ญใจมาช่วยไง เงินจะจนเงินจะรวยมันไม่ใช่อยู่ตรงนั้น มันอยู่ที่ว่าเขาสมัครใจที่จะควักออกมาช่วยชาติ แล้วมีผู้ที่เขาลงใจช่วย แล้วตรงนี้ท่านทำขึ้นมา ไม่ใช่ว่าท่านหลงตัวเองหรือว่าท่านอยากจะมีชื่อเสียง ออกมาโดยที่ไม่มีหมู่ไม่มีใครยับยั้งนะ เขาว่าไม่มีใครยับยั้งไว้ แล้วท่านออกมาท่านหลงตัวเองไง ท่านนึกเอาเองว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านนึกเอาเอง ฟังสิ คือว่าถึงลบก็เข้าไม่ถึงไง เพราะว่าท่านไม่ได้นึกเอาเอง ไม่ได้นึกเอาเองตรงไหน ตรงที่ว่าท่านมีครูมีอาจารย์คอยสอบกันมา
สุดท้ายในหนังสือเขาสรุปนะ เขาสรุปบอกว่าน่าเสียดายมาก ในเมื่อถ้าพระเรานี่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ของเขาพระต้องมีหลักมีเกณฑ์ เกณฑ์ในเรื่องของทฤษฎีไง ถ้าทำทฤษฎี ทำตำรามาแบบพระไตรปิฎก แล้วจะมีคนเดินตามมาๆ นั้นคนนี้เขาคิดว่าเขาเป็นนักทฤษฎีไง เขาเป็นนักวิชาการเขาก็ว่านักวิชาการนี่ต้องเป็นอันดับ ๑ ใช่ไหม แล้วเขาบอกว่าเสียดายมากที่วัดธารน้ำไหลที่ว่า
หนึ่ง พอครูบาอาจารย์เสียไปก็ไม่มีผู้ทรงต่อ
สอง หลวงปู่มั่นพอสิ้นไปก็ไม่มีผู้ทรงต่อ หลวงปู่ฝั้นสิ้นไปก็ไม่มี
แสดงว่าเขายอมรับหลวงปู่มั่น ยอมรับหลวงปู่ฝั้น แต่แบบว่าหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น ตายไปแล้ว ก็มีเฉพาะเจดีย์เอาไว้หาเงินอีกแหละ มีแค่เป็นปูชนียสถานเอาไว้ให้โลกเขารู้เป็นตัวอย่าง อันนี้เขาก็รู้แต่เปลือกๆ เห็นไหม นักวิชาการรู้ตามวิชาการ หลวงปู่มั่นท่านชำระของท่านจนสำเร็จแล้ว จนท่านออกไป จนประกันว่าท่านเผาไปแล้วกระดูกของท่านเป็นพระธาตุ แล้วสิ่งที่หลวงปู่ฝั้น สิ่งที่อาจารย์มหาบัวทำอยู่นี้ก็เป็นผลงานของหลวงปู่มั่นไง แต่เวลาสิ่งที่เป็นผลงานของหลวงปู่มั่นเขาไม่พูดถึง เขาพูดถึงแต่ในแง่ที่ลบไง
ในแง่ที่ว่าเพราะหลวงปู่มั่นทำจากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง การสอนนะ ทฤษฎีเกิดขึ้นมาจากภาคปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วถึงจะเป็นทฤษฎีออกมา ทฤษฎีนั้นไม่สามารถสอนใครได้ พิมพ์เขียวจะสร้างยังไงก็แล้วแต่ ให้พิมพ์เขียวนี้เป็นล้านๆๆ ชุด ซ้อนกันอยู่ในโลกนี้มันก็เน่าเปื่อยไปในพิมพ์เขียวนั้น ถ้ามันยังไม่มีการปฏิบัติ ประสบการณ์ตรงจากภายในไง
ประสบการณ์ตรงจากภายใน จากหลวงปู่มั่นเห็นไหม ถ่ายทอดมาเป็นหลวงปู่ฝั้น แล้วยังถ่ายทอดมาถึงอาจารย์มหาบัว ถึงบอกว่าท่านไม่ใช่นึกเอาเองตรงนี้ไง ตรงที่ท่านมีคนชี้นำ ตรงที่ท่านมีหลวงปู่แหวน ตรงที่ท่านมีหลวงปู่ขาว เป็นคนตรวจสอบกันมาภายใน สิ่งนี้คือผลงานของหลวงปู่มั่นทั้งหมด เกิดขึ้นจากประสบการณ์ภายใน จากประสบการณ์ตรงไง แต่ไม่พูดถึง พูดถึงกันแต่ว่าไม่มีใครสืบต่อไง แล้วพอออกมาเรี่ยไรเป็นโลกไปนี่ เห็นแก่วัตถุถึงจะไม่มีการสืบต่อ
อาจารย์มหาบัวได้มีคนสืบต่อเอาไว้แล้ว ก็อาจารย์ลีไง อาจารย์สิงห์ทองเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มหาบัว เครื่องบินตกเผาไปแล้วก็เป็นพระธาตุไง ท่านได้สร้างผู้สืบต่อเอาไว้แล้ว ท่านได้ทำตามความเป็นจริงของท่านแล้ว คือว่าถึงจิตใจเขาจะมัวหมอง จิตใจเขาจะเข้าไม่ถึง เขาเห็นแค่ทฤษฎีไง เห็นแค่ทฤษฎีว่าจะเป็นไปได้ แต่ทฤษฎีนั้นไม่สามารถสอนคนได้ ทฤษฎีนั้นหรือว่าหลักปฏิบัติที่ลูกศิษย์สอนมานี้มันก็เป็นประสบการณ์ต่างออกไป เป็นปัจจุบันไง แต่มันไม่สามารถจะเหนือพระพุทธเจ้าไปได้
แม้แต่พระสารีบุตรเวลาเทศน์ออกมาเป็นบางแขนงออกมาในพระไตรปิฎกก็มี ที่เป็นธรรมะของพระสารีบุตร พระพุทธเจ้าก็รับรอง นี่มันเป็นความต่างออกไป แต่มันอยู่ในหลักเกณฑ์อันเดียวกันคืออริยสัจ หลักเกณฑ์ในมรรคอันนั้น มัคคะอริยสัจจังเท่านั้นไง หลักเกณฑ์อริยสัจพ้นออกไป แต่แขนงที่เราแนะนำนี่ ทฤษฎีเป็นแค่นั้น
แต่จากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่งในภาคปฏิบัติตามความเป็นจริง ธรรมะนี้เป็นธรรมะล้วนๆ นะ เขาเข้าไม่ถึง เขาไม่สามารถที่จะชี้ผิดชี้ถูกได้ไง แต่เขาเอาทฤษฎีที่ว่าปัญญาของโลกมองเห็นได้ อันนี้มาจับไง ปัญญาของโลกเห็นไหม ว่าผู้ที่สร้างผลงานทฤษฎีมาน่ะ ผลงานทฤษฎีนั้นก็คัดลอกออกมาจากพระไตรปิฎกไง
อย่างเป็นผลงานของทางโลก เราทำวิทยานิพนธ์ รุ่นลูกศิษย์ต้องเก่งกว่าอาจารย์ เพราะวิทยานิพนธ์นี่ต้องออกมาตลอด ถ้าลูกศิษย์ไม่เก่งเท่าอาจารย์นะ วิทยาการนั้นมันจะสิ้นไป มันจะตกต่ำ วิชาการนั้นวิทยานิพนธ์เราต้องสร้างขึ้นมา ลูกศิษย์รุ่นต่อๆ ไปจะขยายความได้ จะชัดเจนมาก
มองในมุมกลับนะ วิชาการต่อไปก็เป็นแขนงใช่ไหม เอกแต่ละสาขา เอกแต่ละสาขา ทำไปจนสุดท้ายแล้วมันไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อก่อนปรัชญานี้มันจะเป็นศูนย์กลาง แล้วขยายออกเป็นปรัชญาคุมทุกสาขาเห็นไหม เป็นได้หมด แม้แต่หมอ เข้าโรงพยาบาลไปแล้วก็ว่าถ้าตาต้องไปแผนกนี้ ถ้าหูต้องไปแผนกนี้ ถ้ากระดูกต้องไปแผนกนี้ แยกออกไปเลย แยกออกไปๆ นี่วิชาการจะไปเรื่อย ไปจนแตกแขนง จนลืมไง จนทิ้งหลักการของใจ จนทิ้งหลักการของทุกข์ จนทิ้งประสบการณ์จากภายในของตัวเอง นี่ไงว่าเป็นทฤษฎีออกไปๆ ทฤษฎีออกไปจนหลงทางกันไปหมดไง
โลกนี้ดูมันเจริญๆ ตรงไหน วัตถุเคลื่อนไปตลอด นี่ถึงว่าเขาจะเอาทฤษฎี ทฤษฎีนี้ก็คัดลอกออกมา แล้ววิจารณ์ไป เห็นไหมเขาบอกว่าทฤษฎีหรือวิชาการนี่สามารถพูดได้ สามารถวิจารณ์ วิเคราะห์ วิจัยได้ ได้ แต่ได้ในสุตมยปัญญาไง ในสิ่งที่ยอมรับ สุตมยปัญญาคือนักวิชาการเห็นไหม นักวิชาการนี่ เวลาเราเอานักวิชาการคุยกับนักวิชาการ สามารถโต้แย้งได้ ต้องโต้แย้งได้ด้วย ถ้ายิ่งโต้แย้งด้วยมันยิ่งทำให้แตกแขนงออกไป แต่มันคือวิชาการไง วิชาการคืออารมณ์ความรู้สึก ที่พูดกันเมื่อกี้ว่าอารมณ์นี้ห้ามเอามาพูดกันไง อารมณ์ความรู้สึกที่ยังต้องทดสอบ ที่ยังทดลองกันต่อไป
เห็นไหม สุตมยปัญญา จินตฯ นักวิทยาศาสตร์พิจารณาแล้วสิ่งที่เป็นทฤษฎีนั้นเอามาใคร่ครวญ ทดสอบกัน ทดสอบจนได้ผล ได้ผลก็ยังเป็นโลกอยู่เพราะมันเป็นแรงดึงดูด ภาวนามยปัญญา ปัญญาตามความเป็นจริงที่เข้าไม่ถึงไง บวกก็เข้าไม่ถึงตรงนี้ ลบก็เข้าไม่ถึงตรงนี้ ตรงนี้มันพ้นจากทุกๆ สิ่งที่จะเข้าไปถึง คือว่าลบและบวกเข้าไม่ถึงธรรมแท้อันนี้ แล้วก็เอาว่าสิ่งนี้คือว่าอาจารย์มหาบัว ถึงแง่บวกก็ดูแค่เงินแค่ทอง แค่ความดีความชอบของท่าน ท่านทำคุณงามถูกต้องเพราะถูกใจตัว แต่ไม่เห็นคุณค่าของธรรมดวงนั้น สิ่งที่ไม่เห็นด้วยก็บอกว่าเอาชื่อของนิทาน เอาชื่อของพระอรหันต์เอามาหลอกลวงชาวบ้านไง ว่าท่านนึกเอาเอง นี่ในแง่ลบก็เข้าไม่ถึง เพราะสิ่งที่ท่านทำจริงๆ นั้นมากกว่าที่เป็นอยู่นี้หลายร้อยเท่านัก
คนอยู่วงในถึงจะรู้ว่าท่านทำมาที่อยู่เบื้องหลังทำมามหาศาล แล้วไม่เคยออกมาเลย ไม่เคยออกมาอยู่ข้างนอกเลย ทำอยู่ภายในจริงๆ เป็นหลักของศาสนา เหมือนกับต้นไม้แก่น ไม่เคยมีใครเคยเห็นแก่นของต้นไม้เลย เห็นแต่เปลือก แต่แก่นจริงๆ มันอยู่ข้างใน
แต่คราวนี้มันเป็นเหตุจำเป็น เหตุจำเป็นเพราะว่าคนเอาเงินไปให้นะ บอกเลยล่ะ เอ่ยชื่อก็ได้...อยู่อยุธยานี่ให้ ๔๐๐ ล้าน แล้วบอกว่าอาจารย์อยู่เฉยๆ นะ อาจารย์อย่าไปไหน เพราะสงสารมาก เพราะเขาเคารพรัก เพราะอาจารย์นี้เหนื่อยมากเลย ไปตามทั่วประเทศไทย ไปเพื่อจะเอาเงินมาช่วยประเทศ เขาบอกว่าอย่าไปเลย แล้วลูกศิษย์จะหาเงินมาให้
ฟังนะ ท่านบอกว่า เงินนะเอามาแล้ววางไว้นั่นล่ะนะ เงินนี้ไม่สำคัญหรอก เงินนี้ครึ่งหนึ่งคือ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ที่ว่าต้องการมาช่วยประเทศ แต่ตอนนี้คนในประเทศไทยตกใจ ตกใจคือว่าเห็นความเป็นไปแล้วทุกดวงใจฝ่อ ทุกดวงใจไม่มีกำลังใจ ไม่สู้ สิ่งที่ไปเพราะต้องการเอาใจเขา ต้องการที่ว่าเรายังมีคนสู้อยู่ไง มีผู้นำที่เราเชื่อถือได้ พวกเราจิตใจหว้าเหว่ จิตใจทุกคนหว้าเหว่ แล้วไม่มีที่พึ่ง แล้วทุกคนก็จะมาเอาแต่ผลประโยชน์จากภายนอก
ท่านบอกว่าเงินที่เอามาช่วยชาติก็ช่วยชาติครึ่งหนึ่ง แต่จริงๆ ที่ไปคือไปเอาหัวใจคน ให้คนมันมีที่พึ่ง ให้คนมันมีผู้นำไง ยังมีผู้นำอยู่ ยังมีผู้ที่เราจะเกาะเราจะพึ่งได้อยู่ เห็นไหม นี่ท่านอุตส่าห์ไปๆ อยู่นี่ ไปเพื่อจะไปเอาหัวใจคนเห็นไหม ถึงบอกว่าเงินไม่สำคัญเท่าไหร่ไง มีคนเอาเงินไปให้แล้วขอร้องแล้วไม่ให้ไป เหมือนกับเอาเงินมาแลกน่ะ ว่าจะเอาเท่าไหร่แล้วไม่ต้องไป อยู่ที่นี่จะหาให้ตามจำนวนที่หาให้
ท่านบอกอันนี้ก็จำเป็น ฟังสิ เหมือนร่างกาย ร่างกายก็จำเป็น เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษา แต่หัวใจสำคัญกว่า หัวใจที่เข้มแข็งอยู่ในร่างกายที่เข้มแข็งแล้วจะช่วยให้ประเทศชาติให้รอดพ้นไปได้ ไปนี้ไปเพื่อเอาใจคน แต่คนมองไม่เห็นตรงว่าไปเพื่อเอาใจคนเห็นไหม ไปเพื่อเอาใจคน ไปในชุมชน ไปที่ว่านี่ผู้นำที่จะพาชาติรอด แล้วเวลาเทศน์ก็รอดๆ รอดเด็ดขาด ช่วยกันเพื่อเอาประเทศชาติรอด
คนจะทำคุณงามความดี ถึงว่าวันนี้อยากจะพูด พูดให้เห็นว่าเขาพูดในแง่บวกเขาก็เข้าไม่ถึงหลักความเป็นจริง เขาจะติเตียน เขาจะดึงมา เพื่อจะให้ความผิดของเขาน้อยลง คือว่าผู้ที่ทำผิดมากกว่าก็มีก็ลากมาไม่ได้ เพราะว่าบารมีธรรมคุ้มครองท่านอยู่แล้ว บารมีของท่านไม่ต้องให้ใครไปแก้ต่าง ไม่ต้องมีใครไปช่วยเหลือท่าน ท่านต้องเอาตัวรอดได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดๆ จะไปรบกวนท่านได้เลย
แต่อยากจะพูดให้เราเข้าใจไง เพราะเห็นแล้วเราก็เศร้าใจ เศร้าใจมาก ดึงมาๆ ดึงมาเพื่อจะให้ความผิดของเราเจือจางไป ให้มีผู้ที่มีความผิดมากกว่า เพื่อสร้างเป็นกระแสขึ้นมาเห็นไหม อันนี้เราไม่คิดอย่างนั้น พูดอย่างนี้ก็พูดเป็นวงในเฉยๆ เพราะมันสลดใจไง บวกก็เข้าไม่ถึง ลบก็เข้าไม่ถึง เพราะสิ่งนี้มันสิ่งที่เหนือโลก เหนือทุกๆ อย่างเลย แล้วท่านมีความเมตตา เมตตาพร้อมค้ำจุนโลก เมตตาที่จะมาช่วยเหลือไง
แต่นี้ว่าได้บวกที่เข้าไม่ถึง เขาที่พูดในแง่บวก เราก็จะบอกว่าแค่นี้เอง พูดถึงคุณงามความดีของท่านพูดไม่ถึงหรอก เข้าไม่ถึง เพราะคุณงามความดีของท่านมหาศาล เหลือล้นจากสิ่งที่เขาว่ากัน อันนี้เราก็ไม่ว่ากันเพราะเขาพูดในแง่ดี แต่พูดในแง่ลงนี่สิ พูดในแง่ลบนี่ เพราะคนก็ศรัทธากันมาก่อน เป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกเราจะเห็นว่าใครคนใดคนหนึ่งจะทำถูกใจเราทั้งหมด ถ้าคนๆ นี้ทำถูกใจเรา เราก็ว่าคนๆ นี้ดี ถ้าคนนี้ทำไม่ถูกใจเราก็ว่าคนนี้ไม่ดี ทั้งๆ ที่ท่านทำเพื่อประโยชน์ของโลกนะ แต่ไม่ถูกใจเราไง ไม่ถูกใจเราเพราะกิเลสเรามี
ความตระหนี่ ตัณหาเรามีว่าคนที่มันทำความผิด คนที่ทำให้ประเทศชาติเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ทำ ทำไมเราต้องทำ ท่านเปรียบเทียบฉลาดมาก เปรียบเทียบเหมือนคนจมน้ำไง ใครก็แล้วแต่เดินมาเจอคนจมน้ำ เราต้องดึงเชือกขึ้นมาก่อน เขาจะผิดจะถูกไม่รู้ แต่ขณะเจอคนจมน้ำเราจะช่วยยังไง คือท่านจะตัดปัญหาอดีต-อนาคตไง
ถ้าเราคิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต สิ่งที่มาเกิดเหตุนี้เราทำอะไรไม่ได้เลย กรรมมันคลุกเคล้ากันไง เมื่อวานคนนี้ยังว่าเราเลย วันนี้คนนี้มันจมน้ำอยู่ เราจะช่วยเขาได้ยังไง แต่ถ้ากรรมไม่คลุกเคล้านะ มันปัจจุบันธรรมอันเดียวๆๆๆ เหตุอันนั้น ผลอันนั้น เราคิดวิจัยอันนั้นเสร็จแล้วทำ จบๆๆ คือไม่คลุกเคล้ากัน ประเด็นนี้ๆ แยกประเด็นออก แล้วตัด ทำไปๆ จนกว่าท่านจะพ้นไป เพราะโลกนี้เป็นวัฏฏะ มันวนไปอย่างนี้ มันต้องวนไป วนไปจนกว่ามันจะสิ้นสุด
แต่หัวใจนั้นไม่วน ถึงจะช่วยไว้ ถ้าเป็นปกตินะท่านไม่ต้องช่วยไว้ ท่านดับขันธ์ไปเลย ท่านแสนจะสบาย เพราะพ้นแล้ว โลกนี้จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์เผาขนาดไหน ไม่สามารถเผาดวงใจดวงนั้นได้ ดวงใจดวงนั้นจะไม่มีความทุกข์ใดๆ เลย ไม่มีทางจะเข้าถึงความทุกข์ใดๆ ในนี้ไม่เข้าถึงดวงใจ ใจนิพพาน ใจสิ้น เวทนาของใจไม่มี แต่เวทนาของกายมี เวทนาของกายนี่เจ็บร้อนอ่อนแข็งนี่รู้สึกอยู่ แต่เวทนาของจิต จิตที่พ้นจากกิเลส สิ่งใดๆ เข้าไม่ถึง เข้าไม่ถึงหรอก พ้นไปแล้ว ท่านต่างหากเป็นผู้ที่เอาตัวรอดได้ก่อนใครเพื่อน ตั้งแต่ปี ๙๓ ไม่มีทุกข์ใดๆ ในหัวใจท่านเลย
แต่ทำไมต้องมาแบกทั้งประเทศ แบกทั้งประเทศ และเพราะบารมีของท่าน ท่านสร้างของท่านมาอย่างนั้น สร้างอย่างนั้นแล้วเป็นประโยชน์กับศาสนาด้วย มันเป็นการประกาศเกียรติคุณ มันเป็นประวัตศาสตร์ไป นี่พระองค์หนึ่ง ถ้าเป็นพระองค์อื่นทำเมื่อก่อนเราก็ค้าน ถ้ามีใครมาเป็นอย่างนี้นะ เพราะธรรมดา ฉวยโอกาสไง โอกาสที่เกิดขึ้นนี่ฉวยโอกาส แล้วโอกาสอย่างนั้นทำให้พระองค์นี้มีชื่อเสียงขึ้นมา ทำให้พระองค์นี้มีคนรู้จัก
แต่นี้ไม่ได้ฉวยโอกาส เพราะท่านบอกว่าธรรมดาท่านจะไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว อุตส่าห์ดึงใจไว้ ดึงไว้เพื่อจะช่วยโลกไง อันนี้ไม่ใช่ถือโอกาส อันนี้ถือว่าทำเพื่อศาสนาไง ให้ศาสนาพุทธมันเกรียงไกรไง
เราว่าเป็นอารมณ์ พูดตามอารมณ์เหมือนกัน อารมณ์ความรู้สึกภายใน ไม่ได้ลำเอียง พูดในแง่บวกก็แง่บวก พูดในแง่ลบก็แง่ลบ เป็นเรื่องของเขา อันนี้พูดตรงนี้ เหมือนกับว่าบางทีเขาฉวยโอกาสใช่ไหม เวลาคุยกับพวกนี้เหมือนกัน ว่าถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้ ทำไมไม่มีใครมาป้องกัน
ไม่ต้องมีใครมาป้องกัน ไม่ต้องหรอก เพราะธรรมมันป้องกันแล้ว ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองตลอด สิ่งที่ท่านทำมาถูกต้องตลอด ดีงามตลอด มันจะผิดตรงไหน มันไม่ผิดหรอก นี่โลกธรรม ๘ ท่านบอกแล้วเห็นไหม ตั้งแต่ท่านออกมานี่ต้องมีคนต่อต้านมหาศาล เวลาออกทีวีเห็นไหม มาเลย ใครแน่มาเลย ไม่กลัวใครทั้งสิ้น แม้แต่พระมหาบัวลงมา ไม่กลัวใครเลย
แต่พอมีขึ้นมานี่ชี้ให้เห็น ให้พวกเราอยู่ในหลักการเท่านั้นเอง ชี้ให้เห็นเลยล่ะ มันเข้าไม่ถึงหรอก ไม่ถึงหลักความจริงอันนั้นเลยซักกะนิดเดียว แต่มันเป็นตัวอย่างไง เป็นตัวอย่างที่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดในป่า ลุมพินีเห็นไหม ตรัสรู้ในป่า สุดท้ายก็ตายในป่า สวยงาม เป็นชีวิตแบบอย่าง
แต่นี่มันเหตุการณ์ปัจจุบัน อย่างหลวงปู่มั่นนี่ในป่าหมด เป็นตัวอย่าง แต่สุดท้ายมานี่ อย่างที่โลกวิชาการว่าเห็นไหม ผู้มาใหม่ต้องปัญญากว้างขวางกว่าวิชาการถึงจะมั่นคง แต่นี่เรื่องของบารมี เรื่องของธรรม นี่เป็นไปไม่ได้เลยที่ว่าใครเกิดหลังพระพุทธเจ้าแล้วจะฉลาดกว่าพระพุทธเจ้า จะปัญญามากกว่าพระพุทธเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร มีแต่จะเล็กลงๆๆๆ แล้วนี่พวกเราเหมือนกัน หลวงปู่มั่นนี่อันดับหนึ่งเลย แล้วใครจะเทียบเท่าหลวงปู่มั่น
เวลาจะเทศน์เห็นไหม อาจารย์เล่าให้ฟัง เวลาจะเทศน์นี่บอกหมู่เลยนะ บอกพระที่มีญาณภายในน่ะ ช่วยจับขโมยให้ผมที ขนาดว่าท่านจะเทศน์ท่านรู้ว่าคิดอะไร แล้วเวลาท่านเทศน์น่ะ ไอ้คนฟังคิดไปทางอื่น บอกเลยนะช่วยจับขโมยให้ผมหน่อย เพราะขโมยมันคิดถึงบ้านไง คิดออกไปนอกเรื่อง มันไม่ฟังธรรม
นี่ขนาดนั้นน่ะ นี่พูดถึงว่าปัญญาหรือว่าญาณหลวงปู่มั่น มี ในลูกศิษย์รุ่นนั้นๆ หลายองค์ หลวงปู่ฝั้นก็เป็น หลวงปู่ชอบก็เป็น แล้วรุ่นเล็กมาๆ นี่ อย่างนี้มันน้อยลงๆ น้อยลงๆ เห็นไหม มันต่างกันไง ถึงจะว่าจะเอาอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้ เอาอย่างที่ว่าจะให้เหมือนนักวิชาการที่ว่าหรอก ลูกศิษย์ต้องกว้างขวางๆ นี่ เราถึงว่าไม่ต้องไปปกป้อง ไม่ปกป้อง นี่พูดตามความเป็นจริงเฉยๆ ไม่มีใครสามารถไปปกป้องครูบาอาจารย์ได้ขนาดนั้นหรอก ปกป้องได้แต่ทางโลกนั้นแหละ ช่วยเหลือกันแบบโลกนี้ไง ช่วยเหลือกันไป